Posted on

คะน้า: ผักใบเขียวที่สำคัญ ปัองกันมะเร็ง พร้อมคุณค่า บำรุงสายตา รักษาได้หลายโรค

คะน้า จัดเป็นพืชผักที่แทบจะเป็นเครื่องเคียงประจำโต๊ะอาหารของบ้านเรา เนื่องจากหาง่าย ราคาไม่แพง และรสชาดที่ไม่ขมมากนัก และเป็นผักแกล้มชั้นยอด ที่ควบคู่กับอาหารรสจัด หรือนำมาผัดใส่น้ำมันหอยราดข้าว หอมกรุ่นทีเดียว ลองมาทำความรู้จักกับผักชนิดนี้กันหน่อยนะครับ

คุณประโยชน์และส่วนประกอบ ของคะน้า 

  1. สารเบตาแคโรทีน ในปริมาณที่สูง ซึ่งสารนี้จะแปรเปลี่ยนเป็นวิตามินเอได้ ซึ่งวิตามินเอนี้ มีประโยชน์ต่อผิวพรรณ ใช้ป้องกันรักษาสิว มีฤทธิ์ต้านทานการติดเชื้อ และเป็นวิตามินบำรุงสายตา ทำให้มองเห็นได้ดีในตอนกลางคืน อนึ่งคุณประโยชน์อย่างละเอียดของวิตามินเอ ได้เขียนบทความไว้ให้แล้ว
  2. วิตามินซี โดยพบว่า คะน้า 100 กรัมจะมีปริมาณวิตามินซีสูงเป็น 2 เท่าที่ร่างกายต้องการต่อวัน ซึ่งวิตามินซีนี้ มีบทบาทและคุณประโยชน์ อย่างมากในการป้องกันโรคหวัด ทำให้เชื้ออสุจิแข็งแรง เป็นสารไวเทนนิ่งทำให้ผิวหน้าไม่หมองคล้ำ ลดรอยด่างดำ และเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ฯลฯ ซึ่ง คุณประโยชน์อย่างละเอียดของวิตามินซี ได้เขียนบทความไว้ให้แล้ว
  3. ธาตุเหล็ก ซึ่งจำเป็นต่อการสร้างเม็ดเลือดแดง บำรุงเลือด ป้องกันโลหิตจาง และจะทำหน้าที่ในการพาออกซิเจน ไปยังเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ ทำให้เซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ ทำงานมีประสิทธิภาพดีขึ้นและนานขึ้น
  4. โฟเลต เป็นสารที่สำคัญในกระบวนการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง ช่วยในการเจริญเติบโตของเซลล์และกล้ามเนื้อ และช่วยเสริมการทำงาน ของระบบประสาท ช่วยลดอาการอ่อนล้าของกล้ามเนื้อได้ โดยทำงานร่วมกับวิตามินบี 12
  5. แคลเซียม ซึ่งจะพบว่าแคมเซียมนี้ ก็จะเป็นแร่ธาตุที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตของกระดูก ทำให้กระดูกแข็งแรง ไม่เปราะหักง่าย
  6. สารต้านมะเร็ง โดย ดร. วอลเตอร์ วิลเลตต์ แห่งคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลับฮาร์วาร์ด ซึ่งเป็นหน่วยงานชั้นนำทางด้านโภชนการและโรคมะเร็ง ได้รายงานผลการศึกษาเกี่ยวกับคะน้า ว่ามีสาร Carotenoids สูง ซึ่งสารนี้เป็นสารสีธรรมชาติในผักและผลไม้ มีฤทธิ์ป้องกันและต้านมะเร็งได้

ดังนั้นการรับประทานคะน้าเป็นประจำและในปริมาณที่พอเพียง จึงก่อให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกาย ทั้งในด้านผิวพรรณ สายตา ระบบหมุนเวียนโลหิต และป้องกันมะเร็ง นอกจากนี้ยังพบว่าคะน้าเป็นพืชเส้นใย ที่ช่วยควบคุมและลดน้ำหนักได้ในคนที่ต้องการควบคุมอาหารอีกด้วย

Posted on

6 เหตุผล ที่ต้องออกกำลังกาย ช่วงลดน้ำหนัก และ 7 แนวทางง่ายๆ ที่ไม่ยาก ถ้าอยากผอม

6 เหตุผลที่ต้องออกกำลังกาย ช่วงอยากลดน้ำหนัก

  1. การออกกำลังกายจะช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงานมากขึ้น และจะช่วยทำให้โลหิตหมุนเวียนดีขึ้น ซึ่งจะทำให้คุณรุ้สึกดีขึ้น
  2. การออกกำลังกายจะช่วยควบคุมความอยากอาหาร และทำให้ความหิวน้อยลง
  3. การออกกำลังกายเป็นประจำ จะช่วยลดการชดเชยพลังงานที่เกิดขึ้น ในขณะที่น้ำหนักลดลง เพราะโดยทั่วไปอัตราการเผาผลาญจะลดลงเมื่อน้ำหนักลด ดังนั้นการออกกำลังกายจึงชดเชยผลการตอบสนองของร่างกายดังกล่าว น้ำหนักจึงได้ลดลงมากขึ้น
  4. ถ้าลดน้ำหนัก โดยวิธีอื่นๆ เช่น ยา หรือ การควบคุมอาหาร จะทำให้กล้ามเนื้อลดลงด้วย จึงต้องออกกำลังกายเพือช่วยป้องกันมวลกล้ามเนื้อดังกล่าว
  5. การออกกำลังกายทำให้คลายเครียด ซึ่งพบเสมอว่า ในบางคนที่มีอารมณ์เครียด โกรธ จะหาทางออกด้วยการกินๆๆๆๆๆๆ ซึ่งการออกกำลังกาย จะช่วยลดสถานการณ์ดังกล่าวได้
  6. การออกกำลังกายทำให้คุณมีความเชื่อมั่นในตนเองมากขึ้น ทำให้สามารถบรรลุความสำเร็จได้ในหลายสิ่งที่ต้องการ และรู้สึกดีต่อตนเอง

7 แนวทางการออกกำลังกายง่ายๆ ในชีวิตประจำวัน

  1. ใช้บันไดแทนการใช้ลิฟต์ ในการทำงานแต่ละวัน
    2.เมื่อเครียด หรือว่างจากการทำงาน ควรออกไปเดินเล่น หรือเลือกรับประทานอาหารกลางวันที่ต้องเดินไปกลับ อย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 30 นาที
  2. ขี่จักรยานไปทำงาน ถ้าที่พักและที่ทำงานไม่ไกลนัก หรือเลือกเดินไกลๆ จากที่ทำงาน ไปยังลานจอดรถ หรือป้ายรถเมล์
  3. มีโอกาสไปท่องเที่ยวกับเพื่อนฝูง เพราะนอกจากจะสนุกแล้ว จะยังช่วยลดน้ำหนักได้ โดยเฉพาะโปรแกรมการท่องไพร เดินป่า เที่ยวน้ำตก
  4. เข้าร่วมทำกิจกรรมกับชมรมกีฬาต่างๆ เช่น ชมรมลีลาศ ชมรมเดินหรือวิ่งเพื่อสุขภาพ
  5. ดินเล่นก่อนรับประทานอาหารเย็น พาสมาชิกในครอบครัวเดินเล่น หรือพาสุนับวิ่งออกกำลังกาย ( สำหรับท่านที่รักสุนัข อาจจะเลือกสุนัขพันธุ์ใหญ่ ที่ต้องการการออกกำลังกาย ซึ่งจะได้ประโยชน์ทั้งตัวท่านและลูกสุนัขของท่านเอง)
  6. อย่าพยายามออกกำลังกายอย่างหักโหมในครั้งเดียว ควรจะค่อยๆ เพิ่มเวลาและเปลี่ยนชนิดของกีฬาที่เหมาะสมกับตนเอง ไม่ทำให้เกิดแรงตึงกับข้อ หรือทำให้กล้ามเนื้ออ่อนล้าเกินไป ซึ่งจะทำให้ท่านท้อใจในการออกกำลังกายครั้งต่อๆ ไปได้

ขอยกหัวข้อบรรยาย ของ พ.อ.หญิง รศ.พ.ญ.พรฑิตา ชัยอำนวย ผู้อำนวยการเวชศาสตร์ฟื้นฟู โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ในการบรรยายครั้งหนึ่งว่า
– ‘ การลดน้ำหนักแค่ 1 กิโลกรัม ความดันโลหิตจะลดลงไป 2.5 กับ 1.7 mmHg. เพราะ ทำให้หัวใจบีบตัวด้วยแรงต่อต้านที่น้อยลง หัวใจทำงานเบาลง
– ถ้าลดน้ำหนักเป็นปกติ ในคนไข้ที่มีปัญหาโรคความดันโลหิตสูง อาจลดยาความดันหรือเลิกกินยาลดความดันซึ่งเป็นผลดีต่อการรักษาโรค โดยพบว่า ลดน้ำหนัก 1 กิโลกรัม อายุยืน 3-4 เดือน ถ้าลด 10 กิโลกรัม อายุขัยจะยาวขึ้น ร้อยละ 35
– คนที่เป็นเบาหวาน ลดน้ำหนักแค่ 5 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัว การคุมน้ำตาลจะดีขึ้นมาก
– ถ้ามีไขมันในเลือดสูง ลด 1 กิโลกรัม คอเลสเตอรอลลด 2 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ไตรกลีเซอร์ไรด์ลด 1.7 คอเลสเตอรอลตัวร้ายลด 0.77 ก่อให้เกิดผลดีต่อร่างกายอย่างเห็นได้ชัด’

ดังนั้นถ้าไม่อยากพึ่งยาลดน้ำหนัก เราควรจะควบคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ที่สำคัญ พยายามอย่าขี้เกียจ แล้วอ้างคำว่า ‘ ไม่มีเวลา’ สำหรับสุขภาพทีดีของเราเลยนะครับ 

Posted on

5 เคล็บลับในการรับประทานอาหารอย่างไร เพื่อลดน้ำหนักให้ได้ผล และไม่กลับมาอ้วนอีก

กินอย่างไร ไม่ให้อ้วน

ควรรับประทานอาหาร อย่างมีสติ 

  1. ระลึกและมีสติกับสิ่งที่คุณกำลังรับประทาน โดยพยายามเลือกที่จะรับประทาน และทำอะไรทีละอย่าง ไม่ใช่ทำพร้อมกัน
    เช่น รับประทานอาหาร ขณะดูทีวี หรือคุยกัน เพราะจะทำให้ไม่ทราบปริมาณอาหารที่รับประทานเข้าไปมากน้อยเพียงใด และที่สำคัญอย่ารับประทานอาหารโดยไม่ตั้งใจ หรือไม่หิว
  2. ควรรับประทานอาหารเมื่อ หิว ไม่ใช่ ความหยากอาหารดังนั้นควรจะถามตนเองว่า ‘ นี่ฉันหิวจริงๆ หรือ?’ หรือเพียงเพราะว่า ‘ มันถึงเวลารับประทานแล้ว หรือ อยากรับประทานอะไรซักอย่าง ‘
    และเมื่อแยกความรู้สึกได้ หรือหิวจริงๆ ก็ควรจะรับประทานอาหาร และต้องเอาใจใส่กับอาหาร ‘ อะไร ‘ และ ‘ เท่าไหร่จึงพออิ่ม’
  3. รับประทานอย่างช้าๆ เพราะถ้ายิ่งรับประทานอาหารเร็วเท่าไรก็จะยิ่งรับประทานมากขึ้นเท่านั้น ก่อนที่ร่างกายจะบอกว่าพอแล้ว ปริมาณอาหารที่ได้รับเข้าไปก็เกินกว่าที่ร่างกายต้องการจริงๆ จึงเหลือสะสมเป็นไขมันส่วนเกินในร่างกาย

5 เคล็ดกับกับการกินไม่ให้อ้วน

เคล็ดลับที่ 1. รับประทานอาหารด้วยปริมาณที่น้อยลง โดยการเลือกจานใบเล็กแทนใบใหญ่ หรือแบ่งมื้ออาหารเป็น 5 มื้อย่อยจานเล็กๆ ดีกว่ารับประทานอาหาร 3 มื้อด้วยจานใบใหญ่
หลังรับประทานอาหารเสร็จแล้ว รอซัก 30 นาทีเพื่อถามตัวเองว่ายังรู้สึกหิวอยู่จริงๆ จึงค่อยเพิ่มปริมาณอาหารอีกทีละน้อย
เคล็ดลับที่ 2. เลือกอาหารที่รับประทานโดยยึดตามคำแนะนำ ‘ ปิรามิดแนะแนวอาหาร’ โดยมีสัดส่วนของ แป้งและคาร์โบไฮเดรต 40%:ผักผลไม้ 35%:โปรตีน ( เนื้อแดงไม่ติดมัน ปลา) 20%: ไขมัน 5%
เคล็ดลับที่ 3. หลีกเลี่ยงน้ำตาล โดยเฉพาะเกี่ยวกับ ขนมขบเคี้ยว เค้ก ขนมหวาน ลูกอม ลูกกวาด ไอสครีม ช็อกโกแลต เพราะจะมีไขมันและแคลอรี่สูงมาก และจะยับยั้งความหิวของคุณได้เพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น
แต่ถ้าหิวควรทดแทนด้วยผลไม้สดที่ไม่หวานจัด และไม่ควรเก็บของว่างหรืออาหารไว้ในตู้เย็น หรือครัว
เคล็ดลับที่ 4.  ยึดมั่นในทัศนคติของคุณในการตั้งใจลดน้ำหนัก แม้จะมีน้ำหนักหวนกลับมาเพิ่มขึ้นอีก แต่มันจะเพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น อย่าพูดว่า ‘ ไม่เป็นไร’ หรือ ‘ ฉันคงทำใหม่อีกไม่ได้ ‘
เคล็ดลับที่ 5. จำกัดหรืองดเครื่องดื่มอัลกอฮอล์ เพราะมีแคลอรี่สูงพอๆ กับไขมัน ควรจะดับกระหายด้วยน้ำเปล่า
คงแนะนำให้คุณปฏิบัติง่ายๆ แค่นี้ดูก่อนนะครับ ซึ่งไม่ยากและไม่ง่ายเกินไป และเชื่อมั่นได้ว่า น้ำหนักของคุณจะค่อยๆ ควบคุมได้ และลดลงอย่าง แน่นอนและปลอดภัย ซึ่งจะได้ผลดีขึ้น