Posted on 2 Comments

Mini-Thermage (Athron C ) : ยกกระชับ ปรับรูปหน้า ราคาเบาๆ หย่อนแค่ไหน ก็เอาอยู่

Mini-Thermage (Athron C ) คืออะไร? 

คือ เครื่องมือในการช่วยยกกระชับปรับรูปหน้า ลดริ้วรอย ลดความหย่อนคล้อยโดย โดยใช้เทคนิคการรักษาด้วย คลื่นความร้อนสูง โดยมี ช่วงความถี่วิทยุแบบ monopolar RF ที่ลงได้ลึกถึงชั้นไขมัน และลึกกว่า เครื่อง RF ทั่วๆ ไป  ไม่เจ็บ ไม่มีแผลเป็น ไม่ต้องพักฟื้นโดย ความร้อนที่เกิดขึ้นใต้ผิว จะทำให้เส้นใยคอลลาเจนที่คลายตัวและยืดออกไปตามอายุนั้นกระชับตัวขึ้น ความร้อนยังกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนขึ้นใหม่ ซึ่งจะช่วยให้ผิวของคุณหนาขึ้นและเรียบเนียนขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป
Thermage-Mini (Athron C )  ทำงานอย่างไร ? 
Thermage-Mini (Athron C ) มีหลักการทำงานเหมือนกับ เครื่องThermage เดิม( ที่มีราคาแพงหลายหมื่น ถึงแสนบาทต่อครั้งที่ทำ ) โดยจะทำงานโดยการส่งผ่านความร้อนลงไป ที่ผิวหนังชั้นลึก (Dermis) ทำให้เกิดการหดตัวของชั้นไขมันใต้ผิวหนัง 2 มิติ คือการหดตัว จากทางด้านข้างเข้าหากันและการหดตัวจากด้านบนกับด้านล่างเข้าหากัน ทำให้ผิวกระชับตึง ใบหน้าเล็กลง ลดการหย่อนคล้อย และลดเลือนริ้วร้อย และที่สำคัญราคาถูกกว่ามาก เพียง 5,000 บาทต่อครั้ง  ขั้นตอนก็สะดวก รวดเร็ว และไม่ต้องพักฟื้นหลังการทำ ซึ่งต่างจากเลเซอร์อื่นๆ วิธีการนี้สามารถทำได้ในทุกสภาพผิว ทุกสีผิว  FDA ของประเทศสหรัฐอเมริกา ฯ และประเทศไทย ได้รับรองผลว่าได้ผลในการยกกระชับจริง และอนุมัติให้ใช้ได้มาแต่ปลายปี 2003 ปัจจุบันก็ยังเป็นที่นิยมกันอยู่


ใช้เวลานานแค่ไหนจึงจะเห็นผล?
– Mini -Thermage (Athron C ) ได้พัฒนาคุณภาพได้ใกล้เคียงกับThermage มากที่สุด เมื่อเทียบกับเครื่องมือยกกระชับยี่ห้ออื่นๆ ในท้องตลาด และได้พัฒนามาเป็นรุ่นล่าสุดนี้ จนสามารถเห็นผลการรักษาได้ชัดเจน หลังทำเสร็จ และจะเห็นได้ชัดเจนเมื่อเวลาผ่านไป 1 เดือนและดีขึ้นเรื่อยๆ จนเห็นผลสูงสุดในเดือนที่ 6  การทำการรักษาด้วย Mini -Thermage (Athron C ) เพียงครั้งเดียว ก็จะเห็นความแตกต่างว่าผิวหน้าดีขึ้นในทันทีหลังการทำ ผิวของคุณจะตึงขึ้น เรียบขึ้น ประมาณ 30% และเมื่อเวลาผ่านไป คุณจะสังเกตเห็นว่า ผิวจะเรียบตึงขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อทำต่อเนื่องประมาณ 5 ครั้ง ห่างกันทุก 1-2 อาทิตย์ จะพบว่าผลการรักษาจะอยู่ได้นานมากกว่า 3-6 เดือน และอาจทำซ้ำได้เป็นระยะๆ การทำแต่ละครั้งใช้เวลา 20- 30 นาที
Mini-Thermage (Athron C )  แตกต่างจาก Thermage อย่างไร ?
– MinI-Thermage-Mini (Athron C ) หลักการทำงาน ใช้พลังงานความร้อน แบบเดียวกับ Thermage คือ ใช้ Monopolar RF เหมือนกัน แต่จะทำงานในชั้นหนังแท้ (Dermis) และชั้นไขมันเช่นกัน แต่ตื้นกว่า Thermage และเจ็บน้อยกว่า ราคาถูกกว่ามาก เหมาะกับผู้ที่มีงบประมาณจำกัด และเพิ่งจะเริ่มมีปัญหาการหย่อนคล้อย ไม่กระชับ และมีปัญหาการหย่อนคล้อยเฉพาะในชั้นหนังแท้ (Dermis) อาจจะใช้ทำการรักษาเสริมการร้อยไหมยกกระชับผิวหน้า การทำฟิลเลอร์ การทำเลเซอร์ยกกระชับ โบทอกซ์ลิฟท์หน้า หรือหลังทำเมโสแฟตลดแก้ม แล้วหลังทำ แก้มไม่กระชับ

Posted on

วิตามินซี ช่วยลดระดับยูริคในเลือด ทำให้เกิดโรคเกาต์ นิ่วในไต ลดลงได้

วิตามินซี จัดเป็นวิตามินตัวหนึ่งที่มีการศึกษาถึงคุณประโยชน์ สรรพคุณ กันอย่างมากและต่อเนื่อง
จัดเป็นวิตามินที่หาง่าย ราคาถูก และสามารถหารับประทานจากผลไม้รสเปรี้ยวต่างๆ และมีคุณประโยชน์หลายด้าน …

จากเดิมได้มีรายงานยืนยันทางการแพทย์แล้วว่า วิตามินซี จะมีบทบาทในเรื่องของผิวพรรณ (เช่น การป้องกันอันตรายจากแสงแดด UV,ช่วยลดการอักเสบ ลดการเกิดสะเก็ดหนาของโรคผิวหนังเรื้อนกวาง( Psoriasis),กำจัดอนุมูลอิสระที่เกิดจากภาวะชราของผิวหนัง,สารฟอกสีผิวให้ขาว ( whitening agents ),ช่วยในการสมานแผล ,ป้องกันโรคมะเร็งผิวหนัง) ช่วยป้องกันการเกิดโรคหวัด และทำให้เชื้ออสุจิแข็งแรงแล้ว

มีรายงานอีกหลายรายงานพบว่า วิตามินในขนาดสูงๆ ( ประมาณ 500 มก.) สามารถทำให้ระดับกรดยูริคในเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคเกาต์ นิ่วในไต ลดลงได้ด้วย ซึ่งได้มีคณะวิจัยจากมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอฟกินส์ ได้ทำการทดลองดังนี้

ได้มีอาสาสมัครผู้ใหญ่ จำนวน 184 คน ที่ได้เข้าร่วมโครงการวิจัยนี้ โดยได้แบ่งกลุ่มอาสาสมัครออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ โดยมีปัจจัยด้านอายุ เพศ ในเกณฑ์เฉลี่ยเท่าๆ กัน โดยให้กลุ่มหนึ่ง รับประทานวิตามินซี (Ascorbate) วันละ 500 มก. และอีกกลุ่มให้รับประทานยาหลอก โดยใช้เวลาในการทดลองมีกำหนด 2 เดือน

ผลการทดลองพบว่า กลุ่มที่ได้รับวิตามินซี ค่าระดับยูริคในเลือดลดลง 0.5 มก.ต่อเดซิลิตร ( จากเดิมอยู่ที่ 5.1 มก./ดล.) ในขณะที่กลุ่มที่รับประทานยาหลอก ไม่พบการเปลี่ยนแปลง ( จากเดิมที่ระดับ 7.0 มก./ดล.)

จากผลงานวิจัยนี้ยังไม่สามารถอธิบายได้ว่า กลไกการทำงานของวิตามินซี จะไปรบกวนกระบวนการสร้างกรดยูริคอย่างไร คงต้องหาหลักฐานพิสูจน์ยืนยันอีกครั้ง แต่ก็มีรายงานการวิจัยเล็กๆ อีกหลายกลุ่มที่ได้ยืนยันว่าการใช้วิตามินซีร่วมกับการรักษาโรคเกาต์ จะทำให้ผู้ป่วยลดอัตราการเกิดการอักเสบลงได้ และช่วยลดระดับกรดยูริคในปัสสาวะด้วย จึงทำให้ อัตราการเกิดนิ่วในไตลดลงได้ด้วย ดังนั้นการที่หลายท่านรับประทานวิตามินซีเป็นอาหารเสริม จึงน่าจะยินดีที่ได้รับประโยชน์อีกด้านเพิ่มขึ้น

Posted on

hair colors causes cancer? : ย้อมสีผม บ่อยๆ ทำให้เกิดมะเร็งหรือไม่ !

ปัจจุบันการย้อมสีผม ถือเป็นแฟชั่นที่ฮิตกันอย่างแพร่หลาย ทุกเพศทุกวัย ไม่ว่าจะเป็นการย้อมปิดผมขาว หรือการย้อมผมด้วยสีอื่นๆ ซึ่งในอเมริกามีการสำรวจพบว่า การย้อมสีผมพบได้ถึง 1 ใน 3 ของสตรีชาวสหรัฐฯ และมากกว่า 10 % ของบุรุษเมืองมะกัน จึงทำให้มีหลายคนกลัวว่า การย้อมสีผมบ่อยๆ จะทำให้เกิดอันตรายขนาดเป็นมะเร็งหรือไม่

ได้มีการเรียกร้องกันอย่างมาก โดยเฉพาะกลุ่มคณะกรรมการทางวิทยาศาสตร์ของผลิตภัณฑ์ความงามและผลิตภัณฑ์ที่มิใช่อาหารของยุโรป ให้ทำการศึกษาและวิจัยผลของสารเคมีที่ผสมในผลิตภัณฑ์ย้อมสีผมอย่างจริงจัง เช่น กลุ่มสาร Aromatic amine ,Arylamine ซึ่งอยู่ในยาตัวละลาย สีย้อมผม ทำให้ก่อเกิดสารก่อมะเร็งหรือไม่ เพราะมีบางงานวิจัยบ่งชี้ว่าทำให้เกิดมะเร็งกระเพาะปัสสาวะมากขึ้น

ทางองค์กรอาหารและยา(FDA) ของสหรัฐอเมริกาและองค์การวิจัยมะเร็งระหว่างประเทศ กลับมีความเห็นว่ายังไม่มีข้อมูลเพียงพอที่จะสรุปว่ายาย้อมผมทำให้เกิดมะเร็งได้จริง จึงยังไม่มีการประกาศห้ามจำหน่าย และทั้งนี้ทั้งนั้น ทั้ง 2 องค์กรก็กำลังเฝ้าระวังและติดตามงานวิจัยด้านนี้อย่า’ใกล้ชิดต่อไป ถึงแม้ว่า ก่อนหน้านี้จะยังไม่มีการทบทวนงานวิจัยด้านนี้อย่างมีระบบและจริงจัง
Taskkouche B และคณะได้จุดประกายความคิดเพื่อขจัดความกังขาเรื่องนี้ ด้วยการทบทวนผลงานวิจัยที่ผ่านมา จำนวน 79 รายงาน แบบเป็นระบบได้ผลพบว่า การใช้สีย้อมผมเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งระบบเลือด ( Non-Hodkin lymphoma,Hodkin Lymphoma,Muliple myeloma,Leukemia) ถึง 1.15 เท่า ซึ่งถือว่ามีนัยสำคัญ แต่การใช้สีย้อมผมเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งระบบกระเพาะปัสสาวะเพียง 1.01 เท่า และการใช้สีย้อมผมเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านมเพียง 1.06 เท่า ซึ่งถือว่าไม่มีนัยสำคัญ

ดังนั้นการผลงานรวบรวมการวิจัยในครั้งนี้ ทำให้หลายท่านเกิดความกังวลและไม่แน่ใจหรือมั่นใจว่าจะย้อมสีผมหรือไม่ ถ้าอยากปลอดภัยและลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็ง ท่านที่ไม่ยึดติดกับแฟชั่นอินเทรนด์ หรือไม่กลัวแก่และไม่กังวลผมหงอก ก็ควรจะงด ลด เลี่ยงการย้อมสีผมกันดีกว่า แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การย้อมสีผม แน่นอนสิ่งที่ตามมาและหลีกเลี่ยงไม่ได้ คือ สุขภาพเส้นผมจะอ่อนแอลง อาจจะเกิดปัญหา ผมร่วง ผมบาง เส้นผมไม่มีน้ำหนัก ขาดความนุ่นนวล สละสลวย ภายหลังได้

เอกสารอ้างอิง : Takkouche B,et al.Personal use of hair dynes and risk of cancer,JAMA 2005;293:2516-25

Posted on

งานวิจัย : ขนมปังฟอกขาว VS ช็อกโกแลต อย่างไหน ทำให้เกิดได้สิวได้ง่ายกว่า

ขนมปัง VS ช็อกโกแลต กับการเกิดสิว

ได้มีรายงานวิจัย ที่มหาวิทยาลัยโคโลราโด ในอเมริกา พบว่า ขนมปังฟอกขาว และ ซีรีล หรือเมล็ดธัญพืชอบแห้ง เป็นสาเหตุทำให้เกิดสิวได้มากกว่า ช็อกโกแลตหรืออาหารมันจัดอีก
เหตุผล เพราะอาหารประเภทแป้งที่ได้ผ่านกระบวนการฟอกสี หรือขัดสีธรรมชาติให้กลายเป็นสีขาวนั้น จะทำให้กระเพาะอาหารย่อยได้ง่ายขึ้น ดังนั้นเมื่อรับประทานเข้าไปแล้ว จะถูกดูดซึมได้ง่าย จึงกระตุ้นการหลั่งอินซูลิน ออกมาย่อยเพื่อเปลี่ยนให้เป็นน้ำตาลและพลังงานต่อไป แต่ก็ทำให้มีปริมาณ IFG-1 (Insulin-like-growth-factor) สูงขึ้นได้ด้วย

อินซูลิน และ IFG-1 จะมีผลต่อการผลิตฮอรโมนเพศชาย Testosterone มากขึ้นด้วย จึงทำให้มีการผลิตไขมัน ที่ต่อมไขมัน Sebaceous glands มากขึ้น ซึ่งจะทำให้ผิวหน้ามันมากขึ้น และ Sebum นี้เองเป็นที่โปรดปราน ของเชื้อแบคทีเรียสิว P.acne เป็นอย่างยิ่ง จึงทำให้มีโอกาสเกิดสิวอักเสบได้ง่ายกว่าปกติ นอกจากนี้ยังพบอีกว่า IFG-1 ยังทำให้เซลล์ผิวหนังที่เรียกว่า Keratinocytes แพร่กระจาย และทำให้สิวลุกลามไปหลายๆ แห่งด้วย

ดังนั้นท่านที่ชื่นชอบอาหารแป้ง ขนมปัง อาหารที่ย่อยง่าย ทั้งหลาย คงต้องพึงระวังภาวะสิวลุกลามไว้บ้างนะครับ

Posted on

น้ำยาบ้วนปาก (Mouth wash) : เลือกอย่างไร จึงจะได้ผล ปลอดภัย ลดโรคในช่องปาก

ปัจจุบันจะพบว่า มีน้ำยาบ้วนปาก ออกมาวางจำหน่ายในท้องตลาดมากมายหลากหลายยี่ห้อ พร้อมกับการโฆษณาตามสื่อต่างๆ โดยการอ้างสรรพคุณ ต่างๆ โดยเฉพาะการฆ่าเชื้อโรคในช่องปากและลำคอ ขจัดกลิ่นปาก ลดการอักเสบของเหงือก ทำให้ปากหอมสดชื่น และลดฟันผุได้ด้วย เรามาเรียนรู้ เพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อเท็จจริงดังกล่าวว่าจริงเท็จเพียงใดนะครับ

ส่วนประกอบของน้ำยาบ้วนปาก 
1. ส่วนประกอบพื้นฐาน (Basic ingredient)
1.1 อัลกอฮอล์: ทำให้รุ้สึกสดชื่น ใช้เป็นตัวทำละลายสารแต่งกลิ่นรส และยังช่วยทำความสะอาดช่องปากและมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อ
1.2 สารแต่งกลิ่น: เป็นตัวทำให้น้ำยาบ้วนปากน่าใช้ เพิ่มความรู้สึกสดชื่น ทำให้ลมหายใจสะอาดชั่วคราว สารแต่งกลิ่นบางตัว สามารถมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อได้
1.3 Hemectant: จะช่วยรักษาความชื้น ป้องกันการตกผลึก
1.4 Surfactant: ใช้ในการทำละลายสารแต่งกลิ่นรส ทำให้เกิดฟอง
1.5 น้ำ: เป็นตัวช่วยหลักในการรวมของส่วนผสมหลายๆ อย่าง
2. สารที่ออกฤทธิ์จำเพาะ (Agents for specified effect)
2.1 Astingents salts: ที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน คือ Zinc chloride โดยสารเคมีนี้จะทำให้บรรเทาอาการเจ็บคอ และลดการระคายเคืองต่อเยื่อบุช่องปาก นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียในช่องปากได้ ลดการเกิดกลิ่นปากลงได้
2.2 Antimicrobial agents: สารกลุ่มนี้ที่นิยมใช้กัน โดยมีฤทธิ์กำจัดกลิ่นปาก ยับยั้งการเกิดคราบจุลินทรีย์และหินน้ำลาย ได้ดีเรียงจากมากไปน้อย ก็คือ Chorhexidine, ,Phenolic compound Listerine,Alkaloid sanguinarine
แต่พบว่า Chorhexidine จะมีผลข้างเคียงคือ ทำให้เกิดคราบน้ำตาลบนเคลือบฟันได้ และอาจจะทำให้ ต่อมรับรสของลิ้นเสียไป มีการหลุดลอกของช่องปากได้ ดังนั้นในเมืองไทย จึงนิยมใช้ Listerine มากกว่า ทั้งยังเป็นที่ยอมรับของ FDA,ADA มากว่า 100 ปีแล้ว
2.3 Fluoride: ที่นิยมมักจะอยู่ในรูปของ Sodium fluoride เพราะเตรียมในรูปแบบน้ำยาบ้วนปากได้ง่าย และมีประสิทธิภาพดีในการป้องกันฟันผุได้ระดับหนึ่ง แต่ถ้าจะให้ป้องกันต้านฟันผุได้ดี และลดจำนวนแบคทีเรียบนผิวเคลือบฟัน มักจะผสมในรูป Standnus fluoride มากกว่า

ความปลอดภัยในการใช้น้ำยาบ้วนปาก 

– น้ำยาบ้วนปากที่ดี ควรมีคุณสมบัติ ไม่กระตุ้นให้เกิดการระคายเคืองในช่องปาก ไม่ทำให้เกิดการลอกของเยื่อบุช่องปาก แต่พบว่าผู้ใช้น้ำยาบ้วนปาก จะเกิดการอักเสบรอยแผลเฉียบพลันได้ประมาณร้อยละ 30 ตามส่วนประกอบข้างบน
ควรใช้น้ำยาบ้วนปากในช่วงเวลาสั้นๆ ที่มีปัญหาในช่องปาก แต่ไม่ควรเกิน 2-3 สัปดาห์ หรือตามคำแนะนำของทันตแพทย์ เพราะเมื่อได้รับการรักษาและแก้ไขแล้ว ควรหยุดใช้ทันที เพราะหาก ใช้ติดต่อกันในระยะเวลานาน จะทำให้แบคทีเรีย เกิดการดื้อยาได้ นอกจากนี้ จะทำให้มีโอกาสเกิดมะเร็งช่องปากได้สูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ใช้ที่สูบบุหรี่ร่วมด้วย
– ไม่แนะนำให้ให้ใช้ในเด็กเล็ก อายุน้อยกว่า 5 ปี เพราะอัลกอฮอล์ที่เป็นส่วนผสมในน้ำยาบ้วนปาก ทำให้เป็นอันตรายต่อเด็กได้
นอกจากนี้ การทำความสะอาดช่องปาก โดยการแปรงฟัน ใช้ใหมขัดฟัน ไม้จิ้มฟัน หรืออุปกรณ์ฉีดน้ำ ทันทีที่รับประทานอาหารเสร็จแล้ว เพื่อ ขจัดเศษอาหารทิ้งทันที จะช่วยลดกลิ่นปากและลมหายใจเหม็นได้ และในความเห็นส่วนตัว พบว่าน้ำผสมเกลือ ก็เป็นยาอมบ้วนปากที่มีประสิทธิภาพดีและหาง่าย ราคาถูก เช่นกัน อาจจะไม่มีผลข้างเคียงเหมือนน้ำยาบ้วนปากยี่ห้อดังๆ ทั้งหลายก็ได้

เอกสารอ้างอิง : บทความเรื่อง ‘ น้ำยาบ้วนปาก’ โดย ทันตแพทย์พิทักษ์ ไชยเจริญ มหาวิทยาลัยมหิดล
ขอบคุณภาพจาก http://www.dailymail.co.uk/health/article-1113422/Mouthwash-causes-oral-cancer-pulled-supermarkets-say-experts.html

Posted on

สูบบุหรี่ นอกจากจะทำลายสุขภาพ งานวิจัยยังชี้ชัดว่าเป็นการเสพสารเสพติดชนิดหนึ่ง

การสูบบุหรี่เป็นการเสพติดนิโคติน การเลิกสูบบุหรี่ในบางคน สามารถทำได้ยากแสนยาก เนื่องจากบุคคลนั้นได้เสพติดกับสารนิโคติน ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของบุหรี่
สมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศสหรัฐอเมริกา ได้จัดให้การสูบบุหรี่เป็นการเสพติดชนิดหนึ่ง คล้ายกับการเสพติดเฮโรอิน โคเคนหรือยาบ้า เลยทีเดียว

หลักฐานงานวิจัยที่สนับสนุนว่า นิโคตินเป็นสารเสพติด มีดังต่อไปนี้

  1. การสูบบุหรี่เป็นพฤติกรรมที่ไม่อาจยับยั้งได้: เพราะได้เคยมีรายงานว่า แม้คนป่วยจากพิษบุหรี่เอง ก็สามารถจะเลิกบุหรี่ได้เพียงไม่เกิน 50 %
  2. นิโคตินออกฤทธิ์ต่อสมอง ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ ความรู้สึก : ทำให้ก่อให้เกิดความพึงพอใจ ผ่อนคลายซึ่งเป็นปฏิกริยาตอบสนองต่อความเครียด มีความตื่นตัว จึงทำให้อยากสูบบุหรี่อีก โดยเกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไขสภาพแวดล้อมที่ติดต่อกันในระยะเวลาหนึ่ง และนำพาให้เกิดการผูกติด ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงอยากจะสูบบุหรี่ในแต่ละวันเกิดขึ้นมากในบางอารมณ์ เช่น หลังอาหารเวลาเครียด โกรธ หรือในขณะสังสรรค์กับเพื่อนฝูง
  3. บุหรี่…สูบแล้วไม่เคยอิ่ม : ปกติหลังการสูบบุหรี่และสูดควันเข้าไปในปอด นิโคตินจะเข้าสู่สมอง ใช้เวลาไม่เกิน 19 วินาที และถึงจุดสุดยอดเมื่อบุหรี่หมดมวน ทำให้ทันอกทันใจแก่ผู้สูบบุหรี่ จึงแสดงพฤติกรรมซ้ำแล้วซ้ำอีก (ซึ่งในการเสพด้วยวิธีอื่น เช่นการเคี้ยว จะใช้เวลามากกว่ามาก )
  4. นิโคติน ทำให้เกิดการดื้อได้ : ดังนั้นผู้ที่สูบบุหรี่อย่างติดต่อกันนานๆ มักจะมีแนวโน้มสูบบุหรี่ปริมาณมากขึ้น สังเกตได้จากผู้ที่ไม่เคยสูบบุหรี่ในตอนแรกจะมีอาการมึนงง คลื่นไส้ อาเจียน แต่อาการดังกล่าวจะหายไปเมื่อสูบมวนต่อไป
  5. นิโคติน ทำให้เกิดอาการได้ ถ้าระดับนิโคตินในเลือดต่ำลง : ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ค่อนข้างชัดว่า บุหรี่เป็นสารเสพติด เช่นเดียวกับยาบ้า หรือ เฮโรอิน แต่อาจจะมีอาการน้อยกว่า ดังนี้ อาจจะหงุดหงิดง่าย กระวนกระวาย เซื่องซึม ไม่มีสมาธิ อยากอาหารเพิ่ม น้ำหนักตัวเพิ่ม ความรุนแรงของอาการขาดนิโคตินมากน้อย แตกต่างกันในแต่ละคน และสัมพันธ์กับปริมาณนิโคตินที่ได้รับก่อนหน้าจะหยุดสูบบุหรี่
  6. เมื่อเลิกบุหรี่ได้แล้ว ก็ยังจะมีโอกาสกลับมาสูบได้อีก :คนส่วนใหญ่ที่ต้องการเลิกบุหรี่ มักจะต้องพยายาม มากกว่า 1 ครั้ง การหวนกลับมาสูบบุหรี่อีกเป็นปรากฏการณ์เดียวกับที่พบในผู้ป่วยที่พยายามจะเลิกเสพเฮโรอิน หรือเลิกดื่มสุรา โดยพบว่าผู้ที่พยายาม จะเลิกบุหรี่ ร้อยละ 60 จะกลับมาสูบบุหรี่อีกในเวลา 3 เดือน และร้อยละ 75 ในเวลา 6 เดือน
  7. บุหรี่ ทำให้เกิดอาการอยากเสพอย่างรุนแรงได้ : พบว่าในบางคนที่หยุดสูบบุหรี่กระทันหัน จะมีอาการเสี้ยน ยาไม่แตกต่างจากสารเสพติดชนิดอื่นๆ และอาจจะมากกว่าผู้เสพติดเฮโรอิน สุรา หรือโคเคนเสียอีก

    อ้างอิงจากบทความของ ผศ.นพ. ไพบูลย์ สุริยะวงศ์ไพศาล แห่งศูนย์เวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์รพ.รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ลงตีพิมพ์ในวารสารคลินิ
Posted on

ยาคุมกำเนิด รับประทานนานๆ มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านม เพิ่มขึ้นจริงหรือไม่?

Portrait of a young woman holding birth control pills

ในปี 2539 ได้มีรายงานการรวบรวมผลการศึกษาทางระบาดวิทยา 54 รายงานทางการแพทย์ ว่าหญิงที่รับประทานยาคุมกำเนิดมีอัตราเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านมเพิ่มขึ้น 1.24% แต่อย่างไรก็ยังมีข้อกังขากันอยู่ ว่ารายงานดังกล่าวเชื่อถือได้แค่ไหน
Marchbanks PA และคณะในอเมริกา ได้ทำการวิจัยใหม่อีกครั้ง ในเรื่อง การรับประทานยาคุมกำเนิด ทำให้อีตราการเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมหรือไม่ โดยได้ทำ case control ด้วยทั้งในกลุ่มที่เคยรับประทานยาคุมกำเนิดมาก่อนและกลุ่มที่กำลังรับประทานยาคุมอยู่ โดยทำการศึกษาจากหญิงอายุ 35-64 ปี โดยเป็นกลุ่มผู้ป่วยมะเร็งเต้านม จำนวน 4,575 ราย และกลุ่มเปรียบเทียบกับประชาชนทั่วไป จำนวน 4,682 ราย พร้อมทั้งได้มีการสอบถามประวัติ ย้อนหลังในเรื่องการรับประทานยาคุมกำเนิด
ผลการศึกษาพบว่า ในกลุ่มคนที่ขณะนี้ยังรับประทานยาคุมกำเนิดอยู่ มีอัตราเสี่ยงเท่ากับ 1% ส่วนกลุ่มที่เคยรับประทานยาคุมกำเนิดมาก่อน มีอัตราเสี่ยง ต่อมะเร็งเต้านม เท่ากับ 0.9% คณะผู้วิจัย จึงสรุปว่า การรับประทานยาคุมกำเนิดในปัจจุบันหรือเคยกินมาก่อน ไม่มีโอกาสเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ยังได้สรุปเพิ่มเติมว่า ในคนผิวดำ คนผิวขาว หรือ คนที่รับประทานยาคุมด้วยขนาดเอสโตรเจนมากน้อย หรือ คนที่รับประทานนานมากน้อยเพียงใด หรือ คนที่มีประวัติครอบครัวมีมะเร็งเต้านม หรือ เริ่มรับประทานยาคุมตั้งแต่อายุน้อยๆ ก็ไม่ได้ทำให้อัตราเสี่ยงเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด

เอกสารอ้างอิง………….Oral contraceptives pill and the risk of breast cancer, N Eng J Med 2002;346:2025-32

Posted on

เบาหวาน กับการขาดสาร”อิโนซิทอล” ที่มีความสำคัญต่อระบบประสาทและการกำจัดไขมัน

อิโนซิทอล (Inositol) เป็นสารชนิดหนึ่งในกลุ่มวิตามินบี ที่มีบทบาทสำคัญในระบบประสาทและระบบการกำจัดไขมัน ในภาวะปกติ หรือร่างกายสมบูรณ์ จะสามารถสร้างได้เองจากกลูโคส แต่ในผู้ป่วยเบาหวานซึ่งมีความผิดปกติในการนำน้ำตาลกลูโคสไปใช้ประโยชน์ อาจเกิดภาวะขาดสารตัวนี้ได้

กลไกการทำงานของ อิโนซิทอล (Inositol): เมื่อร่างกายได้รับสารนี้เข้าไป อิโนซิทอล (Inositol)จะถูกเปลี่ยนเป็น Phosphatidyl Inositol ซึ่งมีประโยชน์ในการสร้างเยื่อหุ้มเซลล์ (cell membrane) โดยเฉพาะเยื่อหุ้มระบบประสาท(Myelin Sheath) เซลล์รากผมที่ทำหน้าที่สร้างผม เซลล์ ไขกระดูก ดังนั้นเมื่อขาดสารนี้ ก็อาจทำให้เกิดความผิดปกติของอวัยวะหรือเซลล์นั้นๆ ได้

นอกจากนี้ยังพบว่า อิโนซิทอล (Inositol) ยังเป็นตัวกระจายไขมันที่เกาะอยู่ตามผนังเส้นเลือด และเพิ่มการใช้ไขมันอิสระในเซลล์ จึงช่วยลด ภาวะไขมันในเลือดสูงได้ด้วย

อาการขาดสาร อิโนซิทอล (Inositol) ในผู้ป่วยเบาหวาน

  1. ผิวหนังอักเสบ แบบ Eczema คือ มีอาการอักเสบบวมแดง คัน หรือ ลอกเป็นขุย
  2. ท้องผูกได้ง่าย เนื่องจากการทำงานของระบบประสาทที่ควบคุมการเคลื่อนไหวลำไส้ ทำงานผิดปกติ จึงทำให้อาหารไม่เคลื่อนตัวและตกค้างในลำไส้ใหญ่
  3. อาจเกิดความผิดปกติในดวงตา เช่น ตาบอดกลางคืน ต้อกระจก ต้อหิน และการมองเห็นผิดปกติได้
  4. เกิดภาวะผมร่วงได้ เพราะสารนี้เกี่ยวข้องกับขบวนการในการสร้างเซลล์เส้นผมให้เจริญเติบโตตามปกติ
  5. ทำให้ภาวะเส้นเลือดอุดตัน หรือมีการแข็งตัวของผนังเส้นเลือดได้ จากการที่โคเรสเตอรอลเกาะที่ผนังเส้นเลือดในปริมาณที่สูงเกินไป
  6. เกิดภาวะเสื่อมและอักเสบของปลายประสาท ทำให้มีอาการชา หรือปวดร้อนตามปลายมือปลายเท้าได้

ได้มีผลงานการวิจัยทางการแพทย์ยืนยันว่า การให้ผู้ป่วยเบาหวาน ที่มีอาการดังกล่าวจากการขาดอิโนซิทอล (Inositol) ควรรับประทานสารนี้เสริม ร่วมกับโคลีน จะทำให้ฟื้นฟูอวัยวะที่เกี่ยวข้องได้ดีขึ้น และยังช่วยป้องกันภาวะซึมเศร้า ภาวะวิตกกังวล และป้องกันภาวะมะเร็งได้ ( เนื่องจากเชื่อว่า สารประกอบของ อิโนซิทอล (Inositol) คือ Inositol Hexaphosphate มีส่วนในการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน T-cell ) โดยขนาดที่แนะนำคือ รับประทาน อิโนซิทอล (Inositol) วันละ 500-1,000 มก.ต่อวัน โดย แบ่งรับประทานเป็นวันละ 2 ครั้ง ก่อนอาหารเช้าเย็น

Posted on

Pycnogenol : สารสกัดจากเปลือกต้นสนมาริไทม์ กับคุณประโยชน์มากมาย ในบทบาทอาหารเสริม

เปลือกต้นสนมาริไทม์ จากฝรั่งเศส ในตระกูลพันธุ์ Pinus marittma ซึ่งขึ้นอยู่ในริมฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก ทางตอนใต้ของฝรั่งเศสประกอบด้วยสารอาหารกว่า 40 ชนิด ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เป็นรู้จักในนางว่า Pycnogenol®
– ดร.เลสเตอร์ แพคเกอร์ แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์ดเลย์ ได้รายงานผลการทดลองทางวิทยาศาสตร์ เกี่ยวกับสารสกัดจากเปลือกต้นสนชนิดนี้ พบว่าสารสกัดที่ได้ล้วนมีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระ อันเป็นสาเหตุทำให้เซลล์อวัยวะต่างๆ เสื่อมโทรม โดยพบว่าสารอาหารที่สกัดได้จัดอยู่ในกลุ่ม Bioflavonoids ประเภทต่างๆ เช่น โพรไซยานิดิกส์ คาเทซิน และกลุ่มกรดผลไม้ร่วมเสริมฤทธิ์กัน
– โดยมีประสิทธิภาพสูงกว่าวิตามิน C ถึง 20 เท่า และสูงกว่าวิตามิน E ถึง50 เท่า นอกจากนี้ยังช่วยเสริมฤทธิ์ของวิตามิน C และ E ซึ่งมีหน้าที่ช่วยป้องกันและลดการทำลายเซลล์จากสารอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นในร่างกายตลอดเวลา

ผลงานวิจัยที่พบคุณประโยชน์จากเปลือกต้นสนฝรั่งเศส มีดังนี้ 

  1. ส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกัน โดยกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ในร่างกาย ปรับปรุงคุณภาพของเซลล์ภูมิคุ้มกัน (T-cell,B-cell )
  2. รักษาอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง ไม่มีแรง ทำให้ทนทานต่อการออกกำลังกายมากขึ้น
  3. ปกป้องเซลล์ประสาทจากพิษของผงชูรส
  4. ลดการอักเสบในผู้ป่วยด้วยโรคข้ออักเสบ ในต้านฤทธิ์ของอนุมูลซูเปอร์ออกไซด์
  5. กระตุ้นระบบหมุนเวียนโลหิต ทำให้ผิวพรรณดูอ่อนเยาว์ นอกจากนี้ โพรไซยานิดิกส์ คาเทซิน ยังเข้ารวมตัวกับคอลลาเจนและอีลาสติน ซึ่งเป็น โครงสร้างของผิว ทำให้ผิวพรรณมีความกระชับ ไม่หย่อนยาน
  6. ช่วยผ่อนคลายการบีบเกร็งของหลอดเลือด เมื่อมีความเครียด ทำให้ลดอัตราเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดอุดตัน โรคหัวใจ และพบว่าในวารสารการวิจัย ทางการแพทย์ของ Thrombosis research พบว่ามีฤทธิ์การลดการเกาะตัวของเกร็ดเลือด ของสารสกัดจากเปลือกต้นสนฝรั่งเศส ใกล้เคียงกับ ยาแอสไพริน ทำให้ลดผลข้างเคียงด้านการใช้ยาแอสไพรินในแง่ ระคายเคืองต่อกระเพาะอาหารด้วย
  7. ช่วยป้องกันการตกตระกอนของโคเลสเตอรอลบนผนังหลอดเลือด โดยป้องกันการเกิดการ Oxidation ของ LDL-Cholesterols
  8. ป้องกันและบรรเทาอาการความดันโลหิตสูง โดยสกัดกั้นากรทำงานของเอนไซม์ ACE ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดความดันโลหิตสูง
  9. ทำให้อาการเส้นเลือดโป่ง ขอด ปวด บวม ชา ตามช่วงขา และอาการเรื้อรังของหลอดเลือดดำดีขึ้น
  10. เป็นสารต้านอนุมูลอิสระประสิทธิภาพสูง(Super Antioxidant) ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าวิตามิน C ถึง 20 เท่า และสูงกว่าวิตามิน E ถึง50 เท่า

สารสกัดจากเปลือกต้นสนฝรั่งเศส สามารถถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย โดยไม่มีผลข้างเคียง และมีความปลอดภัย ทางรัฐบาลอังกฤษ ได้อนุมัติให้ เป็นสารอาหารที่ใช้ได้ทั่วไป และทาง FDA สหรัฐอเมริกา ได้อนุมัติให้เป็นผลิตภัณฑ์ด้านอาหารเสริมมานานมากกว่า 10 ปี และในประเทศไทยได้นำมา ทำเป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ที่ท่านสามารถหาซื้อมาบริโภคได้ตามร้านขายอาหารเสริมทั่วๆ ไปแต่ สนนราคาก็แพงเอาการอยู่ ประมาณ เม็ดละ 38-40 บาทต่อแคปซูล 50 มก. คุณต้องรับประทานประมาณ 1-2 เม็ด ต่อมื้ออาหารทีเดียว

เอกสารอ้างอิง : Watson,R.reduction of Cardiovascular Disease Risk Factor By French Maritime Pine Bark Extracts. Cardiovascular Reviews and Reports.1999;326-329.

Posted on

ลิ้นแตกลาย คล้ายแผนที่ ( Geographic tongue) อาการแบบนี้ อันตรายหรือไม่ รักษาอย่างไรดี

ลิ้นแตกลาย คล้ายแผนที่ ( Geographic tongue) คืออะไร

คือ ภาวะที่ลิ้นจะมีลักษณะลายคล้ายแผนที่ ไม่เรียบ แดง สวย เหมือนลิ้นคนทั่วไป ขอบเขตชัด และไม่พบเกสร( papillae) ของลิ้น พบได้ประมาณ ร้อยละ 1-2 ของประชากรทั่วไป พบได้บ่อยในเด็กและวัยรุ่น ทำให้ผู้ป่วยอาจรู้สึกไม่สบายลิ้นและทำให้ลิ้นไวต่ออาหารที่มีรสเผ็ดหรืออาหารร้อน อย่างไรก็ตาม ลิ้นลายแผนที่ไม่ใช่ปัญหาสุขภาพที่อันตราย ไม่ทำให้เกิดการติดเชื้อหรือเป็นสัญญาณของโรคมะเร็งแต่อย่างใด และในปัจจุบันยังไม่พบสาเหตุที่แน่ชัดของภาวะนี้ิ
สาเหตุของลิ้นลายแผนที่
ยังไม่ทราบสาเหตุที่ทำให้เกิด Geographic Tongue อย่างแน่ชัด แต่ก็มีปัจจัยเสี่ยงที่อาจเกี่ยวข้อง เช่น

  • ภาวะลิ้นแตกเป็นร่อง เพราะผู้ป่วย Geographic Tongue มักมีภาวะลิ้นแตกเป็นร่องร่วมด้วย
  • โรคสะเก็ดเงิน เป็นโรคที่มักทำให้เซลล์ผิวหนังชั้นนอกแบ่งตัวมากผิดปกติจนเกิดแผ่นปื้นที่หนาและตกสะเก็ดตามร่างกาย จนส่งผลให้รู้สึกคันและไม่สบายตัว โดย Geographic Tongue เป็นอาการที่มักเกิดขึ้นในผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงิน
  • พันธุกรรม หากคนในครอบครัวเคยเป็น Geographic Tongue มาก่อนก็อาจเสี่ยงต่อการเกิดภาวะนี้ได้เช่นกัน

การรักษาลิ้นลายแผนที่

ผู้ป่วยมักไม่ต้องเข้ารับการรักษา เพราะภาวะ Geographic Tongue ไม่ได้ก่อให้เกิดปัญหาที่ร้ายแรง ไม่มีผลต่อการรับประทานอาหาร หรือ การรับรสอาหาร แม้จะทำให้รู้สึกไม่สบายลิ้นในบางครั้ง รวมทั้งอาการที่ปรากฏอาจหายไปได้เองภายใน 2-3 วัน หรืออาจนานหลายสัปดาห์ ไม่มีความจำเป็นต้องหายามาทา
-อาจจะมีอาการระคายเคืองหรืออาการไวต่อสิ่งกระตุ้นของลิ้นได้ เช่น หากรู้สึกระคายเคืองลิ้นเมื่อรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีรสจัด เผ็ดร้อน หรือมีกรด ก็ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารเหล่านั้น
-ตวรงดสูบบุหรี่ ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ หรือหลีกเลี่ยงการใช้ยาสีฟันที่มีรสเผ็ดร้อนด้วย เป็นต้น
ภาวะแทรกซ้อน
โดยปกติ ไม่ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพหรือภาวะแทรกซ้อนระยะยาวตามมา อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยบางรายก็อาจมีภาวะลิ้นแตกเป็นร่อง ซึ่งมักเกิดร่วมกับลิ้นแตกลาย คล้ายแผนที่ และอาจทำให้ระคายเคืองหรือรู้สึกเจ็บลิ้นในบางครั้ง
การป้องกันและรักษา
ยังไม่มีวิธีป้องกันภาวะนี้ แต่ผู้ป่วยอาจหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่ทำให้ลิ้นเกิดการระคายเคืองได้ เช่น งดรับประทานอาหารบางประเภท ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไม่ใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากบางชนิดที่อาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองลิ้น
– รายที่มีอาการรุนแรง อาจรับประทานยากลุ่มแก้อักเสบกลุ่ม NSAID เช่น Iprobufen หรือยาป้ายแผลในปาก เช่น Kenalog in oral base เพื่อบรรเทาอาการที่เกิดบนผิวลิ้น รวมถึงอาจใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมของยาต้านฮิสตามีนหรือ   เพื่อช่วยลดการอักเสบ การระคายเคือง และอาการเจ็บปวด  

Posted on

Collagen : คอลลาเจน แบบไหนให้ประโยชน์ และได้ผล ช่วยลดริ้วรอย ชะลอวัย ให้ดูอ่อนเยาว์

collagen เป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง คือ scleroprotein ที่เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน( connective tissue) โดยจะอยู่ในรูปของ fiber ที่ประกอบด้วย peptide chain( สายไขมัน) 3 สายที่เรียกว่า triple helix
คอลลาเจนสร้างโดย fibroblast ผลิตสารสำคัญ 3 ชนิดคือ
1.คอลลาเจน (Collagen) ช่วยให้ผิวตึง กระชับ
2.อิลาสติน (Elastin) ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น
3.กรดไฮยาลูโรนิค (Hyaluronic Acid) ช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้น
โดยรวมแล้วในชั้นผิวหนังแท้จะมีคอลลาเจนเป็นส่วนประกอบมากที่สุดถึง 75% เลยทีเดียว มีคุณสมบัติทำให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่นได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ประสิทธิภาพความยืดหยุ่นของคอลลเจนจะเสียไป โดย พบว่าคอลลาเจนจะเหนียวมากขึ้นและอุ้มน้ำได้น้อยลง ดังนั้นจึงทำให้ผิวหน้าแห้งได้ง่าย
จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการหย่อนยานของผิวหนัง และริ้วรอย ทำให้มีการหาหนทางแก้ไขและหาสารที่มีผลในการสร้างคอลลาเจน
แหล่งของคอลลาเจน
1. โปรตีนจากเนื้อสัตว์ ปลา หรือผลิตภัณฑ์จากนมทั้งหลายที่รับประทานเข้าไปถูกย่อยสลายจนแตกตัว และก่อตัวขึ้นใหม่เป็นโปรตีนในลักษณะอื่น ๆ เช่น โปรตีนที่ช่วยในกระบวนการรักษาแผล ซ่อมแซมกล้ามเนื้อ หรือคอลลาเจนนั่นเอง
2. ร่างกายจะมีการผลิตคอลลาเจนได้เอง แต่จะน้อยลงตามอายุที่เพิ่มมากขึ้น คนเราจะค่อย ๆ สูญเสียคอลลาเจนไปประมาณ ปีละ 1.5 เปอร์เซ็นต์ ส่งผลให้การเชื่อมต่อของเนื้อเยื่อในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายอ่อนแอลง เป็นสาเหตุให้ผิวหนังเหี่ยวย่น มีริ้วรอย ขาดความยืดหยุ่น และบริเวณข้อต่อเริ่มไม่แข็งแรงตามไปด้วย

การเพิ่มคอลลาเจน ทำได้กี่แบบ อะไรบ้าง ได้ผลแค่ไหน
1. คอลลาเจนแบบครีมบำรุงผิว : กลุ่มนี้ พบว่าให้ผลไม่แตกต่างกับ มอยซ์เจอร์ไรเซอร์ชนิดอื่น ๆ คือ ลดอัตราการสูญเสียน้ำของผิวหนัง ทำให้ผิวหนังอ่อนนุ่มขึ้นเท่านั้น ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นมอยเจอร์ไรเซอร์ที่มีคอลลาเจนหรือไม่มีคอลลาเจนต่างก็ไม่มีคุณสมบัติในการซึมผ่านและถูกดูดซึมไปสู่ผิวหนังชั้นลึก ครีมบำรุงผิวใด ๆ จึงไม่มีประสิทธิภาพลดการสูญเสียคอลลาเจนหรือลบเลือนริ้วรอยได้
2. คอลลาเจนแบบรับประทานบำรุงผิว : อาหารเสริมคอลลาเจนที่วางขายออนไลน์ ขณะนี้ ช่วยลดการเสื่อมของผิวหนังได้มั้ย งานวิจัยในปี 2014 พบว่าได้ผลเพียง 15 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น แต่ต้องรับประทานคอลลาเจนดังกล่าวนานกว่า 60 วัน
3. คอลลาเจนแบบฉีด : ที่เรียกว่าการฉีดแบบ Filler แทนคอลลาเจนส่วนที่สูญเสียไปของผิว ซึ่งสกัดจาก วัว
( Bovine collagen) แต่ พบว่ามีอัตราการแพ้สูง เพราะสกัดจากสัตว์ อย. ของไทยปัจจุบัน ไม่อนุญาตให้ใช้ฟิลเลอร์คอลลาเจนได้อย่างถูกกฎหมาย และปัจจุบัน ก็ไม่มีจำหน่ายแล้ว จึงมาใช้ฟิลเลอร์ ที่เป็น กรดไฮยาลูโรนิก แทน เพราะผ่าน อย.และปลอดภัยกว่า
จากที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่า การเพิ่มคอลลาเจน ให้ผิว ไม่ว่าวิธีใด ได้ผลน้อยมาก ปัจจุบันแพทย์จะเปลี่ยนมาใช้การฉีดฟิลเลอร์ชนิดไฮยา ทีผ่าน อย.ทดแทน คอลลาเจนที่สูญเสียไป เพราะได้ผลขัวร์ และอยู่ได้นานกว่า
ขอเตือน ว่าอย่าได้ตกเป็นเหยื่อของสื่อออนไลน์ต่างๆ ที่กล้าวอ้างสรรพคุณสินค้า ว่าทดแทนหรือเพิ่มคอลลาเจนได้ นอกจากจะเสียเงิน เสียเวลาแล้ว ยังเสียรู้ ด้วย