Dutasteride: ยาปลูกผมตัวใหม่ หยุดผมร่วง สร้างผมใหม่ แก้ไข ผมบาง ศีรษะล้าน

เส้นผม

28 สิงหาคม 2014


ไม่มั่นใจ หล่อแค่ไหน แต่ไร้เส้นผม ผมบาง ศีรษะล้าน

ปัญหาศรีษะล้าน  จัดเป็นปัญหาที่ผู้ชายถือว่ามีความสำคัญเป็นอันดับ 1 ที่ไม่อยากจะให้เกิดขึ้นกับตัวเอง ทั้งๆ ที่มีอุบัติการณ์เกิดได้ถึง 10 %  ในคนเอเซีย หรือ 30-40 % ในคนยุโรป อเมริกา ตามที่เราทราบกันแล้วว่า ปัญหาผมร่วง ผมบางมีสาเหตุการเกิดได้หลายอย่าง แต่สาเหตุใหญ่ๆที่พบในปัจจุบัน และพอมีแนวทางแก้ไขได้ นั่นคือปัญหาผมร่วง ศีรษะล้านจากปัญหาฮอร์โมนเพศ ชื่อ Dihydrotesterone(DHT)  สูงกว่าปกติ ซึ่งพบได้ถึง 30-40 % ของสาเหตุของการเกิดผมร่วง ผมบาง ทั้งในผู้ชาย และผู้หญิง
ฮอร์โมนเพศชาย ชื่อ Dihydrotestosterone (DHT) มีกลไกที่เป็นสาเหตุของผมร่วงโดย จะทำให้วงจรชีวิตของเส้นผมสั้นลง ผมจึงร่วงได้มากและเร็วกว่าปกติ ทำให้เส้นผมมีขนาดเล็กลง และสั้นลง ทำให้ผมค่อยๆบางลง จนดูโล่งเตียน นอกจากนี้ยังทำให้ ปริมาณผมใหม่ งอกได้ไม่เป็นปกติ ทั้งจำนวนและขนาดของเส้นผมที่เล็กลง ต่อมาได้มีการวิจัยเพิ่มมากขึ้น พบว่า  ฮอร์โมนเพศชาย ชื่อ Dihydrotestosterone (DHT)  นั้นเกิดได้จากเอนไซม์ 5-Alpha reductase ซึ่งมี 2 ชนิด คือ เอนไซม์ 5-Alpha reductase type 1 และ เอนไซม์ 5-Alpha reductase type 2 

ผมร่วง ผมบางจากกรรมพันธุ์ หรือฮอร์โมน

ยารักษาผมร่วงที่ อ.ย.ทุกประเทศ รับรองผล

1. Finasteride (Propecia) เป็นยารับประทานรตัวแรกที่นำมารักษาผมร่วง ที่ได้มีการพิสูจน์ ัรับรองผลโดยสถาบันอาหารและยา(FDA) ของ สหรัฐอเมริกา เมื่อปี ค.ศ 1997 และผ่าน อย.เมืองไทยแล้วว่าสามารถลดปัญหาผมร่วงจาก DHT สูง และทำให้ผมขึ้นได้จริง )ซึ่่งเราได้มีการนำมาใช้แล้วมากกว่า 20 ปี แต่สามารถยับยั้งได้แค่ เอนไซม์ 5-Alpha reductase type 2 โดยไม่มีฤทธิ์ในการยับยั้ง เอนไซม์ 5-Alpha reductase type 1 ทำให้ไม่สามารถจะแก้ไขปัญหา ผมบาง จากสาเหตุ DHT ได้ครอบคลุมครบวงจร
2. Dutasteride (Avodart) ถือเป็นยารุ่นที่ 2 ต่อมาจากยา Finasteride ในการแก้ปัญหาผมบาง Dutasteride เป็นตัวยาสังเคราะห์ขึ้นมาใหม่ ได้มีการพิสูจน์ ัรับรองผลโดยสถาบันอาหารและยา(FDA) ของ สหรัฐอเมริกา เมื่อปี ค.ศ 2010 ซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้ง เอนไซม์ 5-Alpha reductase  type 1 และ Type 2 ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนเพศชาย testosterone เป็น DHT จึงทำให้ระดับ DHT ลดลงในกระแสโลหิต และพบได้ได้ผลดีกว่า ยา Finasteride

หยุดผมร่วงได้แค่ไหน Finasteride VS Dutasteride

1. ยา Dutasteride มีฤทธิ์ยับยั้ง เอนไซม์ 5-Alpha reductase  type 1 และ Type 2 จึงลดระดับ DHT ในเลือดถึง 93 % ขณะที่ ยา Finasteride มีฤทธิ์ยับยั้ง เฉพาะเอนไซม์ 5-Alpha reductase  type 2 จึง ลดระดับDHT ในเลือดได้เพียง  78 %
2.  นอกจากนี้ อัตราส่วนความแรงหรือความสามารถ ของ ยา Dutasteride :ยา Finasteride ในการยับยั้งเอนไซม์ 5-Alpha reductase  type  2  ยังมากกว่าถึง 3:1 จึงลดระดับ DHT ที่หนังศีรษะได้ถึง 93 % ขณะที่ยา Finasteride ลดระดับ DHT ที่หนังศีรษะได้เพียง 34-41 %
3. ยา Dutasteride พบว่าไม่มีผลต่อการทำงานของตับ เหมือนกับยา Finasteride นอกจากนี้ ยังไม่มีผลต่อไต ระดับไขมันในเลือด
4. ยา Dutasteride มีราคาแพงกว่า ยา Finasteride 1.5-2 เท่า

ผลข้างเคียงและข้อควรระวัง Finasteride VS Dutasteride

1. ยา Dutasteride มีผลข้างเคียงต่อสมรรภภาพทางเพศ (ทั้งในแง่ความต้องการทางเพศ การแข็งตัว และการหลั่ง ) ในอัตรา  8-9  % ขณะที่ ยา Finasteride มีผลข้างเคียงต่อสมรรภภาพทางเพศ (ทั้งในแง่ความต้องการทางเพศ การแข็งตัว และการหลั่ง)  ในอัตรา 3.7    %
2. ยา Dutasteride มีผลข้างเคียงต่อการลดจำนวนเชื้ออสุจิ  และปริมาณน้ำอสุจิอย่างมีนัยสำคัญ แต่ไม่มีผลต่อการเคลื่อนไหวของตัวอสุจิเมื่อเทียบกับยาหลอก  ขณะที่ ยา Finasteride ไม่มีผลข้างเคียงต่อจำนวนอสุจิ แต่มีผลต่อการเคลื่อนไหวของตัวอสุจิ อย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับยาหลอก
3. ทำให้ผลการตรวจคัดกรองมะเร็งต่อมลูกหมาก มีการคลาดเคลื่อนได้ โดยพบว่าจะทำให้ระดับ PSA level ซึ่งเป็นตัวชี้วัดมะเร็งต่อมลูกหมากอาจจะมีค่าต่ำกว่าความเป็นจริงได้ 50%  ดังนั้นก่อนรับประทานยา Dutasteride ควรจะตรวจระดับ  PSA level ก่อนรับประทานยา Dutasteride และหลังรับประทานยา Dutasterideและตรวจเช็คอีกประจำทุกปี  ดังนั้นถ้าเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก อาจจะทำให้ตรวจพบได้ช้ากว่าคนปกติ  ดังนั้นการตรวจคัดกรองมะเร็งต่อมลูกหมาก ก็ควรจะตรวจเช็คเป็นประจำทุกปี สำหรับคนที่รับประทานยาตัวนี้ โดยเฉพาะเมื่ออายุเกิน 50 ปี
4. ยา Dutasteride ไม่่มีผลต่อการเกิดมะเร็งเต้านมในผู้ชาย แต่ถ้าในระหว่างที่รับประทาน ยา Dutasteride ถ้าเกิดมีปัญหาพบก้อนในหน้าอก ผิดปกติ ก็ควรต้องพบแพทย์เพื่อตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมเช่นกัน
   ข้อห้ามใช้
    ยา Dutasteride ไม่แนะนำให้ใช้ในผู้หญิงที่มีแนวโน้มจะตั้งครรภ์ หรือเตรียมตั้งครรภ์ เพราะยานี้จะทำให้เกิดความผิดปกติ หรือพัฒนาการของอวัยวะเพศของทารกได้ ส่วนการเลือกใช้ยาตัวไหนในการรักษาผมร่วงจาก DHT สูง แนะนำให้พบแพทย์ด้านเส้นผม เพื่อปรึกษาข้อดี-ข้อเสีย และการเลือกใช้ 

    แต่ทั้งนี้ ทั้งนั้นจะเห็นว่า การรักษาผมร่วงแบบไม่ต้องผ่าตัด ควรจะรักษาแบบผสมผสาน ทั้งการใช้ยารับประทานแก้สาเหตุของผมร่วง ในรูปแบบของยารับประทาน (Finasteride/Dutasteride)  ควบคู่กับการฟื้นฟูเส้นผมให้กลับมาดกดำมากขึ้น ด้วยใช้ยาทา จำพวก Minoxidil ซึ่งมีฤทธิ์เพิ่มจำนวนเส้นผม  การรับประทานวิตามินสำหรับบำรุงเส้นผม หรืออาจจะเสริมด้วยการทำเลเซอร์ปลูกผม (Low Level Laser Therapy (HAIRMAX) เพื่อให้ออกซิเจนกับเส้นผม หรือการทำเมโสปลูกผม(Mesotherapy)  จึงจะทำให้ผลการรักษาครอบคลุมครบวงจร และควรจะทำการรักษาต่อเนื่อง และพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเส้นผมเท่านั้น ไม่ควรจะซื้อยามาทำการรักษาเอง เพราะการรักษาอาจจะมีผลข้างเคียงเกิดขึ้นได้ ถ้าพบแพทย์สม่ำเสมอ ยังสามารถจะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้ทันท่วงที

Related