Posted on

Dutasteride: ยาปลูกผมตัวใหม่ หยุดผมร่วง สร้างผมใหม่ แก้ไข ผมบาง ศีรษะล้าน

ไม่มั่นใจ หล่อแค่ไหน แต่ไร้เส้นผม ผมบาง ศีรษะล้าน

ปัญหาศรีษะล้าน  จัดเป็นปัญหาที่ผู้ชายถือว่ามีความสำคัญเป็นอันดับ 1 ที่ไม่อยากจะให้เกิดขึ้นกับตัวเอง ทั้งๆ ที่มีอุบัติการณ์เกิดได้ถึง 10 %  ในคนเอเซีย หรือ 30-40 % ในคนยุโรป อเมริกา ตามที่เราทราบกันแล้วว่า ปัญหาผมร่วง ผมบางมีสาเหตุการเกิดได้หลายอย่าง แต่สาเหตุใหญ่ๆที่พบในปัจจุบัน และพอมีแนวทางแก้ไขได้ นั่นคือปัญหาผมร่วง ศีรษะล้านจากปัญหาฮอร์โมนเพศ ชื่อ Dihydrotesterone(DHT)  สูงกว่าปกติ ซึ่งพบได้ถึง 30-40 % ของสาเหตุของการเกิดผมร่วง ผมบาง ทั้งในผู้ชาย และผู้หญิง
ฮอร์โมนเพศชาย ชื่อ Dihydrotestosterone (DHT) มีกลไกที่เป็นสาเหตุของผมร่วงโดย จะทำให้วงจรชีวิตของเส้นผมสั้นลง ผมจึงร่วงได้มากและเร็วกว่าปกติ ทำให้เส้นผมมีขนาดเล็กลง และสั้นลง ทำให้ผมค่อยๆบางลง จนดูโล่งเตียน นอกจากนี้ยังทำให้ ปริมาณผมใหม่ งอกได้ไม่เป็นปกติ ทั้งจำนวนและขนาดของเส้นผมที่เล็กลง ต่อมาได้มีการวิจัยเพิ่มมากขึ้น พบว่า  ฮอร์โมนเพศชาย ชื่อ Dihydrotestosterone (DHT)  นั้นเกิดได้จากเอนไซม์ 5-Alpha reductase ซึ่งมี 2 ชนิด คือ เอนไซม์ 5-Alpha reductase type 1 และ เอนไซม์ 5-Alpha reductase type 2 

ผมร่วง ผมบางจากกรรมพันธุ์ หรือฮอร์โมน

ยารักษาผมร่วงที่ อ.ย.ทุกประเทศ รับรองผล

1. Finasteride (Propecia) เป็นยารับประทานรตัวแรกที่นำมารักษาผมร่วง ที่ได้มีการพิสูจน์ ัรับรองผลโดยสถาบันอาหารและยา(FDA) ของ สหรัฐอเมริกา เมื่อปี ค.ศ 1997 และผ่าน อย.เมืองไทยแล้วว่าสามารถลดปัญหาผมร่วงจาก DHT สูง และทำให้ผมขึ้นได้จริง )ซึ่่งเราได้มีการนำมาใช้แล้วมากกว่า 20 ปี แต่สามารถยับยั้งได้แค่ เอนไซม์ 5-Alpha reductase type 2 โดยไม่มีฤทธิ์ในการยับยั้ง เอนไซม์ 5-Alpha reductase type 1 ทำให้ไม่สามารถจะแก้ไขปัญหา ผมบาง จากสาเหตุ DHT ได้ครอบคลุมครบวงจร
2. Dutasteride (Avodart) ถือเป็นยารุ่นที่ 2 ต่อมาจากยา Finasteride ในการแก้ปัญหาผมบาง Dutasteride เป็นตัวยาสังเคราะห์ขึ้นมาใหม่ ได้มีการพิสูจน์ ัรับรองผลโดยสถาบันอาหารและยา(FDA) ของ สหรัฐอเมริกา เมื่อปี ค.ศ 2010 ซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้ง เอนไซม์ 5-Alpha reductase  type 1 และ Type 2 ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนเพศชาย testosterone เป็น DHT จึงทำให้ระดับ DHT ลดลงในกระแสโลหิต และพบได้ได้ผลดีกว่า ยา Finasteride

หยุดผมร่วงได้แค่ไหน Finasteride VS Dutasteride

1. ยา Dutasteride มีฤทธิ์ยับยั้ง เอนไซม์ 5-Alpha reductase  type 1 และ Type 2 จึงลดระดับ DHT ในเลือดถึง 93 % ขณะที่ ยา Finasteride มีฤทธิ์ยับยั้ง เฉพาะเอนไซม์ 5-Alpha reductase  type 2 จึง ลดระดับDHT ในเลือดได้เพียง  78 %
2.  นอกจากนี้ อัตราส่วนความแรงหรือความสามารถ ของ ยา Dutasteride :ยา Finasteride ในการยับยั้งเอนไซม์ 5-Alpha reductase  type  2  ยังมากกว่าถึง 3:1 จึงลดระดับ DHT ที่หนังศีรษะได้ถึง 93 % ขณะที่ยา Finasteride ลดระดับ DHT ที่หนังศีรษะได้เพียง 34-41 %
3. ยา Dutasteride พบว่าไม่มีผลต่อการทำงานของตับ เหมือนกับยา Finasteride นอกจากนี้ ยังไม่มีผลต่อไต ระดับไขมันในเลือด
4. ยา Dutasteride มีราคาแพงกว่า ยา Finasteride 1.5-2 เท่า

ผลข้างเคียงและข้อควรระวัง Finasteride VS Dutasteride

1. ยา Dutasteride มีผลข้างเคียงต่อสมรรภภาพทางเพศ (ทั้งในแง่ความต้องการทางเพศ การแข็งตัว และการหลั่ง ) ในอัตรา  8-9  % ขณะที่ ยา Finasteride มีผลข้างเคียงต่อสมรรภภาพทางเพศ (ทั้งในแง่ความต้องการทางเพศ การแข็งตัว และการหลั่ง)  ในอัตรา 3.7    %
2. ยา Dutasteride มีผลข้างเคียงต่อการลดจำนวนเชื้ออสุจิ  และปริมาณน้ำอสุจิอย่างมีนัยสำคัญ แต่ไม่มีผลต่อการเคลื่อนไหวของตัวอสุจิเมื่อเทียบกับยาหลอก  ขณะที่ ยา Finasteride ไม่มีผลข้างเคียงต่อจำนวนอสุจิ แต่มีผลต่อการเคลื่อนไหวของตัวอสุจิ อย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับยาหลอก
3. ทำให้ผลการตรวจคัดกรองมะเร็งต่อมลูกหมาก มีการคลาดเคลื่อนได้ โดยพบว่าจะทำให้ระดับ PSA level ซึ่งเป็นตัวชี้วัดมะเร็งต่อมลูกหมากอาจจะมีค่าต่ำกว่าความเป็นจริงได้ 50%  ดังนั้นก่อนรับประทานยา Dutasteride ควรจะตรวจระดับ  PSA level ก่อนรับประทานยา Dutasteride และหลังรับประทานยา Dutasterideและตรวจเช็คอีกประจำทุกปี  ดังนั้นถ้าเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก อาจจะทำให้ตรวจพบได้ช้ากว่าคนปกติ  ดังนั้นการตรวจคัดกรองมะเร็งต่อมลูกหมาก ก็ควรจะตรวจเช็คเป็นประจำทุกปี สำหรับคนที่รับประทานยาตัวนี้ โดยเฉพาะเมื่ออายุเกิน 50 ปี
4. ยา Dutasteride ไม่่มีผลต่อการเกิดมะเร็งเต้านมในผู้ชาย แต่ถ้าในระหว่างที่รับประทาน ยา Dutasteride ถ้าเกิดมีปัญหาพบก้อนในหน้าอก ผิดปกติ ก็ควรต้องพบแพทย์เพื่อตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมเช่นกัน
   ข้อห้ามใช้
    ยา Dutasteride ไม่แนะนำให้ใช้ในผู้หญิงที่มีแนวโน้มจะตั้งครรภ์ หรือเตรียมตั้งครรภ์ เพราะยานี้จะทำให้เกิดความผิดปกติ หรือพัฒนาการของอวัยวะเพศของทารกได้ ส่วนการเลือกใช้ยาตัวไหนในการรักษาผมร่วงจาก DHT สูง แนะนำให้พบแพทย์ด้านเส้นผม เพื่อปรึกษาข้อดี-ข้อเสีย และการเลือกใช้ 

    แต่ทั้งนี้ ทั้งนั้นจะเห็นว่า การรักษาผมร่วงแบบไม่ต้องผ่าตัด ควรจะรักษาแบบผสมผสาน ทั้งการใช้ยารับประทานแก้สาเหตุของผมร่วง ในรูปแบบของยารับประทาน (Finasteride/Dutasteride)  ควบคู่กับการฟื้นฟูเส้นผมให้กลับมาดกดำมากขึ้น ด้วยใช้ยาทา จำพวก Minoxidil ซึ่งมีฤทธิ์เพิ่มจำนวนเส้นผม  การรับประทานวิตามินสำหรับบำรุงเส้นผม หรืออาจจะเสริมด้วยการทำเลเซอร์ปลูกผม (Low Level Laser Therapy (HAIRMAX) เพื่อให้ออกซิเจนกับเส้นผม หรือการทำเมโสปลูกผม(Mesotherapy)  จึงจะทำให้ผลการรักษาครอบคลุมครบวงจร และควรจะทำการรักษาต่อเนื่อง และพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเส้นผมเท่านั้น ไม่ควรจะซื้อยามาทำการรักษาเอง เพราะการรักษาอาจจะมีผลข้างเคียงเกิดขึ้นได้ ถ้าพบแพทย์สม่ำเสมอ ยังสามารถจะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้ทันท่วงที

Posted on

สลายไขมัน ยกกระชับ ปรับรูปหน้า กระชับสัดส่วนให้เป๊ะปัง ในเครื่องเดียว : Exilis Elite

เครื่องเดียวครบ จบเรื่องไขมัน ยกกระชับปรับสัดส่วน

ปัญหา ไขมันส่วนเกิน ผิวหน้า ผิวกาย หย่อนคล้อย ไม่กระชับ จัดเป็นปัญหาที่สำคัญปัญหาหนึ่ง ของผู้ที่ดูแลและห่วงใยในสุขภาพและภาพลักษณ์ของตนเอง เพราะการมีรูปร่างที่สมส่วน กระชับ มีสัดส่วนโค้งเว้า ของสตรีเพศ หรือกล้ามเนื้อที่แข็งแรง สมชายชาตรี ต่างเป็นสุดยอดปรารถนากันทีเดียว เพราะ ถ้าเรายังฟิต ยังเป๊ะ ทุกอณูขุมขนตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วหล่ะก็ อายุเป็นเพียงตัวเลขที่เราไม่เคยหวั่นไหว
ปกติ เวลาเราต้องการจะสลายไขมันส่วนเกิน หรือจะยกกระชับ ปรับรูปหน้า สัดส่วน ลดการหย่อนคล้อย เราต้องใช้การรักษาแยกกัน ใช้เครื่องมือต่างกัน ทำให้เสียทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย
แต่ Exilis Elite คือ นวัตกรรมใหม่ล่าสุด จากประเทศอังกฤษ ที่ได้ตอบโจทย์นี้ได้อย่างง่ายดาย โดยเครื่องเดียวครบ จบทุกปัญหาไขมันส่วนเกิน ไม่กระชับ โดยไม่ต้องเจ็บตัว ไม่ต้องพักฟื้น และได้ผลรวดเร็วตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ และที่สำคัญราคาไม่แพงเหมือนกับเครื่องมืออื่นๆ ที่เคยมีมาก่อน

Exilis Elite คืออะไร ทำงานอย่างไร

คือเครื่องมือในการสลายไขมันส่วนเกิน และกระชับสัดส่วน สามารถสลายไขมัน กระชับผิว ลดการหย่อยคล้อยในเครื่องเดียว โดยไม่ผ่าตัดหรือเจาะให้เจ็บตัว ( Non- Surgical body contouring and tightening ) โดยใช้หลักการทำงานร่วมกัน ของคลื่น Monopolar RF กับ Continuous Ultrasound
ทำงานอย่างไร
–  Exilis Elite จะส่งพลังงานความร้อนของคลื่น Monopolar RF ลงลึกไปในชั้นหนังแท้ ไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ให้ผิวกระชับ และชั้นไขมัน ไปสลายไขมันส่วนเกิน โดยสามารถจะ ลงลึกถึงชั้นไขมันได้ถึง 2.5 ซม. โดยไม่รู้สึกร้อนมากจนทนไม่ไหว เพราะมีระบบ Cooling System ที่หัว applicator จึงรู้สึกเพียงอุ่นๆ ที่ใต้ผิวหนัง ในขณะที่ทำ และยังมีระบบ Continous Ultrasound ทำงานควบคู่กันไปด้วย ซึ่งเราทราบมาก่อนแล้วว่า Ultrasound ช่วยกระชับผิวหน้า ผิวกายที่หย่อนคล้อย จึงช่วยทั้งกระชับสัดส่วน ลดไขมันส่วนเกิน ไปในคราวเดียวกัน โดยกลไกการทำงานที่ไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ให้กระชับผิวจากคลื่นความร้อน Monopolar RF  +Ultrasound และสลายไขมันด้วยความร้อนที่พอเหมาะ ที่จะทำให้เกิดเซลล์ไขมันตาย (Fat cell apoptosis) ซึ่งคือที่ อุณหภูมิ 41-43 องศาเซลเซียส โดยมีหัววัดอุณหภูมิให้ Monitor ในระหว่างทีทำ ซึ่งเป็นจุดเด่นอีกข้อที่ เครื่อง Monopolar RF  รุ่นก่อนๆ ไม่มี

Exilis VS Thermage

1. Exilis และ Thermage การทำงานไม่แตกต่างกัน ต่างใช้คลื่นความร้อน Monopolar RF เหมือนกัน
2. Thermage แนวพลังงานลงลึกกว่าและแคบตามแนวดิ่ง ไม่มี Ultrasound ส่วน Exilis เนื่องจากมี Ultrasound ร่วมด้วย คล้ายเครื่องนวดหน้าหรือตีไขมัน จะลงกว้างกว่าในแนวขวาง
3. Exilis มีจอมอนิเตอร์ บ่งบอกพลังงานในหน้าจอว่าเหมาะสมกับสภาพผิวแต่ละคนมั้ย หรือพลังงานพอหรือไม่ในการสลายไขมัน ยกกระชับ ปรับรูปหน้า สัดส่วน
4. Exilis จะปลดปล่อยพลังงานที่คงที่สม่ำเสมอ ซึ่งจะทำให้เกิดความร้อนได้ทั่วถึง ป้องกันการสะสมความร้อนเฉพาะจุด จึงไม่เกิดการไหม้ (burn) ผิวหนัง
5. หัวทำหน้าของ Exilisสามารถกำจัดริ้วรอยย่นใต้ตา ได้ผลดีกว่าเครื่องใดๆ เพราะสามารถบังคับให้ชิดดวงตาได้เท่าที่ต้องการ

มีขั้นตอนการทำอย่างไร และมีผลข้างเคียงหรือไม่
-แทบไม่ต้องเตรียมตัวอะไร แต่ถ้าสามารถดื่มน้ำเยอะๆ ก่อนจะมาทำจะยิ่งดี เพื่อให้ผิวหนังชุ่มน้ำ เพื่อจะได้ทนกับความร้อนได้ดีขึ้น และลดการสูญเสียน้ำจากความร้อนที่ผิว
– ไม่ต้องแปะยาชาให้เสียเวลา ก่อนทำพนักงานจะทำการติด PAD ที่ด้านหลังหรือสะโพก ใกล้บริเวณที่จะทำทรีทเม้นต์ ทาเจลหล่อลื่น(ที่สำหรับทำ IPL ) ทาก่อนแล้วก็เริ่มทำได้ โดยอุณหภูมิจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ ผ่านหน้าจอมอนิเตอร์ เมื่อได้ที่แล้ว อุณหภูมิจะหยุดแค่นั้น การปลดปล่อยพลังงาน RF ก็จะสม่ำเสมอเป็นแนวระนาบ ไม่ขึ้นๆ ลงๆ เหมือนกับ เครื่องยี่ห้ออื่น
– เมื่อรู้สึกร้อนจนทนไม่ไหว ก็แจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบ เจ้าหน้าที่ก็จะยกหัวขึ้นพักชั่วคราวโดยไม่รู้สึกว่ามี  Spark ให้สะดุ้งหรือเจ็บ เมื่อค่อยยังชั่วก็ค่อยเริ่มทำการรักษาต่อ โดยเวลาที่ทำก็แล้วแต่พื้นที่ อาจจะ 15-20 นาที โดยเครื่องจะคำนวณจากคอมพิวเตอร์
ผลข้างเคียงว่าจะมีอาการ Burn หลังทำหรือไม่
ไม่ต้องกังวล  เพราะ มีระบบตรวจวัดค่าสัมประสิทธิ์ความต้านทาน ด้วยระบบ Intelligence Impedance ที่เหมาะสม หลังทำอาจจะมีอาการแดงที่บริเวณที่ทำ ประมาณ  30-60 นาทีก็หายเป็นปกติ ส่วนความร้อนที่สะสมในชั้นไขมัน จะยังรู้สึกได้นานถึง 24-36 ชั่วโมงหลังทำ

Ekilis Elite สามารถทำได้ในบริเวณใดบ้าง และมีข้อห้ามในการทำหรือไม่
– สามารถทำได้ทุกเพศ ทุกวัยที่เริ่มมีปัญหาหน้ากลม ไขมันส่วนเกิน และหย่อยคล้อยไม่กระชับ และ สามารถจะทำได้ทุกส่วนในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นใบหน้า ไขมันใต้คาง (เหนียง) คอ หน้าอก หย่อนคล้อยในผู้หญิง หรือนมโตในผู้ชายที่เรียกว่า Gynecomastia หน้าท้อง บั้นเอว สะโพก ต้นขา หรือน่องที่มีไขมันมาก
ข้อห้าม ก็เฉพาะในบริเวณที่มีบาดแผล และในสตรีมีครรภ์เท่านั้น และในคนที่มีโรคประจำตัว ไม่ว่าเบาหวาน ไขมัน ความดันโลหิตสูง หรืออื่นๆ ก็สามารถทำได้

Posted on

Ulthera ดึงหน้า ยกกระชับ ปรับรูปหน้า ครั้งเดียวจบ ครบทุกปัญหาหน้าหย่อนคล้อย

Ulthera คืออะไร

Ulthera คือ เครื่องยกกระชับ ปรับรูปหน้า แบรนด์อเมริกา ทำงานโดยการปล่อย คลื่นเสียง Focus Ultrasound คลื่นจะเปลี่ยนเป็นความร้อน 63 องศา ถึงชั้น SMAS ซึ่งเทคโนโลยีอื่น ๆ ในปัจจุบันยังไม่สามารถทำได้ยกเว้นการทำศัลยกรรม
SMAS สำคัญอย่างไร
– มีความสำคัญในการยึดผิวหนังเข้าไว้กับกระดูกเป็นเหมือนชั้นกาวสองหน้าที่คอย เชื่อมผิวกับโครงร่างใบหน้าเข้าไว้ด้วยกัน เพราะปัญหาหย่อนคล้อยของผิวหน้า เกิดจากความเสื่อมหรือความอ่อนแอของชั้น SMAS
Ulthera ทำงานอย่างไรตรงชั้น SMAS
-พลังงานความร้อนจุดเล็กๆ จำนวนมากของ Ulthera จะ มุ่งเป้าหมายตรงรอยต่อของชั้นกล้ามเนื้อส่วนบน ( SMAS ) แล้วทำการซ่อมแซม ส่วนที่หย่อนคล้อยให้กลับมากระชับ คล้ายกับการยิงแมกซ์เย็บกระดาษให้ยึดติดกัน
– โดยในขณะที่ทำ แพทย์สามารถเห็นสภาพผิวหนังที่กำลังรักษาผ่านหน้าจอเครื่องตลอดเวลา ( SEE and TREAT ) ในขณะที่เครื่องอื่น ไม่มี ทำให้เห็นจุดบกพร่องของผิว และทำการรักษาได้แม่นยำ และได้ผลการรักษาที่แน่นอนกว่า ขบวนการรักษาทั้งหมดนี้จะไปกระตุ้นการเสริมสร้างคอลลาเจนใหม่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้ผิวค่อยๆ กระชับขึ้น รูปหน้าเล้กลง และดูเป็นธรรมชาติ โดยไม่ก่อให้ผลกระทบกับผิวบริเวณข้างเคียง จึงทำให้มีความปลอดภัยสูง และได้ผลเป็นที่น่าพอใจ

เปรียบเทียบ Ulthera กับการยกกระชับด้วยวิธีอื่นๆ

1. Ulthera พลังงานจะลงลึกสุดถึงชั้น SMAS ขณะที่ Thermage or Exilis ซึ่งเป็นคลื่นวิทยุ จะลงถึงเพียงชั้นไขมันหรือคอลลาเจน
2. พลังงานของ Ulthera เป็น Focuse Ultrasound Original จึงโฟกัส ตรง SMAS ได้แม่นยำทุกจุด และตรวจเช็คได้จากจอมอนิเตอร์ ส่วน HIFU ไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่า แต่ละยี่ห้อลงลึกได้ทุกครั้งที่ยิงมั้ย เพราะไม่มีจอมอนิเตอร์ให้สังเกตได้
3. การร้อยไหมยกกระชับผิว ก็ออกฤทธิ์ที่ชั้นไขมันหรือคอลลาเจน ส่วนชนิดของไหม ไม่ว่าไหมก้างปลา หรือแบบไหนก็ไม่สามารถลงลึกได้มาก ส่วนจะอยู่ได้นานแค่ไหน ก็แล้วแต่ชนิดของไหม ปกติจะอยู่ได้นาน 6-12 เดือน
4. การทำเลเซอร์ยกกระชับผิว เฃ่น Gentle YaG or V-beam เพื่อจะทำ Rejuvenation พลังงานจะ ก็ออกฤทธิ์ที่ชั้นหนังแท้ (Dermis) หรือกระชับผิวส่วน ปกติจะอยู่ได้นาน 1-2 เดือน
5. ฉีดโบทอกซ์ลิฟท์กรอบหน้า จะช่วยกรณีที่อายุยังไม่มาก และกรอบหน้าเริ่มหย่อนคล้อย จะฉีดชั้นเดียวกับที่ทำเลเซอร์ กระชับหน้า โดยจะออกฤทธิ์ที่ชั้นกล้ามเนื้อด้านบน ส่วนการฉีดกล้ามเนื้อชั้นลึก ด้วยโบทอกซ์ มักจะใช้ในการปรับรูปหน้า ซึ่ง Ulthera ก็ช่วยได้ระดับนึง เมื่อผิวหนังกระชับขึ้น หน้าก็จะดูเล็กลงได้ เช่นกัน โบทอกซ์ลิฟท์กรอบหน้าจะอยู่ได้นาน 4-6 เดือน
6. การนวดหน้า ก็ออกฤทธิ์ที่ชั้นหนังแท้ (Dermis) และตื้นกว่าการฉีดโบทอกซ์ หรือเลเซอร์กระชับผิว พวกนี้อยู่ได้ 1-2 อาทิตย์
ดังนั้นถ้าหวังผลยกกระชับในส่วนลึก ให้ได้ผลใกล้เคียงกับการผ่าตัดดึงหน้าที่ทำที่ชั้น SMAS เหมือนกัน ก็คงมีแต่เครื่อง Ulthera เท่านั้นที่สามารถนำมาทดแทนการผ่าตัดดึงหน้าได้ หรือทำให้ได้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกับการผ่าตัดดึงหน้า ไม่ต้องพักฟื้น หลังทำไปทำงานได้ตามปกติ

Ulthera เหมาะกับใคร
        ผู้ที่มีเริ่มมีความเสื่อมของเนื้อเยื่อเกี่ยวพันใต้ผิวหนัง ได้แก่ การลดลงของคอลลาเจนตามอายุ การสูญเสียไขมันที่ใบหน้า มีไขมันสะสมบริเวณข้างแก้มและเกิดเหนียง ได้แก่ 

  1. ผู้ที่มีหน้าใบหน้าคล้อย ไม่กระชับ
  2. ผู้ที่มีคิ้วตก หรือ หนังตาตก
  3. ผู้ที่มีกรอบรูปหน้าไม่ชัดเจน 
  4. ผู้ที่มีปัญหาหย่อนคล้อยใต้คาง
  5. ผู้ที่มีผิวหนังคอและเนินอกไม่กระชับ 
  6. ผู้ที่มีปัญหาคล้อยที่แขน
  7. ผู้ที่มีหน้าท้องไม่กระชับ 
  8. ลดภาวะเหงื่อออกมากที่รักแร้

ผู้ใดที่ไม่ควรทำ Ulthera

  1. ผู้ที่ได้รับการฝังแผ่นโลหะหรือฝังอุปกรณ์ทางการแพทย์บริเวณผิวหน้าและลำคอ
  2. สตรีตั้งครรภ์
  3. ผู้มีปัญหาเกี่ยวกับโรคลมชัก หรือเป็นเบาหวาน ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนการทำ

ผลการรักษาและข้อควรระวัง

  1. ให้ผลการรักษาเทียบเคียงกับการทำศัลยกรรมผ่าตัดดึงใบหน้า ส่วนได้ผลมากน้อยแค่ไหน ีขึ้นอยู่กับจำนวนLines ที่ยิง ความแรง และประสบการณ์ของแพทย์ที่ทำ
  2. หลังทำ ไม่มีรอยแผลเป็น ใช้ระยะเวลาสั้นในการดูแลรักษาผิวหน้า อาจพบอาการบวมแดงเล็กน้อย บริเวณที่ทำการรักษาและหายเป็นปกติภายใน 1-2 อาทิตย์
  3. อาจเกิดความปวดขณะทำ ลดความปวดได้ด้วยการทายาชา ก่อนการทำ 45-60 นาที.
  4. อาจพบห้อเลือด เกิดขึ้นได้หากพลังงานโดนเส้นเลือด อาการจะดีขึ้น 3-7 วันหลังการรักษา
  5. หากพลังงานโดนเส้นประสาท อาจทำให้เกิดการกล้ามเนื้ออ่อนแรงชั่วคราว ชาชั่วคราวได้ จะหายได้เองใน 1-2 เดือน
  6. อาจเกิดแผลเป็นขึ้นได้ หากยิงด้วยเทคนิคที่ไม่ถูกต้อง
  7. ผลการรักษาจะเห็นชัดขึ้นในระยะเวลาประมาณ 3 เดือน การรักษาต่อครั้งจะอยู่ได้นานประมาณ 1-2 ปี
  8. ผู้ป่วยควรจะกลับมาหลังจากทำการรักษา 3 เดือน สำหรับการประเมินซ้ำ