Posted on

7 เคล็ดลับกับการดูแลตัวเอง หลังทำศัลยกรรม ลดอาการบวมช้ำ ทำให้หายเร็วขึ้น

หลังทำศัลยกรรม การดูแลสำคัญมาก ถ้าอยากสวย

คนที่เข้ารับการผ่าตัดศัลยกรรมความงาม สิ่งสำคัญที่สุดหลังทำก็คือการดูแลตัวเองหลังการผ่าตัด และมีวินัยในการดูแล ตัวเอง เพื่อจะได้สวยหล่อสมใจ ไร้ปัญหาหรือผลแทรกซ้อนภายหลัง และแน่นอนว่าหลังผ่าตัดอาการบวมช้ำเป็นเรื่องปกติ จะบวมมาก บวมน้อย ขึ้นอยู่กับความยากง่ายในการผ่าตัด ยิ่งทำการผ่าตัดที่ลึกเท่าไหร่ ยิ่งมีโอกาสบวมได้มากเท่านั้น
หลายคนชอบคิดว่าอาการบวมช้ำนั้นเป็นเพราะหมอมือหนัก หมอไม่เก่ง จริงๆ แล้วอาการบวมหรือช้ำหลังการผ่าตัดนั้น เรียกได้ว่าเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นหลังการผ่าตัดทุกชนิด ส่วนจะบวมช้ำมากน้อยแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับชนิดของการทำศํลยกรรม เพราะการผ่าตัดนั้นเป็นการทำให้เนื้อเยื่อได้รับการบาดเจ็บชนิดหนึ่ง ซึ่งสภาพร่างกายแต่ละคนก็มีการตอบสนองต่อการบาดเจ็บที่ต่างกันไป จึงมีอาการบวมช้ำมากน้อยแตกต่างกันในแต่ละ

7 เคล็ดลับ กับการดูแลตัวเองหลังทำศัลยกรรม

1.อาหาร:  สำคัญที่สุด เพราะมีผลต่อการรักษาแผล และการดูแลหลังทำศํลยกรรม  เพราะถ้าเราไม่ใส่ใจเรื่องอาหาร ในช่วงที่พักฟื้นที่บ้าน อาจจะต้องพบว่าเกิดอาการเลือดคั่งภายในหรือบวมมากขึ้น จากาอาหารบางประเภท ซึ่งไม่ได้เกิดจากผลของการผ่าตัดแต่อย่างใด
1.1 อาหารที่เหมาะสำหรับผู้ที่ผ่าตัดใหม่ ได้แก่ ฟักทอง สาหร่าย ใบบัวบก ถั่วดำ น้ำมะพร้าว เพราะอาหารเหล่านี้มีวิตามินเอสูง ช่วยลดการติดเชื้อหลังผ่าตัด ช่วยขจัดเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอม ช่วยลดอาการบวม แร่ธาตุ ใยอาหาร และธาตุเหล็ก ช่วยปรับอุณหภูมิร่างกายให้อบอุ่น ลดอาการบวมช้ำ แถมยังช่วยบำรุงโลหิต ขจัดสารพิษในร่างกาย และลดการติดเชื้อได้อีกด้วย

1.2 อาหารที่ควรงดหรือเลี่ยงสำหรับผู้ที่ผ่าตัดใหม่ ได้แก่
อาหารสุก ๆ ดิบ ๆ อาหารหมักดอง ควรงดไว้ก่อนก็ไม่เสียหายอะไร เพราะในอาหารเหล่านี้มักจะมีสารเคมีและสารพิษต่าง ๆ เจือปนอยู่ ซึ่งคนไข้บางรายเมื่อรับประทานเข้าไป อาจทำให้เกิดผลเสียต่อร่างกายในระหว่างพักฟื้นบาดแผลได้เช่นกัน นอกจากนี้ก็คือ

– อาหารทะเลบางชนิด สำหรับข้อนี้ผู้ที่แพ้อาหารทะเลควรหลีกเลี่ยงเด็ดขาดค่ะ เพราะหากเกิดการแพ้อาหารในช่วงหลังทำศัลยกรรมด้วยแล้ว อาจยิ่งทวีความรุนแรงต่อบาดแผล ทำให้หายช้า หรือเกิดอันตรายได้ แต่สำหรับบางคนที่ไม่แน่ใจว่าตัวเองจะแพ้อาหารทะเลหรือไม่ ก็ขอให้เลี่ยงไว้ก่อน รอแผลศัลยกรรมหายสนิทแล้วค่อยกลับมากินนะคะ
แอลกอฮอล์ ทำให้เลือดช้ำง่ายขึ้น
บุหรี่ มีผลต่อการสมานแผลให้หายช้าลง
อาหารเสริม ที่ไม่รู้ส่วนประกอบชัดเจน อาจส่งผลกระทบต่อแผลผ่าตัดของคุณได้เช่นกัน

2. ประคบเย็น :  ช่วยลดอาการบวมจากการศัลกรรม  เพราะความเย็นจะทำให้เส้นเลือดหดตัว ทำให้เลือดออกน้อยลงและช่วยลดบวมได้ การประคบเย็นหลังผ่าตัดควรประคบต่อเนื่อง 48 ชั่วโมง โดยการใช้เจลเย็นประคบหรือสามารถใช้ผ้าขนหนูเปียกแช่ช่องแข็งบริเวณที่บวมอย่างต่อเนื่อง สำหรับการผ่าตัดที่เสริมซิลิโคน ไม่ว่าจะเป็นคาง หรือจมูก ควรทำการประคบบริเวณรอบเช่นหน้าผากหรือโดยรอบแทน ไม่ควรประคบลงบนซิลิโคนโดยตรง เนื่องจากอาจทำให้ซิลิโคนเคลื่อนตัวได้.

3. ประคบอุ่น : เมื่อครบ 1 สัปดาห์ หลังจากครบ 1 สัปดาห์อาการบวมจะเริ่มลดลง แผลจะเริ่มแห้ง เนื้อเยื่อภายในจะเริ่มสมานกันได้ดีขึ้น ช่วงนี้ให้เปลี่ยนมาเป็นการประคบร้อนหรือประคบอุ่นแทน เพราะความร้อนจะช่วยให้เส้นเลือดขยายตัวรับการดูดซึมกลับของสารต่างๆ ทำให้เลือดใหม่เข้ามาหล่อเลี้ยงบริเวณผ่าตัด สลายลิ่มเลือดเก่า อีกทั้งยังช่วยลดการเกิดพังผืดภายในที่แข็งเป็นไตให้นุ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม การประคบร้อนไม่ต้องทำต่อเนื่องอย่างการประคบเย็น ไม่เช่นนั้นอาจทำให้เลือดไหลดีจนเกิดไปจนเกิดอาการบวมใหม่ได้

4. ยกหัวให้สูง : รวมถึงการนอนหมอนให้สูงเข้าไว้ โดยเฉพาะในช่วง 3-5 วันแรก เพื่อลดการไหลเวียนของเลือดไปสู่บริเวณแผลผ่าตัด ลดอาการเลือดคั่ง พยายามนอนท่าตรงไม่นอนตะแคง หรือจะให้ดีก็นอนแบบกึ่งนั่งกึ่งนอนไปเลยก็จะช่วยให้อาการบวมลดลงไปได้เร็วขึ้น

5. ทานยาตามแพทย์สั่งและทานให้ตรงเวลา : เพื่อเป็นการฆ่าเชื้อที่อาจเกิดจากการผ่าตัดและลดอาการบวมช้ำ และไปหาหมอตามแพทย์นัด ระหว่างนี้หากเกิดอาการผิดปกติเช่นเกิดเลือดคลั่ง ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที

6. เลี่ยงการออกไปข้างนอก : หลังการผ่าตัดควรงดการเดินทางหรือพบปะผู้คน ทั้งนี้เพื่อลดการติดเชื้อ ฝุ่น สิ่งแปลกปลอมเมื่ออกไปข้างนอก อีกทั้งยังช่วยลดอาการบาดเจ็บ การสะเทือน หรืออุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้ เพราะถึงแม้เราจะระวังตัวแต่คนอื่นอาจมาชนเราได้โดยไม่ตั้งใจ โดยเฉพาะที่ที่มีคนพลุกพล่าน

Portrait smiling teenage couple hanging out with friends at skate park.

7. งดล้างหน้า ช่วง 3-4 วันแรก : สามารถบำรุงหน้าด้วยครีมทั่วไป แต่ยังไม่ควรแต่งหน้าและล้างหน้าใดๆ เนื่องจากจะไปทำให้แผลนั้นกระทบกระเทือน อีกทั้งเมื่อแต่งหน้าเสร็จก็ต้องล้างเครื่องสำอางอีก ช่วงแรกนี้ควรทำความสะอาดด้วยการเช็ดด้วยน้ำเกลือ และกระดาษทิชชู่สำหรับล้างหน้าโดยเฉพาะก็น่าจะเพียงพอแล้ว ไม่ควรให้แผลโดนน้ำโดยตรง

บทความเรื่องความงามโดยอาจารย์แพทย์✔✔✔Click
bit.ly/2M8jJ1E
……………………………………………………………………..
“กลัวมาก แต่อยากสวย” bit.ly/2WdTBGO

“5 ปี” วางซิลิโคนผิด” bit.ly/30xyf6A

“จมูกใหม่สวยแบบมั่นใจ” bit.ly/30xyiiM

“เม้าท์มอยสวยยกแก๊งค์” bit.ly/2VAl0yg

“เสริมคาง ปรับหน้าเรียว อย่างมีศิลปะ” bit.ly/2EipKCz

“เปลี่ยนดวงตาคุณ ให้สวยเป็นธรรมชาติ” bit.ly/2WR3p6u

“ปลายพุ่ง โด่งสวย” bit.ly/2VSMJPq

“จมูกโด่งสวย มั่นใจ ยังไงก็ไม่โป๊ะ” bit.ly/30v7UGh

“เคล็ดไม่ลับ หลังอัพสวย” bit.ly/2LXdttS

Posted on

เย็บอินเตอร์โดม(Interdome) ช่วยแก้ปลายจมูกชมพู่ จมูกบาน ได้ง่ายๆ

ปลายจมูกที่เรียวเล็ก เชิดสวย ได้สัดส่วน จมูกไม่บาน

จมูกที่ดูดี สวยหล่อ ได้รูปเข้ากับใบหน้า นอกจากสันจมูกที่โด่งแล้ว ปลายจมูกที่เรียวเล็ก ได้สัดส่วน ก็เป็นสิ่งที่สะดุดตาต่อผู้พบเห็น ดังนั้นในบางคนที่มีปัญหาจมูกใหญ่และบานออก หรือมีปลายจมูกใหญ่เป็นลูกชมพู่ ดูแล้วไม่สวยงาม ไม่ได้สัดส่วน จึงจำเป็นต้องแก้ไข

เปรียบเทียบจมูกเอเซียกับยุโรป

สิ่งที่ต้องรู้สำหรับจมูกคนเอเซีย
อันดับแรกต้องรู้ก่อนว่าจมูกของเรานั้น จะมี 2 ส่วน คือ ส่วนแรกคือ สันจมูกซึ่งเป็นกระดูกแข็งๆ ( Nasal bone ) โดยจะเริ่มจากหัวคิ้วลงไปจนถึงกลางจมูก แล้วส่วนที่ 2 ต่อจากกลางกระดูกไปนั้นจะเป็นกระดูกอ่อนจนถึงปลายจมูก ( Upper and Lower Nasal Cartilage )  โดยกระดูกอ่อนส่วนปลายจมูกนี้ จะแตกต่างกันแล้วแต่เชื้อชาติ กรรมพันธุ์ ซึ่งของ คนไทยส่วนใหญ่ มักจะเป็นรูปร่างงอ กว้างแบะออก  จึงทำให้แลดู จมูกจะมีเนื้อบานออก ซึ่งจะแตกต่างจากจมูกของต่างชาติที่มักจะชิดกัน ไม่บานออก

เย็บอินเตอร์โดม (Interdome Suture ) คืออะไร

คือ การเย็บแต่งปลายจมูกที่อ้าออก ให้เข้ามาชิดกัน ดูเป็นทรงเรียวสวย ขึ้น เทคนิคนี้จะช่วยทำให้ปลายจมูกที่ใหญ่นั้น ดูเล็กและเรียวลง ได้รูปสวยงามมากขึ้น จมูกดูคมขึ้น และมีความสมดุล ทำให้สอดรับกับสันจมูกมากกว่าเดิม นอกจากนี้การเย็บ interdome ก็ยังเป็นฐานรองรับให้ซิลิโคนที่เสริมเข้าไปเชิดสวยขึ้น โดยค่อนข้างเหมาะกับคนที่อยากทำจมูก

ข้อดีของการเย็บอินเตอร์โดม

  1. ช่วยทำให้ปลายจมูกของเราแลดูเล็กและเรียวยาว
  2. เป็นฐานที่ช่วยให้ซิลิโคนที่เสริมเข้าไป เชิดขึ้น
  3. ทำให้จมูกแลดูพุ่งและอาจทำปลายหยดน้ำได้
  4. ช่วยแก้ปัญหาเรื่องเนื้อเยื้อบาง
  5. ช่วยแก้ปัญหาเรื่องปลายจมูกทะลุ
  6. ช่วยปรับความสมมาตรของรูจมูกและปลายจมูกได้ในบางคน

การเย็บอินเตอร์โดม อาจจะไม่ได้ผลลัพธ์ชัดเจนหรือดีขึ้นในทุกคนเพราะอะไร
ในการผ่าตัดเสริมจมูกแบบปิด  ขึ้นอยู่กับลักษณะโครงสร้างปลายจมูก คนที่จะเห็นผลได้ดี คือคนที่กระดูกอ่อนส่วนปลายจมูกแข็งแรงดี และเนื้อปลายจมูกไม่หนาเกินไป ซึ่งแพทย์ผู้ผ่าตัด จะพิจารณาความเหมาะสมเป็นรายๆ ไป แต่การเย็บอินเตอร์โดมในการผ่าตัดเสริมจมูกแบบเปิด จะได้ผลดีกว่าและผลลัพธ์ดีกว่า เพราะสามารถจะเห็นโครงสร้างจมูกได้ชัดเจนกว่า  แต่ก็แพงกว่า ดังนั้นก่อนจะตัดสินใจทำ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญให้ละเอียดและเข้าใจ

Posted on

เสริมปลายจมูกให้ดูสวยเป็นธรรมชาติ ป้องกันการทะลุ ด้วยเนื้อเยื่อเทียม(ADM) หรือกระดูกอ่อน คืออะไร

ทำจมูก กลัวทะลุ ป้องกันได้

ปัจจุบันศัลยกรรมเสริมจมูก  กำลังเป็นที่แพร่หลายและนิยมทำกัน ปลายจมูกเป็นส่วนที่ต้องระวังมากที่สุดในการเสริมจมูก เพราะความงามของจมูกขึ้นอยู่กับปลายจมูกเป็นสำคัญ ในคนเอเชียหลายคนมีปัญหาที่โครงสร้างจมูกเล็ก หรือมีปัญหาจมูกสั้น ซึ่งการเสริมซิลิโคนเพียงเพื่อหวังให้โด่งพุ่ง หรือโด่งแบบฝรั่ง โดยใช้ซิลิโคนในปริมาณมากเกินไป อาจทำให้เกิดปัญหาจมูกผิดรูปหรือซิลิโคนทะลุได้ครับ แต่ก็มีเทคนิคป้องกันได้ด้วยการเสริมปลายจมูก
การแต่งปลายจมูกหรือเสริมปลายจมูก นอกจากจะช่วยป้องกันปลายจมูกทะลุแล้ว ยังจะช่วยให้ปลายจมูกสวยมนได้รูปเป็นธรรมชาติ  ดังนั้น แพทย์ที่มีความชำนาญ จะใช้เทคนิคผสมผสาน ระหว่างการเสริมจมูกด้วยซิลิโคนเฉพาะบริเวณสัน และ เสริมปลายจมูกให้ยาวขึ้นหรือรองปลายจมูกกันทะลุ ด้วยเนื้อเยื่อเทียม(ADM)  หรือกระดูกอ่อน   มาเป็นตัวช่วยในการเสริมจมูกให้มีปลายหยดน้ำและเป็นธรรมชาติที่สุด

การรองปลายจมูกด้วยเนื้อเยื่อเทียม VS กระดูกอ่อน แตกต่างกันอย่างไร  :

การรองปลายจมูกด้วยเนื้อเยื่อเทียม (Acellular Dermal Metrix or ADM) :
– คือวัสดุที่สังเคราะห์ขึ้น มาจาก ประเทศเกาหลี ผลิตมาจากเนื้อเยื่อ  โดยผ่านกระบวนการ ที่เรียกว่า AlloClean™technology ที่ปลอดเชื้อ แต่ยังคงลักษณะโครงสร้าง สามมิติ ของผิวหนัง ไว้ได้ชัดเจน   มีลักษณะเป็นแผ่นนิ่มๆ คล้ายฟองน้ำ แต่มีคุณสมบัติทำให้มีการสร้างเส้นเลือดใหม่ การเติบโต ของเส้นประสาท และ การสร้างคอลลาเจน   จึงลดความเสี่ยงในการทะลุ สามารถนำมาเสริมปลายได้ทั้งการเสริมจมูกแบบปิดและแบบโอเพ่น

เนื้อเยื่อเทียม (EDM)เหมาะกับใคร

  1. คนที่จมูก สั้น
  2. คนที่มีเนื้อจมูกน้อย
  3. คนที่ต้องการปลายจมูกพุ่ง
  4. คนที่ปลายจมูกบาง
  5. คนที่งบน้อย และไม่ต้องการผ่าตัดกระดูกอ่อน เพราะราคาสูงกว่า และอาจจะมีแผลหลายที่

การรองปลายจมูกหรือเสริมจมูกด้วยกระดูกอ่อน
กระดูกอ่อนของตัวเอง นับว่าเป็นเนื้อเยื่อที่เหมาะสำหรับนำมารองปลายจมูก ซึ่งข้อดีคือ ตัววัสดุจะสามารถเข้ากับร่างกายเราได้ 100% เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการปรับปลายจมูกให้ดูมนและเป็นธรรมชาติมากขึ้น หรือนำมาเสริมจมูก (กรณีที่ใช้กระดูกอ่อนจากซี่โครง) เพราะ มีความแข็งกำลังดี ทำให้ได้รูปทรงที่สวย และที่สำคัญทนต่อการติดเชื้อและไม่ก่อให้เกิดพังผืดในจมูกเหมือนซิลิโคน กระดูกอ่อนในร่างกายที่นำมาเสริมปลายจมูกได้มีอยู่ 3 ชนิด นั่นคือ
1. กระดูกอ่อนในโพรงจมูก เป็นชิ้นที่บางและนุ่มที่สุด เพราะเป็นเนื้อเยื่อชนิดเดียวกันกับจมูก กระดูกอ่อนแกนกลางจมูก  (Septal cartilage) เหมาะสำหรับคนทำจมูกครั้งแรกหรือแก้ไขไม่มาก จะใช้กระดูกส่วนนี้ การผ่าตัดเพื่อใช้กระดูกอ่อนในโพรงเสริมปลาย จะเป็นการผ่าตัดโดยเทคนิคแบบโอเพ่น เพื่อเปิดจมูกแล้วทำการค่อยๆเลาะเอากระดูกอ่อนมาใช้  เพื่อให้ได้ปลายจมูกที่สวยงาม นอกจากนี้ ยังสามารถแยกกระดูกอ่อนปีกจมูก เพื่อตกแต่งปลายและรูจมูกให้สวยมากขึ้นด้วย
2. กระดูกอ่อนหลังใบหู (Ear cartilage) จะเป็นทางเลือกหนึ่ง ที่แพทย์จะเลือกใช้ เนื่องจากมีความแข็งมากกว่ากระดูกอ่อนในโพรงจมูก เหมาะสำหรับ ผู้ที่ผ่านการแก้จมูกมาหลายครั้ง จนไม่เหลือกระดูกอ่อนในโพรงจมูกให้ใช้แล้ว  หรือใช้ร่วมกับกระดูกอ่อนในโพรงจมูก กรณีกระดูกอ่อนในโพรงจมูกไม่เพียงพอ อย่างไรการเสริมจมูกด้วยกระดูกอ่อนหลังใบหูก็ต้องใช้ซิลิโคนในการช่วยเสริมช่วงสันจมูกอีกด้วย
3. กระดูกจากซี่โครงตัวเอง (Allo cartilage)  กระดูกอ่อนซี่โครงซึ่งเป็นกระดูกอ่อนท่อนที่ใหญ่และแข็งแรงกว่าที่อื่นๆ สามารถนำมาเสริมและตกแต่งจมูกได้ตลอดทั้งอันโดยไม่ต้องใช้ซิลิโคนเลยก็ได้ และได้รูปทรงจมูกที่สวยงาม เป็นธรรมชาติมากกว่าการเสริมจมูกด้วยซิลิโคน การเสริมจมูกวิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาจมูกผิดรูปมาก จมูกสั้นและแบน จมูกพิการ หรือผู้ที่จมูกพังจากการเกิดอุบัติเหตุหรือการทำศัลยกรรมมาหลายครั้ง เนื่องจากวิธีนี้เป็นการผ่าตัดแบบเปิด ทำให้มองเห็นโครงสร้างภายในจมูกทั้งหมด ง่ายแก่การตกแต่งและแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด นอกจากนั้นแล้วยังสามารถนำกระดูกอ่อนซี่โครงมาตกแต่งปลายจมูก เพื่อให้โด่ง เชิด และป้องกันซิลิโคนทะลุได้อีกด้วย 

ใครบ้างที่เหมาะกับการเสริมจมูกด้วยกระดูกอ่อนจากซี่โครง?
  จมูกหดรั้ง หรือจมูกสั้นจากการติดเชื้อหรือผ่าตัดมาหลายๆ ครั้ง
–  ริมฝีปากยื่น จมูกแบน ใบหน้าแบนเป็นแอ่ง
–  จมูกที่เคยฉีดสารแปลกปลอม
–   จมูกบิดเบี้ยวจากอุบัติเหตุหรือปากแหว่งเพดานโหว่

การเสริมปลายจมูกด้วยเนื้อเยื่อเทียม หรือกระดูกอ่อน กันทะลุ ได้แค่ไหน
– ถึงแม้จะมีการรองปลายจมูกด้วยเนื้อเยิ่อเทียม หรือกระดูกอ่อน จะมีความหนา ป้องกัน การทะลุได้ แต่อย่างไร ก็ตาม เนื้อปลายจมูก ของคนเราก็มีจำกัด ดังนั้น หาก เสริมจมูก ด้วยซิลิโคน ที่แข็ง หรือ เสริมโด่งเกินกว่า ที่เนื้อจมูก จะรับได้ ซิลิโคน ก็มีโอกาสดันเนื้อจมูก ดันเนื้อเยื่อเทียมหรือกระดูกอ่อน และ ทำให้ปลายจมูก ทะลุ ได้เช่นกัน
ดังนั้นไม่ว่าจะตกแต่งปลายจมูกด้วย เนื้อเยื่อเทียมหรือ ด้วย กระดูกอ่อนหลังหู นอกจากจะเลือกแพทย์ที่ชำนาญและมีประสบการณ์แล้ว ก็ต้องพิจารณาตามเนื้อจมูก และพื้นฐานของจมูกเดิมด้วย  โดยคำนึงถึงความปลอดภัย  มาเป็นอันดับแรก

Posted on

การเสริมจมูกแบบเปิด (Open Rhinoplasty) คืออะไร มีข้อดี และข้อเสีย อย่างไร เมื่อเทียบกับแบบปิด

การเสริมจมูกแบบเปิด (Open Rhinoplasty) คืออะไร

วิธีนี้เป็นการเปิดแผลที่บริเวณฐานจมูกของคนไข้ จะใช้วิธีกรีดผ่าจมูกในแนวดิ่ง โดยเริ่มเปิดแผลตั้งแต่บริเวณปีกจมูกข้างซ้าย ไปถึงปีกจมูกข้างขวา แล้วทำการแยกเนื้อและผิวหนังออกจากโครงสร้างจมูก วิธีนี้จะเผยโครงสร้างภายในของจมูกได้ทุกส่วน ทำให้หมอสามารถวิเคราะห์ปัญหาได้อย่างตรงจุด จึงช่วยปรับแก้ไขได้ เพราะจะมองเห็นจุดบกพร่องต่างๆ ได้ครบถ้วน สมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเนื้อจมูกบาง แกนจมูกเดิ่มเบี้ยวเอียง หรือมีฟิลเลอร์หลงเหลืออยู่หรือเปล่า
การเสริมจมูกแบบโอเพ่น นิยมทำในกรณีไหนบ้าง :

การเสริมจมูกแบบโอเพ่น นิยมทำในกรณีไหนบ้าง :

  1. เนื้อจมูกน้อยและจมูกสั้น
  2. กระดูกคดเบี้ยวเสียรูป
  3. ผ่าตัดเสริมจมูกมาก่อนแล้วเกิดความผิดพลาดอยากแก้จมูก
  4. เสริมจมูกด้วยการฉีดฟิลเลอร์มาก่อนเกิดการเสียรูปต้องการแก้ไขต้องขูดฟิลเลอร์ออก
  5. จมูกมีฮัมพ์ คือ กระดูกที่นูนขึ้นมาบริเวณแนวกระดูก มีลักษณะนูนคล้ายหลังอูฐ
  6. เนื้อปลายจมูกโตแบบชมพู่
  7. จมูกสั้นจะต่อจมูกให้ยาวขึ้น และต้องการให้ปลายจมูกพุ่งขึ้น มีหยดน้ำมากขึ้น

การเสริมจมูกแบบเปิด (Open Rhinoplasty) มีข้อดี ข้อเสีย อย่างไรบ้าง :

ข้อดี
1. เลือกทรงจมูกได้ตามที่ต้องการ และดูเป็นธรรมชาติกว่าเสริมจมูกแบบปิด
2.ศัลยแพทย์สามารถผ่าตัดแก้ไขปัญหาจมูกได้ดีกว่า สมบูรณ์กว่า เพราะสามารถเห็นถึงโครงสร้างภายในจมูกได้ดีกว่า
3. ศัลยแพทย์สามารถตกแต่งปลายจมูกเพิ่มเติม โดยการใช้กระดูกอ่อนหรือเนื้อเยื่อสังเคราะห์ ได้่ง่ายกว่าการเสริมจมูกแบบปิด
4. สามารถยกปลายจมูกให้สูงพุ่ง สวยเนียนเป็นธรรมชาติ
5. โอกาสเกิดซิลิโคนทะลุในอนาคตน้อยกว่าการเสริมจมูกแบบปิด
6. มีโอกาสที่จมูกจะเอียงหรือเบี้ยวน้อยกว่าการเสริมจมูกแบบปิด
ข้อเสีย
1. มีแผลเป็นที่มองเห็นได้ถ้าเงยหน้าขึ้น แต่ถ้าแพทย์ฝีมือ รอยผ่าจะเล็กมาก
2. ใช้เวลาผ่าตัดนานกว่า และยากกว่าเสริมจมูกแบบปิด  ต้องใช้ความละเอียดและฝีมือในการทำ
3. การผ่าตัดในบางครั้งต้องใช้การดมยาสลบด้วย
4. ราคาสูงกว่าการเสริมจมูกแบบปิด
5. ระยะพักฟื้น ใช้เวลานานกว่า  และอาจเกิดอาการบวมช้ำได้นานกว่าการ เสริมจมูก แบบปิด

Posted on

การเสริมจมูกแบบปิด(Closed Rhinoplasty) คืออะไร มีข้อดี และข้อเสียให้พิจารณาอย่างไร

การเสริมจมูกแบบปิด(Closed Rhinoplasty) คืออะไร :

วิธีนี้เป็นการศัลยกรรมเสริมจมูกแบบทั่วไป และเป็นที่นิยมกันมากในเอเซีย โดยมีแผลผ่าตัดด้านในรูจมูก และการเสริมเทคนิคนี้ ใช้ซิลิโคนเป็นหลัก อาทิการเติมสันจมูกหรือการเติมปลายจมูก เป็นต้น แผลในการผ่าตัดจะซ่อนอยู่ด้านในจมูก หนึ่งหรือสองด้าน
หลังจากนั้นจะใส่ซิลิโคนทางรูจมูก ซึ่งจะเสริมซิลิโคนตั้งแต่สันจมูกถึงปลายจมูก แผลจะอยู่ด้านในรูจมูก แพทย์จะใส่ซิลิโคนตั้งแต่สันจมูก ไปจนถึงปลายจมูก วิธีนี้เป็นที่นิยมกันมาก วิธีนี้เป็นวิธีที่จะรบกวนโครงสร้างพื้นฐานของจมูกน้อยที่สุด และทำการเก็บแผลอยู่ภายในจมูกเหมาะสำหรับ ผู้ที่มีพื้นฐานจมูกดีอยู่แล้ว  ตั้งแต่ดั้งจนถึงปลายจมูก แต่ไม่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาแกนจมูกเอียง จมูกชมพู่ หรือมี Hump

ส่วนชนิดของซิลิโคน ที่จะทำการสอดใส่ ก็อาจจะเป็นทั้งแบบสำเร็จรูป หรือแบบเหลาเอง ซึ่งได้เขียนบทความไว้แล้วก่อนหน้านี้ ส่วนจะเลือกเสริมจมูกด้วยซิลิโคนแบบไหน เกรดไหน จากประเทศอะไร แต่ละแบบแตกต่างอย่างไร แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญนะครับ เพราะแต่ละแบบก็มีความเหมาะสมในแต่ละบุคคลตามงบประมาณ หรือทรงจมูกที่ต้องการ

การเสริมจมูกแบบปิด(Closed Rhinoplasty) คืออะไร มีข้อดี ข้อเสีย อย่างไร

ข้อดี
1. ราคาไม่สูงเท่าการทำจมูกแบบเปิด
2. บวมช้ำน้อย บางรายไม่บวมช้ำเลย สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเป็นปกติ
3. ใช้เวลาไม่นาน 30-45  นาที โดยประมาณ
4. การดูแลรักษาไม่ยุ่งยาก
ข้อเสีย
1. มีโอกาสที่จมูกจะเบี้ยวมากกว่าการ เสริมจมูก แบบเปิด และถ้าแกมจมูกเดิมเอียงอยู่แล้ว การใส่ซิลิโคนเสริมจมูกบนแกนเดิม ก็ทำให้เอียงได้เช่นกัน
2. การตกแต่งอาจทำไม่ได้เรียบเนียนสวย หรือจมูกโด่งเท่าแบบเปิด ถ้าต้องการโด่งมาก ก็เสี่ยงต่อการทะลุ แม้จะเสริมปลายด้วยกระดูกอ่อนไว้ก็ตาม
3. ไม่สามารถทำให้โด่งหรือปลายเชิดได้เท่าแบบเปิด แม้จะทำการเย็บ อินเตอร์โดม ก็ช่วยได้ระดับหนึ่ง การเสริมจมูกแบบปิดนั้น จะเริ่มจากแพทย์ที่ทำการผ่าจด จะให้คำปรึกษา หลังประเมินโครงสร้างว่าเหมาะสมสำหรับการเสริมแบบปิดหรือไม่ หลังจากนั้นแพทย์ผุ้ผ่าตัดกับคนไข้ จะเลือกชนิดของซิลิโคน ที่เหมาะสมกับงบประมาณ และความต้องการของคนไข้ อาจจะมีการเหลาซิลิโคนให้เหมาะกับโครงสร้างจมูก และทำการระงับความรู้สึก โดยใช้ยาชาเฉพาะบริเวณจมูก (ไม่นิยมให้กินยานอนหลับหรือใช้ยาสลบ) ก่อนลงทำ