Posted on

“รอยแตกลาย” รักษาแบบใหม่ เนียนถูกใจ ผิวไม่ดำ ด้วย SERUM สูตรลับเฉพาะคลินิกนีโอ


รอยแตกลาย(Stretch marks)

คือ แผลเป็นชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นบริเวณผิวหนังและมีสีที่แตกต่างอย่างชัดเจนกับผิวหนังส่วนอื่น โดยอาจจะพบว่าลักษณะเป็นร่อง หรือ ลายเส้นขนาน
สาเหตุ
เกิดจากการฉีกขาดของหนังแท้ ผิวหนังเกิดการยืดขยายตัวอย่างรวดเร็วของผิวหนังบริเวณนั้น ๆ ซึ่งผิวแตกลายนั้นจะเกิดขึ้นที่ผิวหนังชั้นกลาง
บริเวณที่พบ
มักพบในบริเวณที่มีไขมันสะสมอยู่มาก เช่น บริเวณหน้าท้อง หน้าอก เต้านม สะดือ ต้นแขน ต้นขา สะโพกและน่อง
กลุ่มคนที่พบรอยแตกลายได้บ่อย
– สตรีตั้งครรภ์มากถึง 90% มักจะมีรอยแตกลาย เพราะครรภ์โตจนทำให้หน้าท้องและขาอ่อนแตกลาย
– วัยรุ่นที่ร่างกายเจริญเติบโตเร็วเกินไป
– คนที่มีน้ำหนึกตัวเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างรวดเร็ว เช่น กลุ่มนักกีฬาเพาะกายที่มวลกล้ามเนื้อโตขึ้นอย่างรวดเร็ว รวมไปถึงกลุ่มคนที่ลดน้ำหนักลงอย่างรวดเร็ว
ชนิดของรอยแตกลาย
1.รอยแตกลายแดง ก็คือ รอยแตกลายใหม่ จะเป็นรอยแรกที่เกิดขึ้นบนผิว ที่เกิดจากการยืดตัวของผิวหนังที่รวดเร็วจนเกินไป ทำให้เกิด รอยแตกลายสีแดง หรือ รอยแตกลายสีม่วง ขึ้นมาบนผิว ซึ่งสีของลายแตกนั้นจะขึ้นอยู่กับสภาพผิวเดิมของเรา
2. รอยแตกลายขาว หรือ รอยแตกลายเก่า เกิดจากรอยแตกลายสีแดง หรือ สีม่วง ที่เมื่อเวลาผ่านไป รอยแตกลายก็จะค่อย ๆ จางเลือนหายไป แล้วเปลี่ยนเป็น รอยแตกขาว แทน ซึ่งรอยแตกลายแบบนี้ จะรักษาให้เลือนหายไปจากผิวพรรณได้ยากกว่า แบบรอยแตกแดง

การป้องกันและรักษา

1. การป้องกันรอยแตกลาย
1.1 ทานอาหารที่มีประโยชน์ ทานผักผลไม้ โดยเน้น วิตามินเอ , แร่สังกะสี , วิตามินซี ,วิตามินดี ,โปรตีน ผิวของเรามีความยืดหยุ่นมากขึ้น
1.2 ทาครีมบำรุงหรือครีมป้องกันรอยแตกลายเป็นประจำ เพื่อให้ผิวชุ่มชื้นอยู่เสมอ อย่าปล่อยให้บริเวณที่ผิวแตกลายแห้งเป็นอันขาด
1.3 พยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงอย่างวัยรุ่น ผู้ออกกำลัง และหญิงตั้งครรภ์ (ยิ่งผู้หญิงที่รู้ตัวว่ากำลังตั้งครรภ์ ก็ควรจะหาครีมทาไว้แต่เนิ่น ๆ
2. การรักษารอยแตกลาย
2.1 เลเซอร์รอยแตกลาย ถือเป็นการรักษาที่ได้ผลดี และหายเร็วขึ้น ชนิดของเลเซอร์ที่ใช้ก็มีดังนี้
2.1.1. Finescan Laser : ปัจจุบันไม่ค่อยนิยมใช้ เพราะมักจะเกิดรอยดำจากเลเซอร์ โดยเฉพาะผิวคนเอเชีย
2.1.2 V-Beam Laser : ช่วยทำลายเส้นเลือดในคนที่มีรอยแตกแดง เหมาะกับรอยแตกลายที่เพิ่งเกิดใหม่หรือมีสีชมพู
2.2 Carboxytherapy : สายฉีด คาร์บอกซี่ ขาดตลาด โรงงานเลิกผลิตแล้ว
2.3 Microneedle (เข็มไมโคร) : กลิ้งไปบนรอยแตกลาย ให้เกิดการรูพรุน แล้วใส่เซรั่มรักษารอยแตกลาย (สูตรลับเฉพาะของคลินิก) ในการสลายแผลเป็นและจัดเรียงผิวใหม่  

ระยะเวลาในการรักษา

รอยแตกลายขาว จะใช้เวลาในการรักษานานกว่ารอยแตกลายแดง ส่วนใหญ่ จะใช้เวลาในการรักษา 5 ครั้ง ห่างกันทุก 2 อาทิตย์

รอยแตกลายแดง จะเห็นผลชัดเจน ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ ส่วนรอยแตกลายขาว จะเห็นผลชัดเจน ตั้งแต่ครั้งที่ 3 เป็นต้นไป

Posted on

รักแร้ดำ ขาหนีบดำ รอยดำจากท่อไอเสีย ดำได้ ก็จางได้ ไม่กลับมาใหม่ ด้วย Revlite Laser

รักแร้ ขาหนีบดำ รอยด่างดำจากท่อไอเสีย รอยดำที่ใครก็ไม่อยากมี

แม้ว่าปัญหารักแร้ดำ ขาหนีบดำ ขาเป็นรอยด่างดำ จะดูเป็นเรื่องเล็ก ๆ ในที่ลับ ๆ ที่อาจจะดูเป็นตำแหน่งที่ไม่มีใครเห็นหรือสังเกตได้ง่าย แต่ก็ถือว่าเป็นตำแหน่งที่สร้างความไม่มั่นใจให้กับคุณได้ หากคุณต้องการจะอวดวงแขน หรือใส่ชุดว่ายน้ำหรือกางเกงขาสั้นขึ้นมา เพราะหากเกิดปัญหาขึ้นมาแล้ว มันอาจจะทำให้คุณสูญเสียความมั่นใจในการอยากจะอวดรูปร่างของคุณขึ้นมาได้ ดังนั้นจงอย่ามองข้ามจุดเล็กๆ นี้ เพราะอาจจะช่วยให้คุณดูดี มั่นใจ ในทุกช่วงเวลาก็เป็นได้

สาเหตุของการเกิดรอยดำ

  1.   เกิดจากการเสียดสี เป็นส่วนใหญ่ แล้วเกิดการอักเสบขึ้นมา เพราะเราทราบมาแล้วว่าเมื่อใดที่เกิดการอักเสบ โดยเฉพาะในผิวคนเอเชีย มักจะมีรอยด่างดำตามมาเสมอ และถ้าเกิดบ่อยๆ ก็จะยิ่งทำให้สีผิวดำคล้ำมากขึ้น การเกิดการเสียดสี จากต้นแขน ต้นขาใหญ่แล้วเบียดกันมากเกินไป และบ่อยๆ ซึ่งพบได้คนอ้วน หรือการใส่กางเกงในที่ขอบรัดเกินไป หรือเกิดจากการเคลื่อนไหวบ่อยๆ อย่างไม่ระวัง เช่นในกลุ่มนักกีฬา
  2. โรคเชื้อราที่ รักแร้ หรือขาหนีบ ซึ่งมักจะเกิดจากความอับชื้น โดยเฉพาะในวัยรุ่นหรือนักกีฬา โดยเมื่อเกิดการติดเชื้อรา มักจะมีอาการคัน ทำให้เกาแล้วเกิดการอักเสบ แล้วเกิดรอยดำตามมา ซึ่งถ้าไม่ทำการรักษาให้หายขาด และเกิดเรื้อรัง รอยดำก็จะยิ่งชัดและเข้มมากขึ้น
  3. โรคผื่นแพ้ผิวหนังอักเสบ (Seborrheic dermatitis) หรือผื่นแพ้สัมผัส (Contact dermatitis) จากการแพ้โรลออน ขอบกางเกงใน หรือสายรัดขอบยกทรง หรือขอบกางเกงในแน่นเกินไป  ทำให้เกิดอาการผื่นแดง คัน แล้วก็เกาแล้วเกิดการอักเสบ และรอยดำตามมาภายหลัง
  4. โรคติดเชื้อแบคทีเรีย มักจะพบในผู้ป่วยเบาหวาน ซึ่งมักจะอ้วน และภูมิต้านทานต่ำ จึงเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนได้ง่าย ทำให้คัน เกาและอักเสบ เกิดรอยดำเช่นกัน
  5. รอยดำจากความร้อน เช่นจากท่อไอเสีย จากการสัมผัสของร้อนแล้วไหม้ เกิดรอยดำ

ทำไงให้หายดำ เป็นปกติแบบไม่กลับมาใหม่

  1. หลีกเลี่ยงสาเหตุที่ทำให้เกิดข้างต้น คนที่มีน้ำหนักตัวมากๆ ก็ควรจะเริ่มหันมาลดน้ำหนักอย่างจริงจัง โดยให้เน้นท่าออกกำลังกาย เพื่อช่วยลดการเสียดสี หรือสลายไขมันส่วนเกินทีต้นแขน ต้นขา
  2. ไม่ควรใส่ยกทรง หรือ กางเกงในตอนนอน แต่หากจำเป็นต้องใส่ก็ให้เลือกใส่กางเกงในที่ไม่มีตะเข็ม ใส่แล้วไม่รัดติ้ว และไม่ใส่จนรัดเกินไป
  3. ควรเลี่ยงการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว และไม่ระวัง เพราะจะกระตุ้นให้เกิดการเสียดสีได้ง่าย หรืออุบัตเหตุได้ง่าย
  4. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ ได้แก่ วิตามินซี วิตามินอี โดยวิตามินอีสามารถพบได้มากในอาหารจำพวก นม ถั่ว ไข่ เนื้อสัตว์ ปลา ผัก ฯลฯ ส่วนวิตามินซีจะพบได้มากในผักและผลไม้ วิตามินทั้งสองชนิดนี้มีบทบาทที่เป็นประโยชน์ต่อผิว ทำให้ผิวแข็งแรงและลดการอักเสบได้ โดยเฉพาะวิตามินซี ทั้งแบบฉีดและรับประทานขนาดสูงๆ จะช่วยลดรอยด่างดำได้ดี
  5. ขัดผิว ให้ใช้ฟองน้ำหรือใยบวมขัดเบาๆ บริเวณรักแร้ ขาหนีบในขณะอาบน้ำ อาจขัดไปพร้อมๆ กับตอนถูสบู่เลยก็ได้ โดยให้ทำอาทิตย์ละ 1-2 ครั้งก็พอ รอยดำบนขาหนีบของคุณจะค่อยๆ จางลงอย่างแน่นอน แต่ขอย้ำนะครับว่าควรขัดถูแบบเบาๆ เพราะถ้ายิ่งลงแรงขัดมากเท่าไหร่ก็อาจทำให้เกิดการอักเสบบวมแดงมากขึ้นเท่านั้น พอแดงมากๆ ความดำจากการเสียดสีก็จะมาเยือน และเยอะขึ้นกว่าเดิมด้วย
  6. สครับผิวสูตรธรรมชาติ การขัดบำรุงผิวก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้ว แต่ย้ำนะครับ ว่าให้เลือกที่ไม่ระคายเคืองผิวมากนัก การสครับผิวควรให้ค่อยๆ ลอกออกช้าๆ เหมือนลอกขี้ไคล  ไม่ควรจะถูแรงๆ หรือไม่ใช่ลอกจนแดง เพราะจะทำให้เกิดการอักเสบ แล้วกลับมาดำคล้ำได้ใหม่
  7. ดูแลทำความสะอาดผิว มิให้เกิดการอับชื้นได้ง่าย อาจจะโรยแป้งป้องกันความชื้น หรือเมื่อเล่นกีฬาเสร็จก็ควรรีบอาบน้ำทันที ไม่ปล่อยหมักหมม
  8. ทาไวเทนนิ่งครีม เลือกชนิดที่มีสรรพคุณลดการจำนวนเม็ดสีเมลานิน เช่น วิตามินซีเข้มข้น Kojic acid,Albutin ฯลฯ ไม่ควรเลือกชนิดที่มีสรรพคุณลอกผิว เช่น AHA หรือกรดเข้มข้น เพราะอาจจะยิ่งช่วยเพิ่มการอักเสบให้มากขึ้น
  9. ส่วนการรักษาที่ได้ผลดี เร็ว ไม่มีผลข้างเคียงและไม่กลับมาดำคล้ำใหม่ แนะนำ เลเซอร์เม็ดสี : ได้แก่ เลเซอร์กลุ่ม Q-Swithced Nd:YAG laser เช่น Revlite laser , จัดเป็นการรักษาที่ได้ผลตามมาตรฐานสากลทางการแพทย์  เพราะจะแก้ไขปัญหารอยดำได้ทุกบริเวณ ไม่ว่าจะที่ไหน รอยดำตื้น หรือลึก โดยจำนวนครั้งในการรักษาอาจจะแตกต่างกันแล้วแต่สีผิว ความลึกตื่นของรอยดำ ปกติมักจะทำ 2-3 อาทิตย์ต่อครั้ง ประมาณ 5-10 ครั้งโดยเฉลี่ย โดยควรเลือกช่วงคลื่นที่มีสรรพคุณช่วยลดเลือนจำนวนเม็ดสี แม้จะต้องทำหลายครั้ง แต่ก็ดีกว่าการเลือกเลเซอร์ที่มีช่วงคลื่นที่มีสรรพคุณลอกผิว ซึ่งก็เหตุผลเดียวกันคือการลอกผิวบริเวณนี้ไม่ควรทำ เนื่องจากผิวมักจะบอบบางและอักเสบได้ง่ายอยู่แล้ว  เพราะถ้าเกิดการอักเสบขึ้นมา ก็จะทำให้รอยดำกลับมาใหม่ได้อีก และอาจจะมากกว่าเดิมเพราะผลของความร้อนจากเลเซอร์

Posted on

Pycnogenol : สารสกัดจากเปลือกต้นสนมาริไทม์ กับคุณประโยชน์มากมาย ในบทบาทอาหารเสริม

เปลือกต้นสนมาริไทม์ จากฝรั่งเศส ในตระกูลพันธุ์ Pinus marittma ซึ่งขึ้นอยู่ในริมฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก ทางตอนใต้ของฝรั่งเศสประกอบด้วยสารอาหารกว่า 40 ชนิด ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เป็นรู้จักในนางว่า Pycnogenol®
– ดร.เลสเตอร์ แพคเกอร์ แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์ดเลย์ ได้รายงานผลการทดลองทางวิทยาศาสตร์ เกี่ยวกับสารสกัดจากเปลือกต้นสนชนิดนี้ พบว่าสารสกัดที่ได้ล้วนมีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระ อันเป็นสาเหตุทำให้เซลล์อวัยวะต่างๆ เสื่อมโทรม โดยพบว่าสารอาหารที่สกัดได้จัดอยู่ในกลุ่ม Bioflavonoids ประเภทต่างๆ เช่น โพรไซยานิดิกส์ คาเทซิน และกลุ่มกรดผลไม้ร่วมเสริมฤทธิ์กัน
– โดยมีประสิทธิภาพสูงกว่าวิตามิน C ถึง 20 เท่า และสูงกว่าวิตามิน E ถึง50 เท่า นอกจากนี้ยังช่วยเสริมฤทธิ์ของวิตามิน C และ E ซึ่งมีหน้าที่ช่วยป้องกันและลดการทำลายเซลล์จากสารอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นในร่างกายตลอดเวลา

ผลงานวิจัยที่พบคุณประโยชน์จากเปลือกต้นสนฝรั่งเศส มีดังนี้ 

  1. ส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกัน โดยกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ในร่างกาย ปรับปรุงคุณภาพของเซลล์ภูมิคุ้มกัน (T-cell,B-cell )
  2. รักษาอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง ไม่มีแรง ทำให้ทนทานต่อการออกกำลังกายมากขึ้น
  3. ปกป้องเซลล์ประสาทจากพิษของผงชูรส
  4. ลดการอักเสบในผู้ป่วยด้วยโรคข้ออักเสบ ในต้านฤทธิ์ของอนุมูลซูเปอร์ออกไซด์
  5. กระตุ้นระบบหมุนเวียนโลหิต ทำให้ผิวพรรณดูอ่อนเยาว์ นอกจากนี้ โพรไซยานิดิกส์ คาเทซิน ยังเข้ารวมตัวกับคอลลาเจนและอีลาสติน ซึ่งเป็น โครงสร้างของผิว ทำให้ผิวพรรณมีความกระชับ ไม่หย่อนยาน
  6. ช่วยผ่อนคลายการบีบเกร็งของหลอดเลือด เมื่อมีความเครียด ทำให้ลดอัตราเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดอุดตัน โรคหัวใจ และพบว่าในวารสารการวิจัย ทางการแพทย์ของ Thrombosis research พบว่ามีฤทธิ์การลดการเกาะตัวของเกร็ดเลือด ของสารสกัดจากเปลือกต้นสนฝรั่งเศส ใกล้เคียงกับ ยาแอสไพริน ทำให้ลดผลข้างเคียงด้านการใช้ยาแอสไพรินในแง่ ระคายเคืองต่อกระเพาะอาหารด้วย
  7. ช่วยป้องกันการตกตระกอนของโคเลสเตอรอลบนผนังหลอดเลือด โดยป้องกันการเกิดการ Oxidation ของ LDL-Cholesterols
  8. ป้องกันและบรรเทาอาการความดันโลหิตสูง โดยสกัดกั้นากรทำงานของเอนไซม์ ACE ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดความดันโลหิตสูง
  9. ทำให้อาการเส้นเลือดโป่ง ขอด ปวด บวม ชา ตามช่วงขา และอาการเรื้อรังของหลอดเลือดดำดีขึ้น
  10. เป็นสารต้านอนุมูลอิสระประสิทธิภาพสูง(Super Antioxidant) ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าวิตามิน C ถึง 20 เท่า และสูงกว่าวิตามิน E ถึง50 เท่า

สารสกัดจากเปลือกต้นสนฝรั่งเศส สามารถถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย โดยไม่มีผลข้างเคียง และมีความปลอดภัย ทางรัฐบาลอังกฤษ ได้อนุมัติให้ เป็นสารอาหารที่ใช้ได้ทั่วไป และทาง FDA สหรัฐอเมริกา ได้อนุมัติให้เป็นผลิตภัณฑ์ด้านอาหารเสริมมานานมากกว่า 10 ปี และในประเทศไทยได้นำมา ทำเป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ที่ท่านสามารถหาซื้อมาบริโภคได้ตามร้านขายอาหารเสริมทั่วๆ ไปแต่ สนนราคาก็แพงเอาการอยู่ ประมาณ เม็ดละ 38-40 บาทต่อแคปซูล 50 มก. คุณต้องรับประทานประมาณ 1-2 เม็ด ต่อมื้ออาหารทีเดียว

เอกสารอ้างอิง : Watson,R.reduction of Cardiovascular Disease Risk Factor By French Maritime Pine Bark Extracts. Cardiovascular Reviews and Reports.1999;326-329.

Posted on

Collagen : คอลลาเจน แบบไหนให้ประโยชน์ และได้ผล ช่วยลดริ้วรอย ชะลอวัย ให้ดูอ่อนเยาว์

collagen เป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง คือ scleroprotein ที่เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน( connective tissue) โดยจะอยู่ในรูปของ fiber ที่ประกอบด้วย peptide chain( สายไขมัน) 3 สายที่เรียกว่า triple helix
คอลลาเจนสร้างโดย fibroblast ผลิตสารสำคัญ 3 ชนิดคือ
1.คอลลาเจน (Collagen) ช่วยให้ผิวตึง กระชับ
2.อิลาสติน (Elastin) ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น
3.กรดไฮยาลูโรนิค (Hyaluronic Acid) ช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้น
โดยรวมแล้วในชั้นผิวหนังแท้จะมีคอลลาเจนเป็นส่วนประกอบมากที่สุดถึง 75% เลยทีเดียว มีคุณสมบัติทำให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่นได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ประสิทธิภาพความยืดหยุ่นของคอลลเจนจะเสียไป โดย พบว่าคอลลาเจนจะเหนียวมากขึ้นและอุ้มน้ำได้น้อยลง ดังนั้นจึงทำให้ผิวหน้าแห้งได้ง่าย
จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการหย่อนยานของผิวหนัง และริ้วรอย ทำให้มีการหาหนทางแก้ไขและหาสารที่มีผลในการสร้างคอลลาเจน
แหล่งของคอลลาเจน
1. โปรตีนจากเนื้อสัตว์ ปลา หรือผลิตภัณฑ์จากนมทั้งหลายที่รับประทานเข้าไปถูกย่อยสลายจนแตกตัว และก่อตัวขึ้นใหม่เป็นโปรตีนในลักษณะอื่น ๆ เช่น โปรตีนที่ช่วยในกระบวนการรักษาแผล ซ่อมแซมกล้ามเนื้อ หรือคอลลาเจนนั่นเอง
2. ร่างกายจะมีการผลิตคอลลาเจนได้เอง แต่จะน้อยลงตามอายุที่เพิ่มมากขึ้น คนเราจะค่อย ๆ สูญเสียคอลลาเจนไปประมาณ ปีละ 1.5 เปอร์เซ็นต์ ส่งผลให้การเชื่อมต่อของเนื้อเยื่อในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายอ่อนแอลง เป็นสาเหตุให้ผิวหนังเหี่ยวย่น มีริ้วรอย ขาดความยืดหยุ่น และบริเวณข้อต่อเริ่มไม่แข็งแรงตามไปด้วย

การเพิ่มคอลลาเจน ทำได้กี่แบบ อะไรบ้าง ได้ผลแค่ไหน
1. คอลลาเจนแบบครีมบำรุงผิว : กลุ่มนี้ พบว่าให้ผลไม่แตกต่างกับ มอยซ์เจอร์ไรเซอร์ชนิดอื่น ๆ คือ ลดอัตราการสูญเสียน้ำของผิวหนัง ทำให้ผิวหนังอ่อนนุ่มขึ้นเท่านั้น ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นมอยเจอร์ไรเซอร์ที่มีคอลลาเจนหรือไม่มีคอลลาเจนต่างก็ไม่มีคุณสมบัติในการซึมผ่านและถูกดูดซึมไปสู่ผิวหนังชั้นลึก ครีมบำรุงผิวใด ๆ จึงไม่มีประสิทธิภาพลดการสูญเสียคอลลาเจนหรือลบเลือนริ้วรอยได้
2. คอลลาเจนแบบรับประทานบำรุงผิว : อาหารเสริมคอลลาเจนที่วางขายออนไลน์ ขณะนี้ ช่วยลดการเสื่อมของผิวหนังได้มั้ย งานวิจัยในปี 2014 พบว่าได้ผลเพียง 15 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น แต่ต้องรับประทานคอลลาเจนดังกล่าวนานกว่า 60 วัน
3. คอลลาเจนแบบฉีด : ที่เรียกว่าการฉีดแบบ Filler แทนคอลลาเจนส่วนที่สูญเสียไปของผิว ซึ่งสกัดจาก วัว
( Bovine collagen) แต่ พบว่ามีอัตราการแพ้สูง เพราะสกัดจากสัตว์ อย. ของไทยปัจจุบัน ไม่อนุญาตให้ใช้ฟิลเลอร์คอลลาเจนได้อย่างถูกกฎหมาย และปัจจุบัน ก็ไม่มีจำหน่ายแล้ว จึงมาใช้ฟิลเลอร์ ที่เป็น กรดไฮยาลูโรนิก แทน เพราะผ่าน อย.และปลอดภัยกว่า
จากที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่า การเพิ่มคอลลาเจน ให้ผิว ไม่ว่าวิธีใด ได้ผลน้อยมาก ปัจจุบันแพทย์จะเปลี่ยนมาใช้การฉีดฟิลเลอร์ชนิดไฮยา ทีผ่าน อย.ทดแทน คอลลาเจนที่สูญเสียไป เพราะได้ผลขัวร์ และอยู่ได้นานกว่า
ขอเตือน ว่าอย่าได้ตกเป็นเหยื่อของสื่อออนไลน์ต่างๆ ที่กล้าวอ้างสรรพคุณสินค้า ว่าทดแทนหรือเพิ่มคอลลาเจนได้ นอกจากจะเสียเงิน เสียเวลาแล้ว ยังเสียรู้ ด้วย

Posted on

วิตามินกันแดด ( Sun Vitamins) : รับประทานกันแดดเผา เอาไม่อยู่กับครีมกันแดด

แสงแดด ปัจจุบันนี้ได้มีการศึกษาและวิจัยแล้วว่า นอกจากจะมีข้อดีต่อการสังเคราะห์วิตามินต่างๆ ในร่างกายแล้ว ก็ยังมีข้อเสียเช่นกันสำหรับผิวพรรณ เพราะการตากแดดบ่อยๆ โดยไม่ป้องกัน ทาครีมกันแดด..จะทำให้เกิดปัญหาผิวแก่ก่อนวัย เกิดริ้วรอย ขาดความยืดหยุ่น หน้าหมองคล้ำหรือผิวไหม้แดด เกิดภาวะผิวเสื่อมมีเส้นเลือดขยายตัวเป็นรอยแดง ที่ซ้ำร้ายกว่านั้น อาจจะทำให้เกิดมะเร็งผิวหนัง ฝ้า กระ ตามมาได้
การทาครีมกันแดด ถึือว่าจำเป็น แต่ในบางสภาวะ ที่ต้องตากแดดนานๆ จนครีมกันแดดเอาไม่อยู่ หลุดออก เพราะเหงื่อ หรือในบริเวณที่ครีมกันแดด ทาไม่ถึง เช่นที่หลัง อาจจะมีปัญหาได้
 วิตามินกันแดด ( Sun Vitamins) ปัจจุบันได้มีการค้นคว้าวิจัย วิตามินแบบรับประทานเพื่อป้องกันแสงแดดออกมาด้วย ที่เรียกว่า Systemic Sunscreen ออกมาจำหน่ายกันแล้วนะครับ เพื่อจะป้องกันผิวทั่วตัว โดยไม่ต้องยุ่งยากกับการทาครีมกันแดดให้วุ่นวาย เหนอะหนะ 
สกัดจากไหน มีสรรพคุณอย่างไร
สกัดจากใบเฟิร์นชนิดหนึ่งในแถบอเมริกาใต้ ที่ชื่อว่า Polypodium Leucomotos ( PLE) โดยมีสารโพลีฟีนอลที่มีคุณสมบัติเป็นแอนตี้ออกซิแดนซ์ในการป้องกัน อนุมูลอิสระมิให้ถูกทำลายจากรังสียูวี ซึ่งพบว่าได้ผลดีกว่าสารแอนตี้ออกซิแดนซ์เก่าๆ อันได้แก่ วิตามินซี วิตามินอี ที่เรารู้จักกันดี
ออก

ประสิทธิภาพเป็นอย่างไร
สามารถออกฤทธิ์ได้เร็วหลังรับประทานเพียง 2 ชั่วโมง ในขณะที่การรับประทานวิตามินอี หรือซี จะต้องใช้เวลาในการป้องกันผิวจากแสงแดดต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2-3 สัปดาห์
ออกวางจำหน่ายทั่วไปหรือยัง
ปัจจุบันได้มีบริษัทชั้นนำในอเมริกา ได้ผลิตออกมาจำหน่ายบ้าง แล้วตั้งแต่ปี 2003 โดยบรรจุในรูปของแคบซูล ๆละ 240 มก. โดยให้ชื่อว่า Sun Vitamins โดยใน 1 แคบซูลจะประกอบด้วย เฟิร์น PLE 240 มิลลิกรัม ชาเขียว 50 มิลลิกรัม และสารเบต้าแคโรทีน 10 มิลลิกรัม เป็นองค์ประกอบหลัก นอกจากนี้บางบริษัทยังนำเฟิร์นนี้มาผสมในครีมกันแดด ครีมบำรุงผิวกันบ้างแล้วเช่นกัน
รับประทานอย่างไร สามารถสั่งซื้อได้ที่ไหน
ขนาดที่รับประทานก็คือ 240-480 มก.ต่อวัน ส่วนผิวเอเซีย ถ้าต้องการให้ผิวขาวใส ออกแดดได้โดยไม่กลัวดำ  สนนราคาอยู่ที่ 1,800 บาทต่อขวดบรรจุ 60 เม็ด รับประทานได้ประมาณ 1 เดือนนะครับ 

วิตามินกันแดดนี้ ต้องทำความเข้าใจก่อนนะครับว่า เป็นการป้องกันไม่ใช่การรักษา ดังนั้นคนที่มีปัญหาฝ้า กระ หรือริ้วรอยอยู่ก่อนแล้ว ไม่สามารถทำให้ดีขึ้นได้ ต้องทำการรักษาควบคู่กันไปด้วย ขณะเดียวกันการป้องกัน เลี่ยงแดดก็ยังเป็นสิ่งที่จำเป็น

Posted on

7 แร่ธาตุและสารอาหารสำหรับผิวพรรณ ป้องกันแก่ก่อนวัย หาง่ายๆ ได้ด้วยตนเอง

สาเหตุผิวหนังที่เสื่อมหรือแก่ก่อนวัย

  1. แสงแดด ทั้งรังสียูวีเอ ที่ทำลายโครงสร้างของผิวหนัง ทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่น รังสียูวีบีที่ทำให้เกิดผิวหนังดำคล้ำ หรือทำให้เซลล์ผิวหนังเปลี่ยนแปลงเป็นมะเร็ง ดังนั้นจึงต้องป้องกันด้วยการทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF (สำหรับป้องกันรังสียูวีบี) และค่า PA (สำหรับป้องกันรังสียูวีเอ) ที่เพียงพอและทาเป็นประจำ
  2. อนุมูลอิสระ ที่เกิดขึ้นจากปฏิกริยาออกซิเดชั่น จึงได้มีการคิดค้นสารที่เป็น Antioxiants ที่จะจำกัดอนุมูลอิสระเหล่านี้ ทั้งในรูปของครีมบำรุงผิว และ ในรูปของอาหารเสริม เช่น กลุ่ม Glutathione peroxides,Selenium,Viamin C, Vitamin E, Vitamin A , Beta carotene , Coenzyme Q10
  3. สิ่งแวดล้อม มลพิษ เขม่าควันต่างๆ
  4. ขาดสารอาหาร สำหรับผิวพรรณ หรือรับประทานไม่เพียงพอ

    แร่ธาตุและสารอาหารสำหรับผิวพรรณ
    1. Vitamin C เป็นสาร Antioxidantsที่พบมากที่สุดในผิวหนัง ทำหน้าที่ลดอนุมูลอิสระ ป้องกันมะเร็งผิวหนัง ชะลอริ้วรอยเหี่ยวย่น และมีความจำเป็นต่อการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นหนังแท้ ใช้ป้องกันและรักษาเม็ดสีเมลานินที่ผิดปกติ ลดรอยหมองคล้ำ ฝ้า กระ รอยด่างดำตามร่างกาย
    – อาหารที่มีวิตามินซีสูง ได้แก่ ผลไม้ตระกูลส้ม มะนาว ฝรั่ง มะขาม มะละกอสุก แคนตาลูป มะเขือเทศ กะหล่ำปลี ดอกกระหล่ำเป็นต้น ซึ่งหากรับประทานอาหารเหล่านี้ไม่เพียงพอ อาจจะรับประทานวิตามินซีสังเคราะห์วันละ 500-100 มก.ก็เพียงพอ เพราะหากรับประทานในปริมาณสูงกว่านี้ อาจทำให้ระดับ oxalate ในปัสสาวะสูง เกิดนิ่วในไตได้

2. Vitamin E เป็นสาร Antioxidants ที่มีบทบาทสำคัญในการป้องกันเนื้อเยี่อจากการถูกเอนไซม์ทำลาย ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นแก่ผิวพรรณ ป้องกันและลดอันตรายจากแสงแดด และลดการเกิดเซลล์มะเร็งได้ ลดความเสื่อมของผิวหนังที่ทำให้เกิดริ้วรอย
อาหารที่มีวิตามินอีสูง ได้แก่ น้ำมันพืชประเภทน้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันปาล์มโอเลอิน น้ำมันรำข้าว งา น้ำมันสลัด ถั่วเปลือกแข็ง เมล็ดพืชต่างๆ จมูกข้าวสาลี ผักใบเขียว ซึ่งหากรับประทานอาหารเหล่านี้ไม่เพียงพอ อาจจะรับประทานวิตามินอีในรูปอาหารเสริม วันละ 400 มก.ก็เพียงพอ
3. Vitamin A โดยใช้สารตั้งต้นที่ชื่อ เบต้าแคโรทีน และสารแคโรทีนอยด์ แล้วร่างกายเปลี่ยนแปลงเป็นกลุ่มเรตินอล (Retinol) วิตามินเอ ช่วยในการเจริญเติบโตของเซลล์และเนื้อเยื่อ ของร่างกายให้เป็นไปตามปกติ มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ชะลอผิวเสื่อม ริ้วรอยย่นก่อนวัย
อาหารที่มีวิตามินเอสูง ได้แก่ อาหารจากผลิตภัณฑ์สัตว์ ตับ น้ำมันตับปลา ไข่ นม ผักผลไม้ที่มีสีเหลือง เช่น ฟักทอง แครอท ผักบุ้ง คะน้า ตำลึง มะละกอสุก มะม่วงสุก แคนตาลูป กล้วยไข่ ลูกท้อแห้ง เป็นต้น ร่างกายปกติ ต้องการวิตามินเอ ประมาณ 1000 ไมโครกรัมต่อวัน ( ในรูปของ Retinol)

4. ซีลีเนียม ( Selenium) ถือเป็นสารที่สำคัญที่ทำงานร่วมกับวิตามินอี ในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ เพิ่มความยืดหยุ่นแก่ผิวพรรณ ป้องกันมะเร็ง ผิวหนังจากแสงแดด การทาครีมที่ผสมซิลีเนียม จะทำให้ลดอาการแดดเผา ผิวหนังอักเสบได้ และป้องกันมะเร็ง
อาหารที่มีซิลีเนียม ส่วนใหญ่ร่างกายจะได้รับเพียงพอ เพราะต้องการเพียงปริมาณไม่มากนัก อาหารเหล่านี้ได้แก่ อาหารทะเล ตับ ไต เนื้อสัตว์ กระเทียม ไข่ เมล็ดพืชต่างๆ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องรับประทานเป็นอาหารเสริม
5. ไบโอติน สารอาหารที่อยู่ในตระกูลวิตามินบี เป็นสารที่มีประโยชน์ในเรื่องการเผาผลาญ และปรับสมดุลของการไขมัน โปรตีน และคาร์โบไฮเดรต การขาดวิตามินนี้ จะทำให้ผิวแห้ง เบื่ออาหาร เส้นผมและเล็บเปราะหักง่าย ผมงอกช้า
อาหารที่มีไบโอตินสูง ได้แก่ ขนมปัง ธัญพืชไม่ขัดสีต่างๆ อาหารโปรตีนสูง ไข่แดง ตับ บรูเวอร์ยีสต์ ข้าวกล้อง ถั่วชนิดต่างๆ ปกติร่างกายของเราจะได้รับสาร ไบโอติน ในปริมาณที่ไม่เพียงพอ แต่โชคดีที่ภายในร่างกายมี แบคทีเรียที่ชื่อ Lactobacillin ในลำไส้ ที่สามารถผลิตสารไบโอตินได้ แต่ถ้าต้องการรับประทานเป็นอาหารเสริม ปริมาณที่เหมาะสมคือ วันละ 600-1,200 มก

5. สังกะสี  เป็นแร่ธาตุที่เป็นส่วนประกอบของเอนไซม์กว่า 70 ชนิด ทั้งที่ทำหน้าที่ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยในการดูดซึมของกรอไลโนเลอิก ซึ่งเป็นกรดไขมันที่สำคัญและจำเป็นต่อร่างกาย ช่วยให้เซลล์สามารถจับกับวิตามินเอ ได้ดีขึ้น มีความสำคัญในการรักษาแผลหรือสมานแผล
อาหารที่มีสังกะสีสูง ได้แก่ หอยนางรม อาหารทะเล ตับ ชีส เนื้อสัตว์ เป็ด ไก่ ไข่ นม รวมทั้งธัญพืชที่ไม่ได้ขัด ถั่วเหลือง ถั่วเมล็ดแห้ง และถั่วเปลือกแข็ง ร่างกายต้องการสังกะสี ในปริมาณที่แตกต่างกันในแต่ละเพศ วัย และภาวะของร่างกาย แต่โดยเฉลี่ยไม่ควรเกินวันละ 15-30 มก.
7. Coenyme Q10 เป็นสารAntioxidants ที่ค้นพบมานานแล้ว โดยพบมากที่อวัยวะที่มีการ metabolism สูง เช่น หัวใจ ไต และตับ โดยทำหน้าที่ถ่ายทอดพลังงาน สำหรับผิวหนัง CoQ10 ในชั้น epidermis มากกว่า dermis มีสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ ( free radicles) จึงเชื่อว่า สามารถลดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้
อาหารที่มีโคเอนไซม์ Q10 ได้แก่ ปลาทะเลน้ำลึก เช่น ปลาซาร์ดีน ปลาแมคเคอเรล ปลาทูน่า เครื่องในสัตว์ เฉพาะส่วนหัวใจตับ ไต เนื้อวัว ส่วนในพืชจะพบได้บ้างในถั่วลิสง และน้ำมันถั่วเหลือง
ปัจจุบันได้นำมาทำเป็นครีมทาเฉพาะที่ เพื่อลดริ้วรอย โดยเฉพาะรอยดวงตา

การเลือกสารอาหารที่มีวิตามินและแร่ธาตุที่เป็นอาหารผิว ทำให้ท่านสามารถบำรุงผิวพรรณได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องสรรหาจากผลิตภัณฆ์อาหารเสริมออนไลน์ มากมาย หลายยี่ห้อ ราคาก็แตกต่างกันมากมาย พร้อมบรรยายสรรพคุณชวนให้เสียเงินได้ง่ายๆ หรือถ้าจะเลือกก็พิจารณาเลือกอย่างเหมาะสม และในปริมาณที่เพียงพอ ไม่มากหรือน้อยเกินไป เพื่อสุขภาพของกระเป๋าสตางค์ท่านเช่นกัน

Posted on

การดูแลผิวพรรณ และขั้นตอนการทาครีมบำรุงผิว อย่างไรให้ถูกวิธี เมื่อย่างเข้าหน้าหนาว

เมื่อเข้าสู่หน้าหนาว สุขภาพผิวพรรณในช่วงนี้อาจจะมีการเปลี่ยนแปลง ผิวหน้าจะแห้งตึงได้ง่าย การบำรุงดูแลผิวหน้า อาจจะต้องมีการปรับเปลี่ยนตามสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง จึงจะแนะนำขั้นตอนในการดูแลผิว ในช่วงหน้าหนาวกันอย่างง่าย ๆ ดังนี้นะครับ

  1. เช็คผิวหน้าก่อนว่า ลักษณะผิวในปัจจุบัน มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร ผิวแห้ง ผิวมัน หรือ ผิวผสม ในช่วงนี้
  2. ผลิตภัณฑ์ล้างหน้า ควรเลือกที่ไม่มีฟองมากนัก เพราะฟองมากๆ จะทำให้ผิวหน้าแห้งตึงได้ง่าย ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้า ที่มีส่วนประกอบของสารเคลือบผิว เช่น Lanolin,Urea ซึ่งมักจะพบในกลุ่มเจลล้างหน้า หรือโฟมไม่มีฟอง เพื่อลดการสูญเสียน้ำหล่อเลี้ยงผิว
  3. ไม่ควรล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น เพราะทำให้ผิวหน้าแห้งตึงมากขึ้น
  4. ไม่ควรดูดสิวเสี้ยนในช่วงนี้ เพราะจะทำให้รูขุมขนกว้างได้ง่าย
  5. งด หรือละเว้นการขัดหน้าด้วยครีมที่มีเม็ดขัดหน้าในช่วงนี้
  6. ควรดื่มน้ำสะอาด มากๆ เพื่อเพิ่มน้ำหล่อเลี้ยงผิว
  7. ควรล้างเครื่องสำอางออกให้หมดเกลี้ยง เมื่อกลับถึงบ้าน และทาครีมบำรุงผิวทันที
  8. สำหรับผิวผสม บริเวณ T-zone ที่มัน อาจใช้สบู่ล้างหน้ าหรือโลชั่นเช็ดหน้าได้บ้าง
  9. มาส์คหน้า อาทิตย์ละ 1 ครั้ง ด้วยครีมบำรุง สำหรับสาวผิวแห้ง
  10. หลีกเลี่ยง การทำ Peeling ไม่ว่า ด้วย AHAs,BHAs ,TCA หรือ ครีม เจลที่ส่วนผสมของกรดผลไม้ เพื่อป้องกันผิวหน้าลอกมากขึ้น
  11. กรณีที่ทำไอออนโตประจำ แนะนำให้ลดความเข้มข้นของ วิตามินเอที่ใช้ทำประจำ และเพิ่มสารหล่อลื่นผิว เช่น Hyaluronic
  12. กรณีที่รับประทานยากลุ่มเรตินอยด์ เช่น roaccutane,acnotin,Isotane อาจจะต้องลด Dose ของยาลง หรือ งดรับประทาน ถ้าผิวหน้าแห้งตึงมาก
  13. นวดหน้าด้วยครีมบำรุง อาทิตย์ละ 1 ครั้ง เพื่อเพิ่มการหมุนเวียนของโลหิต
  14. ทาครีมบำรุง( Moisturizer) เช้าและก่อนนอนทุกวัน
  15. เมื่อมีปัญหาด้านผิวหน้า ควรพบแพทย์ประจำทันที
  16. ในผู้ที่มีปัญหาผิวหน้าอักเสบเซ็บเดิร์ม อาจจะมีอาการกำเริบขึ้นได้ การทาครีมแก้แพ้ ครีมบำรุงผิว และพักผ่อนให้เพียงพอ ควรหลีกเลี่ยงปัจจัย ที่ทำให้อาการกำเริบ เช่น อัลกอฮอล์ ภาวะเครียด
  17. หลีกเลี่ยงการอบซาวน่า การผิงไฟ หรือความร้อนที่ให้ร่างกายอบอุ่น เพราะจะยิ่งเพิ่มการแตก แห้ง ตึงของผิวพรรณ

ขั้นตอนการทาครีมบำรุงผิวพรรณ

  1. ทำความสะอาดผิวหน้าให้หมดจด แล้วเลือกปริมาณครีมที่ต้องใช้ให้พอเหมาะตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญด้านความงาม เพราะถ้าน้อยเกินไป ก็จะไม่ได้ประสิทธิภาพเท่าที่ควร หรือถ้ามากเกินไป ก็จะทำให้ผิวหน้ามันเกินไป และก็เปลืองโดยใช่เหตุ ซึ่งส่วนใหญ่จะประมาณ 1 ข้อมือหรือ 1 ลูกเชอรี่
  2. เริ่มแต้มครีมที่บริเวณ 5 จุด ของใบหน้า คือ หน้าผาก จมูก แก้มทั้งสองข้างและคาง
  3. ใช้นิ้วกลางและนิ้วนาง ในการเกลี่ยวนบริเวณที่กว้างที่สุดก่อน เช่น โหนกแก้ม โดยเริ่มจากส่วนกลางไปยังส่วนข้างๆ โดยทางด้านซ้ายออกซ้าย และทางด้านขวาออกขวา แล้วตามด้วยแนวสันจมูก ใต้โพรงจมูก คาง และหน้าผาก โดยเว้นบริเวณรอบดวงตาไว้ เพราะอาจจะต้องใช้ครีมชนิดเฉพาะรอบดวงตาทาแทน
  4. การลงน้ำหนักนิ้วควรจะเบาที่สุด เพราะผิวหน้าเป็นผิวที่บอบบาง ควรได้รับการทะนุทะนอม ถ้าลงน้ำหนักแรงเกินไป อาจจะทำให้เกิดรอยย่นในภายหลังได้
  5. การทาครีมรอบดวงตา ควรใช้ปริมาณเนื้อครีมประมาณ 1 เมล็ดถั่วเขียว แล้วใช้นิ้วนางเพียงนิ้วเดียวในการทา เพราะจะน้ำหนักกดเบาที่สุด แล้วทาครีมไล่ตามแนวโครงกระดูกเบ้าตา อาจจะเริ่มที่หัวตาหรือหางตาก่อนก็ได้ แล้ววนครีมรอบๆ ดวงตาจะวนเข้าหรือวนออกก็ได้ตามถนัด แต่ต้องวนไปในทิศทางเดียวกันทั้งสองข้าง
  6. การทาครีมบริเวณลำคอ ควรใช้ปริมาณเนื้อครีมเท่ากับที่ใบหน้าประมาณ 1 ข้อมือ โดยเริ่มจากบิรเวณที่กว้างที่สุดของลำคอก่อนคือ บริเวณฐานลำคอแล้วใช้ปลายนิ้วทั้งหมดค่อยๆ ลูบไล้ขึ้น ไม่ควรทาลงนะครับ เพราะจะทำให้ผิวบริเวณลำคอหย่อนยานไปตามแนวโน้มถ่วงของโลก ทำให้เกิดรอยย่นภายหลังได้
  7. การทาครีมบริเวณหน้าอก อาจจะใช้ครีมที่เหลือจากลำคอ ทาลูบไล้ในช่วงอกต่อไปได้ โดยการใช้ปลายนิ้วลูบไล้เพียงเบาๆ และวนให้ทั่วแผ่นอก เพื่อการซึมซับของเนื้อครีมสู่ผิว แล้วค่อยไล่ทาไปที่หน้าท้องและส่วนหลัง
  8. การทาครีมบริเวณแขน จะใช้ครีมปริมาณมาก ประมาณ 2-3 ข้อมือ โดยเริ่มต้นที่ต้นแขนด้านท้องแขนก่อน แล้วทาวนขึ้นหลังแขน โดยการใช้ปลายนิ้วลูบไล้เพียงเบาๆ เพื่อการซึมซับของเนื้อครีมสู่ผิว
  9. การทาครีมบริเวณขาและเท้า จะใช้ครีมปริมาณมากเช่นกัน ประมาณ 2-3 ข้อมือ โดยเริ่มต้นที่ต้นขาก่อน แล้วทาวนจากด้านต้นขาไปปลายขา โดยการใช้ปลายนิ้วลูบไล้เพียงเบาๆ เพื่อการซึมซับของเนื้อครีมสู่ผิว โดยควรจะเน้นบริเวณหน้าแข้งสองข้างให้มาก เพราะบริเวณนี้จะแห้งได้ง่าย ส่วนบริเวณเท้าควรทาทั้งสองด้าน คือ หลังเท้าและฝ่าเท้า พร้อมทำการนวดไปทั่วอุ้งเท้า เพื่อผ่อนคลายและเพิ่มการไหลเวียนโลหิต
Posted on

เลี่ยงแดด ถ้าไม่อยากเป็นมะเร็งผิวหนัง เลี่ยงไม่ได้ กินอาหารและวิตามิน ช่วยป้องกันได้

มะเร็งผิวหนัง จัดเป็นโรคที่พบได้บ่อยขึ้นและมีความสำคัญมากขึ้นในปัจจุบัน ซึ่งอาจจะเป็นจากสภาวะแวดล้อมของโลกเปลี่ยนแปลงไปในหลายๆ ด้าน การทำลายชั้นบรรยากาศมากขึ้น ส่งผลให้แสงอัลตราไวโอเลตผ่านลงมาถึงผิวโลกได้มากขึ้น ย่อมมีผลกระทบต่อร่างกายของมนุษย์เราตามมามากขึ้น

แสงอุตราไวโอเลต โดยเฉพาะ UVA,UVB จากการศึกษาในแง่พันธุกรรมพบว่า ทำให้สารพันธุกรรม DNA มีการเปลี่ยนแปลงไป ก่อให้เกิดมะเร็งได้ ดังนั้นการป้องกัน ทำได้โดยการหลีกเลี่ยงแสงแดด การทาครีมกันแดด การใส่หมวกหรือแว่นกันแดดป้องกัน นอกจากนี้ยังพบว่าในปัจจุบันได้มีสารหรือตัวยาหลายตัวที่ ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งผิวหนังได้ดังนี้

1. วิตามินเอ และสารอนุพันธ์เรตินอยด์ : – พบว่ามีบทบาทสำคัญในการปกป้องผิวหนังจากการถูกทำลายด้วยแสงแดด โดยวิตามินเอจะไปยับยั้งหรือสามารถไป ย้อนกลับกระบวนการเกิดของมะเร็งผิวหนังและหนังแก่ก่อนวัย
อาหารที่มีวิตามินเอสูง ได้แก่ อาหารจากผลิตภัณฑ์สัตว์ ตับ น้ำมันตับปลา ไข่ นม ผักผลไม้ที่มีสีเหลือง เช่น ฟักทอง แครอท ผักบุ้ง คะน้า ตำลึง มะละกอสุก มะม่วงสุก แคนตาลูป กล้วยไข่ ลูกท้อแห้ง เป็นต้น
2. กรดไขมันอิ่มตัวและกรดไขมันไม่อิ่มตัว: – พบว่าการรับประทานอาหารที่มีไขมันและแคลอรี่ต่ำ(Good-fats) สามารถลดอัตรากรเกิดใหม่ของรอยโรคก่อนมะเร็ง(Actinic keratose) หรือมะเร็งผิวหนังได้อย่างมีนัยสำคัญ

3. ชาเขียว(Green Tea) : – จัดเป็นเครื่องดื่มที่นิยมเป็นอันดับ 2 ของโลก มีสารประกอบเป็นกลุ่มต้านอนุมูลอิสระ โดยได้มีการศึกษาพบว่าสารสกัดที่สำคัญจากชาเขียว ชื่อว่า ECGC (Epigallocatechin-3-gallate) สามารถป้องกันการเกิดมะเร็วผิวหนังได้ ทั้งในรูปของยากินและยาทา ได้มีการทดลองทาโลชั่นสารสกัดจากชาเขียว พบว่า ณ ความเข้มข้น 10% ของสารสกัด ใช้ทาก่อนออกแดด 30 นาที สามารถป้องกันแสงอุตราไวโอเลตได้นานถึง 48-72 ชั่วโมง
4. ถั่วเหลือง (soybean): – ในถั่วเหลือง เราพบว่ามีสาร Genistein ซึ่งเป็นส่วนประกอบหนึ่งของสารIsoflavones ซึ่งมีฤทธิ์ในการต้านมะเร็ง โดยมีผลต่อการเจริญเติบโตของแซลล์ และควบคุมการทำงานของแซลล์มะเร็ง นอกจากนี้สาร Genistein ยังมีฤทธิ์ในการต้านการเกิดอนุมูลอิสระอีกด้วย
5. แอสไพรินและยาลดการอักเสบ(NSAID): – โดยพบว่ายามีฤทธิ์ในการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ cyclo-oxygenase (COX) ที่เกี่ยวข้องกับการเกิดมะเร็งผิวหนังได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งกำลังเป็นที่สนใจและอยู่ในการวิจัยขณะนี้

Posted on

Beta glucan : สารสกัดจากเชื้อยีสต์ในเห็ด ที่ช่วยป้องกันการติดเชื้อ เพิ่มภูมิคุ้มกันแก่ผิวหนัง

Beta glucan เป็น สารในกลุ่มโพลีแซคคาไรด์ ที่พบได้ในพืชผักสมุนไพร และธัญพืชบางชนิด เช่น สาหร่าย โสม ชะเอมเทศ ข้าวบาร์เลย์ แต่ที่พบมากที่สุดคือ ใน “เห็ด” บางชนิด
ทางการแพทย์โดยมีการวิจัยสนับสนุนจากหลายสถาบันทั่วโลกว่า ช่วยป้องกันการติดเชื้อได้ และเสริมฤทธิ์ระบบภูมิคุ้มกันของผิวหนัง 
Beta glucan ประกอบด้วยโมเลกุลของกลูโคสหลายกลุ่มที่มีคุณสมบัติหลายอย่าง และเชื่อมโยงกันด้วยวิธีการที่ทันสมัย
ผลงานวิจัยทางการแพทย์
– Beta glucan 3 ช่วยรักษาภาวะภูมิคุ้มกันผิดปกติในคนไข้ SLE,รูมาตอยด์,Beta glucan 1,3,1,4 ช่วยรักษา-ป้องกันมะเร็งผิวหนัง(Malignant melanoma)

ประโยชน์ของสาร Beta glucan กับความงาม

  1. ผสมในครีมกันแดด เพื่อป้องกันแสงแดดทำลาย Langerhans cells ลดการเกิดสารอนุมูลอิสระ (oxygen free radicles) ลดการสลายตัวของไขมันจากแสงแดด ลดอาการแดงจากภาวะ sun burn
  2. ผสมในผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเส้นผม ช่วยเคลือบเส้นผมมิให้แตกหักง่าย เมื่อโดนแสงแดด
  3. ผสมในครีมทาสิว เพื่อลดการติดเชื้อ เพื่อความต้านทานของระบบภูมิคุ้มกันผิวหนัง และเพิ่มการสร้างคอลลาเจนเพื่อลดแผลเป็น
  4. ผสมในครีมบำรุงผิว เพื่อสร้างใยคอลลาเจน ชะลอภาวะชราของผิวพรรณ โดยมีคุณสมบัติคล้ายวิตามินซี และวิตามินเอ
  5. ผสมในอาหารเสริม เพื่อช่วยลดอาการติดเชื้อในคนไข้หลังผ่าตัด หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง
  6. ผสมในครีมรักษาแผลเป็น ช่วยให้แผลหายได้เร็วขึ้น
Posted on

เลือกอาหารเสริมอย่างไร ให้คุ้มค่า ได้ประโยชน์ ก่อเกิดผลลัพธ์ที่ดีต่อสุขภาพของผิวพรรณ

ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม สำหรับบำรุงผิวพรรณ ในปัจจุบัน ได้มีออกวางจำหน่าย หลากหลายยี่ห้อ ทำให้บางครั้ง เกิดความสับสนในแง่สรรพคุณ และประสิทธิผลที่จะได้รับ ดังนั้นจึงจะจำแนก อาหารเสริมเหล่านี้ ได้เป็นกลุ่มๆ ดังนี้
1. กลุ่มกรดไขมันจำเป็น( Essential Fatty Acid)
1.1 Evening Plimrose Oil (EPO) – เป็นกรดไขมันจำเป็นในกลุ่ม Omega 6 มีสรรพคุณ ช่วยให้ผิวหนังสามารถโอบอุ้มน้ำได้ดี ขึ้นลดการสูญเสีย จึงช่วยทำให้ผิวพรรณชุ่มชื้น ไม่หยาบกร้าน มักแนะนำให้รับประทานประมาณ วันละ 1,300 มก.พร้อมอาหาร ต่อวัน ใน 3 เดือนแรก และลดลงเหลือ ปริมาณ 500 มก.ต่อวัน ในระยะเวลาต่อมา
1.2 Black current oil , Borage oil – เป็นกรดไขมันจำเป็นในกลุ่ม Omega 6 ชื่อ Gamma Linoleica acid ซึ่งมีสรรพคุณ ช่วยให้ผิวหนังสามารถโอบอุ้มน้ำได้ดีขึ้น ลดการสูญเสีย เช่นเดียวกับ EPO จึงช่วยทำให้ผิวพรรณชุ่มชื้น ไม่หยาบกร้าน มักแนะนำให้รับประทานประมาณ วันละ 1,000 มก พร้อมอาหาร
1.3 Multi oil – เป็นกรดไขมันจำเป็นในกลุ่ม Omega 6 และ Omega 3 ซึ่งมีสรรพคุณ ช่วยให้ผิวหนังสามารถโอบอุ้มน้ำได้ดีขึ้น ลดการสูญเสีย จึงช่วยทำให้ผิวพรรณชุ่มชื้น ไม่หยาบกร้าน นอกจากนี้ยังให้พลังงานทำให้ร่างกายสดชื่น
2. กลุ่มโปรตีน( Proteins)
2.1 Gelatin – ช่วยเสริมสร้างโปรตีน คอลลาเจน และอีลาสติน ให้แก่ผิวหนัง ช่วยลดริ้วรอยเหี่ยวย่น พบมากในกระดูกและหนังสัตว์
2.2 Marine Proteins ( Imedene) – เป็นโปรตีนที่พบได้ในปลาน้ำลึก หรือ ปลิงทะเล ช่วยในการสร้างโปรตีน คอลลาเจน และอีลาสติน ให้แก่ผิวหนังช่วยลดริ้วรอยเหี่ยวย่น เหมือนกลุ่ม Gelatin จึงเลือกรับประทานอย่างใดอย่างหนึ่งได้

3. กลุ่มวิตามินและเกลือแร่ ( Vitamins and Minerals)
 3.1 Vitamin E เป็นสาร Antioxidantsพบได้ในผัก น้ำมันพืช เมล็ดพืช ข้าวโพด ถั่ว แป้งสาลี เนยเทียม และนม โดยมี alpha-tocopherol เป็นชนิดที่ active ที่สุด โดยช่วยป้องกันไม่ให้เซลล์ผิวหนังเสื่อมสภาพก่อนวัยอันควร ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นแก่ผิว vitamin E เป็น fat soluble vitamins แต่ควรรับประทานในปริมาณที่ไม่มากเกินไป( 40,000 IU ) เพราะถ้ารับประทานมากเกินไป จะทำให้เกิดการขัดขวางของวิตามินเค ซึ่งเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด ทำให้ไขมันในเลือดสูง เต้านมโตผิดปกติ หรือเส้นเลือดดำอุดตันได้ การใช้วิตามินอี เข้มข้น ทาบริเวณผิวหน้า อาจเกิดอาการแพ้ เกิดสิวได้
 3.2 Vitamin C เป็นสาร Antioxidants ที่ละลายน้ำได้ดี ช่วยให้เซลล์ไม่เสื่อมสภาพเร็ว ช่วยสร้าง Hydroxyproline และ Hydroxyglycine ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของ คอลลาเจน และ elastin จึงทำให้ผิวพรรณมีความแข็งแรง และยืดหยุ่น สร้างเสริม ภูมิคุ้มกันโรคไข้หวัด ทำให้อสุจิในผู้ชายแข็งแรง
นอกจากนี้ ยังได้มีการนำวิตามินซี มาใช้ในการรักษาปัญหาผิวหน้า ช่วยให้ผิวหน้าขาวขึ้น โดยมักแนะนำให้รับประทาน หรือ นำมาผสมใน ครีมทาหน้า หรือ นำมาละลายใช้ในการทำไอออนโตวิตามินซีพบได้บ่อยในผลไม้รสเปรี้ยวและผักใบเขียว โดยร่างกายต้องการในปริมาณ 60 มก.ต่อวัน แต่ในคนท้อง และคนสูบบุหรี่ต้องการถึงวันละ 140 มก.ต่อวัน หากรับประทานในปริมาณสูง อาจทำให้ระดับ oxalate ในปัสสาวะสูง เกิดนิ่วในไตได้
 3.3 Biotin มีส่วนสำคัญในการสังเคราะห์ DNA,RNA ดังนั้นจะมีผลทำให้ร่างกายสร้างเซลล์ผิวหนังใหม่อยู่ตลอดเวลา ทำให้เส้นผม-ขน และเล็บ แข็งแรง ( ได้กล่าวรายละเอียดในบทความเรื่อง biotin ไปบ้างแล้ว)

 3.4 Beta carotene เป็นสารตั้งต้นในการสร้างวิตามินเอ พบได้ในผักใบเขียว แครอท เนยเหลว และเนยแข็ง เป็น Antioxidants อย่างหนึ่งเช่นกัน
หากขาดวิตามินเอ จะทำให้ผิวหนังแห้งแตก และรูขุมขนแข็งได้ นอกจากนี้ beta-carotene ยังสามารถยับยั้งและป้องกันการเกิด มะเร็งผิวหนังด้วย โดยควรรับประทารวันละประมาณ 30 มก.ต่อวันได้โดยไม่มีอันตราย
 3.5 Silica เป็นแร่ธาตุที่สำคัญ สกัดจากสมุนไพร Horsetail ซึ่งอุดมไปด้วย กรดซีลีซิค( Silicic Acid) และเกลือซิลิเคต( Silicates) ซึ่งจะให้แร่ธาตุซิลิคอน ซึ่งมีประโยชน์ในการสร้างเสริมกระดูก กระดูกอ่อน และสร้างความแข็งแรงให้กับเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ( Connective Tissues) จึงมีประโยขน์ต่อการบำรุงเส้นผม เล็บ ไขข้อ และช่วยลดริ้วรอยเหี่ยวย่นด้วย
 3.6 Zinc ช่วยในการสร้างเซลล์ผิวหนังใหม่ และช่วยให้เซลล์จับวิตามิน เอ ได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยรักษาสมดุลย์ของปริมาณไขมัน ในร่างกายควบคุมปัญหาการเกิดการอุดตันของไขมัน ที่ทำให้เกิดสิว
นอกจากนี้ยังช่วยในความจำดีขึ้นด้วย จึงได้มีการนำ Zincมาผสมในสารอาหารเสริม ทั้งในรูปของวิตามินรวม หรือ ยาบำรุงในคนสูงอายุ
3.7 Coenyme Q10 เป็นสารAntioxidants ที่ค้นพบมานานแล้ว โดยพบมากที่อวัยวะที่มีการ metabolism สูง เช่น หัวใจ ไต และตับ มีสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ( free radicles) จึงเชื่อว่า สามารถลดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้ ปัจจุบัน ได้นำมาทำเป็นครีมทาเฉพาะที่ เพื่อลดริ้วรอย โดยเฉพาะรอยดวงตา

Posted on

พิษแมงกระพรุน แก้ไขอย่างไร ให้ทันท่วงที หายไว ไม่มีแผลเป็น ลดเจ็บ ลดบวม

1154353815

แมงกะพรุน เป็นสัตว์ทะแลชนิดหนึ่ง ที่ส่วนใหญ่อันตรายถ้าว่ายน้ำไปโดน แมงกะพรุนมีหนวดพิษ (Tentacle) หลายอัน แต่ละอันประกอบด้วย เหล็กใน แฝงอยู่เป็นอันมาก ซึ่งเรียกว่า Nematocyst หากสัมผัสโดน พิษจะเข้าสู่ร่างกายอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้มีอาการปวด บวม และเกิดรอยแดงเป็นแนวยาวตามผิวหนัง ในกรณีร้ายแรงอาจทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้

อาการที่พบ
-ปวดแสบปวดร้อนอย่างรุนแรง โดยเฉพาะช่วง 1 ชั่วโมงแรก
-คันตามผิวหนังหรือมีร่องรอยของหนวดแมงกะพรุนอยู่บนผิวหนังบริเวณที่ถูกต่อย
– ในรายที่มีอาการรุนแรงอาจรู้สึกอ่อนแรง คลื่นไส้ ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อกระตุก น้ำมูกและน้ำตาไหล เหงื่อออกมาก หรือเจ็บหน้าอกได้

แมงกระพรุนที่พบกันมาก เมื่อไปเที่ยวทะเล

1.สาหร่าย, สาโหร่ง (Sea wasp, Chironex species)ชาวทะเลนิยมเรียกว่า’ส่าหร่าย’ แต่จริงๆแล้วคือ แมงกระพรุนสีขาว หรือ เหลืองแกมแดง  มีสายยาวต่อจากลำตัวหลายเส้น แต่ละเส้นยาวประมาณ 1.50 เมตร มีการเคลื่อนไหวได้น้อย อาศัยกระแสน้ำพัดพาไปยังที่ต่างๆ เมื่อมีพายุ คลื่น ลมแรง สายของมันจะขาดจากลำตัว ลอยไปตามน้ำ แต่ยังสามารถทำอันตรายผู้ที่สัมผัสถูกได้
อาการเป็นพิษ ทำให้ไหม้เกรียม และมีอาการปวดแสบปวดร้อนตามกล้ามเนื้อ จุกแน่นหน้าอกในรายที่แพ้รุนแรง และเป็นไข้ อาการเป็นอยู่ 2-3 วัน จึงทุเลาหายไป แมงกระพรุนชนิดนี้ แถบทะเลชุมพร หัวหิน เป็นต้น
2. แมงกระพรุนไฟ (Sea nettles, Chrysaora species) มีสีแดง หรือ สีเขียว ด้านบนมีจุดสีขาวอยู่ทั่วไป พวกนี้เมื่อถูกเข้าทำให้เกิดปวดแสบปวดร้อน พุพองแตกเป็นน้ำเหลือง และเกิดแผลเป็นรอยดำเรื้อรังได้นานหลายๆปี
– อาการพิษ โดยทั่วไปไม่รุนแรง ไม่นานก็หาย แต่ถ้าโดนชนิดพิษรุนแรง กว่าจะหายอาจใช้ระยะเวลา 2-3 วัน ถ้ามีอาการแพ้มากอาจมีอาการเขียวคล้ำ เลือดไปเลี้ยงสมองน้อย เพ้อ เหงื่อออก ตัวเย็น ช็อค และถึงแก่ความตายได้

ตำผักบุ้งทะเลให้ละเอียด แล้วพอกแผล

การปฐมพยาบาลเมื่อโดนพิษแมงกระพรุน : 

  1. ให้รีบขึ้นจากน้ำทันที เพราะหากพิษรุนแรงอาจจมน้ำเสียชีวิตได้
  2. จากนั้นให้ใช้ทรายแห้งๆ หรือผ้าหนาขัดบริเวณแผล เพื่อให้น้ำเมือกที่ติดอยู่ที่ผิวหนังหลุดออกไป แต่อย่าถูแรงเพราะจะทำให้พิษยิ่งเพิ่มขึ้น และอย่าใช้มือเปล่าถูเพราะอาจโดนพิษได้ แล้วล้างออกด้วยน้ำทะเล แอลกอฮอล หรือแอมโมเนีย
  3. สำหรับนักดำน้ำ มักนิยมใช้น้ำส้มสายชู ถอนพิษแมงกะพรุน อาการเจ็บปวดจะทุเลาลง
  4. สำหรับชาวบ้านจะใช้ผักบุ้งทะเลตำให้ละเอียดแล้วพอกบริเวณบาดแผล หลังจากถูเอาเมือกออกแล้ว โดยมี หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ที่มหาลัยมหิดลได้ทำการทดลองแล้ว พบว่าผักบุ้งทะเล มีคุณสมบัติดังนี้
    4.1 .ฤทธิ์ต้านฮีสตามีน โดยสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้ทดลองฤทธิ์ต้านการแพ้ของสารสกัดจากผักบุ้งทะเล พบว่าได้ผลดี
    4.2 .ฤทธิ์ลดการอักเสบ โดยมีสารสกัด ether ของส่วนที่ระเหยได้ของใบ มีฤทธิ์ลดการอักเสบ โดยสารสำคัญในการออกฤทธิ์ลดการอักเสบ คือBeta-Damascenone และ E-Phytol ซึ่งสกัดได้จากผักบุ้งทะเล มีฤทธิ์ลดการบีบตัวของกล้ามเนื้อเรียบของหลอดเลือด ทำให้การอักเสบลดลง
  5. ยาระงับปวด ถ้ารุนแรงอาจต้องใช้ Morphine รวมกับยานอนหลับจำพวก Barbiturate และให้ยาแก้อาการกล้ามเนื้อเกร็ง เป็นตะคริว หรือ ยารักษาอาการอื่นๆ

    นอกจากนี้ในประเทศไทย ยังได้มีการผลิต ครีมที่มีสารสกัดจากใบผักบุ้งทะเลผสม 1% มีฤทธิ์รักษาอาการแพ้พิษแมงกะพรุน พบว่าได้ผลดีขึ้นใน 2 วัน เมื่อใช้ครีมทาทันที และยังพบว่าใช้รักษาพิษแมงกะพรุนได้ดี โดยยับยั้งการทำลายโปรตีน (Proteolytic) และ hemolytic ของพิษแมงกะพรุน ในรายโดนพิษเป็นแผลเรื้อรังจะใช้เวลา 2 สัปดาห์ ในการทำให้แผลแห้ง และจะหายสนิทใน 1 เดือน นอกจากนี้การใช้สารสกัดใบผักบุ้งทะเลด้วยอีเธอร์ก็ให้ผลการรักษาดีเช่นกัน
Posted on

บรูเออร์ยีสต์ (Brewer’s Yeast) : อาหารเสริม เพิ่มโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุที่สำคัญ

มนุษย์ได้รู้จัก บรูเออร์ยีสต์ และนำมาใช้ประโยชน์มานานแล้ว โดยเอา บรูเออร์ยีสต์ ที่ยังมีชีวิตอยู่มาใช้ประโยชน์ในการหมักเบียร์ เพราะ บรูเออร์ยีสต์ มีคุณสมบัติในการเปลี่ยนน้ำตาลกลูโคสให้เป็นแอลกอฮอร์ได้โดยไม่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค ซึ่งเป็นยีสต์คนละสายพันธุ์ที่ใช้หมักขนมปัง หรือทำให้เกิดโรค
บรูเออร์ยีสต์ ที่นำมาผลิตเป็นอาหารเสริมกันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน ส่วนใหญ่ผลิตได้จาก ยีสต์สายพันธุ์ Saccharomyces cerevisiae โดยการทำให้ยีสต์เหล่านี้ตายแล้วสกัดเอาเฉพาะสารสำคัญที่มีอยู่มากมายออกมาใช้ประโยชน์
โดยยีสต์สายพันธุ์นี้จะมีวิตามินบีในปริมาณสูงกว่ายีสต์ สายพันธุ์อื่นๆ ให้มีกรดอะมิโนเอซิด ชนิดที่จำเป็นต่อร่างกายครบทั้ง 8 ชนิด ที่ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ และสามารถนำไปใช้ได้ทันที เพราะดูดซึมได้เร็ว เร็วหลังรับประทาน

สารอาหารที่พบใน บรูเออร์ยีสต์
1. โปรตีน ได้แก่กลุ่ม Essential Amino Acids 8 ชนิดแก่ร่างกาย เพื่อช่วยในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ และใช้ในขบวนการเผาผลาญพลังงาน
2. วิตามินบี บรูเออร์ยีสต์ มีวิตามินบีครบทุกชนิด ได้แก่
2.1 วิตามินบี 1 ซึ่งมีประโยชน์ในการเป็นสารเร่งให้ร่างกายสามารถนำ คาร์โบไฮเดรต ไขมันและโปรตีน ไปใช้ เป็นพลังงาน
2.2 วิตามินบี 2 เป็นวิตามินที่มีความจำเป็นในกระบวนการสร้างพลังงาน(ATP)ของเซลล์
2.3 วิตามินบี 3 เป็นวิตามินที่มีความจำเป็นในในการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง
2.4 วิตามินบี 5 เป็นวิตามินที่มีความจำเป็นในกระบวนการสร้างเม็ดเลือดแดง สารส่งประสาท และสร้างฮอร์โมนเพศ นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นการสร้าง antibody ในระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
2.5 วิตามินบี 6 เป็นวิตามินที่มีความจำเป็นในกระบวนการทำงานของสารสื่อประสาทหรือเซลล์ประสาท
2.7 วิตามินบี 12 เป็นวิตามินที่มีความจำเป็นในการสร้างเยื่อหุ้มเซลล์ประสาท และช่วยให้ Folic Acid ทำงานได้ดีขึ้นในการสร้างเม็ดเลือดแดง
3. Folate – ซึ่งจำเป็นในกระบวนการสร้างเม็ดเลือดแดง
4. Biotin(Vitamin H) – ซึ่งจำเป็นในกระบวนการสร้าง DNA,RNA
5. เกลือแร่ต่างๆ เช่น ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม สังกะสี ทองแดง โครเมียม และซิลิเนียม

บรูเออร์ยีสต์เหมาะใคร

  1. ผู้ที่ทำงานหนัก เคร่งเครียด เพื่อช่วยการทำงานของระบบประสาทและสมอง
  2. ผู้ที่มีปัญหาในระบบทางเดินอาหาร ท้องเสียบ่อยๆ หรือคนไข้หลังผ่าตัดลำไส้ เพราะร่างกายมักจะขาดวิตามินบี เพราะแบคทีเรียในลำไส้ ซึ่งสามารถสร้างวิตามินบีให้แก่ร่างกาย ลดลง หรือสูญเสีย
Posted on

Evening Primrose Oil (EPO) : อาหารเสริมเพิ่มฮอร์โมน ที่โดนใจสตรีทุกวัย

Evening Primrose มีชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า Oenathera biennis เป็นพันธุ์ไม้พุ่มเล็กๆ มีดอกสีเหลือง ซึ่งพบได้ในแถบอบอุ่นและหนาวของทวีปอเมริกาเหนือตอนบน ดอกสีเหลืองจะบานในช่วงบ่ายถึงเย็นเพียงวันเดียวและจะร่วงโรยไป

ชาวอินเดียนแดง แถบอเมริกาเหนือ และแคนาดา รู้จักพืชชนิดนี้มานานแล้ว และนำมาใช้ประโยชน์ในการรักษาโรคหลายๆ ชนิด บางคนจึงขนานนาม Evening Primrose ว่าคือ ‘ ราชาแห่งการรักษาโรคทุกชนิด’

จากการศึกษาทางเภสัชวิทยา พบว่าคุณสมบัติในการรักษาโรคของ Evening Primrose อยู่ที่เมล็ดเล็กๆ ในผัก เมื่อนำมาสกัดเป็นน้ำมัน น้ำมันEvening Primrose Oil ( EPO) ดังกล่าว จะให้กรดไขมันหลายๆ ชนิด ซึ่งเป็นกลุ่มไขมันที่จำเป็น ( Essential fatty acid) ต่อร่างกาย ที่สำคัญ ก็คือ Linoleic acid ( LA) และ Gamma Linoleic acid ( GLA) ซึ่งร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์ได้เอง กรดไขมันจำเป็นนี้เป็นส่วนประกอบของเซลเมมเบรน เป็นสารตั้งต้นในการสร้างฮอร์โมนเพศ และ สาร Prostagalndin E 1 ( PGE1)

ประโยชน์ของสาร Prostagalndin E 1 ( PGE1) ต่อร่างกายได้ผลสรุปจากผลการวิจัยทั่วโลก ดังนี้

  1. บรรเทาอาการปวดท้องก่อนมีประจำเดือน
  2. ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล จึงช่วยป้องกันและรักษาปัญหาผิวแห้ง แตก คันได้
  3. ทำให้เส้นผมสุขภาพดี เงางามและไม่แตกปลาย
  4. ลดระดับไขมันคลอเรสเตอรอลในเลือด
  5. ลดความดันโลหิต
  6. ลดการเกิดสิวได้
  7. ลดอาการปวดศีรษะไมเกรน
  8. ลดอาการปวดอักเสบของข้อ
  9. ฟื้นฟูสภาพตับในผู้ป่วยโรคพิษสุราเรื้อรัง

ขนาดที่รับประทาน ถ้ารับประทานเป็นอาหารเสริม วันละ 1,000 มก.ต่อวันในช่วงแรก และต่อมาลดลงเหลือ 500 มก. ต่อวัน และขนาดที่รับประทานเพื่อรักษาโรค วันละ 3,000 มก. หรือมากกว่านี้ แต่ต้องอยู่ในคำแนะนำของแพทย์ เพื่อช่วยการสร้าง PGE1

Posted on

เลือกครีมบำรุงผิวหน้าอย่างไร ให้คุ้มค่า ได้ผล ตรงกับปัญหา ไม่เสียเวลา ไม่เสียเงินเปล่า

ในปัจจุบันนี้ มีครีมบำรุงผิวออกสู่ท้องตลาดมากมาย หลากหลายยี่ห้อ การเลือกซื้อครีมบำรุงผิว ควรมีหลักเกณฑ์ในการตัดสินใจว่าตรงตามความต้องการของเราหรือไม่ โดยพิจารณาจาก องค์ประกอบของสารต่างๆ ที่ช่วยในการต่อต้านริ้วรอย มีดังนี้
     วิตามินซี  ทำหน้าที่ในการกำจัดอนุมูลอิสระ และเป็นองค์ประกอบร่วมของเอนไซม์ต่างๆที่ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน เช่น Ferric/Cupric Metalions Enzymes ร่างกายต้องการวิตามินซีประมาณวันละ 60 มก. พบได้บ่อยในผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวและผักใบเขียว แต่ในการใช้ผสมในครีมบำรุงผิว ยังไม่มีการศึกษาที่ยืนยันได้ชัดเจนว่าจะป้องกันผิวหนังหย่อนยานได้ นอกจากจะช่วยทำให้ผิวหน้าขาวขึ้น
     วิตามินอี ประกอบด้วย Tocopherols,Tocotrienols ซึ่งพบได้บ่อยในผัก น้ำมันพืช เมล็ดพืช ข้าวโพด ถั่ว แป้งสาลี เนื้อสัตว์และนม วิตามินอีเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนตืที่สำคัญในพลาสมาและเม็ดเลือดแดง ที่ช่วยปกป้องสารประกอบไขมันจากอนุมูลอิสระ ผลจากการทดลองพบว่า วิตามินอี ช่วยลดอาการไหม้จากแสงแดด ช่วยลดริ้วรอย และทำให้ผิวหน้านุ่มขึ้น ร่างกายสามารถรับวิตามินอีได้ถึง 3,000 มก.โดยไม่มีอันตราย แต่อย่างใด
     วิตามินเอ(Retinol) พบมากในพืชที่มีสีเขียวและสีเหลือง ไข่แดง เนย ตับและน้ำมันตับปลา อนุพันธุ์สังเคราะห์ของวิตามินเอ เราเรียกว่าเรตินอยด์ ซึ่งพบว่าสามารถช่วยลดริ้วรอยได้ เมื่อทาสารนี้ และทำให้ผิวหน้าเรียบเนียนขึ้น กระและฝ้าจางลง

 Beta-carotene เป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ ทำหน้าที่ต่อต้านอนุมูลอิสระ และปกป้องเนื้อเยื่อเซลล์จาก Lipid Peroxidations พบมากในผักใบเขียว แครอท มันฝรั่งหวาน แคนตาลูป เนื้อสัตว์ เนย และเนยแข็ง ร่างกายไม่ควรรับประทานมากกว่า 30 มก.ต่อวันติดต่อกันเป็นเวลานาน เพราะจะทำให้ผิวเป็นสีเหลืองได้
วิตามินบี 5 ( Panthenol) เป็นส่วนสำคัญในผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม ให้ความชุ่มชื้นแก่เส้นผม ทำให้เส้นผมยืดหยุ่นนุ่มสลวย แต่ไม่มีคุณสมบัติเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนซ์ เท่าวิตามินเอและอี
วิตามินบี 3( Niacinamide) พบว่าช่วยในการสร้างคอลลาเจน เพิ่มอัตราการผลัดตัวของเซลล์ผิวเก่า ทำให้ลดริ้วรอยได้
CoenzymeQ10ใ นการทดลองพบว่า สารดังกล่าวเป็นโมเลกุลเล็กๆ ที่มีอยู่ในเซลล์ของร่างกายตามธรรมชาติ ทำหน้าที่ในการเปลี่ยนสารอาหารให้เป็นพลังงาน นอกจากนี้ยังพบว่า สามารถป้องกันการสันดาปของแสงยูวีเอ ชะลอความเสื่อมของเซลล์ได้ จึงทำให้ลดริ้วรอยรอบดวงตา และชะลอความแก่ได้
Flavanoids Compound พบว่าเป็นสารตัวใหม่ที่พบว่าช่วยยับยั้งเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างอนุมูลอิสระ เช่น Xanthine oxidase,Lipperoxidase และปกป้องการแตกตัวของดีเอ็นเอได้ด้วย สารในกลุ่มนี้ ประกอบด้วย Rutin,Pycnogenol,Quercetin,Catechin โดย Rutin,Catechin สามารถต่อต้านอนุมูลอิสระมากกว่าวิตามินซีถึง 10 เท่า และพบมากในใบยาสูบ ส่วน Pycnogenol หรือวิตามินพี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ทนความร้อนได้ดี สกัดได้จากเปลือกสนมาริไทม์ และเมล็ดองุ่น

Posted on

แมกนีเซียม (Magnesium): แร่ธาตุและอาหารเสริมที่มีประโยชน์ มากกว่าการทำให้กระดูกแข็งแรง

แมกนีเซียม เป็นแร่ธาตุที่สำคัญชนิดหนึ่งของร่างกาย มีผลต่อการทำงานของเอนไซม์หลายร้อยตัว โดยเกี่ยวข้องกับการสร้างพลังงาน และการทำงาน ของหลอดเลือดและหัวใจ
 แต่ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ แมกนีเซียมมีความสัมพันธ์กับแคลเซียม โดยจะเป็นตัวพาแคลเซียมเข้าไปในกระดูกส่วนในเพราะถ้าไม่มีแมกนีเซียมแล้ว แคลเซียมจะพอกอยู่รอบๆ กระดูกเท่านั้น จึงทำให้ขนาดกระดูกใหญ่แต่ความหนาแน่นน้อย
ปริมาณความต้องการของร่างกาย
โดยเฉลี่ยร่างกายต้องการแคลเซียมในปริมาณ วันละ 1,000 มก. จะมีสัดส่วนในการต้องการแมกนีเซียมในสัดส่วน Calcium:Magnesium= 2:1 คือประมาณ 500 มก.ต่อวันโดยประมาณ โดย FDA ของอเมริกา ได้ทำสรุปความต้องการแคลเซียมของร่างกาย ดังนี้ ในผู้ชายประมาณ ไม่น้อยกว่า 350 มก.ต่อวัน และในผู้หญิงปกติ ประมาณ 300 มก.ต่อวัน แต่ในสตรีมีครรภ์ ประมาณ 450-500 มก.ต่อวัน
ตำแหน่งที่แมกนีเซียมสะสม
แมกนีเซียมในร่างกาย 65 % จะสะสมอยู่ที่กระดูกและฟัน ส่วนอีก 35 % จะพบในเลือดและเนื้อเยื่อต่างๆ 
แหล่งอาหารที่พบแมกนีเซียมสูง
ผักสีเขียวต่างๆ ข้าวซ้อมมือ ถั่วชนิดต่างๆ ยีสต์ และอาหารทะเล

บทบาทสำคัญของแมกนีเซียม 

  1. ช่วยในนำแคลเซียมเข้าสู่ภายในกระดูกได้มากขึ้น
  2. ช่วยในการผ่อนคลายกล้ามเนื้อลาย และกล้ามเนื้อเรียบ ( โดยมีแคลเซียมมีบทบาทในการหดตัวของกล้ามเนื้อลายและกล้ามเนื้อเรียบ )
  3. ทำให้หลอดเลือดขยายตัว ถ้าขาดอาจทำให้เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ( Coronary arteries) เกิดจากหดเกร็งทำให้เกิดภาวะเส้นเลือดหัวใจตีบเฉียบพลันได้ และในหลอดเลือดทั่วไป ถ้าขาดแมกนีเซียมอาจทำให้การนำออกซิเจนไปยังอวัยวะต่างๆ ไม่เพียงพอ เกิดอาการปวด บาดเจ็บหรือกล้ามเนื้อตายได้
  4. ทำให้การทำงานของเอนไซม์ที่ใช้ในขบวนการเมตาบอริซึมของโปรตีนและคารโบไฮเดรต และการสร้างและทำงานของ DNA ทำงานได้ปกติ
  5. มีบทบามในขบวนการสร้าง ATP ซึ่งเป็นสารให้พลังงานแก่ร่างกาย
  6. ช่วยลดอาการปวดศีรษะไมเกรนได้ โดยจากการทดลองในคน 81 คน พบว่ากลุ่มที่ได้รับแมกนีเซียมวันละ 600 มก.ต่อวัน เป็นเวลา 9 สัปดาห์ จะมี ความถี่ในการปวดศีรษะไมเกรน ลดลงได้ถึง 42 %
  7. ช่วยลดอาการปวดท้อง ในระหว่างมีประจำเดือนในสตรี
  8. ช่วยต่อสู้กับอาการซึมเศร้า ช่วยให้นอนหลับได้ดี

    ปัจจัยที่ทำให้ร่างกายได้รับแมกนีเซียมลดลง และควรหลีกเลี่ยงมีดังนี้
  1. การรับประทานอาหารจำพวกแป้งที่ผ่านการขัดสีแล้ว
  2. อาหารที่มีไขมันสูง
  3. การดื่มน้ำอัดลม แอลกอฮอล์ น้ำหวาน
  4. การได้รับแคลเซียมและฟอสฟอรัสในปริมาณที่สูงๆ
  5. การได้รับประทานยาขับปัสสาวะในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง

    ดังนั้นในปัจจุบันได้มีการให้ความรู้ทางสื่อมากมาย เกี่ยวกับความสำคัญของแคลเซียม โดยอาจอยู่ในรูปของเครื่องดื่ม นม และอาหารเสริมมากมาย แต่ท่านต้องอย่าลืมแมกนีเซียมด้วย ดังนั้นก่อนเลือกบริโภค ควรดูส่วนประกอบให้ดีว่าได้รับทั้งแคลเซียมและแมกนีเซียมควบคู่ไปด้วยกัน เป็นคู่รัก คู่รส คู่ใหม่
Posted on

แคลเซียม (Calcium) : แร่ธาตุที่ทุกคนต้องการ อยากเพิ่มแคลเซี่ยม แต่ไม่ได้ผล เพราะอะไร

ทำไมต้องรับประทานแคลเซี่ยม
แคลเซียมมีประโยชน์มากมาย มีความจำเป็นมากกับความแข็งแรงและความหนาแน่นของกระดูก ในภาวะปกติ ร่างกายต้องการแคลเซียมประมาณ 800-1000 มก.ต่อวัน
แต่เนื่องจาก ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์แคลเซียมเองได้ เราต้องเพิ่มแคลเซี่ยม จากภายนอก ซึ่งมี 2 ทางได้แก่
1. การรับประทานที่มีแคลเซี่ยมสูง
ได้แก่ นม, กุ้งแห้ง, กะปิ, ปลาเล็กปลาน้อย, ปลาสลิด, หอยนางรม, ผักใบเขียวที่มีลักษณะแข็ง (คะน้า, ใบยอ, ใบชะพลู), งาดำ ฯลฯ
2. อาหารเสริม
ได้แก่ แคลเซียม ซิเตรต แคลเซียมฟอสเฟต แคลเซียมแลกเตต แคลเซียมคีเลต ไบโอแคลเซียม แคลเซียมแอล-ทรีโอเนต ซึ่งปริมาณแคลเซียมและการดูดซึมของแคลเซียมต่างรูปแบบก็จะต่างกัน โดยพบว่า แคลเซียมแอล-ทรีโอเนต จะดูดซึมได้ 90% และรับประทานได้แม้ตอนท้องว่าง
ปริมาณแคลเซียมที่ร่างกายควรได้รับในแต่ละช่วงอายุ
อายุ < 40 ปี 800 mg / วัน = นม 3 – 4 แก้ว
วัยทอง (~50 ปี) 1000 mg / วัน = นม 4 – 5 แก้ว
ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์, อายุ > 60ปี 1200 mg / วัน = นม 6 – 7 แก้ว
ผู้หญิงมีโอกาสกระดูกหักจากโรคกระดูกพรุนมากถึง 30  – 40% ส่วนผู้ชาย 10%
10 ปีแรกหลังหมดประจำเดือน กระดูกจะบางลงเร็วมาก เกิดจากการขาดฮอร์โมนเพศหญิง หรือ Estrogen การเสริม Calcium จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมาก เพื่อช่วยเพิ่มความหนาแน่นของกระดูกและป้องกันโรคกระดูกพรุน 

ปัจจัยที่มีผลต่อการดูดซึมแคลเซี่ยม

  1. การขาดวิตามินดี เพราะวิตามินดี มีส่วนช่วยให้การดูดซึมแคลเซียมดีขึ้น
  2. ความผิดปกติในระบบทางเดินอาหาร เช่น โรคกระเพาะอาหาร หรือลำไส้อักเสบ มะเร็งลำไส้ การติดเชื้อในทางเดินอาหาร ท้องเสีย
  3. ภาวะความเป็นกรดของกระเพาะสูงเกินไป ทำให้แคลเซียมแตกตัวเป็นอิออนมาก และดูดซึมน้อยลง
  4. ความเครียด ทำให้กรดในกระเพาะหลั่งมากขึ้น
  5. การรับประทานอาหารพวกไขมัน หรือโปรตีนในปริมาณสูงๆ ทำให้ไปบดบังการดูดซึมแคลเซียมในทางเดินอาหาร
  6. อาหารบางอย่างที่ให้กรด Oxalic acid ในปริมาณสูง ทำให้กรดนี้ไปจับกับแคลเซียมในทางเดินอาหารทำให้การดูดซึมเกิดขึ้นไม่ได้ ซึ่งกรด Oxalic acid นี้พบได้มากใน ผักขม โกโก้ ถั่วเขียว เป็นต้น
  7. การได้รับฟอสฟอรัสมากเกินไป จึงเกิดการแย่งกันดูดซึมกับแคลเซียม
  8. คาเฟอีนและแอลกอฮอร์ จะทำให้ร่างกายเร่งการขับถ่ายแคลเซียมออกจากร่างกายได้
  9. การสูบบุหรี่ ทำให้สตรีเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนเร็วขึ้น และทำให้ความแข็งแรงของกระดูกลดลง
Posted on

กวาวเครือ (kwao-krua) : สมุนไพรสำหรับสตรี ที่อยากมีหน้าอกกระชับ ปรับผิวให้เต่งตึง มีข้อควรระวังอะไรบ้าง

กวาวเครือ เป็นพืชไม้เลื้อย ผลัดใบ ลำต้นเกลี้ยง ยาวประมาณ 5 เมตร หัวใต้ดินมีขนาดใหญ่ ค่อนข้างกลมและคอดยาวเป็นตอนๆ ต่อเนื่องกัน เป็นพรรณไม้ถิ่นเดียวของไทย พบตามป่าเบญจพรรณซึ่งเป็นป่าผลัดใบ และป่าเต็งรัง ในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันตกของประเทศไทย
กราวเครือกระจายพันธุ์ด้วยเมล็ด มีความหลากหลายทางพันธุกรรมค่อนข้างสูง ทำให้ลักษณะใบแตกต่างกันหลายๆแบบ ในแต่ละพื้นที่ แบ่งได้เป็น 4 ชนิด คือ กวาวเครือขาว กวาวเครือแดง กวาวเครือดำ และกราวเครือมอ โดยเรียงลำดับ จากความแรงอ่อนสุดไปมากสุด
กวาวเครือ เป็นสมุนไพรที่เป็นที่รู้จักและมีการใช้กันมานานแล้วในฐานะของสมุนไพรอายุวัฒนะ ในตำรับยาโบราณที่มีสรรพคุณบำรุงร่างกาย ทำให้ ผิวพรรณมีน้ำมีนวลและผิวหนังเต่งตึง ซึ่งความสวยงามที่ได้เป็นผลพลอยได้เท่านั้น และต่อมาได้รับความนิยมและเป็นที่รู้จักมากขึ้น ทั้งในประเทศและต่างประเทศ

คุณสมบัติทางยา
มีการค้นพบว่ามีสารเคมีที่สามารถออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเพศหญิง (Estrogen) หลายชนิด คือ Miroestrol,puerarin,mirificin,diadzin,Beta-sitosterol,coumestrol,genistein และสารเคมีอื่นๆ ที่ไม่มีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจนดังนั้นในทัศนะของแพทย์พื้นบ้านทางเหนือ จึงเชื่อว่าถ้ารับประทานเข้าไปในขนาดและวิธีที่เหมาะสม จะมีประโยชน์โดยสรุปดังนี้
1. เป็นยาอายุวัฒนะใช้ได้ทั้งเพศชายและหญิงในผู้สูงอายุ ทำให้เจริญอาหาร นอนหลับได้ดี
2. ทำให้ผิวหนังที่เหี่ยวย่นกลับเต่งตึงมีน้ำมีนวล ลดรอยย่น ตีนกา
3. ช่วยเสริมให้หน้าอกโตได้ ทำให้คัดหน้าอก
4. ช่วยให้ประจำเดือนกลับมามีได้ใหม่ ในผู้หญิงวัยใกล้หมดประจำเดือน หรือวัยหมดประจำเดือน
5. ช่วยให้ช่องคลอดไม่แห้ง มีน้ำหล่อลื่น
6. เสริมพละกำลัง ไม่อ่อนเพลียง่าย
7. หูตาที่ฝ้าฟางกลับดีขึ้น ทำให้อ่านหนังสือได้ชัดขึ้น
8. ความจำดีขึ้น
9. ลดกำหนัดได้
10. ช่วยให้เส้นผมที่หงอกกลับดำ และทำให้เพิ่มเส้นผมได้
แต่จากการรวบรวมข้อมูลการรับประทานกวาวเครือ ของยุทธนา สมิตะสิริ(2541) พบว่าเมื่อหยุดใช้กวาวเครือ อาการต่างๆ จะกลับมาเหมือนเดิม

กราวเครือขาว
กราวเครือแดง
ก้อนที่หน้าอก หรือมะเร็งเต้านม
เยื่อหุ้มอัณฑะหนา มะเร็งในผู้ชาย

ข้อควรระวังในการใช้

ตามรายงานของวารสารสยามสมาคม(Kerr,1932) และตำรายาหัวกวาวเครือ (ของหลวงอนุสารสุนทร,2474) ได้กล่าวเน้นให้ความสำคัญในการบริโภคคือ ต้องรู้จักต้นกวาวเครืออย่างดี เพราะถ้าไม่รู้จักดีพอ การเอาเถา ต้น หัว ใบ ของต้นไม้ชนิดอื่นที่คล้ายแล้วไปทำเป็นยาอายุวัฒนะแล้ว นอกจากจะไม่ได้ ประโยชน์แล้ว อาจทำให้เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้
หรือการรับประทานหัวกวาวเครือเกินขนาดก็เกิดโทษได้ โดยพบว่าในกวาวเครือ สารพิษที่พบก็คือ Butanin แล้วยังพบว่าในกราวเครือ อาจมีส่วนผสมของโลหะปรอท 4.0 มก.ต่อกรัม ,Litium 94.0 มก.ต่อกรัม,Sodium 10.0 มก.ต่อกรัม,Calcium 29.0 มก.ต่อกรัม ดังนั้นในทัศนะของแพทย์พื้นบ้านภาคเหนือ จึงต้องนำสมุนไพรอื่นร่วมในการทำยา เรียก ‘ ตัวคุม’

พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ นายกสมาคมแพทย์แผนไทย ได้กล่าวสรุปว่า ไม่ควรรับประทานมากหรือต่อเนื่องนานเกินไป เพราะอาจมีอาการเต้านมโต เป็นก้อน ถึงก่อให้เกิดมะเร็งในผู้หญิงได้ หรือทำให้เยื่อหุ้มอัณฑะหนา ถึงก่อมะเร็งในผู้ชาย นอกจากนี้ยังได้สรุปปัญหาการบริโภคในระดับปัจเจกชนมีดังนี้

  1. บริโภคกวาวเครือผิดประเภท เช่น ใช้พืชหัวอื่นที่คล้ายกราวเครือ ทำให้มีพิษต่อร่างกายถึงชีวิต
  2. บริโภคกวาวเครือผิดขนาด หลายระยะเวลา มากเกินไป หรือ นานเกินไป
  3. บริโภคกวาวเครือผิดวิธี ซึ่งตำรายาระบุไว้หลายวิธี ซึ่งมีผลต่อความเข้มข้นของสารออกฤทธิ์
  4. บริโภคกวาวเครือผิดวัตถุประสงค์ เดิมมิได้รับประทานเพื่อเป็นยาอายุวัฒนะ แต่ต้องการผลข้างเคียงอย่างอื่น

ปัจจุบัน ได้มีนักวิจัยหลายๆ กลุ่ม พยายามที่จะพัฒนานำสารบางอย่างที่ออกฤทธิ์เหมือนฮอร์โมนเพศหญิงจากหัวกวาวเครือมาใช้ในแวดวง ความสวยงาม แต่ก็ยังไม่เป็นที่สรุปและยอมรับในมาตรการความปลอดภัยสำหรับผู้บริโภคอย่างเพียงพอ ได้มีการประชุมเชิงสัมนาเรื่องกวาวเครือ กับผลงานการวิจัย ได้ข้อสรุปเบื้องต้นเพียงว่า ผลิตภัณฑ์จากกวาวเครือมีความเป็นฮอร์โมนสูง จึงเหมาะเพียงสำหรับผู้หญิงวัยทอง เพราะจะไปช่วยเพิ่มความสมดุลย์ของฮอร์โมนเพศในร่างกาย แต่อย่างไร ก่อนหรือหลังใช้ ต้องพิจารณาผลการทดสอบความเป็นพิษก่อนเสมอ

อกสารอ้างอิง; คู่มือการตรวจสอบ กวาวเครือ และทองเครือ ของฝ่ายพันธุ์พืช กองควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร กรมวิชาการการเกษตร
เอกสารอ้างอิง; เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ 2541 ปัญหาการใช้กวาวเครือในประเทศไทย,เอกสารประกอบการสัมมนา ของสถาบันแพทย์แผนไทย กรมการแพทย์

Posted on

เจลาติน ( Gelatin) : โปรตีนสกัด กับบทบาทอาหารเสริม บำรุงเล็บ เส้นผม ผิวพรรณ

เจลาติน เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่ไม่มีสี ที่ได้จากปฏิกริยาการย่อยสลายโดยการใช้น้ำ(hydrolysis) จากโปรตีนคอลลาเจนของสัตว์อีกทีหนึ่ง จึงอุดมไปด้วยโปรตีนและกรดอะมิโนหลายชนิดจึงอาจเป็นประโยชน์ต่อร่างกายและสุขภาพ นอกจากจะใช้ในรูปแบบของขนมน้ำตาลสูง อย่างเยลลี่ หมากฝรั่ง หรือวุ้น

ส่วนประกอบของเจลาติน 

1. Proline and Hydroxyprolene 25 %
2. Glycine 27 %
3. Alanine 9 %
4. Aspartic acid 6 %
5. Glutamic acid 10 %
6. กรดอะมิโนเอซิคอื่นๆ 15 %

ประโยชน์ของเจลาติน : – เป็นแหล่งโปรตีนที่ร่างกายนำไปสร้างคอลลาเจนได้ทันที หรือเป็นส่วนประกอบหลักของอวัยวะที่มีโปรตีนคอลลาเจนเป็นองค์ประกอบหลัก อันได้แก่อวัยวะต่างๆ ดังนี้

  1. เล็บ ทำให้เล็บแข็งแรงเป็นเงามัน ไม่แตก หรือเปราะหักง่าย
  2. เส้นผม ทำให้ผมดกดำเป็นเงางาม โทนสีสม่ำเสมอ เส้นผมยาวเหยียดตรง และมีน้ำหนัก
  3. ผิวพรรณ ทำให้ผิวหนังไม่เหี่ยวย่นเกินวัย ผิวพรรณชุ่มชื่น นุ่มนวลผ่องใส ทำให้สุขภาพผิวแข็งแรงทนทานต่อสภาพแวดล้อมและเชื้อโรคได้
  4. กระดูกอ่อน เอ็น และเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ( connective tissues)

การรับประทานอาหารเสริมที่มีเจลาติน เหมาะกับบุคคลดังต่อไปนี้ 

  1. ผู้ที่ต้องการบำรุงผิวพรรณ เส้นผม และเล็บ โดยเฉพาะสตรีที่ให้นมบุตร สตรีในระยะที่มีประจำเดือน หรือวัยหมดประจำเดือน เพราะในสตรีกลุ่มนี้มักจะบกพร่องในเรื่องสารอาหารหลายชนิด ทำให้อาจบกพร่องในการสร้างคอลลาเจนด้วย
  2. ผู้สูงอายุ ที่มักเกิดจากความเสื่อมของกระดูก โดยการรับประทานเพื่อเสริมเจลาตินที่เสื่อมสภาพไป ให้ฟื้นฟูสภาพได้ ดังเดิม หรือป้องกันไม่ให้กระดูกเสื่อมถอยมากขึ้น
  3. นักกีฬา หรือผู้ที่ออกกำลังกายอย่างหนัก เพราะในกลุ่มนี้จะต้องการให้กระดูก ข้อต่อ เส้นเอ็นแข็งแรง เพื่อรองรับ การทำงานที่หนักหน่วง
  4. ใช้ลดน้ำหนักในโปรแกรมอาหารเสริมลดน้ำหนักได้ เนื่องจากมีคุณสมบัติในการพองตัวและเกิดความหนืดเมื่อละลายน้ำ

ขนาดในการรับประทานอาหารเสริมเจลาติน ประมาณ 1,550 มิลลิกรัม หรือ ครั้งละ 24 เกรน วันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหารประมาณ 30 นาที และดื่มน้ำตามมากๆ
นอกจากนี้ถ้าจะให้อาหารเสริมเจลาตินทำงานหรือดูดซึมเข้าสู่ผิวพรรณได้ดีขึ้น แนะนำให้รับประทานร่วมกับอาการเสริมที่ช่วยทำให้การหมุนเวียนของโลหิต เช่น น้ำมันจากดอกอีฟนิ่งพริมโรส น้ำมันจากผล Black current oils,Borage oils หรือกระเทียมสกัด( Garlic extract)

Posted on

กรดผลไม้ (Hydroxy Acid): สารสกัดบำรุงผิวหน้า ให้ขาวใส ไร้รอยด่างดำ มีกี่แบบ ต่างกันอย่างไร

กรดผลไม้( Hydroxy Acid) คืออะไร : สารประกอบที่มีฤทธิ์เป็นกรด โดยสกัดจากผลไม้ธรรมชาติ เช่น กรด ซิตริกจากมะนาว ส้ม และส้มโอ กรดมัลลิกจาก แอปเปิ้ล กรดไกลโคลิกจากอ้อย กรดแล็กติกจาก นมเปรี้ยว กรดทาร์ทาลิกจากมะขาม และไวน์
ประโยชน์ในการนำมาใช้
มาใช้ในการช่วยเพิ่มหรือเร่งอัตราการหลุดลอกของเซลล์ผิวหนังชั้นนอก เพื่อแก้ไขปัญหาผิวหน้าหยาบกร้าน รอยดำ ฝ้า ริ้วรอยเหี่ยวย่น หรือรอยหลุม โดยอาจจะผสมในครีม หรือเครื่องสำอางค์ หรือแพทย์ผิวหนังได้นำมาใช้ในการผลัดเซลล์ผิว (Chemical Peeling) เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาผิวพรรณ ลดริ้วรอย รอยด่างดำ ฝ้า กระ รอยหลุม ฯลฯ
ประเภทของกรดผลไม้
1. AHA (Alpha-hydroxy acid): กรดผลไม้ชนิดแรก ที่นำมาใช้ในการรักษาปัญหาผิวพรรณ โดยมีความเข้มข้นแตกต่างกันในการใช้ประโยชน์ โดยมากในเคาน์เตอร์ความงาม จะพบเห็นแพร่หลาย ในส่วนประกอบของครีมบำรุง โดยมักจะผสมในความเข้มข้น ไม่เกิน 10 % การที่จะผสมให้ความเข้นข้นสูงกว่านี้ จะถือว่าเป็นยา
ดังนั้นจะพบได้เฉพาะในคลินิกผิวหนังเท่านั้น นอกจากนี้ ประสิทธิภาพของ AHAs ยังขึ้นอยู่กับค่า pH (ความเป็นกรดด่าง) โดยถ้ายิ่ง pH ต่ำจะมีประสิทธิภาพดีกว่า pH สูงแต่ก็ระคายเคืองผิวหนังมากกว่า และไม่เหมาะที่จะใช้กับผิวแพ้ง่าย( sensitive skin)

2. BHA (Beta-hydroxy acid) เป็นกรดผลไม้อีกชนิดหนึ่ง ที่ออกมาสู่ท้องตลาด ในเวลาไม่กี่ปีมานี้ BHAเป็น สารพวก organic aromatic compound (ซึ่งมี hydroxy group ที่ beta position (ขณะที่ AHA มีที่ alpha positions) ซึ่งสารตัวนี้ ทนต่อ ความร้อน ไม่เสื่อมง่ายเหมือน AHA สารตัวนี้ที่เรารู้จักกันดี ก็คือ กรดซาลิกไซลิก (salicylic acid)
BHA ละลายในไขมันจึงซึมแทรกลงไปในรูขุมขนได้ดี ทำให้บางคนอนุมานว่าจะดีกว่า AHAs ซึ่งตามความเป็นจริงแล้ว ต้องอยู่ที่ จุดประสงค์ในการใช้แก้ปัญหา
AHA จะเหมาะกับการทำให้เซลล์ผิวหนังชั้นนอกหลุดลอกได้ดี หลังใช้ทำให้ผิวหน้าขาวขึ้น ริ้วรอยลดลง ผิวหน้านุ่มขึ้น
แต่ BHA จะเหมาะกับการรักษาผิวหน้าที่ลึกกว่า ใช้แก้ปัญหาการหลุดลอกของสิวอุดตัน สิวเสี้ยน และกระชับรูขุมขน เพราะ BHA สามารถลอกผิวหนังบริเวณที่มีต่อมไขมันมากได้ดีกว่า AHA โดยเฉพาะบริเวณปลายจมูก นอกจากนี้ พบว่า BHA ไม่ทำให้เกิดการสูญเสียเกราะป้องกันของผิวหนัง ( Transepidermal water loss) จึงใช้ได้ในคนที่ผิวแพ้ง่าย
3. CHA (combined hydroxy acid) เป็นการผสมผสานของกรดผลไม้หลายชนิด แต่ไม่นิยมเพราะเตรียมยาก
4. PHA (Poly-hydroxy acid) จะเป็นกรดผลไม้ตัวล่าสุด PHA ผลิตขึ้นเพื่อจะมาแทนที่ AHA ในอนาคต โดยมีการปรับให้มีโมเลกุลใหญ่ ทำให้ดูดซึมเข้าไปในผิวหนังลดลง จึงไม่ระคายเคืองผิว และใช้ได้กับคนที่ผิวแพ้ง่าย โดยมีแนวโน้มในการใช้ลอกผิวหนังได้โดยไม่จำเป็นต้องทำลายเกราะป้องกันผิวพรรณ ดังนั้นPHA อาจจะเป็นของใหม่ ในศตวรรษนี้ ที่กล่าวถึงกันมาก
แต่ในปัจจุบันทั้ง AHA,BHA ก็ยังมีประโยชน์ต่อการรักษาทั้งสองตัว ก่อนใช้ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อการเลือกใช้ได้เหมาะสม

Posted on

Vitamin A ( Retinols) วิตามินเอ กับบทบาท หน้าที่สำคัญกับสุขภาพและผิวพรรณ

วิตามินเอ เป็นมีฤทธิ์เป็น Antioxidants ที่สำคัญตัวหนึ่ง และมีการนำมาใช้อย่างแพร่หลายในปัจจุบัน โดยมักเรียกว่า กลุ่มยาเรตินอยด์( Retinoids ) เป็นคำเรียกรวมๆ ของ วิตามินเอจากธรรมชาติ และสังเคราะห์ขึ้น เช่น Isotretinoin,Roaccutane
ปริมาณที่ร่างกยต้องการ ปกติ ต้องการวิตามินเอ ประมาณ 1000 ไมโครกรัมต่อวัน ( ในรูปของ Retinol) ซึ่งพบในพืชที่มีสีเขียวและเหลือง ไข่แดง เนย ตับ และน้ำมันปลา โดยร่างกายจะสะสมวิตามิน ในตับ

หน้าที่และบทบาทของวิตามินเอ ต่อร่างกาย โดยทั่วๆ ไป มีได้ดังนี้

  1. ช่วยในการเจริญเติบโตของเซลล์บุผิว (Epithelial cells) และการพัฒนาการของเซลล์
  2. หยุดยั้งเนื้องอกที่อาจเป็นเซลล์มะเร็ง
  3. หยุดยั้งการแบ่งตัว และการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง
  4. ลดการอักเสบของเซลล์
  5. เพิ่มระบบภูมิคุ้มกันแก่ร่างกาย

ประโยชน์ของวิตามินเอ ต่อผิวพรรณ

  1. เพิ่มประสิทธิภาพ ในการซ่อมแซม และฟื้นตัวของผิวหนัง จากการทำลายของแสงแดด
  2. ช่วยให้ริ้วรอยเหี่ยวย่น ลดลง
  3. ช่วยให้ผิวหน้าเนียนนุ่ม ไม่หยาบกร้าน
  4. ลดอัตราการเกิด ขี้แมลงวันจากสาเหตุของแสงแดด
  5. ลดจำนวน และขนาดของกระเนื้อ
  6. ในรูปของอนุพันธุ์ของวิตามินเอ เช่น ยาทา ช่วยรักษาสิวอุดตัน
  7. ในรูปของยารับประทาน เช่น Roaccutrend,Isotreinoin นำมาใช้รักษาสิวอักเสบ ที่ไม่ตอบสนองต่อยาปฏิชีวนะ สิวอุดตัน ปัญหาผิวหน้ามัน ช่วยรักษาแผลเป็นรอยหลุม
Posted on

Vitamin E ( Alpha-tocopherol) : วิตามินอี กับบทบาทการปกป้องผิวจากแสงแดด และความเหี่ยวย่นก่อนวัย

วิตามินอี  ถือเป็น Antioxidants อีกชนิดหนึ่ง ที่นิยมนำมารักษาปัญหาด้านผิวพรรณ วิตามินดี พบใน Plasma และเม็ดเลือดแดง โดยปกติจะช่วย ปกป้องเซลล์บุผิว จากการถูก Peoxidation ให้เกิด อนุมูลอิสระที่ทำลายเซลล์
จากการศึกษาพบว่า ผิวหนังในบริเวณที่มีต่อม Sebaceous glands ( ต่อมไขมัน) มาก เช่น ใบหน้า จะมีปริมาณของวิตามินอี มากกว่าบริเวณแขนถึง 20 เท่า เนื่องจากต่อม Sebaceous glands เป็นช่องทางที่สำคัญ ในการหลั่งวิตามินอี ออกสู่ผิวหนัง
แหล่งอาหารที่มีวิตามินอี
พบในผัก น้ำมันพืช เมล็ดพืช ข้าวโพด ถั่ว แป้งสาลี เนยเทียม เนื้อสัตว์ และนม ซึ่งร่างกาย ต้องการวิตามินอี ในรูปของ alpha-tocopherol ประมาณ 10 มก.ต่อวัน
วิตามินอี ประกอบด้วย Tocopherols และ Tocotrinols โดยมี Alpha-tocopherol และ Gamma-tocopherol เป็นตัวที่ Active ที่สุด ซึ่งร่างกาย

ประโยชน์ของการทาครีมที่มีส่วนผสมของ วิตามินE ในการป้องกันและรักษาผิวพรรณ 

  1. ช่วยลดอัตราการทำลายของแสงแดด ( Phtoprotection ) ที่ทำให้เซลล์เกิด Sunburn รอยแดงไหม้ ( erythema ) chronic UVB damage
  2. ลดอัตราการเกิดมะเร็งผิวหนังจากแสงแดด ( photocarcinogenesis)
  3. ช่วยลดริ้วรอยเหี่ยวย่น
  4. ลดความหยาบกร้านของผิวพรรณ

ประโยชน์ของการรับประทานวิตามิน E 

  1. ในสัตว์ทดลองพบว่า วิตามินอี สามารถลดอัตราการเกิดมะเร็งผิวหนัง ( basal cell carcinoma) ได้ถึง 70 % โดยเฉพาะรับประทานควบคู่กับวิตามินเอ
  2. ช่วยสมานแผล ( wound healing) เมื่อรับประทานวันละ 400 มก. ทำให้แผลหายได้เร็ว
  3. สร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคแก่ร่างกาย โดยมีฤทธิ์ในการรักษาการอักเสบ ( anti-inflammatory effects ) และกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ( immunostimulatory effects )

วิตามินอี จะเสื่อมสภาพได้เร็ว เมื่อถูกแสงแดด หรือออกซิเจน แต่จะทนต่อความร้อนได้ถึง 100 องศาเซลเซียส และภาวะความเป็นกรดด่าง การรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด และยาระบาย จะทำให้ฤทธิ์ของวิตามินอี ในรูปรับประทานลดลงเช่นกัน

ขนาดในการรับประทานวิตามินอี ควรเริ่มที่ขนาดต่ำๆ ก่อน ประมาณ 100 มก.ต่อวันก็น่าจะได้ สาร alpha-tocopherol เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
แม้จะมีความปลอดภัยสูง เมื่อรับประทาน ขนาด ประมาณ 3,000 มก.ต่อวัน ได้เป็นเวลานาน แต่ก็ยังไม่แนะนำให้รับประทานเกิน 4,000 มกต่อวัน

Posted on

Vitamin C ( Ascorbic acid) : วิตามินซี มีคุณประโยชน์มากมายต่อสุขภาพและผิวพรรณ

วิตามินซี มีฤทธิ์เป็น Antioxidants ที่สำคัญตัวหนึ่ง และมีการนำมาใช้อย่างแพร่หลายในปัจจุบัน มีความจำเป็นต่อชีวิต
หน้าที่สำคัญ คือ กำจัดอนุมูลอิสระ(Free radicle scavenger) และเป็น ปัจจัยร่วม(Cofactors) ของเอนไซม์ต่างๆ อาทิ Procollagen hydroxylase ซึ่งต้องใช้วิตามินซี ในการทำงานสร้างคอลลาเจน นอกจากนี้ยังมีความจำเป็นในการทำงานของเม็ดเลือดขาว( neutrophils) ในการกำจัดเขื้อโรคอีกด้วย ซึ่งมีหลายผลงานวิจัยที่พบว่า วิตามินซีช่วยในการป้องกันและรักษาโรคไข้หวัดได้ดี

แหล่งอาหารของวิตามินซี พบมากใน ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เช่น ส้ม มะมาว องุ่น และ ผักใบเขียว เช่น บอคเคอรี่ แอสปารากัส คะน้า ผักบุ้ง ถูกทำลายได้ง่ายด้วยแสง ความชื้น และออกซิเจน แต่ทนความร้อนได้ดีถึง 100 องศาเซลเซียส

บทบาทสำคัญของวิตามินซี ต่อผิวพรรณดังนี้

  1. ป้องกันอันตรายจากแสงแดด UV โดยพบหลักฐานว่า ถ้าทาวิตามินซี ก่อนออกแดด สามารถลดปัญหาSun Burn ได้ และพบว่าเมื่อทาร่วมกับ วิตามินอี และ ครีมกันแดด ที่มี Oxybenzone สามารถป้องกันอันตรายจากแสงแดดได้เกือบ 100 %
  2. ช่วยลดการอักเสบ ลดการเกิดสะเก็ดหนา ของโรคผิวหนังเรื้อนกวาง( Psoriasis) ได้
  3. ช่วยลดอัตราการดื้อต่อการใช้แสงแดดรักษา ในผู้ป่วยผื่นแพ้สัมผัส ( Contact allergic dermatitis)
  4. กำจัดอนุมูลอิสระ ที่เกิดจากภาวะชราของผิวหนัง และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ได้มีการทดลองทาวิตามินซี ที่ใบหน้า เป็นเวลา 3 เดือน พบว่า ทำให้ริ้วรอยเหี่ยวย่นที่เป็นไม่มาก( fine wronkle ) ดีขึ้น ผิวหน้านุ่มเนียนขึ้น จึงคาดว่าจะช่วยทำให้ภาวะชราจากแสงแดด( photoageing) ดีขึ้น
  5. ใช้เป็นสารฟอกสีผิวให้ขาว ( whitening agents ) ในคนที่เป็นฝ้า กระ รอยดำ ทั้งในรูปของครีม โลชั่น สารละลาย จึงนำมาใช้ในการทาผิวหน้า และรักษาด้วยเครื่องไอออนโต
  6. ช่วยในการสมานแผล
  7. ป้องกันโรคมะเร็งผิวหนังได้

วิตามินซี ประเภท Ascorbyl palmitate สามารถละลายน้ำและไขมันได้ จึงนิยมนำมาผสมใน water cream,lotions และ Oils โดยสารนี้จะมี pH เป็นกลาง จึงไม่ระคายผิว

ได้มีการแนะนำให้รับประทานวิตามินซี ในรูปของยาเม็ดเป็นประจำ เพื่อป้องกันและรักษาภาวะทางผิวพรรณ ได้หลายอย่างตามที่กล่าวข้างต้น แต่ร่างกายปกติ ต้องการวิตามินซี ประมาณ 50- 60 มิลลิกรัมต่อวัน ทั้งชายและหญิง ( แต่ในคนที่สูบบุหรี่ อาจต้องการถึง 140 มก.ต่อวัน ) ดังนั้น ไม่จำเป็นต้องรับประทานวิตามินซี มากกว่านี้ แม้จะมีหลักฐานว่า การรับประทานวิตามินซี ในระยะยาว ค่อนข้างปลอดภัย แต่ถ้ารับประทานปริมาณสูงมากๆ ติดต่อกัน อาจเกิดทำให้เกิด ระดับ Oxalate ในปัสสาวะสูง และเกิดนิ่วในไตได้ภายหลัง นอกจากนี้ ยังมีข้อดี คือ หาง่าย ราคาถูก มีผลข้างเคียงน้อย

Posted on 2 Comments

เคล็ดลับกับการป้องกันและดูแลให้ “นมเด้ง” ตลอดกาล ทำอย่างไร โดยไม่ต้องศัลยกรรม

สาเหตุสำคัญที่ทำให้เต้านมหย่อนยาน
1. ลดน้ำหนักตัวอย่างฮวบฮาบ ผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก รูปร่างอ้วน มักจะมีไขมันสะสมพอกพูนบริเวณเต้านมมาก เมื่อลดน้ำหนักอย่างฮวบฮาบ ทำให้ส่วนที่หายไปก่อนคือไขมันส่วนเกินนั่นเอง ผิวหนังภายนอกที่เคยขยายและอุ้มน้ำหนักเต้านมและไขมันส่วนเกินไว้ก่อนหน้านั้น จึงห้อยและหย่อนยานตามสรีระ เนื่องจากกล้ามเนื้อภายในเต้านมไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพิ่มเติม
2. หญิงวัยทองและวัยหมดประจำเดือน เต้านมจะหย่อนยานตามธรรมชาติ เนื่องจากการลดลงของปริมาณฮอร์โมนเอสโตรเจน เพราะหน้าที่สำคัญของเอสโตรเจนคือควบคุมการเจริญเติบโตของเต้านม รังไข่ ช่องคลอดและการเจริญพันธุ์ของผู้หญิง
หน้าอกไม่เด้งดังใจ หย่อนยานก่อนวัย ทำอย่างไร
1. ไม่ควรลดน้ำหนักตัวอย่างฮวบฮาบ ควรจำกัดอาหารไขมันควบคู่ไปกับการออกกำลังกาย ที่เหมาะสม เช่น การว่ายน้ำ ซึ่งถือเป็นการออกกำลังกายที่ดีที่สุด วิธีดังกล่าวจะช่วยลดไขมันส่วนเกินพร้อม ๆ กับการกระชับกล้ามเนื้อภายในให้เต่งตึงได้ดี ผิดกับการวิ่งที่กลับจะทำให้หน้าอกหย่อนคล้อยมากขึ้น
2. เพิ่มระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน ด้วยอาหารที่มีส่วนผสมของ “ไฟโตเอสโตรเจน” ซึ่งปลอดภัยแต่มีคุณสมบัติคล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน แม้ว่าจะมีประสิทธิผลต่ำกว่าฮอร์โมนถึง 100 – 1,000 เท่าก็ตาม สารไฟโตเอสโตรเจนจะพบมากในถั่วเหลือง นมถั่วเหลือง เต้าหู้ และสมุนไพรอื่น ๆ เช่น กาวเครือ เป็นต้น แต่มีข้อควรระวังคือ“ไฟโตเอสโตรเจน” จะทำให้ฤทธิ์ของฮอร์โมนเอสโตรเจนตามธรรมชาติยลดลงจึงไม่เหมาะกับวัยเด็ก หรือวัยรุ่น สตรีมีครรภ์ และหญิงให้นมบุตร

ผลิตภัณฑ์ “นมเด้ง” ได้ผลจริงไม่
จริงๆ แล้ว ไม่ต่างอะไรกับ “มอยเจอร์ไรเซอร์” ที่ช่วยให้ผิวแลดูชุ่มชื่นเท่านั้น ไม่ได้ช่วยให้นมเด้ง อย่างที่คาดหวังกันเอาไว้
การตบนมได้ผลหรือไม่
ก็ไม่ได้เกิดผลรวดเร็วดังใจ เพราะการตบนมเสมือนการออกำลังกายของเต้านม ที่ช่วยให้กล้ามเนื้อแข็งแรง เหมือนเช่นการเดินมากๆ ที่ทำให้น่องโต เป็นต้น ส่วนไหนจุดไหนทำงานมากกล้ามเนื้อก็แข็งแรง กระชับ แต่ก็เสียงต่อการเกิดมะเร็ง เนื่องจากการตบนมจะไปกระตุ้นการเกิดเซลล์ใหม่ๆ ที่อาจผิดปกติ

เคล็ด 5 วิธีดูแลหน้าอกให้สวยนาน

  1. บำรุงด้วยครีม เลือกครีมที่มีส่วนผสมของเรตินอลเพื่อป้องกันริ้วรอยย่นยาน สร้างความชุ่มชื้นกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินให้แข็งแรง รวมทั้งต้องปกป้องจากแสงแดด
  2. เสื้อชั้นในมีโครง สามารถช่วยชะลอความหย่อนยานให้ช้าลงได้
  3. ครีมกันแดด ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 15 เป็นอย่างน้อย ที่จะช่วยปกป้องจากรังสียูวีเอและบี ทำให้เกิดเป็นริ้วรอยก่อนวัยและจุดด่างดำ
  4. ท่าทางการนอน การกดหน้าอกลงบนที่นอนเป็นประจำ จะทำให้หน้าอกผิดรูปผิดร่างไป ท่าการนอนที่ดีคือนอนตะแคง แล้วมีหมอนรองหน้าอกเพื่อช่วยพยุงไว้ขณะหลับ
  5. ป้องกันและรักษาสิวที่หน้าอก เพราะบริเวณนี้ต่อมไขมันมาก และมีแนวโน้มที่จะเกิดสิวอุดตันและสิวอักเสบได้ง่าย
  6. Ultherapy: คลื่นอัลตราซาวด์ ไปกระตุ้นการทำงานของอีลาสติน และเสริมสร้างคอลลาเจน ลดการหย่อนคล้อย ได้ ช่วยได้ระดับนึง ในรายที่ไม่อยากทำศํลยกรรม
Posted on

หน้าโทรม ดื่มหนัก พักผ่อนไม่เพียงพอ จะฟื้นฟูผิวพรรณด้วยตนเองอย่างไร ให้ดีขึ้น

เมาค้าง อ่อนเพลีย :
สิ่งแรกที่อยากแนะนำให้ทำทันทีหลังตื่นนอน ก็คือ การดื่มน้ำสะอาด เย็นจัด 1-2 แก้วใหญ่ เพื่อลดล้างพิษอัลกอฮอร์ในกระแสเลือด
ถ้ายังรู้สึกเพลีย ก็ต่อด้วยน้ำผลไม้คั้นสดๆ เย็นจัด อีกสักแก้ว เพื่อเพิ่มปริมาณออกซิเจนให้แก่กระแสเลือด ซึ่งจะทำให้ร่างกายสดชื่นขึ้นทันที
และในระหว่างวัน ควรดื่มน้ำมากๆ เพื่อเพิ่มการไหลเวียนโลหิต ถ้ายังปวดศีรษะอยู่มาก การรับประทานยาแก้ปวด เช่น Paracetamol( 500 มก.) 1-2 เม็ด ก็ช่วยให้ดีขึ้นได้เร็วเช่นกัน
ริมฝีปากแห้ง ลอกเป็นขุย:
เกิดได้จากการขาดน้ำ วิธีที่ควรทำทันที ก็คือ การนวดริมฝีปากด้วยวาสลิน หรือ ลิปกรอส สัก 1 นาที จากนั้นใช้แปรงสีฟันถูเบาๆเป็นวงกลม เพื่อให้หนังที่ลอกเป็นขุยหลุดออก แล้วทาวาสลิน หรือลิปกรอสอีกครั้ง เพื่อคงความชุ่มชื้นไว้

หน้าบวม ตาบวม :
อัลกอฮอร์อาจมีฤทธิ์ทำให้เพิ่มน้ำตาลในเลือด ในชั้นเซลล์ใต้ผิว ทำให้เซลล์ต่างๆ ทำงานหนักขึ้น และกักเก็บของเสียเอาไว้มากขึ้น จึงเกิดภาวะกักน้ำในเซลล์ ทำให้เกิดอาการบวมได้
แนวทางแก้ไข ก็คือ หลังตื่นนอนแล้ว ควรทำกิจกรรมอะไรก็ได้ ที่มีการเคลื่อนไหวเร็วๆ เช่น การวิ่งหรือเดินเร็วๆ อย่างน้อย 10 นาที เพื่อเป็นการเปิดรูขุมขนให้มีเหงื่อ และทำให้น้ำในเซลล์เกิดการไหลเวียน และขับถ่ายออกไป ในส่วนของดวงตา
ควรใช้ผ้าห่อน้ำแข็ง หรือถุงชาแช่เย็น นำมาวางไว้บนเปลือกตา ทิ้งไว้ 10-15 นาที สารเทนนินในใบชา โดยเฉพาะชาคาโมมายด์ จะช่วยลดการบวมน้ำได้ดี
ผิวหน้าแห้ง รูขุมขนกว้าง:
หลังล้างหน้าด้วยน้ำเย็นแล้ว ใช้ครีมบำรุง หรือ มาสต์ที่ให้ความชุ่มชื้น( Hydration mask ,Moituriser mask) ทาทั่วหน้าให้ทั่ว ทิ้งไว้ 5 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น เพื่อกระชับรูขุมขน แล้วทาครีมบำรุงซ้ำอีกครั้ง
หน้าซีดเซียว ไม่เปล่งปลั่ง:
ล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น แล้วตามด้วยน้ำเย็นทันที เพื่อให้ความสดชื่นกลับคืนมา ใช้แตงกวาฝานบางๆ ถ้าแตงกวาที่แช่ในตู้เย็นไว้แล้วยิ่งดี แล้ววางไว้ทั่วหน้า 10-15 นาที จะลดอาการตาบวม คล้ำได้ด้วย กรณีในผู้หญิงถ้าต้องแต่งหน้า ให้เลี่ยงบลัชออนแบบฝุ่น เพราะจะทำให้ผิวดูแห้งมากขึ้น แล้วเปลี่ยนมาใช้บรัชออนแบบครีมแทน เพื่อให้ความชุ่มชื้น แล้วทาครีมบำรุงอีกครั้ง

Posted on

ขัดผิวอย่างไร ให้ผิวเนียนสวย จำเป็นมั้ย บ่อยแค่ไหน จึงจะปลอดภัย ได้ผลตามต้องการ

ในปัจจุบันนี้ ใครๆก็อยากมีผิวสวย การปรนนิบัติผิวให้เปล่งปลั่งมีสุขภาพดีนั้น นอกจากการทำความสะอาดและบำรุงผิวตามขั้นตอนแล้ว การขัดผิว ก็เป็นอีกกรรมวิธีหนึ่งที่สาวๆ หลายท่านนิยมกัน โดยเฉพาะกลุ่มนางงามทั้งหลาย

การขัดผิว มิใช่เรื่องซีเรียส หรือเป็นเรื่องที่จำเป็นที่จะต้องทำมากนัก เพราะปกติผิวหนังของคนเรา โดยธรรมชาติ จะมีการผลัดเปลี่ยนเซลล์ใหม่ทุกอาทิตย์หรือ ทุกเดือนอยู่แล้ว ในรูปของขี้ไคล ซึ่งตามปกติจะใช้เวลาประมาณ 3-4 อาทิตย์ แต่เมื่ออายุมากขึ้น รวมถึงปัจจัยภายนอกหลายๆ อย่าง อาจทำให้การผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิว ทำได้ช้าลง ทำให้ผิวพรรณดูหม่นหมองไม่สดใส และอาจทำให้ครีมบำรุงไม่อาจซึมซับเข้าไปใต้ผิวหนังกำพร้า

บางคนจึงอยากทำการขัดผิว วิธีการในการขัดผิว นั้นมักจะใช้ฟองน้ำ ใยบวบ หรือผ้าขนหนู เป็นการช่วยขจัดผลัดเซลล์ที่ตายแล้ว ออกจากผิวหนังชั้นบนสุด การถูช่วยให้การไหลเวียนของโลหิตดีขึ้นด้วย จึงทำให้ผิวเรียบเนียนและสดใส

ในบางคนอาจใช้ครีมสครับช่วยด้วย การเลือกครีมสครับนั้น ควรพิจารณาที่ความละเอียดและขนาดของเม็ดสครับ ควรมีลักษณะเล็กละเอียด กลมกลึงและนุ่นนวล เพื่อป้องกันการทำลายผิวถ้ามีการขัดมากเกินไป จึงคิดว่าควรเลือกครีมสครับที่มนุษย์ผลิตขึ้น มากกว่า เม็ดสครับจากธรรมชาติเช่น เม็ดแอปริคอต เพราะมีลักษณะที่คม เป็นฟันเลื่อยและลักษณะเม็ดไม่สม่ำเสมอ
การเลือกครีมที่มีส่วนผสมของกรดผลไม้ ( AHAs) ก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่นำมาขัดผิว เพราะไม่ต้องกังวลถึง ความละเอียดและขนาดของเม็ดสครับ และความเข้มข้นของ AHAs ก็ไม่มากประมาณ 5-8 % AHAs ทำให้การขัดผิวเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่ทำลายผิวหนังมากนัก แต่ก็มีราคาแพงเอาการอยู่ทีเดียว ถ้าต้องขัดทั้งตัว แต่ก็ไม่แนะนำให้ขัดผิว ด้วยครีมสครับ ควบคู่กับครีมที่ผสมกรดผลไม้ ควรเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง

การขัดผิวถ้าอายุไม่มาก แนะนำให้ทำเพียงเดือนละ 1 ครั้ง แต่ถ้าอายุมากกว่า 40 ปี ควรทำอาทิตย์ละครั้งก็เพียงพอ เพราะถ้าขัดมากเกินไป อาจทำให้ผิวหนังบาง อ่อนแอ และไวต่อแสงแดด ทำให้เกิดอันตรายต่อผิวได้

หลังการขัดผิว อย่าลืมทาครีมบำรุงผิว และทากันแดดก่อนออกจากบ้าน หรือสถานความงามที่ไปการขัดผิว มิฉะนั้นการลงทุน ทั้งเวลาและกำลังทรัพย์ อาจจะไม่ได้ประโยชน์อะไร

Posted on

เปียกฝน ตากฝน จะดูแลสุขภาพเส้นผม-ผิวพรรณ อย่างไร ให้ปลอดโรคที่มากับหน้าฝน

เมื่อย่างหน้าฝนปีนี้ ปัญหาใหญ่คือ ผมเปียก ตัวเปียก และถ้าน้ำท่วม บางท่านอาจจะต้องลุยน้ำด้วย ทำให้ถุงเท้าและรองเท้าก็จะเปียกชื้นได้ ดังนั้นจึงจะรวบรวมปัญหาด้านผิวพรรณและเส้นผมที่พบได้บ่อยๆ พร้อมแนวทางป้องกัน ในช่วงหน้าฝนดังนี้
เส้นผม  เมื่อเส้นผมเปียกฝน การเช็ดผมให้แห้ง หรือปล่อยให้แห้งแล้วไม่เพียงพอ ควรทำความสะอาดผมด้วยน้ำสะอาด และแชมพูด้วย เพราะฝนที่ตกมาจะนำพาเอาเชื้อโรคต่างๆ โดยเฉพาะ เชื้อไวรัสมาด้วย
การเลือกแชมพูสระผมที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อรา หรือเชื้อ P.ovale( เช่น Ketoconazole sahmpoo,Selsun) ก็เป็นการป้องกันรังแค และการติดเชื้อรา ที่หนังศีรษะได้อีกทางหนึ่ง
นอกจากนี้ หลังสระผมเสร็จ ควรเช็ดผมให้แห้งทุกครั้ง ไม่ควรนอนในขณะที่ผมยังเปียกอยู่ เพราะอาจทำให้หนังศีรษะชื้นและเกิดเชื้อราบนหนังศีรษะได้
ลำตัวและเสื้อผ้าเปียกฝน ควรทำให้เสื้อผ้าแห้งโดยเร็ว ถ้าสามารถถอดออก เปลี่ยนใหม่ได้เลยจะยิ่งดี เพราะเสื้อผ้าที่เปียกฝนจะมีไวรัสปะปนอยู่ด้วยทำให้เป็นไข้หวัดได้เช่นกัน เสื้อผ้าเปียกชื้นถ้าเราใส่หมักหมมนานๆ จะเป็นบ่อเกิดให้เชื้อรา โดยเฉพาะเชื้อเกลื้อนมาเกาะที่ผิวหนัง ซึ่งเมื่อติดเชื้อเกลื้อนแล้วจะหายได้ช้าเป็นเดือนๆ และสามารถเป็นซ้ำได้อีกถ้าไม่ป้องกัน
จึงควรระวังรักษาสุขภาพผิวให้แข็งแรงและสะอาดเสมอ โดยการสวมใส่เสื้อผ้าที่แห้งสะอาด สำหรับเสื้อผ้าที่เปียกชื้นนานๆ ควรนำไปผึ่งแดดให้ร้อนจัดหรือรีดด้วยเตารีดร้อนๆ จะเป็นการฆ่าเชื้อที่ติดอยู่บนเสื้อผ้าได้ดีมาก

สวมถุงเท้าและรองเท้าที่เปียกฝน ควรถอดถุงเท้าและรองเท้าออกทันทีเมื่อมีโอกาส และทำให้แห้งโดยเร็ว เพราะถ้าเท้าเปียกชื้นนานๆ เมื่อถอดรองเท้าออกจะพบว่าผิวเท้าซีด เหี่ยวย่น และถ้าอบไว้นานมากๆ ผิวเท้าอาจจะลอกเป็นขุยบางๆ ทำให้ผิวมีความต้านทานต่อเชื้อโรคต่ำลง ซึ่งพบว่าจะติดเชื้อราได้บ่อย
กรณีที่กลับถึงที่พักแล้ว ควรจะทำความสะอาดเท้า ด้วยการฟอกสบู่และล้างด้วยน้ำสะอาด เช็ดเท้าให้แห้ง ถ้ามีแป้งฝุ่นให้ทาบางๆ ตามซอกเท้าและฝ่าเท้าสักเล็กน้อย แล้วปล่อยให้เท้าโล่งสัก 2 ชั่วโมง จึงจะสวมใส่ถุงเท้าและรองเท้าใหม่ (ซึ่งมิใช่คู่ที่เปียกชื้น)
รองเท้าที่เราใช้ในขณะที่เปียกฝน หรือย่ำน้ำท่วม ได้มีเชื้อราแทรกซึมในเนื้อผ้าหมดแล้ว ต้องทำการกำจัดออกโดยการนำไปตากแดดให้แห้งและร้อนหรือเช็ดด้วยน้ำยาฟอรมาลินเพื่อทำลายเชื้อรา และถุงเท้าควรต้มหรือรีดด้วยความร้อนสูง เพราะเชื้อราจะถูกฆ่าได้ในกรณีที่มีความร้อนใกล้ 100 องศาเซลเซียส หรือโดยน้ำยาฟอร์มาลินจึงจะนำมาใช้ใหม่
ฮ่องกงฟุต(Tinea Pedis) เป็นโรคที่พบได้บ่อย ในคนที่เท้าแฉะเป็นประจำ และเป็นเวลานานๆ พบเฉพาะบริเวณซอกนิ้วเท้าตรงที่ถูกบีบรัดโดยรองเท้ามากๆ ซึ่งได้แก่ซอกนิ้วเท้า ตั้งแต่นิ้วกลางคนถึงนิ้วก้อย โดยอาการเริ่มแรกจะมองเห็นเป็นผิวซีดขาวและเปื่อยยุ่ยออกมาจากซอกนิ้วเท้าและมีกลิ่นเหม็น
ดังนั้นการพบแพทย์เมื่อตรวจรอยโรค และขูดเชื้อมา ตรวจดูว่าการเป็นเชื้อชนิดใด การทายาครีมแก้เชื้อราจะได้ผลใน 4-6 สัปดาห์

Posted on

Argireline : กรดอะมิโน ส่วนประกอบของครีม ลดริ้วรอย ที่ออกฤทธิ์คล้าย Botox สำหรับคนกลัวแก่ และกลัวเข็ม

ปัญหาริ้วรอยต่างๆ เป็นความกังวลอย่างหนึ่งของคนเราเมื่อวัยเริ่มร่วงโรย สาร Botulinum toxin หรือ Botox ได้ตอบโจทย์นี้ได้อย่างดี และอยู่ในตลาดมานานกว่า 20 ปี และรู้จักกันแพร่หลาย
Argireline คืออะไร
เป็นกลุ่มโปรตีนกรดอะมิโน Acetyl Hexapeptide-8(ACE PEP) ที่มีความบริสุทธิ์มากกว่า 80 % ที่ประกอบด้วยกรดอะมิโนสำคัญคือ Glutamic Acid , Methionine และ Arginine 
ทำงานอย่างไร
Argireline จะไปรบกวนการรวมตัวและการทำงานของสาร SNARE COMPLEX จึงส่งผลทางอ้อม ทำให้ลดหรือยับยั้งการหลั่งสารสื่อประสาท CATECHOLAMINES ( Acetylcholine) ที่ทำให้กล้ามเนื้อหดตัว เกิดริ้วรอย เมื่อสารนี้ทำงานลดลง จึงทำให้กล้ามเนื้อบนใบหน้าผ่อนคลายริ้วรอยต่างๆ จึงลดลงได้ จึงมีประสิทธิภาพคล้ายคลึงกับ Botulinum toxin type A ที่มีคุณสมบัติในการทำลาย SNARE COMPLEX และยับยั้งการส่งสัญญาณของสาร CATECHOLAMINES ( Acetylcholine) โดยตรง
ผลงานวิจัยที่รับรองผล
มีการทดสอบการยับยั้ง SNARE COMPLEX และ CATECHOLAMINES ในห้องทดลองของสาร ARGIRELINE กับอาสาสมัคร พบว่าใน 1 สัปดาห์ กล้ามเนื้อบริเวณริ้วรอยเริ่มคลายตัว และริ้วรอยรอบดวงตาลดลงเฉลี่ย 17 % ในสัปดาห์ที่ 2 และริ้วรอยเลือนลางลงถึง 27-30 % ใน 4 สัปดาห์ ส่วนการศึกษาถึงผลข้างเคียงที่กระทบต่อเซลล์ผิว ยีน และเซลล์ที่บอบบางอย่างเซลล์ในช่องปาก ผลการทดสอบสรุปว่า พบความระคายเคืองได้บ้างเล็กน้อย แต่อันตรายในแง่การดูดซึม สะสม ไม่พบรายงานแต่อย่างใด
Argireline จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยลดริ้วรอยลึกที่เกิดจากการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ ช่วยป้องกันและลดริ้วรอยได้ผลในระดับนึง และปัจจุบันได้นำมาผสมเป็นส่วนประกอบ ของเครื่องสำอางค์กลุ่มป้องกันและลดริ้วรอย อย่างแพร่หลาย แม้จะได้ผลไม่ดีเท่ากับการฉีดสารโบทอกซ์ แต่ก็เหมาะกับคนที่ริ้วรอยไม่มาก และไม่อยากเจ็บตัว หรือกลัวเข็ม

Posted on

เล็บ (Nails): เล็บนั้นสำคัญอย่างไร อาการแบบไหนที่เล็บผิดปกติ หรือบ่งบอกโรคบางอย่างได้

เล็บ เป็นสิ่งหนึ่งในร่างกายที่สำคัญ สามารถมองเห็นได้ชัดเจนจากภายนอก ถือว่าเล็บเป็นอวัยวะที่บ่งบอกความสวยงามอย่างหนึ่ง ทุกคนต้องการให้เล็บมีสุขภาพดี ดูสวยและดูดี
อัตราการงอกของเล็บ
อัตราการงอกของเล็บจะมีประมาณ 0.1-0.2 มม.ต่อวัน อาจจะงอกได้ช้าหรือเร็วกว่านี้ได้บ้าง โดยพบว่าอายุประมาณ 15-30 ปี จะเป็นช่วงที่เล็บยาวเร็วที่สุด โดยจะพบว่าอัตราการงอกของเล็บมือจะยาวเร็วกว่าเล็บเท้าประมาณ 2 เท่า เราจึงต้องตัดเล็บมือบ่อยกว่าเล็บเท้า และ ปกติคนเราจะนิยมตัดเล็บกัน 1-2 อาทิตย์ต่อครั้ง ลักษณะเล็บปกติ
จะมีสีชมพูอ่อนๆ เรียบเสมอกัน ไม่มีรอยหยัก หรือโค้งงอ

หน้าที่และความสำคัญของเล็บ 

  1. ไว้หยิบจับสิ่งของที่มีขนาดเล็ก ชิ้นเล็กๆ
  2. ไว้เกา เวลาคัน เพราะถ้าไม่มีเล็บ คุณก็จะเกาได้ไม่สะดวก คงหงุดหงิดพอสมควร
  3. ไว้ฉีกอาหาร หรือสิ่งของบางอย่างให้เป็นชิ้นเล็กๆ
  4. ไว้ป้องกันตัว เช่น ขูด ขีด ข่วน ใบหน้า ( ใช้กรณีจำเป็นจริงๆ นะครับ)
  5. ไว้เกาศีรษะ เวลาสระผม
  6. ช่วยในการเดินหรือวิ่งอย่างมีประสิทธิภาพ บางท่านที่เคยโดนถอดเล็บเท้า จะพบว่าเดินไม่ถนัด
  7. เพื่อความสวยงาม บ่งบอกลักษณะ สุขภาพ รสนิยม บุคลิก ของผู้ที่เป็นเจ้าของเล็บที่สวยงามนั้นได้
  8. ใช้บอกโรคบางชนิดของอวัยวะภายในต่างๆ ได้
เล็บปกติ

ปัญหาความผิดปกติของเล็บที่พบบ่อย 

  1. จมูกเล็บอักเสบ หรือ เล็บขบ (Paronychiae) มักพบได้บ่อยที่สุด โดยพบในกลุ่มผู้หญิงแม่บ้านที่มือเปียกน้ำบ่อยๆ และกลุ่มที่ชอบทำเล็บตามร้านเสริมสวย มีการตัดเล็มจมูกเล็บทำให้เกิดช่องว่างในซอกเล็บ แล้วน้ำเข้าไปเซาะขังอยู่ ทำให้เกิดการอักเสบภายหลัง
    ลักษณะของเล็บจะบวมแดงนูนออกมา มีอาการเจ็บปวดอักเสบบางครั้งร่วมกับอาการคัน เล็บมักจะปกติดี จมูกเล็บอักเสบเมื่อเกิดแล้ว ไม่ค่อยหายขาด เนื่องจากช่องว่างระหว่างขอบเล็บไม่ปิดสนิทแล้ว ส่วนใหญ่มักจะเข้าใจว่าตนเองเป็นเชื้อราที่เล็บ
    2. เล็บเป็นเชื้อรา (Tinea Unguium) พบไม่บ่อยนัก และมักพบในผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำ เช่น โรคเบาหวาน โรคเอดส์ ฯลฯ
    ลักษณะเล็บจะเปลี่ยนสีไป เช่น อาจจะดำคล้ำขึ้น สีเขียวหรือเหลือง ลักษณะเล็บเปลี่ยนรูปร่าง บิดเบี้ยว โค้งงอ แตกเปราะ หรือเป็นขุย 
    3. เล็บกร่อน (Onycholysis) ลักษณะเล็บจะผุ กร่อน แตกหัก เปราะง่าย เล็บขยุกขยุย เสียรูปทรง เป็นลูกคลื่นบ้าง บุ๋มบ้าง โค้งงอ หนาขึ้นบ้าง ฯลฯ สีเล็บจะต่างจากเดิมไปบ้างเล็กน้อย ภาวะนี้เกิดขึ้นเองไม่ทราบสาเหตุชัดเจน รักษาแก้ไขได้ยาก การทานวิตามินบำรุงเล็บ เช่น ไบโอติน จะช่วยได้บ้าง

4.สะเก็ดเงินที่เล็บ (Psoriasis) โรคสะเก็ดเงิน นอกจากจะมีผื่นสะเก็ดหนาที่ศีรษะ ตัวศอก เข่าแล้ว ยังเกิดความผิดปกติที่เล็บได้ด้วย
ลักษณะเล็บหนาขึ้นที่ปลายเล็บมองเห็นได้ (Subungual hyperkeratosis) เล็บบุ๋ม (Pitting) เล็บเป็นลูกคลื่น (Ridging) รักษาค่อนข้างยาก ไม่หายขาด

อาการของเล็บ บ่งบอกลักษณะโรคบางโรคได้  

  1. โรคหัวใจและโรคปอดเรื้อรัง อาจจะพบลักษณะของเล็บปุ้ม เล็บงุ้มมากผิดปกติ (clubbing finger) เล็บซีดเขียว
  2. โรคไต อาจจะพบลักษณะของเล็บมีสีแตกต่างกัน (half and half nail) คือ ส่วนที่อยู่ชิดโพรงจมูกเล็บจะมีสีขาว ส่วนอีกครึ่งหนึ่งส่วนปลายเล็บเป็นสีปกติ เกิดจากบริเวณใต้ฐานเล็บมีการบวม
  3. โรคมะเร็งผิวหนังชนิดเมลาโนมา (melanoma) อาจจะทำให้ เล็บเปลี่ยนสี มีจุด สีดำ หรือแถบสีดำเกิดขึ้นได้ที่บริเวณเล็บ เป็นต้น ฯลฯ

วิธีดูแลปกป้องรักษาทะนุถนอมเล็บ 

  1. อย่าล้างมือบ่อยเกินไป หลังล้างมือแล้ว เช็ดให้แห้ง เป่าลมร้อนช่วยด้วยจะยิ่งทำให้เล็บแห้งได้สนิท
  2. ถ้าจำเป็นต้องล้างจาน ซักผ้า ถูบ้าน ควรใส่ถุงมือเป็นประจำให้เป็นนิสัย
  3. ทาโลชั่นที่บำรุงมือและเล็บโดยเฉพาะ (Hand and nail) อย่างสม่ำเสมอ
  4. พยายามทาสีเล็บให้น้อยลงเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้เล็บได้พักผ่อน หลีกเลี่ยงการเพ้นท์สีเล็บที่อาจจะมีสารเคมีทำลายเนื้อเล็บได้
  5. หลีกเลี่ยงทำเล็บบ่อยๆ ที่ร้านเสริมสวย เพราะช่างมักจะแคะเล็ม ตัดจมูกเล็บให้เสียหาย
  6. ตัดเล็บให้มีขนาดสั้นพอประมาณ เพราะการไว้เล็บยาวเกินไปอาจทำให้เล็บเกิดฉีกขาดได้ง่าย