Posted on

ไมเกรน (Migraine) ไม่หายขาด ไม่อยากกินยา กลัวผลข้างเคียง ฉีดโบ ช่วยได้ เห็นผลทันที อยู่ได้นานหลายเดือน

ปวดศีรษะไมเกรน (Migraine) คืออะไร

การปวดศีรษะแบบไมเกรน  เป็นอาการปวดศีรษะเรื้อรังชนิดหนึ่ง ที่เกิดขึ้นกับร่างกาย  มีการประมาณว่าใน 1 วัน ทั่วโลกจะมีผู้ป่วยที่มีอาการปวดศีรษะไมเกรน ประมาณ 3,000 คนต่อประชากร 1 ล้านคน โดยพบอัตราเป็นโรคนี้สูงสุดในคนอเมริกาเหนือ รองลงมาคือคนอเมริกากลาง อเมริกาใต้ ยุโรป เอเชีย และแอฟริกา และผู้หญิงมากกว่าผู้ชายในอัตราส่วน2:1  โดยพบมากในช่วงอายุ 30 -40 ปี แต่แทบจะไม่พบผู้ป่วยที่มีปวดศีรษะไมเกรนเป็นครั้งแรกเมื่ออายุเลย 50 ปีไปแล้ว การปวดศีรษะอาจจะไม่รุนแรง จนถึงรุนแรงมาก จนทำงานไม่ได้  ถ้าเป็นบ่อยๆ อาจจะส่งผลต่อปัญหาทางด้านจิตใจ ปัญหาครอบครัว ปัญหาสังคม และที่สำคัญก็คือ ปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ เพราะอาการปวดดังกล่าวมีผลต่อเนื่องไปถึงประสิทธิภาพในการทำงาน ทำให้ทำงานไม่ได้หรือไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร
สาเหตุ :
– การปวดศีรษะแบบไมเกรนนั้นเป็นโรคทางสมองชนิดหนึ่งซึ่งยังหาสาเหตุที่แน่ชัดไม่ได้ แต่น่าเชื่อได้ว่าอาจมีจุดกำเนิดจากก้านสมองที่ทำงานผิดปกติ หรือเกิดจากภาวะที่สารเคมีในสมองไม่สมดุล ส่งผลให้หลอดเลือดมีความไวต่อการกระตุ้นมากเป็นพิเศษกล่าวคือ มีการหด และขยายตัวของหลอดเลือดอย่างผิดปกติ ซึ่งอาจจะเกี่ยวกับกับพันธุกรรมที่ผิดปกติ

ลักษณะอาการ:
– การปวดศีรษะแบบไมเกรน  มีลักษณะค่อนข้างชัดเจน กล่าวคือ มักจะปวดบริเวณขมับโดยอาจจะปวดข้างเดียว หรือทั้งสองข้างก็ได้ บางกรณีอาจมีการปวดวนกันไป และมักจะปวดข้างเดิมอยู่ซ้ำ ๆ ส่วนอีกบริเวณหนึ่งที่พบมาก ได้แก่ บริเวณเบ้าตา ลักษณะของการปวด ก็มักจะปวดตุ้บๆ ตามจังหวะของชีพจร ในผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย ระยะเวลาของการปวดอาจแตกต่างกันออกไปในผู้ป่วยแต่ละราย บางรายอาจมีอาการยาวนานถึง 72 ชั่วโมง
ปัจจัยที่กระตุ้นการเกิดไมเกรนมีดังนี้

  • ความเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ช่วงมีประจำเดือน ระหว่างตั้งครรภ์ ช่วงหมดประจำเดือน หรือการรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด
  • อาหารบางชนิด เช่น ชีส ไวน์แดง ช็อคโกแล็ต น้ำตาลเทียม ผงชูรส ชา และกาแฟ
  • การกระตุ้นทางประสาทสัมผัส อาทิ แสงจ้า เสียงดัง กลิ่นฉุน กลิ่นบุหรี่
  • รูปแบบการนอนที่เปลี่ยนไป เช่น นอนดึก นอนไม่พอ หรือนอนมากเกินไป
  • สิ่งแวดล้อม เช่น อากาศร้อน ฝุ่นควัน
  • ยาบางชนิด
    วิธีการรักษา
  • การรักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคไมเกรน  ก็คือการบรรเทาอาการปวดศีรษะ   และการป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก หรือลดความถี่ของการเกิด และลดความรุนแรงของอาการปวดศีรษะ ซึ่งวิธีการรักษาแบ่งได้ดังนี้
  • 1. การรักษาด้วยการไม่ใช้ยา : มักจะใช้ในกรณีที่เป็นไม่รุนแรง ได้แก่   การนวด การกดจุด การประคบเย็น การประคบร้อน หรือการนอนหลับ
  • 2. การรักษาด้วยการใช้ยารับประทาน : มักจะใช้ในกรณีที่รุนแรง หรือใช้วิธีที่ 1 แล้วไม่ได้ผล การใช้ยาควรจะปรึกษาแพทย์ เพราะปัจจุบันมียาแก้ปวดที่ได้ผลดีหลายชนิด ยาแต่ละชนิดก็มีผลข้างเคียงต่าง ๆ กันไป ประกอบกับผู้ป่วยแต่ละรายก็ตอบสนองต่อยามาไม่เหมือนกัน จึงต้องเลือกให้เหมาะสมในแต่ละรายไป

การรักษานอกจากยาแล้วโบทอกซ์ก็ช่วยให้ไมเกรนหายได้ไวขึ้น และป้องกันได้หลายเดือน

เมื่อเดือน มิย. ปี ค.ศ .2010 ทาง US FDA ได้ออกมารับรองผลว่า การฉีด Botulinum toxin type A  สามารถลดอาการปวดศีรษะแบบไมเกรนแบบเรื่อรังลงได้
ทำไมฉีดโบ จึงแก้ไมเกรนให้หายได้
เพราะกลไกที่ไปรักษาพบว่า Botulinum toxin type A มีผลต่อสารสื่อประสาท ทำให้สามารถลดการรับรู้เกี่ยวกับความเจ็บปวดในระบบประสาท ที่เกี่ยวข้องกับการเกิดการปวดศีรษะไมเกรนได้และบางคนได้ผลทันทีหลังฉีด และยังสามารถช่วยลดความถี่ในการเกิดได้ยาวนานขึ้นถึง 3 -4 เดือน ( ( botulinum toxin inhibits pain in chronic migraine by reducing the expression of certain pain pathways involving nerve cells in the trigeminovascular system. The trigeminovascular system is a sensory pathway thought to play a key role in the headache phase of a migraine attack) .)

ดังนั้น การฉีด Botulinum toxin type A เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาปวดศีรษะไมเกรนเรื้อรัง รุนแรง และเป็นบ่อยๆ ที่ไม่ต้องการรับประทานยาต่อเนื่องทุกวัน เพื่อป้องกันและรักษา เพราะการฉีดโบทอกซ์จะทำทุก 3 เดือน ปริมาณยูนิตและบริเวณที่ฉีดจะแตกต่างกัน และควรจะได้รับการรักษาโดยแพทย์ที่ได้รับการฝึกฝนและมีประสบการณ์ในการฉีดโบทอกซ์รักษาไมเกรนด้วย เพราะถ้าฉีดผิดตำแหน่ง หรือปริมาณที่ไม่เหมาะสม อาการปวดศีรษะไมเกรนก็อาจจะไม่หายได้
สนใจสอบถามเพิ่มเติมกับสถานบริการที่มีให้บริการกันนะครับ

Posted on

โรคออฟฟิศซินโดรม (Office syndrome) โรคเดิมที่เรื้อรัง หายยาก อยากหายไว ไม่อยากกินยา ฉีดโบช่วยได้ เห็นผลทันใจ อยู่ได้หลายเดือน

โรคออฟฟิศซินโดรม คืออะไร

ออฟฟิศซินโดรม คือ กลุ่มอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย ที่เกิดจากสาเหตุหลัก 3 ประการ คือ 1.กระดูกและข้อ 2.เส้นประสาท และ 3. กล้ามเนื้อ ซึ่งทำงานประสานกันอยู่ เป็นอาการของโรคที่พบบ่อยในคนที่ทำงานในออฟฟิศ คนที่ทำงานกับคอมพิวเตอร์ และกลุ่มคนไอทีทั้งหลาย ที่ต้องทำงานอยู่หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งวัน  คนรุ่นใหม่ที่ใช้สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตตลอดเวลา ซึ่งการทำงานติดต่อกันนานๆ แทบไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกายไปไหนมาไหน ทำให้กล้ามเนื้อเกิดการตึงเครียด หดเกร็ง เมื่อนาน ๆ เข้าจะก่อให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออักเสบ ปวดเมื่อยหลัง ไหล่ คอ บ่า แขน ข้อมือ บางรายปวดเกร็งอย่างรุนแรงจนหันคอ หรือก้มเงยไม่ได้เลย
อาการออฟฟิศซินโดรมที่พบได้บ่อยๆ มีดัง
1. อาการปวดตึงที่คอ บ่า และไหล่ :
หนุ่มสาวออฟฟิศที่ต้องนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ มักมีอาการปวด ตึง บริเวณคอ บ่า และไหล่ บางรายอาจมีอาการปวดเกร็งจนอาจหันคอ ก้ม หรือเงยไม่ได้เลย
2. อาการยกแขนไม่ขึ้น : อาการนี้เกี่ยวเนื่องมาจากข้อแรก ซึ่งจะมีอาการปวดตึงกล้ามเนื้อตั้งแต่คอ บ่า จนถึงไหล่ และร้าวลงไปที่แขน จนเป็นเหตุให้ยกแขนไม่ขึ้น เนื่องจากว่ามีพังผืดมาเกาะที่บริเวณสะบักและหัวไหล่นั่นเอง และบางรายอาจมีอาการชาไปที่มือหรือนิ้วมือด้วย
3. อาการปวดหลัง :เป็นอีกหนึ่งอาการที่พบได้บ่อยสุด  เกิดจากการที่เรานั่งทำงานติดต่อกันนานๆ หรืองานที่ต้องยืนนานๆ โดยเฉพาะคุณสาวๆ ที่ต้องใส่รองเท้าส้นสูงตลอดทั้งวันด้วยแล้ว ยิ่งเกิดอาการปวดหลังได้ง่าย การยกของหนักเป็นประจำหรือการออกกำลังกายหักโหมเกินไปก็เป็นสาเหตุให้ปวด หลังได้เช่นกัน โดยอาจเกิดอาการเคล็ด ขัด ยอก หรือปวด ตึง กล้ามเนื้อบริเวณหลัง จนบางรายอาจไม่สามารถเอี้ยวหรือบิดตัวได้
4. อาการปวดและตึงที่ขา: เกิดจากการนั่ง เดิน หรือยืนนานๆ จนทำให้ปวดตึงกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นทั่วทั้งขา บางรายปวดร้าวไปที่เข่าและข้อเท้าก็มี ซึ่งอาการเหล่านี้เกิดจากการใช้งานขาหนักทุกวันจนเกิดอาการล้าสะสม
5. อาการปวดศีรษะ: ในแต่ละวันคนทำงานออฟฟิศส่วนใหญ่จะเกิดความเครียดสะสมโดยไม่รู้ตัว จนทำให้เกิดอาการปวดศีรษะได้ อาจจะปวดข้างเดียวแบบไมเกรน หรือปวดร้าวไปทั้งศีรษะ ท้ายทอย จนทำงานไม่ได้ก็มี

ทำกายภาพบำบัด ฝังเข็ม
ฉีด-Botulinum toxin ลดอาการปวดเกร็ง

ฉีดโบ ช่วยให้หายไว ไม่ต้องทานยา

การรักษาโรค office syndrome มีดังนี้

1. รักษาด้วยวิธีทางเวชศาสตร์ฟื้นฟู และการทำกายภาพบำบัดเพื่อยืดกล้ามเนื้อ และปรับอิริยาบถให้ถูกต้อง
2. การรักษาด้วยการแพทย์ทางเลือก เช่น การฝังเข็ม และ การนวดแผนไทย
3. การรักษาด้วยยารับประทาน :การรักษาด้วยยา แบ่งออกเป็น 3 แบบ คือ
3.1 ยารับประทาน :โดยทั่วไปจะใช้เพื่อบรรเทาอาการ เช่น เมื่อมีอาการปวด หรืออักเสบมาก หรือในกรณีที่อาการที่เกิดขึ้นรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันและคุณภาพชีวิต ผู้มีอาการควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนรับประทานยา เพื่อเลือกยาที่เหมาะสมกับสาเหตุและอาการของตนเอง ยารับประทานที่ใช้บ่อย มี 4 กลุ่ม คือ ยาแก้ปวดและต้านการอักเสบ (NSAIDs) เช่น ไอบูโพรเฟน ,ยาคลายกล้ามเนื้อ (muscle relaxants),ยาแก้ปวดที่ไม่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ เช่น พาราเซตามอล,ยาคลายกังวล
3.2 ยาทาเฉพาะที่: มีหลากหลายรูปแบบ เช่น ครีม เจล น้ำมัน ซึ่งมีส่วนผสมและการออกฤทธิ์ต่างๆกันดังนี้ ยาทาที่ลดการระคายเคือง (Counter-Irritant),ทำให้เกิดความรู้สึกร้อน หรือเย็นเพื่อบรรเทาอาการปวด มักมีส่วนผสมของแคปไซซิน(พริก) และ เมนทอล เป็นต้น แต่หากการปวดนั้นมีการอักเสบด้วย การใช้ยาทาเฉพาะที่ที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบจะช่วยบรรเทาอาการฯได้ดีกว่า;ยาทาบรรเทาอาการปวด และอักเสบที่กล้ามเนื้อ (Topical NSAIDs)
  4 การรักษาด้วยการฉีด-Botulinum toxin  : เดิมใช้การฉีดยาชา หรือยาฉีดแก้ปวดข้อไปตรงตำแหน่งที่ปวด แต่พบว่า ได้ผลแค่ชั่งคราว เมื่อหมดฤทธิ์ยาก็กลับมาปวดได้อีก ปัจจุบัน หลายประเทศได้นำเอา Botulinum toxin มารักษาอาการปวดเมื่อยจากโรคออฟฟิศซินโดรม กันมากขึ้น โดยเฉพาะที่มีสาเหตุจากการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ (Muscle spasm) โดยอาศัยฤทธิ์ของBotulinum toxin ที่มีผลต่อการคลายกล้ามเนื้อเฉพาะจุดได้ดีและไวกว่าวิธีอื่นๆ ข้างบน เห็นผลทันทีหลังฉีด  และอยู่ได้นานถึง 4-6 เดือน ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายหรือหายขาดได้นานๆ และผลข้างเคียงจากการฉีดโบทอกซ์ในตำแหน่งกล้ามเนื้อเหล่านี้ก็น้อยมาก เมื่อเทียบกับการรักษาวิธีอื่นๆ
แต่ควรจะเลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์ในการฉีดโบทอกซ์รักษาโรคนี้นะครับ เพราะไม่อย่างนั้น ถ้าฉีดผิดตำแหน่งแม้เพียงนิดเดียว อาจจะทำให้เกิดผลข้างเคียงได้มาก เช่น ขยับคอไม่ได้ หรือคอเอียงไม่เท่ากัน

ป้องกันมิให้การเกิด office syndrome ทำอย่างไร

การรักษาที่กล่าวมาข้างต้น เป็นการรักษาที่ปลายเหตุ  ถ้าจะป้องกันและรักษาในระยะยาว ต้องแก้ไขที่สาเหตุ ซึ่งสาเหตุของ Office Syndrome นั้นเกิดขึ้นจากการนั่งทำงานในท่าที่ไม่เป็นธรรมชาติ มีการจัดโต๊ะทำงานและเก้าอี้นั่งอย่างไม่เหมาะสม การอยู่ในท่าเดียวนานๆ เป็นการใช้กล้ามเนื้อมัดเดียวต่อเนื่องเป็นเวลานาน ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณนั้นหดตัว ขมวดกัน เมื่อไม่ได้พักหรือออกกำลังกายให้กล้ามเนื้อยืดตัว และยังใช้งานต่อในท่าเดิมๆ กล้ามเนื้อยิ่งหดเข้าไปจนเกิดเป็นก้อนแข็ง ไม่มีความยืดหยุ่น ซึ่งเป็นการบาดเจ็บ และอักเสบของกล้ามเนื้อชนิดหนึ่งที่ไม่ควรละเลย ดังนั้นเมื่ออาการดีขึ้นจากการรักษาข้างต้นแล้ว ควรจะป้องกันการเกิดซ้ำอีกของโรคนี้ ดังนี้

หลักป้องกันการเกิด office syndrome ง่ายๆด้วยตัวเอง

  • การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่างๆ ในที่ทำงาน ที่ไม่เหมาะสม  มีความสำคัญมากในการป้องกันและบรรเทาอาการ office syndrome ที่แก้ไขได้ตรงสาเหตุ
  • ทุก 1-2 ช.ม. ควรพักจากการทำงาน 2-3 นาที อาจจะเดินไปดื่มน้ำ หรือออกกำลังกายยืดเส้น ยืดสาย ง่ายๆ ซัก 10-15 นาทีทำงานผสมหรือสลับ เช่น งานหน้าจอ งานจัดเอกสาร หรือ อื่นๆร่วมกัน
  • เหยียดกล้ามเนื้อในระหว่างวัน เช่น ก่อนเลิกงาน วิธีง่ายๆ ก็ คือการบีบนวดต้นคอ ยืดกล้ามเนื้อคอ หรือเอียงซ้าย-ขวา ก้มและเงยหน้า ฯลฯ แต่ละท่าควรทำค้างไว้สัก 10 วินาที เพื่อให้กล้ามเนื้อ หรือเส้นเอ็นยืดตัวได้
  • ควรนั่งเก้าอี้ให้เต็มเก้าอี้ ซึ่งสาวออฟฟิศส่วนใหญ่ชอบนั่งแค่ครึ่งหรือปลายเก้าอี้ใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสม อย่า กำ เกร็ง อุปกรณ์ต่างๆ
  • ฝึกการใช้งาน การพิมพ์ให้คล่อง ฝึกการใช้แป้นลัดในการเข้าถึงคำสั่ง
  • นอกจากนี้การจัดที่นั่งที่ดีจะช่วยป้องกันและบรรเทาอาการต่างๆได้มาก โดยจุดหลักของการจัดท่านั่งในการทำงานที่เหมาะสมคือ ต้องปรับระดับจอคอมพิวเตอร์ให้ขอบตามองแล้วได้ระดับเดียวกับขอบบนของจอ คอมพิวเตอร์ รวมถึงต้องมีที่รองรับแขนซึ่งจะเป็นการช่วยไปถึงไหล่ และต้องมีที่รองรับเท้าด้วย
Posted on

วิตามินซี ช่วยลดระดับยูริคในเลือด ทำให้เกิดโรคเกาต์ นิ่วในไต ลดลงได้

วิตามินซี จัดเป็นวิตามินตัวหนึ่งที่มีการศึกษาถึงคุณประโยชน์ สรรพคุณ กันอย่างมากและต่อเนื่อง
จัดเป็นวิตามินที่หาง่าย ราคาถูก และสามารถหารับประทานจากผลไม้รสเปรี้ยวต่างๆ และมีคุณประโยชน์หลายด้าน …

จากเดิมได้มีรายงานยืนยันทางการแพทย์แล้วว่า วิตามินซี จะมีบทบาทในเรื่องของผิวพรรณ (เช่น การป้องกันอันตรายจากแสงแดด UV,ช่วยลดการอักเสบ ลดการเกิดสะเก็ดหนาของโรคผิวหนังเรื้อนกวาง( Psoriasis),กำจัดอนุมูลอิสระที่เกิดจากภาวะชราของผิวหนัง,สารฟอกสีผิวให้ขาว ( whitening agents ),ช่วยในการสมานแผล ,ป้องกันโรคมะเร็งผิวหนัง) ช่วยป้องกันการเกิดโรคหวัด และทำให้เชื้ออสุจิแข็งแรงแล้ว

มีรายงานอีกหลายรายงานพบว่า วิตามินในขนาดสูงๆ ( ประมาณ 500 มก.) สามารถทำให้ระดับกรดยูริคในเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคเกาต์ นิ่วในไต ลดลงได้ด้วย ซึ่งได้มีคณะวิจัยจากมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอฟกินส์ ได้ทำการทดลองดังนี้

ได้มีอาสาสมัครผู้ใหญ่ จำนวน 184 คน ที่ได้เข้าร่วมโครงการวิจัยนี้ โดยได้แบ่งกลุ่มอาสาสมัครออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ โดยมีปัจจัยด้านอายุ เพศ ในเกณฑ์เฉลี่ยเท่าๆ กัน โดยให้กลุ่มหนึ่ง รับประทานวิตามินซี (Ascorbate) วันละ 500 มก. และอีกกลุ่มให้รับประทานยาหลอก โดยใช้เวลาในการทดลองมีกำหนด 2 เดือน

ผลการทดลองพบว่า กลุ่มที่ได้รับวิตามินซี ค่าระดับยูริคในเลือดลดลง 0.5 มก.ต่อเดซิลิตร ( จากเดิมอยู่ที่ 5.1 มก./ดล.) ในขณะที่กลุ่มที่รับประทานยาหลอก ไม่พบการเปลี่ยนแปลง ( จากเดิมที่ระดับ 7.0 มก./ดล.)

จากผลงานวิจัยนี้ยังไม่สามารถอธิบายได้ว่า กลไกการทำงานของวิตามินซี จะไปรบกวนกระบวนการสร้างกรดยูริคอย่างไร คงต้องหาหลักฐานพิสูจน์ยืนยันอีกครั้ง แต่ก็มีรายงานการวิจัยเล็กๆ อีกหลายกลุ่มที่ได้ยืนยันว่าการใช้วิตามินซีร่วมกับการรักษาโรคเกาต์ จะทำให้ผู้ป่วยลดอัตราการเกิดการอักเสบลงได้ และช่วยลดระดับกรดยูริคในปัสสาวะด้วย จึงทำให้ อัตราการเกิดนิ่วในไตลดลงได้ด้วย ดังนั้นการที่หลายท่านรับประทานวิตามินซีเป็นอาหารเสริม จึงน่าจะยินดีที่ได้รับประโยชน์อีกด้านเพิ่มขึ้น

Posted on

สูบบุหรี่ นอกจากจะทำลายสุขภาพ งานวิจัยยังชี้ชัดว่าเป็นการเสพสารเสพติดชนิดหนึ่ง

การสูบบุหรี่เป็นการเสพติดนิโคติน การเลิกสูบบุหรี่ในบางคน สามารถทำได้ยากแสนยาก เนื่องจากบุคคลนั้นได้เสพติดกับสารนิโคติน ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของบุหรี่
สมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศสหรัฐอเมริกา ได้จัดให้การสูบบุหรี่เป็นการเสพติดชนิดหนึ่ง คล้ายกับการเสพติดเฮโรอิน โคเคนหรือยาบ้า เลยทีเดียว

หลักฐานงานวิจัยที่สนับสนุนว่า นิโคตินเป็นสารเสพติด มีดังต่อไปนี้

  1. การสูบบุหรี่เป็นพฤติกรรมที่ไม่อาจยับยั้งได้: เพราะได้เคยมีรายงานว่า แม้คนป่วยจากพิษบุหรี่เอง ก็สามารถจะเลิกบุหรี่ได้เพียงไม่เกิน 50 %
  2. นิโคตินออกฤทธิ์ต่อสมอง ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ ความรู้สึก : ทำให้ก่อให้เกิดความพึงพอใจ ผ่อนคลายซึ่งเป็นปฏิกริยาตอบสนองต่อความเครียด มีความตื่นตัว จึงทำให้อยากสูบบุหรี่อีก โดยเกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไขสภาพแวดล้อมที่ติดต่อกันในระยะเวลาหนึ่ง และนำพาให้เกิดการผูกติด ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงอยากจะสูบบุหรี่ในแต่ละวันเกิดขึ้นมากในบางอารมณ์ เช่น หลังอาหารเวลาเครียด โกรธ หรือในขณะสังสรรค์กับเพื่อนฝูง
  3. บุหรี่…สูบแล้วไม่เคยอิ่ม : ปกติหลังการสูบบุหรี่และสูดควันเข้าไปในปอด นิโคตินจะเข้าสู่สมอง ใช้เวลาไม่เกิน 19 วินาที และถึงจุดสุดยอดเมื่อบุหรี่หมดมวน ทำให้ทันอกทันใจแก่ผู้สูบบุหรี่ จึงแสดงพฤติกรรมซ้ำแล้วซ้ำอีก (ซึ่งในการเสพด้วยวิธีอื่น เช่นการเคี้ยว จะใช้เวลามากกว่ามาก )
  4. นิโคติน ทำให้เกิดการดื้อได้ : ดังนั้นผู้ที่สูบบุหรี่อย่างติดต่อกันนานๆ มักจะมีแนวโน้มสูบบุหรี่ปริมาณมากขึ้น สังเกตได้จากผู้ที่ไม่เคยสูบบุหรี่ในตอนแรกจะมีอาการมึนงง คลื่นไส้ อาเจียน แต่อาการดังกล่าวจะหายไปเมื่อสูบมวนต่อไป
  5. นิโคติน ทำให้เกิดอาการได้ ถ้าระดับนิโคตินในเลือดต่ำลง : ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ค่อนข้างชัดว่า บุหรี่เป็นสารเสพติด เช่นเดียวกับยาบ้า หรือ เฮโรอิน แต่อาจจะมีอาการน้อยกว่า ดังนี้ อาจจะหงุดหงิดง่าย กระวนกระวาย เซื่องซึม ไม่มีสมาธิ อยากอาหารเพิ่ม น้ำหนักตัวเพิ่ม ความรุนแรงของอาการขาดนิโคตินมากน้อย แตกต่างกันในแต่ละคน และสัมพันธ์กับปริมาณนิโคตินที่ได้รับก่อนหน้าจะหยุดสูบบุหรี่
  6. เมื่อเลิกบุหรี่ได้แล้ว ก็ยังจะมีโอกาสกลับมาสูบได้อีก :คนส่วนใหญ่ที่ต้องการเลิกบุหรี่ มักจะต้องพยายาม มากกว่า 1 ครั้ง การหวนกลับมาสูบบุหรี่อีกเป็นปรากฏการณ์เดียวกับที่พบในผู้ป่วยที่พยายามจะเลิกเสพเฮโรอิน หรือเลิกดื่มสุรา โดยพบว่าผู้ที่พยายาม จะเลิกบุหรี่ ร้อยละ 60 จะกลับมาสูบบุหรี่อีกในเวลา 3 เดือน และร้อยละ 75 ในเวลา 6 เดือน
  7. บุหรี่ ทำให้เกิดอาการอยากเสพอย่างรุนแรงได้ : พบว่าในบางคนที่หยุดสูบบุหรี่กระทันหัน จะมีอาการเสี้ยน ยาไม่แตกต่างจากสารเสพติดชนิดอื่นๆ และอาจจะมากกว่าผู้เสพติดเฮโรอิน สุรา หรือโคเคนเสียอีก

    อ้างอิงจากบทความของ ผศ.นพ. ไพบูลย์ สุริยะวงศ์ไพศาล แห่งศูนย์เวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์รพ.รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ลงตีพิมพ์ในวารสารคลินิ
Posted on

ยาคุมกำเนิด รับประทานนานๆ มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านม เพิ่มขึ้นจริงหรือไม่?

Portrait of a young woman holding birth control pills

ในปี 2539 ได้มีรายงานการรวบรวมผลการศึกษาทางระบาดวิทยา 54 รายงานทางการแพทย์ ว่าหญิงที่รับประทานยาคุมกำเนิดมีอัตราเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านมเพิ่มขึ้น 1.24% แต่อย่างไรก็ยังมีข้อกังขากันอยู่ ว่ารายงานดังกล่าวเชื่อถือได้แค่ไหน
Marchbanks PA และคณะในอเมริกา ได้ทำการวิจัยใหม่อีกครั้ง ในเรื่อง การรับประทานยาคุมกำเนิด ทำให้อีตราการเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมหรือไม่ โดยได้ทำ case control ด้วยทั้งในกลุ่มที่เคยรับประทานยาคุมกำเนิดมาก่อนและกลุ่มที่กำลังรับประทานยาคุมอยู่ โดยทำการศึกษาจากหญิงอายุ 35-64 ปี โดยเป็นกลุ่มผู้ป่วยมะเร็งเต้านม จำนวน 4,575 ราย และกลุ่มเปรียบเทียบกับประชาชนทั่วไป จำนวน 4,682 ราย พร้อมทั้งได้มีการสอบถามประวัติ ย้อนหลังในเรื่องการรับประทานยาคุมกำเนิด
ผลการศึกษาพบว่า ในกลุ่มคนที่ขณะนี้ยังรับประทานยาคุมกำเนิดอยู่ มีอัตราเสี่ยงเท่ากับ 1% ส่วนกลุ่มที่เคยรับประทานยาคุมกำเนิดมาก่อน มีอัตราเสี่ยง ต่อมะเร็งเต้านม เท่ากับ 0.9% คณะผู้วิจัย จึงสรุปว่า การรับประทานยาคุมกำเนิดในปัจจุบันหรือเคยกินมาก่อน ไม่มีโอกาสเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ยังได้สรุปเพิ่มเติมว่า ในคนผิวดำ คนผิวขาว หรือ คนที่รับประทานยาคุมด้วยขนาดเอสโตรเจนมากน้อย หรือ คนที่รับประทานนานมากน้อยเพียงใด หรือ คนที่มีประวัติครอบครัวมีมะเร็งเต้านม หรือ เริ่มรับประทานยาคุมตั้งแต่อายุน้อยๆ ก็ไม่ได้ทำให้อัตราเสี่ยงเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด

เอกสารอ้างอิง………….Oral contraceptives pill and the risk of breast cancer, N Eng J Med 2002;346:2025-32

Posted on

เบาหวาน กับการขาดสาร”อิโนซิทอล” ที่มีความสำคัญต่อระบบประสาทและการกำจัดไขมัน

อิโนซิทอล (Inositol) เป็นสารชนิดหนึ่งในกลุ่มวิตามินบี ที่มีบทบาทสำคัญในระบบประสาทและระบบการกำจัดไขมัน ในภาวะปกติ หรือร่างกายสมบูรณ์ จะสามารถสร้างได้เองจากกลูโคส แต่ในผู้ป่วยเบาหวานซึ่งมีความผิดปกติในการนำน้ำตาลกลูโคสไปใช้ประโยชน์ อาจเกิดภาวะขาดสารตัวนี้ได้

กลไกการทำงานของ อิโนซิทอล (Inositol): เมื่อร่างกายได้รับสารนี้เข้าไป อิโนซิทอล (Inositol)จะถูกเปลี่ยนเป็น Phosphatidyl Inositol ซึ่งมีประโยชน์ในการสร้างเยื่อหุ้มเซลล์ (cell membrane) โดยเฉพาะเยื่อหุ้มระบบประสาท(Myelin Sheath) เซลล์รากผมที่ทำหน้าที่สร้างผม เซลล์ ไขกระดูก ดังนั้นเมื่อขาดสารนี้ ก็อาจทำให้เกิดความผิดปกติของอวัยวะหรือเซลล์นั้นๆ ได้

นอกจากนี้ยังพบว่า อิโนซิทอล (Inositol) ยังเป็นตัวกระจายไขมันที่เกาะอยู่ตามผนังเส้นเลือด และเพิ่มการใช้ไขมันอิสระในเซลล์ จึงช่วยลด ภาวะไขมันในเลือดสูงได้ด้วย

อาการขาดสาร อิโนซิทอล (Inositol) ในผู้ป่วยเบาหวาน

  1. ผิวหนังอักเสบ แบบ Eczema คือ มีอาการอักเสบบวมแดง คัน หรือ ลอกเป็นขุย
  2. ท้องผูกได้ง่าย เนื่องจากการทำงานของระบบประสาทที่ควบคุมการเคลื่อนไหวลำไส้ ทำงานผิดปกติ จึงทำให้อาหารไม่เคลื่อนตัวและตกค้างในลำไส้ใหญ่
  3. อาจเกิดความผิดปกติในดวงตา เช่น ตาบอดกลางคืน ต้อกระจก ต้อหิน และการมองเห็นผิดปกติได้
  4. เกิดภาวะผมร่วงได้ เพราะสารนี้เกี่ยวข้องกับขบวนการในการสร้างเซลล์เส้นผมให้เจริญเติบโตตามปกติ
  5. ทำให้ภาวะเส้นเลือดอุดตัน หรือมีการแข็งตัวของผนังเส้นเลือดได้ จากการที่โคเรสเตอรอลเกาะที่ผนังเส้นเลือดในปริมาณที่สูงเกินไป
  6. เกิดภาวะเสื่อมและอักเสบของปลายประสาท ทำให้มีอาการชา หรือปวดร้อนตามปลายมือปลายเท้าได้

ได้มีผลงานการวิจัยทางการแพทย์ยืนยันว่า การให้ผู้ป่วยเบาหวาน ที่มีอาการดังกล่าวจากการขาดอิโนซิทอล (Inositol) ควรรับประทานสารนี้เสริม ร่วมกับโคลีน จะทำให้ฟื้นฟูอวัยวะที่เกี่ยวข้องได้ดีขึ้น และยังช่วยป้องกันภาวะซึมเศร้า ภาวะวิตกกังวล และป้องกันภาวะมะเร็งได้ ( เนื่องจากเชื่อว่า สารประกอบของ อิโนซิทอล (Inositol) คือ Inositol Hexaphosphate มีส่วนในการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน T-cell ) โดยขนาดที่แนะนำคือ รับประทาน อิโนซิทอล (Inositol) วันละ 500-1,000 มก.ต่อวัน โดย แบ่งรับประทานเป็นวันละ 2 ครั้ง ก่อนอาหารเช้าเย็น

Posted on

งานวิจัย : น้ำอัดลม ทำให้กรดยูริค สูงขึ้น เสี่ยงต่อการเกิดโรคเก๊าท์(Gout) ได้ จริงหรือไม่

โรคเก๊าท์ (Gout/ Gouty arthritis) เป็นภาวะของโรคที่เกิดจากการมีกรดยูริค (Uric acid) ในเลือดมีปริมาณสูงมากผิดปกติ( มากกว่า 7 Mg% ) จนไม่สามารถอยู่ในเลือดในรูปสารละลายได้ จึงเกิดการตกผลึกสะสมตามที่ต่าง ๆ เช่น ข้อ ทำให้ข้ออักเสบ หรือ ทำให้เกิดก้อนขึ้นตามร่างกาย
อาการของGout คือ ข้ออักเสบ ปวดข้อรุนแรงซึ่งเกิดขึ้นแบบเฉียบพลัน ไม่ทันข้ามคืน
อาหารที่มีกรดยูริคสูง มักจะมีอาการกำเริบขึ้น เช่น เครื่องในสัตว์ทุกชนิด กะปิ เนื้อสัตว์ปีก เครื่องในสัตว์ พืชผักยอดอ่อน เช่น หน่อไม้ ถั่วงอก สะเดา ยอดกระถิน ยอดผักอ่อน แตงกวา ชะอม น้ำหรือซุปที่สกัดจากเนื้อหรือน้ำต้มกระดูก กุ้ง หอย ปลาซาดีน เป็นต้น
งานวิจัยเครื่องดื่มน้ำอัดลมหรือฟรุคโตส จะมีผลต่อการเกิดโรคเก๊าท์
Choi HK และคณะวิจัย จากฮ่องกง พบว่า ฟรุคโตสในน้ำอัดลม ที่ทำให้กรดยูริคในเลือดสูงขึ้นได้ จากการเพิ่มการแปลงพลังงาน ATP ไปเป็น ADP ซึ่งเป็นตัวตั้งต้นของการเกิดกรดยูริคในร่างกาย
รายละเอียดทดลองวิจัย ได้นำบุคคลากรทางการแพทย์ เพศชาย จำนวน 46,393 คนมาสัมภาษณ์เกี่ยวกับความถี่ในการดื่มน้ำอัดลม ทั้งแบบผสมน้ำตาลแท้และน้ำตาลเทียม หรือน้ำผลไม้
ผลการศึกษา ในช่วง 12 ปี พบว่ามีอุบัติการณ์การเกิดโรคเก๊าท์จำนวน 755 ราย ยิ่งดื่มมากก็ยิ่งเสี่ยงต่อการเกิดโรคมากขึ้น อย่างมีนัยสำคัญ เช่น พบว่า ถ้าดื่มมากกว่าสัปดาห์ละ 5-6 ส่วน (serving) จะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 1.29 เท่า เมื่อเทียบกับคนที่ดื่มสัปดาห์ละ 1 ส่วน
เอกสารอ้างอิง..Chot HK,et all.soft drinks,fructost comsumtion,and the risk of gout in men:prospective cohort stusy.BMJ 2008;309-312

Posted on

วัยรุ่น ควรเลือกรับประทานอาหารอย่างไร เพื่อให้ร่างกายเติบโตได้อย่างเต็มที่

วัยรุ่น ตามความหมายขององค์การอนามัยโลก( WHO 1986a) คือ วัยที่มีการเปลี่ยนแปลงทางสรีระร่างกายในลักษณะที่พร้อมจะมีเพศสัมพันธ์ได้ เป็นช่วงที่มีการพัฒนาด้านจิตใจจากเด็กไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่ เปลี่ยนแปลงจากภาวะพึ่งพาพ่อแม่หรือผู้ปกครอง ไปสู่การพึ่งพาตนเอง และต้องรับผิดชอบ ส่วนใหญ่คนเราจะก้าวสู่วัยรุ่น เมื่ออายุได้ประมาณ 10-13 ปี และสิ้นสุดอายุวัยรุ่นเมื่ออายุ 19 ปี แล้วก็ก้าวเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ตอนต้น ในอายุครบ 20 ปี

การเปลี่ยนแปลงในวัยรุ่น มีดังนี้

  1. มีการขนาดของสรีระ ทั้งส่วนสูงและน้ำหนัก อย่างรวดเร็ว เป็นช่วงที่ร่างกายสร้างเนื้อกระดูก และความแข็งแกร่งของกระดูก นับเป็นช่วงสุดท้ายของ ชีวิตเด็กที่จะสามารถเจริญเติบโตและพัฒนาการได้เต็มศักยภาพตามพันธุกรรม
  2. ในผู้หญิงมีการขนาดของหน้าอก ตั้งแต่อายุ 8 ปี และจะขยายจนเต็มที่สมบูรณ์เมื่ออายุ 12-18 ปี
  3. เริ่มมีพัฒนาการของขนตามส่วนต่างๆ ที่แสดงลักษณะทางเพศ เมื่ออายุ 9-12 ปี และมีการขยายขนาดของอวัยเพศเมื่ออายุประมาณ 12 ปี
  4. เสียงเริ่มแตกพร่า และห้าวขึ้นเมื่ออายุประมาณ 14 ปี และเป็นอยู่ประมาณ 1-2 ปี จึงจะบังคับเสียงได้ปกติ
  5. ในผู้หญิงจะเริ่มมีรอบเดือนในช่วงอายุ 10 -15 ปี
  6. มีการเปลี่ยนแปลงด้านอารมณ์ จิตใจ และการเข้าสังคม
    จากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมากมายเช่นนี้ ทำให้ช่วงวัยรุ่น เป็นช่วงที่มีความต้องการพลังงานและสารอาหารต่างๆ ในปริมาณสูง
    ถ้ามีรูปแบบการบริโภค ที่ไม่เหมาะสมและถูกต้อง มีค่านิยมที่ผิด เช่น กลัวจะอ้วน รูปร่างไม่สมส่วน ทำให้มีการจำกัดอาหาร และขาดการออกกำลังกาย จะทำให้การเจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เกิดภาวะชะงักงัน ภาวะทุพโภชนาการ ทำให้เกิดภาวะแคระเกร็น ตัวเตี้ย สมองไม่พัฒนาทำให้การเรียนรู้ลดลง จนอาจจะทำให้ เกิดโรคภัยประจำตัวในอนาคตได้

แนวทางโภชนาการที่ดี สำหรับวัยรุ่น กรมอนามัยแนะนำให้วัยรุ่นไทยอายุระหว่าง 13-18 ปี ปฏิบัติตนดังนี้

  1. ควรรับประทานโปรตีน ร้อยละ 10-15 ของปริมาณอาหารที่รับประทานต่อวัน
  2. ควรรับประทานคาร์โบไฮเดรต ร้อยละ 45-65 ของปริมาณอาหารที่รับประทานต่อวัน
  3. ควรรับประทานไขมัน และน้ำมัน ร้อยละ 20-30 ของปริมาณอาหารที่รับประทานต่อวัน โดยเป็นไขมันอิ่มตัวไม่เกินร้อยละ10
  4. ควรรับประทานผัก ปริมาณ 2-4 ส่วนต่อวัน หรือประมาณ 4-6 ทัพพี ของปริมาณอาหารที่รับประทานต่อวัน
  5. ควรรับประทานผลไม้ ให้ได้วิตามินและเกลือแร่ ปริมาณ 3-5 ส่วนต่อวัน
  6. ควรรับประทานผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากนม วันละ 1-2 แก้ว
  7. ควรรับประทานแคลเซี่ยม เพื่อการพัฒนาการของกระดูกที่ดี โดยควรได้รับปริมาณ 1,200-1,500 มก.ต่อวัน หรือรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่นผักใบเขียว ก้านผัก ปริมาณ 2-3 ส่วนต่อวัน
  8. ควรรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็ก เช่น ตับ เครื่องในสัตว์ เพื่อการพัฒนาที่ดีของกล้ามเนื้อ และระบบเลือด ในปริมาณ 12-15 มก.ต่อวัน
  9. ลดปริมาณการบริโภคอาหารที่มีรสหวานจัด หรือเค็มจัด ควรรับประทานในปริมาณที่เล็กน้อย
  10. ในวัยรุ่นที่เล่นกีฬา ควรรับประทานอาหารที่มีพลังงานสูงกว่าปกติ เน้นอาหารกลุ่มคาร์โบไฮเดรต กลุ่มที่มีแร่ธาตุแคลเซี่ยม และธาตุเหล็ก ดื่มน้ำใน ปริมาณที่เพียงพอในช่วงที่เล่นกีฬา และอาหารว่างควรจะเป็นอาหารที่ย่อยง่าย ดูดซึมเร็ว ควรปรึกษานักโภชนาการเป็นพิเศษ สำหรับการเลือกรับประทาน
  11. ไม่แนะนำให้วัยรุ่นทานอาหารกลุ่มมังสวิรัติ เพราะส่วนใหญ่จะเลือกรับประทานไม่ครบถ้วนทุกหมวดหมู่ มักจะเกิดภาวะขาดอาหาร หรือวิตามินได้

ตัวอย่างรายการอาหารสำหรับวัยรุ่น

วัยรุ่นชาย : มื้อเช้า – ข้าวสวย 4 ทัพพี ต้มเลือดหมูตำลึง 1 ถ้วย ส้มเขียวหวาน 1 ผล , มื้อเที่ยง: ก๋วยเตี๋ยวหมูต้มยำ 1 ชาม นม 1 กล่อง ผลไม้ เช่น สับปะรด 8 คำ หรือฝรั่ง 1 ผลขนาดกลาง , มื้อเย็น : ข้าวสวย 4 ทัพพี ปลาทูทอด 1 ตัวเล็ก ต้มยำไก่ใส่เห็ด 1 ถ้วย และส้มโอ 2 กลีบ , มื้อก่อนนอน : กล้วยน้ำว้า 1 ผล

วัยรุ่นหญิง : มื้อเช้า – ข้าวต้มทะเล 1 ถ้วย มะละกอ 8 ชิ้นคำ , มื้อเที่ยง: ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นหมู 1 ชาม นม 1 กล่อง , มื้อเย็น : ข้าวสวย 3 ทัพพี ปลาทูทอด 1 ตัวเล็ก แกงจืดเต้าหู้สาหร่าย 1 ถ้วย มะม่วงสุก 1/2 ผล

ดังนั้นสรุปแนวทางในการปฏิบัติและแก้ไขด้านโภชนาการสำหรับวัยรุ่นให้มีสุขภาพที่ดีนั้น จึงควรส่งเสริมให้รับประทานอาหารอย่างน้อยวันละ 3 มื้อ และ ควรให้ครบทั้ง 5 หมวดอาหาร คือ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน เกลือแร่ -วิตามิน และน้ำ โดยมีความหลากหลายในปริมาณที่เพียงพอกับความต้องการ ร่วมกับการมีการออกกำลังกายอย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ในระดับปานกลางถึงค่อนข้างสูง โดยออกกำลังกายในแง่เพิ่มมวลกล้ามเนื้อและเพิ่มความยืดหยุ่น กล้ามเนื้อร่วมด้วย ส่วนอาหารประเภทฟาสต์ฟูด ซึ่งเป็นอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวส่วนใหญ่ จะทำให้เกิดภาวะอ้วน และไม่แข็งแรง ในระยะยาวอาจจะก่อให้เกิด โรคเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง โรคกระดูกพรุน ในวัยผู้ใหญ่ได้ จึงควรเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารมาเป็นกลุ่มสร้างเสริมแคลเซียม และธาตุเหล็ก จะได้ประโยชน์สำหรับอายุในช่วงนี้มากกว่า

Posted on

งานวิจัย : “การเดิน” ช่วยป้องกันสมองเสื่อม อัลไซเมอร์ได้ เดินไกลแค่ไหน จึงจะได้ผล

ปัญหาโรคสมองเสื่อม (อัลไซเมอร์)
เป็นปัญหาที่พบได้มากขึ้น โดยเฉพาะในผู้ที่สูงอายุทั้งเพศชายและเพศหญิง การรักษาในปัจจุบันยังได้ผลไม่ค่อยดีนัก แม้จะมียาป้องกันและรักษามากมาย กลุ่มแพทย์ที่รับผิดชอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้พยายามหาทางป้องกันและรักษาด้วยวิธีอื่นๆ ร่วมด้วย
การเดินช่วยป้องกันสมองเสื่อมได้อย่างไร
โดยพบว่าการออกกำลังกาย การเคลื่อนไหวร่างกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยป้องกันอาการสมองเสื่อมได้อย่างมีนัยสำคัญ
– ได้มีการทดลองโดย Abbott RD และคณะ จากสหรัฐอเมริกา ได้ทำการทดลองและวิจัยกลุ่มคนสูงอายุ จำนวน 2,257 ราย ในกลุ่มอายุ 71-93 ปี โดยแบ่งกลุ่มทดลองออกเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่ใช้การเดินแบบไม่หักโหม กับอีกกลุ่มที่ไม่ได้ออกกำลังกาย โดยใช้ระยะเวลาในการศึกษาระหว่างปี 2534-2536 โดยเลือกกลุ่มที่มีสมรรถภาพ ทางกายอยู่ในเกณฑ์ดี และติดตามผลการตรวจร่างกายทางระบบประสาท 2 ช่วงเวลา คือ ระหว่างปี 2537-2539 และระหว่างปี 2540-2542 แล้วใช้แบบทดสอบ ที่ได้มาตรฐานเป็นเกณฑ์วัด

ผลการศึกษ
พบว่า ในจำนวน 2,257 รายนี้ พบว่าเกิดโรคสมองเสื่อมขึ้นในระหว่างที่ศึกษา จำนวน 158 ราย (คิดเป็น 15.6 คน/1000 คน/ปี) ในจำนวนนี้พบว่า
– 101 คน เป็นโรคอัลไซเมอร์อย่างเดียว แบบไม่ทราบสาเหตุ
– 30 คน เป็นอัลไซเมอร์จากหลอดเลือดผิดปกติ
– ที่เหลืออีก 27 คน เป็นทั้ง 2 แบบ ร่วมกับภาวะอื่นๆ เช่น พาร์กินสัน
แบ่งกลุ่มตามลักษณะการเดินพบ
ผลการทดลองดังนี้
– คนที่เดิมมากกว่า 2 ไมล์/วัน มีอุบัติการณ์การเกิดภาวะสมองเสื่อม 10.3 คน/1000 คน/ปี
– คนที่เดิมระหว่าง 1-2 ไมล์/วัน มีอุบัติการณ์การเกิดภาวะสมองเสื่อม 14.1 คน/1000 คน/ปี
– คนที่เดิมระหว่าง 0.25-1 ไมล์/วัน มีอุบัติการณ์การเกิดภาวะสมองเสื่อม 17.6 คน/1000 คน/ปี
– คนที่เดิมน้อยกว่า 0.25 ไมล์/วัน มีอุบัติการณ์การเกิดภาวะสมองเสื่อม 17.8 คน/1000 คน/ปี

ผลสรุป
พบว่า คนที่ออกกำลังกายโดยการเดินน้อยกว่า 0.25 ไมล์/วัน จะมีโอกาสเกิดภาวะสมองเสื่อมมากกว่าคนที่เดินมากกว่า 2 ไมล์/วัน ถึง 1.9 เท่า ดังนั้นผู้วิจัยจึงได้ให้ความเห็นว่า การเดินช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะสมองเสื่อมในคนสูงอายุได้ผลอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในผู้ชาย ส่วนในผู้หญิง ที่ออกแรงเคลื่อนไหวร่างกายอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งการเดินอย่างสม่ำเสมอ มีความสามารถทางสมอง สติปัญญา และความคิด ความจำได้ดีกว่ากลุ่มที่ออกแรง กายน้อยกว่าเช่นกัน

Posted on

มังคุด(Mangosteen): ราชินีแห่งผลไม้ไทย เปลือกใช้รักษาโรคทางผิวหนัง สมานแผล แก้ท้องเสียได้

มังคุด(Mangosteen) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Gardinia mangosteen Linn. จัดอยู่ในวงศ์ Guttiferae จัดเป็นไม้ผลเมืองร้อน ที่ได้รับการยกย่องให้เป็น “ราชินีแห่งผลไม้” ด้วยลักษณะภายนอกของผลที่มีกลีบเลี้ยงติดอยู่ที่หัวขั้วของผลคล้ายมงกุฎของพระราชินีส่วนเนื้อในก็มีสีขาวสะอาด รสชาดอร่อย อย่างยากที่จะหาผลไม้อื่นมาเทียบได้
เปลือกของมังคุด
คนไทยรู้จักการใช้ประโยชน์จากเปลือกมังคุดมาเป็นยารักษาโรคมานานแล้ว เปลือกมังคุดรสฝาดสมาน
รสฝาดในเปลือกมังคุดนี้มีสารแทนนิน (Tannin) และสารแซนโทน (Xanthone) ที่มีชื่อเรียกเฉพาะชื่อเดียวกับมังคุดว่า สารแมงโกสติน (mangostin) สารแทนนินมีฤทธิ์สมานแผลช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น สารแมงโกสติมีสรรพคุณดังนี้ มาใช้ประโยชน์ดังนี้
1. ยาแก้ท้องเสีย แก้ท้องร่วงเรื้อรัง ถ่ายเป็นมูกเลือด โดยการใช้เปลือกสดหรือเปลือกแห้งฝนกับน้ำรับประทาน หรือจะใช้เปลือกแห้งต้มกับน้ำรับประทานก็ได้ผลเช่นเดียวกัน
2. สมานแผล ลดดการอักเสบ และช่วยให้แผลหาเร็ว เช่นใช้รักษาบาดแผลผุพอง แผลเน่าเปื่อย แผลเป็นหนอง โดยการใช้เปลือกมังคุดฝนกับน้ำปูนใสทาบริเวณแผล น้ำต้มเปลือกมังคุดแห้งต้มน้ำล้างแผลใช้แทนการด้วยน้ำยาล้างแผลหรือด่างทับทิมได้ด้วย
3. โรคผิวหนัง เช่น กลากเกลื้อน จากเชื้อรา บรรเทาอาการผดผื่นทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ได้เป็นอย่างดี โดยใช้เปลือกมังคุดแห้งต้มน้ำอาบ หรือใช้น้ำต้มเปลือกมังคุดทาบริเวณที่มีอาการผื่นคันทั้งหลาย

เปลือกมังคุด กับการรักษาแผนโบราณ

เอกสารอ้างอิง. “สมุนไพรน่ารู้” วันดี กฤษณพันธ์ สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พิมพ์ครั้งที่ 3 พ.ศ. 2541
“สุขภาพดีด้วยสมุนไพรใกล้ตัว (9)” โครงการสมุนไพรเพื่อการพึ่งตนเอง สำนักพิมพ์ ประพันธ์สาส์น กรกฏาคม 2541
“รู้คุณรู้โทษโภชนาการ ” นิตยสารรีดเดอร์ ไดเจสท์ สำนักพิมพ์ รีดเดอร์ส ไดเจสท์( ประเทศไทย) จำกัด กันยายน 2543

Posted on

งานวิจัย: ยาคุมกำเนิด ลดอาการปวดท้องรอบเดือน (Dysmenorrhea) ลงได้หรือไม่

อุบัติการณ์การเกิดอาการปวดท้องขณะมีรอบเดือน ( Dysmenorrhea) พบได้ประมาณ 15% ของวัยรุ่นผู้หญิง ซึ่งอาการจะรุนแรงมากน้อย ต่างก็มีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน
ในสตรีวัยรุ่น พบเพียง 1 ใน 7 รายเท่านั้นที่ไปปรึกษาแพทย์ เพราะอาจจะอายแพทย์ หรือเกรงว่าจะมีการตรวจภายใน ทำให้ส่วนที่เหลือยังคงใช้ความอดทนอย่างมาก กับอาการเหล่านี้ทุกๆ ครั้งที่มีรอบเดือน

งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
ประสิทธิภาพของยาคุมกำเนิดขนาดต่ำ ว่าจะสามารถช่วยรักษาอาการ ปวดท้องขณะมีรอบเดือน ( Dysmenorrhea) ได้หรือไม่
ขั้นตอนการวิจัย
สุ่มตัวอย่างวัยรุ่นในอเมริกา จำนวน 74 คน ( อายุเฉลี่ย 16.8 ปี) มาทำการศึกษาวิจัย โดยในกลุ่มที่ทำการทดลอง มีอาการปวดท้องขณะมีรอบเดือน ( Dysmenorrhea) ดังนี้
– ระยะรุนแรงถึง 58%
-ระยะปานกลางถึง 42%
โดยให้รับประทานยาคุมกำเนิดขนาดต่ำ ( ประกอบด้วย Ethinyl estradiol 20 microgram+Levonorgestrel 100 micrograms ) เปรียบเทียบกับยาหลอก (Placebo) โดยติดตามอาการหลังทำการวิจัย ประมาณ 3 เดือน โดยทุกคนยังสามารถรับประทานยาแก้ปวดได้

ผลการทดลอง พบว่าผู้เข้าร่วมการทดลอง มีความรุนแรงของอาการ ปวดท้องขณะมีรอบเดือน ( Dysmenorrhea) ลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เมื่อเทียบกับ การใช้ยาหลอก และจำเป็นต้องใช้ยาแก้ปวดลดลงในเดือนที่ 2-3 ของการวิจัย และยังพบอีกว่า กลุ่มที่ลองรับประทานยาคุมกำเนิดขนาดต่ำ 61% ไม่จำเป็นต้องใช้ ยาแก้ปวดเลย ในรอบเดือนที่ 3

จากผลงานวิจัย แสดงให้เห็นว่าการใช้ยาคุมกำเนิดสามารถใช้รักษาอาการ ปวดท้องขณะมีรอบเดือน ( Dysmenorrhea) ลงได้ และสตรีวัยรุ่นทุกคนก็ยินดีที่ใช้ยาต่อไป เนื่องจากว่ายาคุมกำเนิดขนาดต่ำมีความปลอดภัยสูง และผลข้างเคียงน้อยมาก และทำให้ไม่จำเป็นต้องไปตรวจภายในจากอาการดังกล่าว เพราะนอกจากจะทำให้อาการปวดท้องดีขึ้นแล้ว ผลพลอยได้จากยาคุมกำเนิดก็คือ ช่วยป้องกันและรักษาสิว ผิวหน้ามันได้อีกด้วย

Posted on

ยาหมดอายุหรือยัง ! (Drug Expiration Dates ) ดูตรงไหน ดูยังไง ถ้าไม่ทราบ ทำอย่างไร

1.การสังเกตยาหมดอายุกรณีมีฉลากกำกับ
1.1. ยาที่อยู่ในบรรจุภัณฑ์ของบริษัทผู้ผลิต สามารถสังเกตได้จากวันหมดอายุที่ระบุไว้บนฉลากหรือบรรจุภัณฑ์ เช่น ที่แผงยา ซองยา เป็นต้น
1.2. กรณีที่ระบุเฉพาะเดือนและปีที่หมดอายุ วันหมดอายุจะเป็นวันสุดท้ายของเดือน
2. การสังเกตยาหมดอายุกรณีมีฉลากกำกับเฉพาะวันทีผลิต ไม่ระบุวันหมดอายุ
2.1 ยาเม็ด มักจะมีอายุได้ประมาณ 5 ปี นับจากวันที่ผลิต
2.2 ยาน้ำ มักจะมีอายุได้ประมาณ 3 ปี นับจากวันที่ผลิต
2.3 ยาฉีด มักจะมีอายุได้ประมาณ 3 ปี นับจากวันที่ผลิต
2.4 ยาครีม มักจะมีอายุได้ประมาณ 2 ปี นับจากวันที่ผลิต
2.5 ยาขี้ผึ้ง มักจะมีอายุได้ประมาณ 2 ปี นับจากวันที่ผลิต

ยาจะมีคุณภาพที่ดีจนถึงอายุยาที่กล่าวข้างต้นได้ หากอยู่ภายใต้การจัดเก็บที่เหมาะสมตามที่แนะนำโดยบริษัทผู้ผลิต แต่หากมีการจัดเก็บยาที่ไม่เหมาะสม ยาจะเสื่อมสภาพและมีคุณภาพลดลงต่ำกว่ามาตรฐานกำหนดก่อนวันหมดอายุที่ระบุไว้ ดังนั้นการสังเกตลักษณะทางกายภาพของยาร่วมด้วยจัดเป็นสิ่งที่สำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน เพราะหากยามีลักษณะที่เปลี่ยนไปจากเดิมแล้ว ก็อาจอนุมานได้ว่าคุณภาพของยาน่าจะเปลี่ยนแปลงและผู้บริโภคไม่ควรใช้ยานั้นต่อไป

Posted on

ยาฝังคุมกำเนิด (Contraceptive Implant) : เจ็บครั้งเดียวป้องกันได้นานหลายปี ไม่มีท้อง

ยาฝังคุมกำเนิด (Contraceptive Implant) คืออะไร
เป็นวิธีคุมกำเนิดแบบชั่วคราวที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งในประเทศไทยปัจจุบันมี 3 ชนิด ได้แก่ Norplant®, Jadelle® และ Implanon NXT® โดยทั้ง 3 ชนิดเป็นระบบที่แคปซูลหรือหลอดที่ใช้ฝังไม่สลายตัว (non-biodegradable implants) ภายในแท่งหรือหลอดจะบรรจุฮอร์โมนโปรเจสติน (Progestin) เอาไว้ เมื่อฝังเอาไว้เรียบร้อยก็จะค่อย ๆ ปล่อยฮอร์โมนชนิดนี้เข้าสู่ร่างกาย
ป้องกันการตั้งครรภ์ได้อย่างไร นานแค่ไหน
ช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้ โดยมีฤทธิ์ยับยั้งการตกไข่ ทำให้มูกปากมดลูกเหนียวข้นส่งผลให้เชื้ออสุจิเคลื่อนผ่านเข้าโพรงมดลูกได้ยากขึ้น อยู่ได้นานเป็นเวลา 3-5 ปี แล้วแต่ชนิดของยา
ใครบ้างที่เหมาะสมที่จะคุมกำเนิดด้วยยาฝัง
– สตรีที่ต้องการคุมกำเนิดนานตั้งแต่ 3ปีขึ้นไป
– สตรีหลังคลอดและให้นมบุตร
– สตรีที่สูบบุหรี่
– สตรีที่มีภาวะอ้วน (ดัชนีมวลกายมากกว่าหรือเท่ากับ 30กิโลกรัมต่อตารางเมตร)
– สตรีที่มีข้อห้ามในการใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจน เช่น เป็นไมเกรนมีความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมองเป็นต้น
ใครบ้างที่ไม่ควรใช้ยาฝังคุมกำาเนิด
– สตรีที่ตั้งครรภ์หรือสงสัยว่าตั้งครรภ์
– มีภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำระยะเฉียบพลัน
– เป็นมะเร็งหรือสงสัยว่าเป็นมะเร็งที่ตอบสนองต่อฮอร์โมนเพศ เช่น มะเร็งเต้านม
– มีหรือเคยมีเนื้องอกที่ตับ มีการท างานของตับผิดปกติ
– มีเลือดออกจากช่องคลอดที่ไม่ทราบสาเหตุ
ผลข้างเคียงของยาฝังคุมกำเนิด
-เมื่อฝังยาฝังคุมกำเนิดอาจทำให้ประจำเดือนมาไม่ปกติ ซึ่งเป็นอาการปกติของปีแรกที่ฝังยา
-บางคนอาจมีประจำเดือนที่มากขึ้นหรือมาถี่ขึ้น โดยเฉพาะในช่วงปีแรกที่เริ่มฝังยา
-บางคนอาจมีประจำเดือนมาไม่ตรงเวลาหรือมาน้อย ซึ่งพบว่า 1 ใน 5 ของผู้ที่ฝังยาคุมกำเนิดจะไม่มีเลือดออกมาเมื่อมีประจำเดือน
-ยาฝังคุมกำเนิดไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ได้ ดังนั้น เมื่อเพศสัมพันธ์ยังคงมีความเสี่ยงในการติดเชื้อดังกล่าวอยู่ จึงควรต้องมีการป้องกัน เช่น ใส่ถุงยางอนามัย เป็นต้น
การฝังยาคุมกำเนิดมีโอกาสมีบุตรยากหรือไม่
ยาฝังคุมกำเนิดไม่ได้ท าให้มีบุตรยาก เนื่องจากภายหลังถอดยาฝังคุมก าเนิดออก ระดับฮอร์โมนของยาฝังคุมกำเนิดจะลดลงอย่างรวดเร็ว สตรีสามารถกลับมาตกไข่ใน 1-2เดือน โดยผู้ใช้ยาเกือบทั้งหมดจะสามารถกลับมาตั้งครรภ์ได้ภายใน 1ปี

Posted on

อบตัว เข้าซาวน่า ช่วยเรื่องอะไร ลดน้ำหนัก สลายไขมันได้จริงหรือไม่ ข้อควรระวัง

การอบตัว สามารถแบ่งออกได้ 2 แบบ คือ 1. แบบอบแห้ง ( Sauna) และ 2. แบบอบเปียก หรืออบไอน้ำ (Stream) ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการอบแบบไหน สามารถให้คุณประโยชน์ที่หมือนกัน ไม่แตกต่างกัน ดังนี้

  1. ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่เกิดจากความเกร็งตึง หรืออาการเมื่อยล้าหลังจากทำงานหนัก หรือการออกกำลังกาย
  2. กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ความร้อนจะทำให้ผิวหนังและโครงสร้างของผิวหนังได้รับออกซิเจนและสารอาหารดีขึ้น
  3. กระตุ้นระบบหายใจ ทำให้การหายใจสะดวกขึ้น ดีขึ้น เพราะน้ำที่ใส่ไว้รดก้อนหินนั้น มักจะมีส่วนผสมของพิมเสน การบูร และน้ำมันยูคาลิปตัส นอกจากนี้ไอน้ำใน Stream จะทำให้ลมหายใจมีน้ำมากขึ้น ช่วยทำให้ขับเสมหะและสิ่งสกปรกในหลอดลมได้ดี
  4. ช่วยเปิดรูขุมขน ทำการขับถ่ายสิ่งสกปรกและสารพิษที่อยู่ในร่างกาย ในรูปของเหงื่อ
  5. ช่วยรักษาสมดุลย์ความเป็นกรด-ด่าง ของผิวหนังที่อาจจะถูกทำลายจากแสงแดดหรือสารเคมี
  6. กระตุ้นระบบประสาท ระบบฮอรโมนต่างๆ ในร่างกาย ทำให้มีชีวิตชีวา นอกจากนี้ยังปรับกระบวนการทางเคมีของเซลล์ทั่วร่างกายให้ระบบเสริมสร้างและระบบย่อยสลายอาหารเข้าสู่สมดุลใหม่
  7. ช่วยให้จิตใจผ่อนคลาย สบาย นอนหลับได้ง่าย
  8. ช่วยทำให้ผิวหนังอ่อนนุ่มและชุ่มชื้น เพื่อเตรียมความพร้อมในการทำทรีทเม้นต์อย่างอื่นๆ เช่น การกรอผิว การนวดตัว การทาครีมบำรุง

    ข้อควรระวังในการเข้าอบตัว 
  1. ไม่แนะนำให้คนที่มีปัญหาโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง เข้าอบตัว เนื่องจากจะทำใหัหัวใจทำงานมากกว่าปกติได้ ความดันโลหิตสูงขึ้น ทำให้เกิดเป็นลม หน้ามืด หมดสติได้
  2. คนสูงอายุ หรือเด็กที่มีอายุน้อย ไม่ควรอบตัว อาบเหงื่อ เพราะสภาพร่างกายไม่สมบูรณ์พอ
  3. ไม่ควรใส่ชุดว่ายน้ำในการอบตัว เพราะเส้นใยอีลาสติน เมื่อโดนความร้อน จะทำให้ยืดและหดตัวแห้งกรอบ และอาจจะใหม้ได้
  4. การอบตัวนานกว่ากำหนด จะทำให้ร่างกายสูญเสียเหงื่อ และน้ำมากเกินไป ทำให้เกิดอาการมึนศีรษะ เป็นลม ชัก และหมดสติได้
  5. สตรีมีครรภ์ไม่ควรอบตัว เพราะมีงานวิจัยว่าทำให้เด็กในครรภ์จะน้ำหนักน้อยกว่าปกติ

ขั้นตอนการอบตัวที่ถูกต้อง 

  1. ก่อนเข้าห้องอบตัว ควรจะอาบน้ำชำระร่างกายเสียก่อน เพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อมเข้าสู่การอบตัว และเป็นชะล้างทำความสะอาดระดับหนึ่งก่อน
  2. ถอดเครื่องประดับที่เป็นโลหะ ทอง เครื่องเงิน ออกก่อนเพราะเป็นตัวนำความร้อน อาจจะทำให้ผิวหนังใหม้ได้
  3. กระโจมอก สำหรับผู้หญิง หรือใช้ผ้าเช็ดตัวสำหรับผู้ชาย เป็นชุดที่ดีที่สุดกรณีที่อบตัวในที่ส่วนรวม หรือจะถอดออกหมดก็ได้ (กรณีในที่ลับเฉพาะ) เพื่อให้ความร้อนกระจายทั่วร่างกาย และรูขุมขนเปิดทั่วๆ ไป
  4. ไม่ทาครีมบำรุงผิวใดๆ ก่อนเข้าห้องอบตัว เพราะเนื้อครีมจะเคลือบผิวหนังไว้ และปิดรูขุมขนทำให้การขับสิ่งสกปรกไม่ได้เต็มที่
  5. สามารถใช้ครีมหมักผม ครีมบำรุงเส้นผมก่อนเข้าห้องอบตัวได้ เพราะจะสามารถอบไอน้ำให้กับเส้นผมไปพร้อมๆ กัน
  6. การอบตัว ควรใช้เวลาประมาณ 3-5 นาทีต่อครั้งไม่ควรเกิน 15 นาที แล้วควรออกจากห้องอบ เพื่อใช้ความเย็นช่วยปิดรูขุมขน เช่นอาจจะ ลงไปจุ่มตัวในสระน้ำเย็น 1-2 นาที หรือสระน้ำจากุ๊ซซี่ ที่อุณหภูมิ 13-18 องศาเซลเซียส ประมาณ 1-2 นาที แล้วค่อยเข้าไปอบตัวใหม่ ไม่ควรใช้น้ำเย็นเกินไป เพราะร่างกายจะปรับตัวลำบาก หรือถ้าใช้น้ำที่อุณหภูมิสูงกว่า 25 องศาเซลเซียสจะไม่กระตุ้นเราอวัยวะภายในได้เต็มที่
  7. หลังจากออกจากห้องอบตัว ควรอาบน้ำและเช็ดตัวด้วยน้ำเย็น เพื่อปิดรูขุมขน
  8. ดื่มน้ำสะอาดทุกครั้งหลังจากการอบตัว เพื่อทดแทนน้ำในร่างกายที่ต้องสูญเสียไปกับเหงื่อ

    ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับการอบตัว 
  1. ความร้อนจากการอบตัว ไม่ใช่วิธีการในการลดน้ำหนัก เพียงช่วยปรับสมดุลการทำงานของต่อมฮอร์โมนต่างๆ ดังนั้นการที่อบตัวนานๆ ในตู้อบ ทำให้น้ำหนักลดได้ก็จริงจากการเสียน้ำ แต่เมื่อดื่มน้ำทดแทน น้ำหนักก็จะกลับมาเท่าเดิม
  2. ความร้อนจากการอบตัว ไม่ได้ช่วยละลายไขมันสะสมในร่างกาย
  3. การอบตัวโดยใช้ความร้อน และความเย็นสลับกันไปมา ไม่ได้ทำให้ร่างกายไม่สบายได้ ในประเทศเมืองหนาวบางประเทศ จะมีห้องอบตัว และห้องที่เปิดให้ความเย็นด้านนอกเข้ามาสลับกันด้วยซ้ำ
Posted on

8 กติกาง่ายๆ ในการรับประทานอาหารอย่างฉลาด และไม่ยากในการปฏิบัติ สุขภาพดี ไม่มีโรค

8 กติกา ในการเลือกรับประทานอาหาร
1. อาหารที่รับประทานควรประกอบด้วยอาหารหลัก 4 หมู่ ดังนี้
1.1 ถั่วที่มีฝักต่างๆ ธัญพืชที่ยังไม่ได้ขัด ลูกนัท: ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งอาหารธรรมชาติของกรดไขมันจำเป็นไม่อิ่มตัว (Unsaturated essential fatty acids) เลซิติน และวิตามินบีรวม ที่จำเป็นต่อร่างกาย นอกจากนี้ยังมีเส้นใยในอาหารที่ทำให้ลำไส้แข็งแรง แล้วในเมล็ดยังมีวิตามินเอ ซี อี ต่อร่างกายในปริมาณสูงด้วย
1.2 ผัก: ควรจะเป็นผักสด เพราะการทำให้สุกสามารถทำให้วิตามินเสื่อมหรือลดลงได้ หรือถ้าต้องการทำให้สุก ก็ไม่ควรเกิน 120 องศาฟาเนไฮต์
1.3 ผลไม้ : เลือกรับประทานผลไม้สดที่ย่อยง่าย และไม่ต้องผ่านการทำให้สุกมากนัก
1.4 เนื้อสัตว์: ควรเลือกที่มีโปรตีนและไขมันน้อยๆ ผ่านกรรมวิธีที่ทำให้สุกเสียก่อนจะรับประทาน เพราะโปรตีนที่สูงมากเกินไป อาจจะทำให้ไตทำงานหนัก เกินไป และโปรตีนส่วนใหญ่เมื่อเผาผลาญพลังงานแล้ว จะมีของเสียหลงเหลืออยู่ ซึ่งทำให้เกิดโรคต่างๆ ได้ ส่วนไขมันที่สูงมากเกินไป ก็จะทำให้ ไขมันในเลือดสูง เป็นบ่อเกิดของโรคเส้นเลือดอุดตัน โรคหัวใจ ได้
2. เลือกรับประทานอาหารธรรมชาติที่ทำการเพาะปลูกโดยไม่ใส่ปุ๋ยหรือสารเคมี และหลีกเลี่ยงอาหารที่ผ่านกรรมวิธีหรือการสกัดในการผลิตมาแล้ว เพราะมักจะมีสารเคมีตกค้าง โดยเฉพาะอาหารจากซูเปอร์มาร์เกตทั้งหลาย

อาหารที่เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพ
อาหารที่ไม่เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพ

3. หาโอกาสในการรับประทานอาหารที่มีคุณค่าสูงอย่างน้อยอาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง ได้แก่ นมสด (ที่ไม่ได้ผ่านการพาสเจอร์ไรซ์) น้ำมันพืชที่ผ่านการสกัดเย็น เช่น น้ำมันเมล็ดทานตะวัน น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันงา น้ำมันผึ้ง( เพื่มการสำรองแคลเซียมในร่างกาย) บริวเออร์ยีสต์ ( แหล่งรวมวิตามินบีปริมาณสูง) สาหร่ายทะเล น้ำมันตับปลา อีฟนิ่งพริมโรส เป็นต้น
4. ดื่มน้ำบริสุทธิ์ทุกเมื่อที่มีโอกาส ในปริมาณมากๆ ต่อวัน
5. ควรรับประทานอาหารให้น้อยกว่าปกติที่ต้องการ และเป็นระบบ งดอาหารว่างและเลือกดื่มน้ำผลไม้ น้ำผัก เป็นครั้งคราว เพื่อชะล้างสารพิษที่สะสมออกไป
6. การรับประทานอาหารอย่างช้าๆ ในบรรยากาศที่ผ่อนคลาย เป็นมื้อเล็กๆ หลายมื้อ ในปริมาณไม่มาก จะดีกว่าการรับประทานมื้อใหญ่ ไม่กี่มื้อ เพื่อ มิให้ระบบย่อยอาหารทำงานหนักมากเกินไป และเลือกทานกลุ่มเนื้อสัตว์ที่ย่อยยาก ก่อนจะทานผักผลไม้ทีหลัง
7. หลีกเลี่ยงบุหรี่ อัลกอฮอล์ กาแฟ ชา ช๊อกโกแลต และน้ำอัดลมทุกชนิด
8. ลดอาหารที่รสเค็มจัด มันจัด และหวานจัด

จากหลักการง่ายๆ ข้างต้นในการเลือกรับประทานอาหารแล้ว การพักผ่อนที่เพียงพอ ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม สูดอากาศบริสุทธิ์ และมองโลกในแง่ดี ถือว่าเป็นการบริหารสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี และทำให้แข็งแรงอายุยืนนานได้ในอนาคต แล้วอย่าลืมตรวจเช็คสุขภาพอย่างน้อยปีละครั้งด้วยนะครับ

Posted on

คลอโรฟิลล์ (Chlorophyll) ในอาหารเสริม ได้ผลเหมือนกับการรับประทานผักใบเขียวมั้ย

คลอโรฟิลล์ (Chlorophyll) เป็นส่วนประกอบที่สำคัญในผักใบเขียวทุกชนิด เป็นรงควัตถุสีเขียว สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ
1.ประเภทที่ละลายในน้ำ
2. ประเภทที่ละลายในไขมัน คลอโรฟิลล์ในชั้นของใบพืชที่มีประโยชน์จะมีประสิทธิภาพเมื่ออยู่ในสภาพที่ละลายในไ่ขมันเท่านั้น
ประโยชน์ของ คลอโรฟิลล์ (Chlorophyll)
1. ปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานของหัวใจ
2. ช่วยในการลดความผิดปกติของเลือดจากภาวะโลหิตจาง(anemia)
3.ช่วยลดความดันโลหิตสูงได้
4.มีฤทธิ์ในการต้านขบวนการออกซิเดชั่น ที่ทำให้เซลล์เสื่อมสภาพหรือหมดอายุก่อนวัยอันควร
5. ช่วยชำระล้างสารพิษ หรือ ขจัดของเสียจากร่างกาย
6. ช่วยลดปัญหากลิ่นปาก หรือกลิ่นตัวได้
7. ลดกลิ่นของปัสสาวะ อุจจาระ หรือแผลเน่าได้
คลอโรฟิลล์ (Chlorophyll) ในอาหารเสริมได้ผลมั้ย
ปัจจุบัน จากการศึกษาข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์พบว่า ยังไม่มีการสรุปในระดับที่น่าเชื่อถือได้ว่าคลอโรฟิลล์ที่เรานำมาบริโภคในรูปของอาหารเสริมเพื่อสุขภาพนั้นเป็นสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายจริงๆ
น้ำคลอโรฟิลล์ (Chlorophyll) ลดกลิ่นปากได้มั้ย
มีการกล่าวอ้างว่า มีส่วนช่วยในการลดกลิ่นปากและทำให้ลมหายใจหอมสดชื่นได้ แต่ในความจริงกลับพบว่าสินค้าที่วางขายอยู่โดยทั่วไปนั้นมีปริมาณค่าความเข้มข้นของคลอโรฟิลล์ไม่มากพอที่จะช่วยดับกลิ่นปากได้ ผู้ผลิตหลายรายจึงเลือกใช้วิธีการแต่งสีเพื่อเพิ่มความน่ารับประทานให้แก่ผลิตภัณฑ์เท่านั้น แต่ไม่ค่อยจะพบประโยชน์มากเท่าใด

ดยทั่วไปแล้ว เราสามารถได้รับสารคลอโรฟิลล์ได้จากพืชทั่วๆไป การรับประทานผักผลไม้ที่มีสีเขียวจะช่วยให้ร่างกายของเราได้รับคลอโรฟิลล์ไปด้วย โดยสารคลอโรฟิลล์ที่อยู่ในรูปธรรมชาตินี้จะอยู่ในรูปคลอโรฟิลล์ที่ละลายในน้ำมัน ตัวอย่างเช่น ในผักชีฝรั่ง 1 ถ้วย มีคลอโรฟิลล์สูงถึง 38 มิลลิกรัม ผักขม 1 ถ้วย มีคลอโรฟิลล์ 23.7 มิลลิกรัม ดังนั้น หากเรารับประทานผักผลไม้สดเป็นประจำ ร่างกายก็ไม่จำเป็นจะต้องได้รับคลอโรฟิลล์เพิ่มเติมแต่อย่างใด

Posted on

เลิกบุหรี่ หักดิบ หรือค่อยๆ ลด ก็ไม่ได้ ทำอย่างไร เคี้ยวหมากฝรั่ง หรือแผ่นแปะเลิกบุหรี่ ได้ผลมั้ย

การเลิกบุหรี่เป็นการตัดสินใจที่สำคัญและไม่ง่าย คุณจึงจำเป็นต้องเลือกวิธีการเลิกบุหรี่ที่เหมาะสมกับตัวเองให้มากที่สุดโดยอาจตัดสินใจ เลิกแบบหักดิบ หรืออาจจะจะค่อยๆ ลดจำนวนที่เคยสูบลง ก็ได้ขึ้นอยู่กับตัวคุณ แต่ถ้าหากคิดว่าทำไม่ได้ทั้งสองวิธี เพราะเสพติดนิโคตินไปแล้ว ได้มีการทดลองใช้ยาหรือนิโคติน ในรูปแบบอื่น ที่ไม่ต้องสูบ ให้เกิดควันเป็นที่รำคาญแก่คนอื่น จะได้ผลหรือไม่
หมากฝรั่งนิโคติน
หมากฝรั่งนิโคติน เป็นผลิตภัณฑ์ที่ผสมนิโคติน และทำให้ดูดซึมในช่องปากได้ดี ซึ่งที่มีจำหน่าย ก็มี 2 แบบ คือ แบบชิ้นละ 2 มก.และชิ้นละ 4 มก.
หลักการทำงาน การปลดปล่อยนิโคตินเข้าสู่กระแสเลือดมากน้อย ขึ้นกับความถี่และความรุนแรงในการเคี้ยงหมากฝรั่งนิโคติน ซึ่งโดยปกติหลังเคี้ยวประมาณ 20 นาที นิโคตินจะถูกปลดปล่อยประมาณ ร้อยละ 90 และดูดซึมเข้าช่องปาก
นิโคตินที่เหลือจากการเคี้ยว จะถูกกลืนลงไปในกระเพาะและถูกดูดซึมเข้าสู่กระเพาะอาหาร และเผาผลาญอย่างรวดเร็วที่ตับ กลายเป็นสารที่ไม่ออกฤทธิ์ และเป็นอันตราย
หากเคี้ยวนิโคตินในขนาด 4 มก ติดต่อกันทุก 2-3 ชั่วโมง จะได้รับนิโคตินในเลือดใกล้เคียงและคล้ายคลึงกับในผู้ที่สูบบุหรี่จัด
ได้ผลแค่ไหน สำเร็จร้อยละ 38 จากการติดตามในช่วง 4-6 สัปดาห์ถึง 12 เดือน มีโอกาสกลับมาสูบบุหรี่ใหม่ ถึงร้อยละ 66.3 การที่เป็นเช่นนี้ อธิบายได้ว่า ไม่สามารถตอบสนองต่อสิงห์อมควันได้ทันท่วงทีนั่นเอง และการเคี้ยวหมากฝรั่งนิโคติน ทำให้เกิดการเมื่อยล้าขากรรไกร และเจ็บคอในระยะแรกได้

แผ่นแปะผิวหนังนิโคติน
เป็นเวชภัณฑ์ที่จะนำนิโคตินเข้าสู่ร่างกายทางผิวหนัง ในปริมาณที่คงที่และแน่นอน ต่อเนื่องนาน 16-24 ชั่วโมง และพบว่าระดับนิโคติน ในเลือดจะมีความเข้มข้นสูงสุดที่ 7-9 ชั่วโมงหลังแปะแผ่นนิโคติน ทั้งนี้ปริมาณมากน้อยก็ขึ้นอยู่กับพื้นที่ในการแปะด้วย แนะต่อเนื่องเกินกว่า 10 วัน จึงจะทำให้มีการสะสมของนิโคตินในเลือดในระดับที่ใกล้เคียงกับการสูบบุหรี่วันละ 1 ซอง
แปะอย่างไร จึงจะได้ผล
– แปะแผ่นนิโคตินขนาด 30 ตร.ซม. จะเหมาะสำหรับผู้ที่สูบบุหรี่มากกว่าวันละ 1 ซอง
– ขนาด 20 ตร.ซม. จะเหมาะสำหรับผู้ที่สูบบุหรี่น้อยกว่าวันละ 1 ซอง
ได้ผลทันทีมั้ย ภายหลังแปะ พบว่าอาการอยากสูบบุหรี่ลดลงอย่างเด่นชัด ลดอารมณ์หงุดหงิดได้ แต่ไม่ลดอาการหิวหรือความเคยชินที่อยากสูดควันบุหรี่
ได้ผลแค่ไหน พบว่าอัตราการเลิกบุหรี่ได้ด้วยแผ่นนิโคติน สำเร็จ ร้อยละ 5-20 ซึ่งอธิบายได้ว่า ต้องใช้เวลานานในการออกฤทธิ์ และคนที่ต้องการเลิก มีอาการปากว่าง ไม่เหมือนการเคี้ยวด้วยหมากฝรั่งนิโคติน และพบว่าผลข้างเคียงก็พบได้ เช่น อาการนอนไม่หลับ ฝันร้าย ไอมากขึ้น ปวดเมื่อย

จากผลการทดลองจะเห็นได้ว่า การเลิกบุหรี่ด้วยยาทดแทนนิโคตินดังกล่าว ได้ผลน้อยมาก เมื่อเทียบกับการหักดิบ และพบว่านิโคตินที้ง 2 แบบ ได้มีการจดทะเบียนจำหน่ายแล้วในประเทศไทย ตั้งแต่ 10 กว่าปีที่แล้ว แต่ก็ไม่เป็นที่นิยมซักเท่าไหร่นัก แต่ไม่แน่ในอนาคตอาจจะมีแบบสูดดม แบบพ่นจมูก ออกมาทำการทดลองเพิ่มขึ้นก็ได้

จากผลการทดลองจะเห็นได้ว่า การเลิกบุหรี่ด้วยยาทดแทนนิโคตินดังกล่าว ได้ผลน้อยมาก เมื่อเทียบกับการหักดิบ และพบว่านิโคตินที้ง 2 แบบ ได้มีการจดทะเบียนจำหน่ายแล้วในประเทศไทย ตั้งแต่ 10 กว่าปีที่แล้ว แต่ก็ไม่เป็นที่นิยมซักเท่าไหร่นัก แต่ไม่แน่ในอนาคตอาจจะมีแบบสูดดม แบบพ่นจมูก ออกมาทำการทดลองเพิ่มขึ้นก็ได้
อ้างอิงจากบทความของ ผศ.นพ. ไพบูลย์ สุริยะวงศ์ไพศาล แห่งศูนย์เวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์รพ.รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ลงตีพิมพ์ในวารสารคลินิก

Posted on

เลือกดื่มนมอย่างไร ให้ได้ประโยชน์ หลายยี่ห้อ หลายแบบมากในท้องตลาด ต่างกันมั้ย

นม เป็นเครื่องดื่มอาหารเสริมที่เป็นที่นิยมกันมากในปัจจุบัน เพราะมีคุณค่าทางโภชนาการสูง ประกอบด้วย โปรตีน แร่ธาตุ และวิตามินที่สำคัญๆ หลายตัว ได้แก่ วิตามินบี1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 6 วิตามินบี 12 วิตามินเอ วิตามินซี ไนอะซิน ธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส และที่สำคัญเป็นแหล่งที่ให้ แร่ธาตุแคลเซียมสูง นอกจากนี้ นมยังประกอบด้วย ไขมันชนิดอิ่มตัวประมาณ ร้อยละ 60 และไขมันชนิดไม่อิ่มตัว ร้อยละ 40 ตามลำดับ

ได้มีการเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ ชนิดของนมที่มีขายตามท้องตลาด ( ปริมาณ 100 มล.) ได้ข้อสรุปดังนี้

  1. นมสดครบส่วน: ถือเป็นนมสดที่เป็น ‘ อาหารสมบูรณ์’ เพราะมีสารอาหารหลากหลาย ทั้งโปรตีน แคลเซียม สังกะสี และวิตามินต่างๆ ข้างต้นครบถ้วน ในปริมาณที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ให้ปริมาณพลังงาน 65 กิโลแคลอรี่ต่อ 100 ซีซี และมีไขมัน สูงถึงร้อยละ 3.8
  2. นมสดพร่องมันเนย: เป็นนมสดที่ได้แยกไขมันออกไปถึงร้อยละ 50-60 ก่อนการฆ่าเชื้อด้วยวิธีพาสเจอไรส์หรือวิธียูเอชที ให้ปริมาณพลังงาน 48 กิโลแคลอรี่ต่อ 100 ซีซี และมีไขมัน เพียงร้อยละ 1.4 จึงไม่เหมาะที่จะใช้เลี้ยงทารก หรือเด็กเล็ก
  3. นมขาดมันเนย: เป็นนมที่ให้พลังงานเพียงครึ่งเดียวของนมสดครบส่วน แต่ประกอบด้วยวิตามินต่างๆ (ยกเว้นวิตามินเอ) และแร่ธาตุพอๆ กับนมสดครบส่วน ให้ปริมาณพลังงาน 35 กิโลแคลอรี่ต่อ 100 ซีซี และมีไขมัน เพียงร้อยละ 0.1 มีข้อดีก็คือ เก็บไว้ได้นานในตู้เย็นได้ นานถึง 1 เดือน ขณะที่นมสดครบส่วนจะมีชั้นไขมันแยกออกมา
  4. นมข้นหวาน: ถือเป็นนมที่มีคุณค่าทางอาหารสูง มีปริมาณแคลเซียม ฟอสฟอรัส และธาตุสังกะสี ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่มีน้ำตาลในปริมาณเกินกว่า ครึ่งของปริมาตร โดยมีการเติมน้ำเชื่อมลงไปในนมหลังจากการพลาสเจอร์ไรส์แล้ว ให้ปริมาณพลังงาน 327 กิโลแคลอรี่ต่อ 100 ซีซี และมีไขมัน สูงถึงร้อยละ 9.3 ไม่เหมาะในการเลี้ยงทารก เนื่องจากนมข้นหวานไม่ใช่อาหารที่จะใช้แทนนมสด
  5. นมเปรี้ยวชนิดพร้อมดื่ม รสธรรมชาติ: ประกอบด้วยนมวัวร้อยละ 55-85 น้ำตาลและน้ำผลไม้ ( เช่น รสส้ม รสลิ้นจี่) ร้อยละ 15-43 รวมทั้งเชื้อจุลินทรีย์ เช่น บริวเออร์ยีสต์ ให้ปริมาณพลังงาน 67 กิโลแคลอรี่ต่อ 100 ซีซี และมีไขมันเพียงร้อยละ 0.79 ควรเลือกซื้อชนิดที่มีสัดส่วนนมวัว ในปริมาณมาก จะให้ประโยชน์มากกว่า

กรรมวิธีในการผลิตนม แบ่งได้เป็น 

  1. นมสดพลาสเจอร์ไรส์ (Pasteurised milk) คือ นมสดที่ผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อด้วยความร้อนต่ำ ประมาณ 63-72 องศาเซลเซียส ทำให้รสชาติ ของนมไม่เปลี่ยนจากเดิมมากนัก นมชนิดนี้ต้องเก็บในตู้เย็น และบริโภคให้หมดภายในระยะเวลาที่กำหนด
  2. นมสดสเตอริไลส์ (Sterilised milk) คือ นมสดที่ผ่านความร้อนระดับสูง ประมาณ 115-130 องศาเซลเซียส ซึ่งทำให้เกิดกลิ่นนมต้ม สีนมออกเหลือง และมีการสูญเสียวิตามินบี1 ไปในปริมาณ 1/3 และวิตามินบี12 ไปประมาณ 1/2 ของปริมาณที่มีอยู่
  3. นมสดยูเอชที (Ultra-heated treated milk) คือนมสดที่ผ่านความร้อนสูงมาก ประมาณไม่ต่ำกว่า 132 องศาเซลเซียสในระยะเวลาที่สั้นมาก อย่างน้อย 1 วินาที ความร้อนในระดับนี้ จะช่วยยืดอายุของการเก็บรักษานม ไม่เกิดกลิ่นนมต้ม และคุณค่าทางโภชนาการถูกทำลายไปเพียงเล็กน้อย
  4. นมโฮโมจีไนส์ (Homogenised milk) เป็นนมที่ผ่านกระบวนการพลาสเจอร์ไรส์ แล้วทำให้ไขมันหรือครีมในนมแตกกระจายไปทั่วเนื้อนม เพื่อป้องกัน การแยกตัวของไขมัน เหมาะสำหรับผู้ที่ดื่มนมแล้วเกิดย่อยยาก
  5. นมผง (Powderd milk) ชนิดธรรมดา จะมีสารอาหารเช่นเดียวกับนมสด ยกเว้นวิตามินบี1 และบี12 เหมาะสำหรับการเก็บรักษาในอุณหภูมิห้องได้นาน

บทความนี้ได้นำเสนอ บางแง่มุม สาระน่ารู้ เพื่อการเลือกดื่มนมให้เหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย ทั้งผู้ที่ต้องการแร่ธาตุครบถ้วน เช่น เด็กทารก หรือต้องการแร่ธาตุบางส่วน ในผู้ป่วยไขมันในเลือดสูง หรือผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก ด้วยการเลือกดื่มนมแทนอาหาร

Posted on

สาหร่ายเกลียวทอง (Spirulina plantensis ) : คุณประโยชน์จากท้องทะเลที่อุดมด้วยโปรตีนและวิตามิน

สาหร่ายเกลียวทอง
มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Spirulina plantensis ‘สาหร่ายสไปรูลิน่า’ หรือที่รู้จักกันว่า ‘สาหร่ายเกลียวทอง’ เป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว จัดอยู่ในกลุ่มสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน (Blue-green algae) เป็นสายพันธุ์ Platensis ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่ดีที่สุด ซึ่งให้สารคลอโรฟิลล์ในประมาณที่สูงและยังเป็นสาหร่ายที่อุดมไปด้วยสารอาหารโปรตีน60-70% กรดไขมันจำเป็น วิตามินและเกลือแร่ รวมทั้งสารอาหารอื่นๆอีกมากมายที่มีประโยชน์แก่ร่างกาย
ชนิดที่พบโดยมากมีเม็ดอากาศ (gas vacuoless) เล็กๆ จำนวนมากอยู่ภายในเซลล์ ทำให้สาหร่ายเกลียวทองลอยตัวได้ดี เม็ดอากาศแต่ละเม็ด อยู่ภายในถุงซึ่งเป็นเยื่อบางๆ และเยื่อนี้เป็นสารจำพวกโปรตีนปริมาณสูง( ซึ่งมีปริมาณสูงกว่าโปรตีนจาก เนื้อวัวและไข่ถึง 3 เท่า) นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยวิตามินที่มีคุณค่าต่อร่างกาย อย่าง B1,B2,B3และ B12 วิตามิน C วิตามิน E และเบต้าแคโรทีน (ซึ่งมีอยู่ประมาณ 20-25 เท่าของที่มีอยู่ในแครอท)

ตอนนี้สาหร่ายเกลียวทองได้ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มของอาหารเสริมชนิดหนึ่ง ด้วยคุณค่าทางโภชนาการที่มีอยู่มากมายดังกล่าว และได้มีการค้นพบเพิ่มเติมว่า ยังประกอบไปด้วย

  1. กรดกลูมาติก ซึ่งมีความสำคัญในขบวนการเผาผลาญอาหารให้เซลล์สมอง
  2. แมงกานิส เป็นส่วนประกอบอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญและช่วยเข้าไปเสริมการทำงานของประสาทสมอง
  3. ไอโซลิวซีน ในสาหร่ายเกลียวทองช่วยป้องกันความเสื่อมของระบบประสาท
  4. ลิวซีน ไปกระตุ้นสมองส่วนบนช่วยให้ร่างกายตื่นตัวและกระฉับกระเฉง
  5. เบต้าแคโรทีน ที่มีฤทธิ์เป็นสารต่อต้านการเจริญเติบโตของเนื้องอกและมะเร็งหลายชนิด

ปัจจุบันสาหร่ายเกลียวทองนอกจากเป็นอาหารเสริม บำรุงร่างกายแล้วยังสามารถนำมาผสมในผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนัก ครีมบำรุงรักษาผิวพรรณ ครีมลบรอยแผลเป็นต่างๆ ได้อีกด้วย ที่ดูจะเป็นข่าวดีที่สุดก็คงเป็นเรื่องของการทดลองสกัดสารจากสาหร่ายเกลียวทองแล้ว พบว่า คือ สาร Sulfolipid ที่เป็นส่วนประกอบส่วนหนึ่งของสาหร่ายนั้น มีผลต่อการยับยั้งไวรัสเอดส์ และเชื่อว่าต่อไปจะเป็นเรื่องที่น่ายินดีมากขึ้น ถ้าหากมีการพัฒนาสารชนิดนี้ แล้วนำมาสกัด เป็นยารักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคเอดส์ได้ เพราะทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีอะไรเกินความสามารถของมนุษย์ อย่างเราไปได้แน่นอน

เอกสารอ้างอิง:วิทยานิพนธ์ ‘การใช้สาหร่ายเกลียวทองสดเป็นส่วนประกอบของอาหารผสมสำหรับเลี้ยงปลาตะเพียนขาว และปลาดุกอุย’ โดย บานชื่น ชลสวัสดิ์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน วันจันทร์ ที่ 27 พฤศจิกายน 2543

Posted on

เคล็ดลับการเลือกเพศบุตร ด้วยวิธีง่ายๆ แบบธรรมชาติ โดยไม่ต้องพึ่งหมอ ทำอย่างไร

เคล็ดลับการเลือกเพศบุตร แบบธรรมชาติ เป็นการคิดค้นของ นายแพทย์เช็ทเทิล ชาวฝรั่งเศส และนายแพทย์สโตโลสกี้ ชาวรัสเซีย ซึ่งตามทฤษฏีของนายแพทย์ทั้งสองท่าน จะมีโอกาสได้เพศบุตรตามต้องการถึง ร้อยละ 80-85 โดยมีรายละเอียดดังนี้

วิธีการตรวจไข่สุกด้วยตนเอง

  1. วัดอุณหภูมิร่างกายพื้นฐาน และบันทึกในกราฟดังนี้
    1. เตรียมปรอทวัดไข้ไว้ แล้วสลัดปรอทให้อุณหภูมิต่ำกว่า 36 องศาเซลเซียส แล้ววัดอุณหภูมิทันทีที่ตื่นนอนตอนเช้า โดยอาจจะวัดทางปาก ทางทวารหนัก หรือทางช่องคลอด ใส่ไว้นาน 3-5 นาที แล้วอ่านผล
    2. นำผลที่วัดได้ มาเขียนกราฟบันทึกไว้ในแต่ละวัน โดยเริ่มบันทึกวันแรกที่มีประจำเดือนเป็นวันที่ 1 วันที่ไข่สุกจะเป็นวันที่อุณหภูมิลดลงต่ำสุด ควรทำเป็นกราฟดูล่วงหน้า 1-2 เดือน จะเห็นรูปแบบชัดเจนขึ้น
  2. ตรวจดูมูกในช่องคลอด โดยการสอดนิ้วชี้ที่ล้างสะอาดแล้วเข้าไปในช่องคลอดจนสุด และเอาเมือกที่ติดนิ้วออกมายืดดูระหว่างนี้วชี้กับนิ้วหัวแม่มือ ในวันไข่สุกมูกจะใสและยืดได้ยาวมากประมาณ 8-10 ซม.
  3. ซื้อชุดทดสอบการตกไข่มาตรวจ มีหลายชนิดให้เกลือ โดยตรวจจากปัสสาวะจะบอกล่วงหน้าได้ว่าวันไหนไข่จะสุก
  4. ในผู้ที่มีการปวดท้องน้อยวันไข่สุกนั้น เป็นวิธีการสังเกตวันไข่สุกอีกวิธีหนึ่ง

เคล็ดลับการมีเพศสัมพันธ์ให้ได้บุตรชาย โดยพบว่าตัวอสุจิเพศชาย (Chromosome Y ) จะมีขนาดเล็ก ว่ายเร็วและทนต่อสภาพด่าง จึงมีวิธีง่ายๆ ดังนี้

  1. ต้องมีเพศสัมพันธ์ในวันที่ไข่สุก หรือในเวลาที่ใกล้ไข่สุกมากที่สุด
  2. ก่อนมีเพศสัมพันธ์ควรจะสวนล้างช่องคลอดให้มีสภาพเป็นด่างอ่อนๆโดยใช้โซเดียมไบคาร์บอเนต(ผงฟูที่ใช้ทำขนมปัง) ประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำสะอาด 1 ลิตร สวนล้างช่องคลอดก่อนมีเพศสัมพันธ์ 1 ชั่วโมง
  3. ในการมีเพศสัมพันธ์ฝ่ายหญิงควรถึงจุดสุดยอดก่อนหรือพร้อมๆ กับฝ่ายชายเพื่อจะได้มีการหลั่งน้ำเมือกที่มีคุณสมบัติเป็นด่างออกมา
  4. เมื่อถึงจุดสุดยอดฝ่ายชายจะต้องสอดอวัยวะเพศเข้าไปในช่องคลอดให้ลึกที่สุด เพื่อที่จะหลั่งน้ำอสุจิบริเวณปากมดลูก ซึ่งมีน้ำเมือกที่เป็นด่างรออยู่
  5. ท่วงท่าและลีลาแห่งความรัก ควรจะเป็นท่าสอดผ่านไปทางด้านหลัง
  6. ต้องงดเว้นการมีเพศสัมพันธ์ไว้จนกว่าจะถึงวันที่ไข่สุก

สูตรอาหารสำหรับผู้ต้องการบุตรชาย 

ต้องกินอาหารที่มีส่วนปะกอบของแร่ธาตุโซเดียมและโปแตสเซียมสูง ได้แก่ อาหารที่มีเกลือ น้ำปลา หรือมีรสเค็มนำหน้า ข้าว ขนมปังเค็ม เนื้อเค็ม ปลาเค็ม ผลไม้ทุกชนิด เนื้อสัตว์ทุกชนิด รวมทั้งผักทุกชนิดยกเว้นผักสีเขียว

อาหารที่ห้ามกินเด็ดขาด ก็คือ นม เนย ไอศกรีม ช๊อกโกแลต ไมโล โอวัลติน และเครื่องดื่มที่มีนมและช๊อกโกแลตเป็นส่วนประกอบ ไข่ คุกกี้ชนิดต่างๆ

เคล็ดลับการมีเพศสัมพันธ์ให้ได้บุตรหญิง โดยพบว่าตัวอสุจิเพศหญิง (Chromosome X ) จะมีขนาดใหญ่ ว่ายช้าและทนต่อสภาพกรด จึงมีวิธีง่ายๆ ดังนี้

  1. ต้องมีเพศสัมพันธ์ประมาณ 2 วัน ก่อนวันไข่สุก
  2. ก่อนมีเพศสัมพันธ์ควรสวนล้างช่องคลอดให้มีสภาพเป็นกรดอ่อนๆ โดยการใช้น้ำส้มสายชูกลั่นประมาณ 2 ช้อนโต็ะผสมกับน้ำสะอาด 1 ลิตร สวนล้างช่องคลอดก่อนมีเพศสัมพันธ์ 1 ชั่วโมง
  3. ในการมีเพศสัมพันธ์ฝ่ายหญิงควรถึงจุดสุดยอดหลังฝ่ายชาย เพื่อป้องกันการหลั่งน้ำเมือกที่มีคุณสมบัติเป็นด่างออกมา
  4. เมื่อถึงจุดสุดยอดฝ่ายชายจะต้องสอดอวัยวะเพศเข้าไปในช่องคลอดเพียงตื้นๆ เพื่อให้ตัวอสุจิว่ายผ่านความเป็นกรดของช่องคลอด ซึ่งตัวอสุจิเพศหญิงจะผ่านได้ดีกว่า และทนกว่าในสภาพกรด
  5. ไม่จำเป็นต้องงดการมีเพศสัมพันธ์ ยกเว้นในระยะ 2-3 วันก่อนไข่ตก

สูตรอาหารสำหรับผู้ต้องการบุตรหญิง 

ต้องกินอาหารที่มีส่วนประกอบของแร่ธาตุแคลเซียมและแมกนีเซียมสูง ได้แก่ นม เนย ไอศกรีม ช๊อกโกแลต ไมโล โอวัลติน และเครื่องดื่มที่มีนมและช๊อกโกแลตเป็นส่วนประกอบ ไข่ คุกกี้ชนิดต่างๆ ผักใบเขียว เช่น คะน้า ผักโขม ผักบุ้ง ตำลึง

อาหารที่ห้ามกินเด็ดขาด ก็คือ อาหารที่มีเกลือ น้ำปลา หรือมีรสเค็มนำหน้า ขนมปังเค็ม เนื้อเค็ม ปลาเค็ม กล้วย สัปประรด ส้ม มะนาว น้ำผลไม้ เนยแข็ง และเครื่องดื่มที่มีอัลกอฮอร์ผสม

Posted on

อยากรับประทานวิตามินเสริม ควรเลือกวิตามินรวมหรือวิตามินเดี่ยวหลายตัว อย่างไหน ดีกว่ากัน

การเลือกสูตรวิตามินที่ดีที่สุดสำหรับคนเราทั่วไป ควรจะเป็นสูตรใด หรือ ควรเลือกวิตามินเดี่ยวๆ ที่มีขายทั่วไป หรือวิตามินรวม ลองดูข้อคิดเห็นเหล่านี้ประกอบการตัดสินใจนะครับ

ข้อคิดเห็นบางแง่มุม ในการเลือกวิตามินรวมหรือวิตามินเดี่ยวๆหลายๆ ตัวในการบริโภคเสริม

  1. ร่างกายต้องการเกลือแร่และวิตามินมากมายหลายชนิดในแต่ละวัน เช่น วิตามินเอ บี ซี เค ธาตุเหล็ก แคลเซียม ฟอสฟอรัส สังกะสี ไอโอดีน ฯลฯ ดังนั้นผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่มีเกลือแร่และวิตามินหลากหลายชนิดในเม็ดเดียวกัน ย่อมครอบคลุมได้มากกว่าและสะดวกกว่าการเลือกรับประทานวิตามินเดี่ยวๆ หลายๆ ตัว
  2. วิตามินเดี่ยวๆ มักจะมีปริมาณสูงกว่าที่ร่างกายต้องการมาก เมื่อรับประทานร่วมกันหลายๆ ตัว อาจทำให้ปริมาณสมดุลที่เหมาะสมแต่ละตัวเปลี่ยนแปลงได้เมื่อต้องทำงานร่วมกัน การเลือกวิตามินรวมที่มีสัดส่วนที่พอเหมาะจะทำให้เอื้อต่อการทำงานร่วมกันมากกว่า ยกเว้นในรายที่ขาดวิตามินใดวิตามินหนึ่งโดยเฉพาะ
  3. ในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน การซื้อวิตามินเดี่ยวหลายๆ ตัว เมื่อรวมมูลค่าแล้ว ย่อมเสียค่าใช้จ่ายมากกว่าการเลือกวิตามินรวมในเม็ดเดียว
  4. การรับประทานวิตามินรวมสูตรดีๆ เพียง 1 เม็ดต่อวัน ย่อมสะดวกว่าการรับประทานยาวันละหลายๆ เม็ด
  5. การรับประทานวิตามินรวมเสริมอยู่แล้ว สามารถเพิ่มบางตัวเป็นพิเศษได้ถ้าส่วนประกอบไม่เพียงพอ เช่น

– แคลเซี่ยม ปกติร่างกายต้องการวันละ 1,000 มก.ต่อวันถ้าบรรจุในวิตามินรวม อาจจะทำให้เม็ดใหญ่เกินไป ทำให้กลืนลำบาก จึงอาจเพิ่มเติมได้อีกหนึ่งอย่าง
– วิตามินซี อาจเพิ่มได้วันละ 200-300 มก.ต่อวัน กรณีที่ร่างกายต้องการมากขึ้นใน ภาวะเครียด การเจ็บป่วย ขาดภูมิต้านทานโรค

จากข้อมูลเบื้องต้นเหล่านี้ ลองใช้เป็นหลักพิจารณาเลือกวิตามินสำหรับบริโภคเสริมด้วยตนเองได้นะครับ

Posted on

เชื้อโรคแอนแทรกซ์(Anthrax) ว่าที่อาวุธชีวภาพ ที่เกิดขึ้นได้ในสงครามอนาคต ติดง่าย ตายไว

โรคแอนแทรกซ์(Anthrax) เป็นโรคติดเชื้อของสัตว์ โดยเฉพาะสัตว์กินหญ้า เช่น วัว ควาย แพะ แกะ คนเริ่มกลัว เพราะในปี 2001 เชื้อโรคนี้อาจจะเป็น อาวุธสงครามเชื้อโรคได้ในอนาคต โดยเฉพาะในอเมริกา เนื่องจากผู้ก่อการร้ายใช้สปอร์ของเชื้อ Bacillus anthracis โรยตามจดหมายและพัสดุภัณฑ์ เมื่อกลางปี 2001
โรคแอนแทรกซ์(Anthrax) เกิดจากการติดเชื้อ Bacillus anthracis ซึ่งเป็นแบคทีเรียแกรมบวก สร้างสปอร์ภายในเซลล์ ( ดูภาพประกอบที่ 1) โดย อยู่ในรูปสปอร์ได้เป็นเวลานานหลายปี และมีความทนทานต่อความร้อนแห้งที่อุณหภูมิ 140 องศาเซลเซียส ได้นานถึง 1-3 ชั่วโมง และความร้อนที่มีไอน้ำได้ถึง 5 นาทีที่อุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส

การติดต่อ: มนุษย์สามารถรับเชื้อ Bacillus anthracis โดยได้รับสปอร์เข้าสู่ร่างกาย ได้ 3 วิธีดังนี้

  1. ทางการสัมผัสโดยตรงกับเชื้อโรค จากซากสัตว์ที่ตายจากโรคนี้ หรือผลิตภัณฑ์ที่ทำจากสัตว์ เช่น แปรงโกนหนวด อานม้า ผ้าคลุมของม้า หนังสัตว์ ขนสัตว์
  2. ทางเดินอาหาร โดยการรับประทานเนื้อสัตว์ที่เป็นโรคนี้
  3. ทางลมหายใจ โดยการสูดดมสปอร์ของเชื้อโรคโดยบังเอิญ เช่นที่เกิดขึ้นกับคนไข้ในอเมริกาเมื่อเร็วๆ นี้

ลักษณะอาการทางคลินิกที่ตรวจพบ
1. โรคแอนแทรกซ์ผิวหนัง( Cutaneous anthrax): โดยเชื้อโรคจะสัมผัสกับผิวหนังที่ถลอก หรือมีบาดแผล พบบ่อยบริเวณแขน และมือ แผลมีลักษณะจำเพาะ คือมีลักษณะกลมขนาดเส้นผ่าศูนต์กลาง 1-3 เซนติเมตร เป็นแผลคลุมด้วยสะเก็ดดำล้อมรอบ (eschar) คือมีอาการบวมนุ่มๆ แต่กดไม่บุ๋ม ขอบแข็ง ตรงกลางมีรอยแผลไหม้ดำ ต่อมน้ำเหลืองบริเวณใกล้รอยโรคมีอาการอักเสบและกดเจ็บ
2. โรคแอนแทรกซ์ของระบบทางเดินอาหาร (Gastrointestinal anthrax) มักพบจากการรับประทานเนื้อสัตว์ที่ปนเปื้อนสปอร์เชื้อโรค มีอาการไข้ คลื่นไส้ เบื่ออาหาร อาจมีอาการปวดท้อง ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด ในรายที่มีอาการรุนแรงจะมีการติดเชื้อในกระแสเลือด ซึ่งพบได้ประมาณ 20-60% และช๊อคเสียชีวิต ภายใน 2-5 วันหลังจากมีอาการที่รุนแรง
3. โรคแอนแทรกซ์ของระบบทางเดินหายใจ ( Inhalational anthrax,Woolsorter’s disease)  ผู้ป่วยได้รับการสูดหายใจเอาสปอร์เข้าไปในร่างกาย ผู้ป่วยจะมีอาการทางคลินิกได้ 2 ระยะ ก็คือ
-ระยะแรกใน 1-2 วัน อาจมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ มีไข้ ปวดเมื่อยตามตัว และอาจปวดกล้ามเนื้อ อาการอาจหายๆไปภายใน 2-3 วัน
– หรืออาจจะมีอาการมากขึ้น หายใจไม่ออก เหนื่อยหอบ ขาดออกซิเจน ตัวเขียว และอาจถึงแก่ชีวิตได้ถึง 90% ภายใน 24-36 ชั่วโมง โดยเกิดภาวะแทรกซ้อนที่เยื่อหุ้มสมองอักเสบ และเลือดออกในสมอง ถ้าทำการรักษาไม่ทันท่วงที

การรักษาและป้องกัน: 

– ให้ยารับประทานด้วย PenV 250 มก.ทุก 6 ชั่วโมง เป็นเวลานาน 5-7 วันก็ทำให้เชื้อโรคหมดไปได้ใน 24 ชม.แรกและอาการยุบบวมสะเก็ดหลุดอีก 3-7 วันต่อมา
– แต่ในกรณีที่เป็นรุนแรง หรือติดเชื้อแทรกซ้อน เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ หรือติดเชื้อในกระแสเลือด อาจจะต้องฉีดยาเข้าเส้นแทน และนอนรพ.

วัคซีนป้องกันโรคแอนแทรกซ์(Anthrax)
มักจะฉีดให้แก่คนที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อสูง เช่น คนที่ทำงานเกี่ยวกับการเลี้ยงสัตว์ โดยประกอบด้วย การฉีด 6 ครั้ง ใต้ผิวหนังสัปดาห์ที่ 0,2,4,6,12,18 และกระตุ้นปีละครั้ง – โรคแอนแทรกซ์(Anthrax) ในประเทศไทยเป็นโรคที่ต้องแจ้งความต่อข่ายงานเฝ้าระวังโรค กรณีที่ตรวจพบ

Posted on

วิตามินที่ได้จากสารสกัดธรรมชาติ ดีกว่าวิตามินจากการสังเคราะห์ทางเคมีหรือไม่ เลือกอย่างไร ให้เกิดประโยชน์

ปัจจุบันกระแสความนิยมธรรมชาติกำลังเป็นที่นิยมกันอย่างมาก ไม่ว่าในแง่ของการกลับไปรับประทานอาหารจากแหล่งธรรมชาติมากขึ้น เช่น การรับประทานข้าวกล้องแทนข้าวขัดขาว หรือแนวทางชีวจิตต่างๆ ทั้งนี้ก็ด้วยความเชื่อและหวังว่าจะทำให้ร่างกายมีสุขภาพที่แข็งแรงนั่นเอง
แนวความคิดดังกล่าว ได้นำมาประยุกต์ใช้กับการเลือกผลิตภัณฑ์อาหารเสริม หรือวิตามินที่ใช้ในการรับประทานบำรุงร่างกาย ทำให้มีข้อกังขา หรือข้อสงสัยกันว่า ‘ วิตามินที่ได้จากธรรมชาติดีกว่าวิตามินจากการสังเคราะห์หรือไม่?’

ก่อนจะตัดสินใจประโยคดังกล่าว ลองพิจารณาข้อเท็จจริงต่างๆ ดังนี้

  1. วิตามินที่ได้จากธรรมชาติ หมายถึง วิตามินที่ได้จากการสกัดจากพืชหรือสัตว์ ส่วนวิตามินจากการสังเคราะห์ จะได้จากปฏิกริยาทางเคมี ส่วนข้อที่เป็นข้อเท็จจริง ก็คือ วิตามินที่ได้จากธรรมชาติเอง ก็ต้องผ่านขั้นตอนทางอุตสาหกรรมซึ่งต้องใช้สารเคมีร่วมด้วย
  2. ดังนั้นวิตามินที่ได้จากธรรมชาติ ถ้ามาจากแหล่งผลิตที่ไม่ได้มาตรฐาน ก็อาจจะมีสารปนเปื้อนอืนๆ เจือปนได้ เช่น วิตามินที่มาจากพืชบางชนิด อาจจะมีฮอรโมนผสมหรือเจือปนมาด้วย ถ้าสกัดออกมาไม่บริสุทธิ์พอ อาจจะมีผลต่อเพศชายหรือเด็กได้
  3. การออกฤทธิ์ของวิตามิน ขึ้นอยู่กับโครงสร้างทางเคมีเป็นสำคัญ ซึ่งทั้ง วิตามินที่ได้จากธรรมชาติ และวิตามินที่มาจากการสังเคราะห์ ชนิดเดียวกัน จึงมีสูตรโครงสร้างทางเคมีที่เหมือนกัน ผลที่ได้จึงไม่น่าแตกต่างกัน เช่น วิตามินซีซึ่งอาจจะผลิตออกมาได้ทั้งสองวิธี
  4. วิตามินที่ใช้กันในปัจจุบัน บางชนิดได้มาจากธรรมชาติทั้งหมด เช่น วิตามินดี บางชนิดได้มาจากสังเคราะห์เท่านั้น เช่น กรดแอสคอร์บิค หรือเกลือ ของกรดแอสคอร์บิคในวิตามินซี 1เม็ด
  5. วิตามินที่เป็นกลุ่มวิตามินรวมหลายๆ ชนิด และเกลือแร่ เช่น Z-bec,Centrum มักจะเกิดจากการผสมผสานกันทั้ง วิตามินที่ได้จากธรรมชาติและ วิตามินที่ได้จากการสังเคราะห์
  6. วิตามินที่ผลิตจากบริษัทหรือยี่ห้อเดียวกัน ต่างชนิดกัน อาจจะมีทั้งที่ได้จากธรรมชาติ และจากการสังเคราะห์

จากข้อเท็จจริงข้างต้น ดังนั้นการจะเลือกรับประทานวิตามินจากธรรมชาติหรือวิตามินจากการสังเคราะห์ จึงไม่น่าเป็นประเด็นสำคัญ สำหรับเราในการตัดสินใจในการเลือกบริโภค แต่ควรคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ เพื่อช่วยพิจารณา ดังนี้

  1. เลือกผลิตภัณฑ์วิตามินที่มีสูตรเหมาะสมกับตนเอง
  2. มีปริมาณสารแต่ละชนิดไม่มากหรือน้อยเกินไป โดยอ้างอิงจาก FDA ที่รับรองขนาดที่จะรับประทานเป็นมาตรฐาน
  3. ผลิตภัณฑ์มาจากบริษัทที่เชื่อถือได้ มีการดูดซึมได้ดี ไม่มีสารปนเปื้อนหรือตกค้าง
  4. ราคาเหมาะสมกับคุณภาพ
  5. ระบุวันหมดอายุก่อนซื้อทุกครั้ง
  6. ได้รับการขึ้นทะเบียนจากสำนักงานอาหารและยา
Natural Vitamin
Chemical Vtiamins

Posted on

ตับสัตว์ : คุณประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไร เหมาะกับใคร ต้องระวังอะไรในการรับประทาน

ตับ(Liver) เป็นอวัยวะที่สำคัญของมนุษย์ เพราะตับจะเป็นแหล่งรวมของเอนไซม์มากมายที่มีประโยชน์ในการก่อให้เกิดกระบวนการหรือปฏิกริยาสำคัญๆ ต่อการทำงานของเซลล์และอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย และยังมีหน้าที่กำจัดสารพิษในร่างกายด้วย นอกเหนือจากไต

ตับจากสัตว์ ก็มีหน้าที่ไม่แตกต่างจากตับในมนุษย์ ดังนั้นการรับประทานตับจากสัตว์ต่างๆ เราก็จะได้รับเอนไซม์ และสารอาหารหลายๆ ตัวที่มีประโยชน์ต่อตับของมนุษย์เช่นกัน

สารอาหารและแร่ธาตุที่สำคัญจากการรับประทานตับ

  1. ธาตุเหล็ก: – พบว่าธาตุเหล็กจากตับ เป็นธาตุเหล็กที่อยู่ในรูปของเหล็กที่จับกับโปรตีน ซึ่งเรียกว่า Heme Iron ซึ่งดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้อย่างรวดเร็ว และร่างกายนำไปใช้ประโยชน์ได้ทันที โดยไม่ต้องผ่านขบวนการใดๆ ซึ่ง heme iron นี้ ร่างกายจะนำไปใช้ในการสร้างเม็ดเลือดแดง ซึ่งจะทำหน้าที่ในการพาออกซิเจน ไปยังเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ ทำให้เซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ ทำงานมีประสิทธิภาพดีขึ้นและนานขึ้น
  2. วิตามินบี 12: – วิตามินชนิดนี้ เป็น วิตามินพลังงาน (Energy Vitamin) เพราะจะช่วยเพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกาย โดยการเพิ่มการนำโปรตีน ไขมัน และคาร์โบไฮเดรต ที่มีอยู่ในร่างกายมาเผาผลาญเป็นพลังงานได้รวดเร็วขึ้น นอกจากนี้ วิตามินบี 12 ยังช่วยให้ heme iron ทำงานได้ดีขึ้น และยังมีความสำคัญในการสร้าง DNA,RNA,Choline และ กรดอะมิโนหลายๆ ตัว ในร่างกาย
  3. กรดโฟลิค: – เป็นสารที่สำคัญในกระบวนการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง ช่วยในการเจริญเติบโตของเซลล์และกล้ามเนื้อ และช่วยเสริมการทำงาน ของระบบประสาท ช่วยลดอาการอ่อนล้าของกล้ามเนื้อได้ โดยทำงานร่วมกับวิตามินบี 12
  4. เอนไซม์ Co-Q10: – ซึ่งพบได้มากในอวัยวะที่มีพลังงานสูง เช่น ตับ ถือว่าเป็นสารกำจัดอนุมูลอิสระ (Anti-oxidants) ที่ดีตัวหนึ่ง ทำให้ป้องกัน และลดการเสื่อมของเซลล์ (Ageing) นอกจากนี้ยังมีส่วนสำคัญในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายอีกด้วย
  5. วิตามินเอ: – พบในปริมาณที่สูง ซึ่งช่วยให้ผิวหนังสุขภาพดี และมีความต้านทานต่อการติดเชื้อ
  6. นอกจากนี้ยังพบสารอื่นๆ อีกมากมาย รวมทั้งธาตุสังกะสี

ตับสัตร์เหมาะกับใคร

  1. ลดอาการอ่อนเพลีย หรือเมื่อยล้าจากการออกกำลังกาย
  2. เพิ่มพลังงานในระหว่างออกกำลัง ให้ทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น จึงเหมาะกับนักกีฬา หรือผู้ที่ออกกำลังกายอย่างหนัก
  3. ผู้ป่วยโรคตับอักเสบ ตับแข็ง จะได้รับสารอาหารเพื่อทดแทน
  4. ผู้ป่วยในระยะพักฟื้น
  5. ผู้สูงอายุที่มีความรู้สึกอ่อนเพลีย หรือหมดเรี่ยวแรงได้ง่าย
  6. สตรีที่มีประจำเดือน เพราะมีการสูญเสียเลือดปริมาณมาก หรือผู้ป่วยโรคโลหิตจาง
  7. เสริมสร้างการทำงานของระบบประสาท
  8. เพื่มการไหลเวียนของโลหิต
  9. เสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย
  10. ช่วยเสริมสร้ามกล้ามเนื้อสำหรับผู้ที่เล่นกล้าม

ข้อควรระวังในการรับประทานตับ 

  1. นสตรีมีครรภ์ หรือสตรีที่เตรียมจะมีบุตร ควรลดการรับประทานตับ หรือผลิตภัณฑ์จากตับ เช่นตับบด เพราะในตับ 100 กรัมจะมีวิตามินเอ สูงกว่าปริมาณที่ได้รับประจำถึง 16 เท่า และวิตามินเอปริมาณสูงๆ อาจทำให้ทารกที่คลอดออกมาผิดปกติได้
  2. ในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง หรือไขมันในเลือดสูง ควรรับประทานไม่เกิน 1 ครั้งต่อสัปดาห์ เพราะตับจะมีปริมาณคลอเรสเตอรอลสูง
  3. การรับประทานตับ ควรผ่านกรรมวิธีการปรุงอาหารที่ถูกวิธี และสุก เพราะอาจจะเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคที่ปะปนมากับตับ เช่น ไวรัสตับอักเสบเอ ไวรัสตับอักเสบบี โรคพยาธิใบไม้ในตับ

Posted on

Creatine อาหารเสริม เพิ่มพลังงาน สร้างมวลกล้ามเนื้อ สำหรับคนออกกำลังกาย

Creatine เป็นสารประกอบไนโตรเจนชนิดหนึ่งที่พบมากในกล้ามเนื้อ และส่วนใหญ่จะสะสมอยู่ในรูปของ Creatine Phosphate ซึ่งถือเป็นสาร ที่ทำให้กล้ามเนื้อต้องการในการหดตัว เพื่อสร้างพลังงานจากการเปลี่ยนกลับของ ADP เป็น ATP
ปกติในร่างกายของมนุษย์ขณะออกกำลังกาย หรือเล่นกีฬาต่างๆ กล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการออกกำลังกายจะทำงานอย่างหนัก โดยใช้พลังงาน ในปริมาณที่สูง พลังงานที่ได้นี้ มาจากการสลายโมเลกุลของสารที่อยู่ในร่างกาย เรียกว่า ATP (Adeonosine Triphosphate)
บทบาทของ Creatine
จะมีหน้าที่ในการเปลี่ยนให้โมเลกุลของ ADP กลับไปเป็น ATP ได้อีก เพื่อให้กล้ามเนื้อได้ใช้พลังงานจาก ATP ดังนั้นการได้รับสาร Creatine เป็นอาหารเสริม จึงเหมือนการที่ทำให้กล้ามเนื้อได้ใช้พลังงานอย่างเต็มที่ ทำให้ทำงานได้มากขึ้น กล้ามเนื้อแข็งแรงและโตขึ้น
ซึ่งโดยปกติร่างกายจะสร้างจากกรดอะมิโน 3 ตัว คือ Glycine+Arginine+Methionine ดังนั้นหากเรารับประทาน Creatine เป็นอาหารเสริมโดยตรง จึงช่วยลดขั้นตอนการสร้าง และทำให้กล้ามเนื้อ สามารถทำงานได้เต็มที่ ในขณะที่ต้องการพลังงานเร่งด่วน หรือจำเป็น

เหมาะกับกลุ่มคนเหล่านี้
1. ผู้ที่ออกกำลังกายทั่วไป ที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
2. นักกีฬาที่ออกกำลังกายอย่างหนักในระยะเตรียมตัวฝึกซ้อม หรือก่อนการแข่งขัน
3. นักกีฬายกน้ำหนัก หรือนักกล้ามที่กำลังฟิตร่างกาย เพื่อการแข่งขัน
4. ผู้ป่วยหลังการผ่าตัด เพื่อช่วยให้กล้ามเนื้อต่างๆ ประสารกับได้เร็วขึ้น
5. ผู้ที่อ่อนเพลีย หรือเหนื่อยล้าจากการเล่นกีฬาอย่างหนัก หรือหักโหม

ขนาดรับประทาน 3-5 กรัมต่อวัน สำหรับนักกีฬาที่ต้องการเพิ่มระดับพลังงานช้าๆ หรือเพิ่งฟื้นจากการแข่งขัน หรืออ่อนล้ากล้ามเนื้อ และ 20-30 กรัมต่อวัน สำหรับผู้ที่ต้องการเสริมสร้างกล้ามเนื้ออย่างรวดเร็ว เช่น ขณะแข่งขันยกน้ำหนัก หรือแข่งว่ายน้ำ กรีฑา

Posted on

โปรแกรมบริหารร่างกายแบบง่ายๆ คลายเครียด ลดอาการเมื่อยล้า สำหรับหนุ่มสาวออฟฟิต

ปัจจุบัน การทำงานในแต่ละวัน เช่น การนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ การประชุม ทำให้เราต้องนั่งอยู่กับที่นานๆ แต่ร่างกายมนุษย์ได้ถูกกำหนดให้มีการเคลื่อนไหว ตลอดเวลา ดังนั้นการจำกัดการเคลื่อนไหว จึงอาจทำให้กล้ามเนื้อตึงเครียดและอ่อนล้าได้
ดังนั้น จะแนะนำโปรแกรมบริหารร่างกายแบบง่ายๆ ภายในสำนักงาน ที่สามารถลดอาการปวดเมื่อยจากท่วงท่าที่ไม่ถูกต้อง และช่วยขจัดความเครียด

โปรแกรมการบริหารร่างกายในสำนักงาน

  1. ท่าสำหรับกล้ามเนื้อขา(Wall sits) : ยืนพิงหลังกับฝาผนัง วางเท้ากว้างประมาณช่วงใหล่ แล้วค่อยๆ เลื่อนตัวลงช้าๆ จนเหมือนคุณนั่งเก้าอี้ หยุดนิ่งไว้ 5-10 วินาที จึงค่อยๆ ยืนขึ้นสู่ที่เดิม ทำซ้ำประมาณ 5-10 ครั้ง
  2. ท่าขจัดความตึงเครียดบริเวณหัวไหล่(Soulder Hugs):โอบแขนทั้งสองของคุณไปจับไหล่ของอีกด้านหนึ่ง โดยใช้มือซ้ายจับไหล่ขวาและมือขวาจับใหล่ซ้าย
  3. ท่าบริหารสำหรับร่างกายท่อนบน(Chair Dips): นั่งที่ส่วนปลายของเก้าอี้ และวางเท้ากับพื้น วางมือทั้งสองไว้ที่ท่าปลายเก้าอี้และเลื่อนตัวของคุณออกมาด้านหน้าเก้าอี้ ให้เหลังตรงค่อยๆลดตัวคุณลงมาจนกระทั่งต้นแขนขนานกับพื้น จากนั้นดันตัวกลับขึ้นไป ทำประมาณ 8-12 ครั้ง
  4. ท่าบริหารกล้ามเนื้อท้อง(Knee-to-Elbow Touches): นั่งบนเก้าอี้วางเท้าบนพื้น วางมือทั้งสองไว้บนศีรษะด้านหลังจากนั้นยกขาด้านซ้ายขึ้นพร้อมกับดึงข้อศอก ด้านขวาลงไปพยายามแตะ หลังจากนั้นให้ทำสลับกันกับอีกข้างหนึ่ง ทำอย่างน้อย 5 ครั้ง
  5. ท่าบริหารต้นขา(Seated Leg Lifts): นั่งลงบนเก้าอี้ เท้าวางบนพื้น จากนั้นยกเท้าพร้อมกันจนขาเป็นแนวตรง นิ่งค้างไว้ประมาณ 5 วินาที จึงลดลงแล้วทำซ้ำ
  6. ท่าสำหรับบริหารอกและท้อง(Twists): นั่งลงบนเก้าอี้ เท้าวางบนพื้น ยกแขนขึ้นมาข้างลำตัว ให้ปลายแขนตั้งฉาก จากนั้นพยายามบิดลำตัวไป ทางด้านซ้ายให้มากที่สุดเท่าที่จะทำให้ ค้างไว้ประมาณ 2 วินาที ต่อจากนั้นบิดตัวกลับที่เดิม ทำซ้ำ 3 ครั้งจึงไปฝึกด้านขวา

โปรแกรมสำหรับการขจัดความเครียดในที่ทำงาน:

  1. เปลี่ยนอิริยาบท หลีกเลี่ยงการอยู่ในอิริยาบทเดิมนานๆ
  2. ควรหาเวลาเล็กน้อย ประมาณ 10-15 นาทีในการเหยียดขา เคลื่อนไหวแขน หรือยืดนิ้วมือ
  3. พยายามพูดคุยในเวลาที่เดิน หรือวิ่งกับเพื่อนร่วมงาน เพื่อให้ร่างกายได้ขยับหรือเคลื่อนไหวมากขึ้น
  4. ในระหว่างอาหารกลางวัน เปลี่ยนไปเดินรับประทานนอกสถานที่ เพื่อผ่อนคลายจิตใจและทำให้ขาได้เปลี่ยนอิริยาบท( แต่กลับใหัทันเวลาทำงานนะครับ)
  5. ขณะคุยโทรศัพท์ พยายามยืนคุย เพื่อช่วยให้กล้ามเนื้อและการหมุนเวียนโลหิตเปลี่ยนแปลงจากเดิม และช่วยให้การได้ยินของคุณดีขึ้น
  6. ถ้ามีโอกาส หลับตา หรือนอนพักผ่อน ประมาณ 10-15 นาที

Posted on

L-Ornithine : กรดอะมิโน เพิ่มพลังงาน เสริมสร้างกล้ามเนื้อ กำจัดสารพิษที่ทำให้อ่อนล้า สำหรับนักกีฬา

L-Ornithine เป็นกรดอะมิโนตัวหนึ่ง ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานของโปรตีน ที่นิยมนำมารับประทานเสริมในกลุ่มนักกีฬาที่ต้องออกกำลังกายอย่างหนัก
เพราะ นักกีฬาในหลายๆประเภท การจะเล่นกีฬาให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด ย่อมต้องอาศัยความแข็งแรงและขนาดของกล้ามเนื้อที่เหมาะสมในกีฬาแต่ละประเภท จึงได้มีอาหารเสริมหลากหลายชนิดที่นำมารับประทานเพิ่มจากคุณค่าของอาหารตามปกติ เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด
L-Ornithine มีบทบาทต่อร่างกายดังนี้ 
1. เป็นสารตั้งต้นหรือสารหลักของร่างกายในการสร้างกรดอะมิโนตัวอื่นๆ ได้แก่
 1.1 Glutamic acid ช่วยสร้างสารสื่อประสาทและการทำงานของสมอง ช่วยกำจัดสารพิษพวกไนโตรเจนที่ทำให้กล้ามเนื้อเมื่อยล้า หรือปวดเมื่อย และยังช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับปกติ
1.2 Citrulline ช่วยกำจัดสารพิษพวกไนโตรเจน และกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย
1.3 Proline,Hydroxyproline สร้างคอลลาเจน โปรตีน ที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของกระดูกอ่อน กระดูกและผิวหนัง
2. กำจัดของเสียที่เกิดจากการออกกำลังกาย โดยจับกับแอมโมเนียซึ่งเป็นของเสียจากปฏิกริยาการย่อยสลายโปรตีนในระหว่างการออกกำลังกาย ซึ่งถ้าร่างกาย กำจัดออกไม่ทัน อาจสะสมและเป็นอันตรายต่ออวัยวะต่างๆ เช่น สมอง ซึ่งพบว่าของเสียแอมโมเนียเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดโรคสมองเสื่อม
3. L-Ornithine ในช่วยออกกำลังกาย จะถูกเปลี่ยนเป็นสาร OKG (Ornithine-Alpha-Ketoglutamate) ซึ่งมีบทบาทดังนี้
3.1 ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายหลั่ง Growth hormone ซึ่งมีฤทธิ์กระตุ้นให้เซลล์กล้ามเนื้อขยายขนาดขึ้น และแข็งแรงทนทานมากขึ้น
3.2 ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งอินซูลิน ซึ่งมีฤทธิ์ในการเพิ่มเมตาบอริซึมกลูโคสให้เป็นพลังงานกับกล้ามเนื้อ
3.3 ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างโปรตีน ทดแทนที่ถูกทำลาย
4. ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ให้ทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น

จากประโยชน์ดังกล่าวของ L-Ornithine ต่อนักกีฬา ทำให้หลายคนที่เกรงว่าจะได้รับกรดอะมิโนไม่เพียงพอต่อความต้องการ และต้องการรับประทานเสริม แนะนำให้รับประทานขนาด 1,500-2,000 มก.ต่อวัน โดยแบ่งรับประทานเป็น 2 มื้อ เช้าและก่อนนอนทุกวัน แต่อย่างใดก็ตามก็ควรรับประทานโปรตีนเสริมร่วมด้วย เพื่อป้องกันการขาดกรดอะมิโนชนิดอื่นๆ

Posted on

ผงชูรส สมควรใช้หรือไม่ควรใช้ในการปรุงอาหาร มีอาการแพ้ หรือโทษได้หรือไม่ อย่างไร

ผงชูรส ถือว่าเป็นสิ่งที่อยู่คู่ครัวเรือนเกือบทุกบ้านในแถบเอเซีย ถือเป็นสารปรุงรสที่ได้รับความนิยมกันอย่างนมนานแล้ว ทั้งในร้านอาหารทั่วไป หรือในบ้านเรือน พ่อครัวแม่ครัวบางคนถือว่า ถ้าขาดผงชูรสในการปรุงอาหารจะทำให้รสชาดอาหารไม่เอร็ดอร่อยเท่าที่ควร
ได้มีบางคนสงสัย หรือข้อคำถามกันเป็นอย่างมากว่า ผงชูรสสมควรใช้หรือไม่ควรใช้ในการปรุงอาหาร และมีกลุ่มอาการแพ้ หรือโทษอย่างไรบ้าง
การทดลองผงขูรสอันตรายหรือไม่
ในปี 2529 ได้มีการทดสอบฉีดสาร Monosodium glutamate(MSG) หรือผงชูรส เข้าเส้นเลือดในสัตว์ทดลอง พบว่ามีการทำลายต่อระบบประสาท เพราะมีการทำงานที่ผิดปกติของสาร Glutamate receptor หรือระบบ Glutamate ที่เกี่ยวข้องกับโรค อัลไซเมอร์ หรือโรคทางระบบประสาทอื่นๆ
แต่เมื่อให้สัตว์ทดลองรับประทานสาร Monosodium glutamate(MSG) หรือผงชูรส ในปริมาณมากๆ กลับไม่พบผลเสียใดๆ อาจจะเป็นเพราะร่างกายมีกระบวนการกำจัดสาร Monosodium glutamate(MSG) หรือผงชูรส ได้ดี
คณะกรรมการที่ปรึกษาของ FDA ในอเมริกา ได้สรุปว่า ผงชูรส ที่มีสารประกอบของ Monosodium glutamate(MSG) สามารถใช้ปรุงอาหารได้โดยไม่มีอันตรายต่อสุขภาพทั่วไป แต่อาจจะมีอาการแพ้ได้ในบางคน

อาการแพ้ผงชูรส
1. มีอาการปวดศีรษะ ภายใน 1 ชั่วโมงหลังจากการรับประทานอาหารที่สงสัยว่ามีสาร Monosodium glutamate(MSG) หรือผงชูรส
2. และพบร่วมกับอาการอื่นๆ อีกอย่างน้อย 2 ชนิด คือ
2.1 แน่นหน้าอก
2.2 หนักและรู้สึกตึงๆ ที่ใบหน้า
2.3 มีอาการออกร้อนที่หน้าอก ลำคอ และหัวไหล่
2.4 ร้อนวูบวาบที่ใบหน้า
2.5 มึนงง
2.6 แน่นท้อง มวนท้อง
สาเหตุการแพ้ผงชูรส
กลไกการเกิดอาการดังกล่าว ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่มีสมมุติฐานอาจจะเกิดจากสาร Monosodium glutamate(MSG) หรือผงชูรส ไปกระตุ้นระบบการนำกระแสประสาท ( Neurotranmission pathway) ที่เกี่ยวข้องกับการหลั่งสาร Nitric oxide ที่เซลล์เยื่อบุอาหาร (endothelial cell) ทำให้เซลล์กล้ามเนื้อเรียบคลายตัว
ข้อควรระวังและป้องกันการแพ้ผงชูรส
1. ไม่ควรรับประทานผงชูรสในขนาด 3 กรัมหรือมากกว่า มักพบเมื่อรับประทานผงชูรสในรูปของสารละลาย เช่น ซุป ก๋วยเตี๋ยว เป็นต้น
2. ไม่รับประทานในขณะที่ท้องว่างหรือไม่ได้รับประทานร่วมกับอาหารชนิดอื่น
3. ผู้ป่วยที่มีประวัติหอบหืด มักจะทำให้มีอาการได้ง่ายและไวกว่า คนปกติ แม้จะมีปริมาณผงชูรสน้อยกว่านี้ก็ตาม

ดังนั้นในกลุ่มคนที่อาการสงสัยการแพ้ผงชูรส ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่ปรุงจาก Monosodium glutamate(MSG) หรือผงชูรส หรือผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูป ดังนั้นก่อนการบริโภค ควรสอบถามผู้ปรุงอาหาร หรืออ่านส่วนประกอบของสารที่ใช้ว่ามีส่วนผสมของสาร Monosodium glutamate(MSG) หรือผงชูรส หรือไม่ เพื่อป้องกันและหลีกเลี่ยงอาการดังกล่าว โดยเฉพาะในผู้ป่วยหอบหืด อาจจะทำให้หลอดลมหดเกร็งตัวได้เฉียบพลัน

เอกสารอ้างอิง…….U.S Food and Drug Administration,FDA Blackgrounder(August 31,1995) FDA and Monosodium glutamate(MSG),July 20,2000

Posted on

ชาเขียว (Green Tea) เครื่องดื่มที่ได้รับความนิยม ดีต่อสุขภาพ ช่วยให้ชีวิตยืนยาวขึ้น จริงหรือไม่

ชาเขียว( Green tea) มีต้นกำเนิดจากประเทศจีน ตั้งแต่2737 ปีก่อนคริสต์ศักราช ต่อมาพระญี่ปุ่นที่มาศึกษาธรรมะในประเทศจีน ได้นำชาเขียวไปเผยแพร่ที่ญี่ปุ่น และทำให้ชาเขียวเป็นที่นิยมอย่างมากในญี่ปุ่น จนถึงกับมีประเพณีชงชาทีเดียว โดยคนญี่ปุ่น เชื่อกันว่า การดื่มชาจะทำให้ชีวิตยืนยาวขึ้น จากการทดลองของนักวิทยาศาสตร์ พบว่า ความเชื่อนี้มีส่วนจริงมากทีเดียว

คุณประโยชน์จากการดื่มชาเขียว: จากผลการวิจัย พบว่า ชาเขียวประกอบไปด้วยสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายหลายอย่าง ดังนี้

  1. Polyphenols ที่สำคัญ คือ flavonoids catechin และ Proanthocyanidins ซึ่งมีคุณสมบัติต่อต้านอนุมูลอิสระที่ทำ ให้เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น โดย Catechin ในชาเขียวเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพมาก
  2. วิตามินหลายตัว เช่น วิตามินซี บี1 บี2 และวิตามินเค
  3. เกลือแร่ที่จำเป็นต่อร่างกาย เช่น แมงกานีส โปแทสเซียม ไนอาซิน และโฟลิค แอซิค
  4. ชาเขียวสามารถยับยั้งการสร้างสารไนโตรซามีน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งรุนแรง ความสามารถในการยับยั้ง ดังกล่าวนี้สูงกว่าวิตามินซีมาก เพราะ Catechin ทำปฏิกิริยาได้เร็วและรุนแรงกว่า
  5. Flavonoids ในชาเขียว ทำให้เซลเม็ดเลือดไม่จับตัวกันเป็นก้อนอุดตันเส้นเลือด อันเป็นสาเหตุที่พบบ่อย ของการเกิดภาวะความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ จากการวิจัยพบว่าการดื่มชาวันละ 1 แก้ว จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจได้ถึง 44% ทีเดียว
  6. ชาเขียวเป็นยาฆ่าเชื้ออ่อนๆ เราสามารถใช้ชาในการทำความสะอาดแผล การติดเชื้อ จากรา รวมถึงใช้บ้วนปาก เพื่อกำจัดแบคทีเรียในปาก
  7. สารคาเฟอีนในชา จะช่วยกระตุ้นร่างกายให้สดชื่นขึ้น แม้จากผลการวิจัยพบว่า ในชาเขียวแม้จะมีสารคาเฟอีน แต่ก็ยังน้อยกว่ากาแฟครึ่งหนึ่ง
  8. ฟลูออไรด์ตามธรรมชาติ เมื่อดื่มเป็นประจำหลังอาหารก็จะช่วยลดการเกิดหินปูน ช่วยให้ฟันแข็งแรง ป้องกันฟันผุได้
  9. มีบางรายงานเชื่อว่า ชาเขียวจะช่วยทำหน้าที่สลายไขมันที่สะสมอยู่ในร่างกายให้เป็นพลังงาน จึงมีการผสมชาเขียว ในผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนักเพื่อให้การลดน้ำหนักทำได้เร็วขึ้น
Posted on

ตังกุย (Dong Duai) โสมสำหรับสตรี ที่ต้องการปรับสมดุลฮอร์โมน ปลอดภัย เพราะไม่ใช่ฮอร์โมน

ตังกุย(Dong Quai)
ตังกุยเป็นพืชที่มีคุณประโยชน์มากมาย ทางแพทย์จีนแต่โบราณนิยมนำรากตังกุยมาใช้ประโยชน์สำหรับความผิดปกติของกระบวนการทำงานของอวัยวะต่างๆในผู้หญิงและยังได้ผลดีกับผู้หญิงทุกวัย จนได้ชื่อว่า ‘โสมสำหรับผู้หญิง'(Female Ginseng) โดยนำรากของตังกุยมาดองเพื่อสกัดอาสารสำคัญที่มีอยู่ไปใช้ประโยชน์

กลไกการทำงาน 
มีหลักฐานทางการแพทย์หลายอย่างสนับสนุนว่า มีสารบางอย่างในตังกุยที่จะให้ผลการรักษาสมดุลของฮอร์โมนเพศหญิงแต่ตังกุยไม่ใช่ฮอรโมนเพศหญิงหรือสารที่ออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเพศหญิงแต่อย่างใด ซึ่งเชื่อว่าอาการผิดปกติหลายๆ อย่างเกิดจากความผิดปกติ ในสมดุลดังกล่าว จึงนำมาใช้ประโยชน์รักษาอาการดังต่อไปนี้

  1. อาการปวดเกร็งระหว่างมีประจำเดือน
  2. อาการประจำเดือนมาไม่ปกติ มากบ้างน้อยบ้าง
  3. อาการเลือดไหลมากผิดปกติขณะมีประจำเดือน
  4. อาการประจำเดือนกระปริดกะปรอยในผู้หญิงวัยทอง
  5. อาการมีก้อนเนื้อเป็นไตแข็งบริเวณเต้านม ที่มิใช่มะเร็ง
  6. อาการไม่สมดุลทางอารมณ์แต่จิตใจของสตรีในวัยหมดประจำเดือน เนื่องจากฮอรโมนเพศลดลง
  7. ลดอาการแข็งตัวของผนังเส้นเลือด และเพิ่มความยืดหยุ่นของเส้นเลือด ทำให้ความดันโลหิตลดลงได้

ปัจจุบันได้มีการนำสารสกัดตังกุย มาใช้รับประทานเป็นอาหารเสริมตามร้านขายยาทั่วไปหรือศูนย์สุขภาพหลายๆแห่ง เพื่อต้องการประโยชน์ดังกล่าวข้างบน โดยมักจะบรรจุเป็นแคบซูล รับประทานวันละ 6-10 แคบซูล (แคปซูลละ 500 มก) หรือผงนำมาละลายน้ำร้อนดื่มหลังอาหาร พบว่า มีผลข้างเคียทำให้เกิดภาวะผิวไวต่อแสงได้ในบางคนแต่ก็น้อยมาก