Posted on

สิวผด (Acne Estivalis) กดแล้วก็ไม่หาย สาเหตุจากอะไร อยากรักษาให้หายขาด

สิวผด คืออะไร

สิวผด (Acne Estivalis) เป็นสิวประเภทหนึ่ง พบได้บ่อย มีลักษณะคล้ายกับผดผื่นเม็ดเล็ก ๆ สีแดงและอาจมีอาการคันร่วมด้วย มักเกิดขึ้นบริเวณใบหน้า โดยเฉพาะหน้าผากและขมับ ปกติมักจะไม่อักเสบ ยกเว้นจะมีการติดเชื้อแบคทีเรียสิวร่วมด้วย
สาเหตุ : มีได้หลายสาเหตุ ที่พบบ่อย มีได้ดังนี้
1. สาเหตุจากความร้อน และแสงแดด แล้วเกิดจากอาการแพ้ โดนเมื่อผิวหนังโดนแสงแดดและความร้อน ทำให้ผิวหนังต้องเร่งการขับเหงื่อ แต่เมื่อต่อมเหงื่อไม่สามารถระบายเหงื่อออกได้หมด ก็จะทำให้เกิดการอุดตัน กลายเป็นตุ่มน้ำเล็ก ๆ คล้ายกับผดผื่น ถ้าอากาศร้อนขึ้น สิวผดก็จะเห่อขึ้น และอาการจะลดลงไปเองในตอนเย็นหรือตอนเช้า
2. การเช็ดถูหน้าบ่อยๆ หรือ การเช็ดถูหน้าแรงๆ
3. เครื่องสำอางบางประเภท
4. เชื้อราบางชนิด เช่น P.Ovale
5. พักผ่อนน้อยเกินไป
6. ภูมิคุ้มกันในร่างกายอ่อนแอหรือร่างกายไม่แข็งแรง

การป้องกันและรักษาสิวผด

  1. ลดการรบกวนต่อผิวหน้าให้น้อยที่สุด (Mechanical Irritation) เช่น การนวดหน้า, การขัดหน้า, หรือเช็ดถูหน้าบ่อยๆ
  2. ล้างหน้าเฉพาะที่จำเป็น หรือบริเวณที่ผิวมัน เพราะ การล้างหน้าบ่อยๆ จะทำให้สิวผด รุนแรงมากขึ้นได้
  3. ลด หรือหลีกเลี่ยง การใช้ครีมหรือยาที่ทำให้ผิวหน้าระคายเคืองมากขึ้น (Chemical Irritation) เช่น การใช้ยารักษาสิวประเภท Retinoic Acid, Benzoyel Peroxide AHA, BHA เป็นต้น
  4. ควรล้างหน้าด้วยน้ำเปล่า, หลีกเลี่ยงการใช้สบู่ และไม่ควรใช้น้ำอุ่นล้างหน้า และควรล้างหน้าไม่เกิน 2-3 ครั้งต่อวัน
  5. ควรหลีกเลี่ยงแสงแดด และใช้ครีมกันแดดทุกครั้งที่ต้องออกนอกบ้าน ควรเลือกกันแดดที่มี SPF >15-30 และมีค่า PA++ เป็นอย่างน้อย
  6. ไม่ควรซื้อยามารักษาผื่นเอง เพราะมักทำให้เป็นมากขึ้น และยาที่หาซื้อได้จากร้านขายยา มักเป็น STEROID ซึ่งมีผลข้างเคียงมาก
  7. เลเซอร์วีบีม ช่วยลดรอยแดง การอักเสบของสิวผด ให้หายเร็วขึ้น

สิวผดเมื่อไหร่จะหาย :
สิวผดเป็นสิวที่ขึ้นง่าย หายเร็ว มักไม่อักเสบเป็นหัวหนอง หรือสิวอุดตัน แต่มักจะเกิดขึ้นบ่อยๆ จนเป็นที่รำคาญ การได้รับคำปรึกษาจากแพทย์ผิวหนัง จะทำให้สิวผดหายเร็ว และสามารถป้องกันไม่ให้ขึ้นมาอีกได้ ในระยะยาว

Posted on

บิลเบอร์รี่ (Bilberry): ผลไม้ที่มีสรรพคุณทางยาช่วยบำรุงสายตา และลดอาการได้หลายโรค

บิลเบอร์รี่(Bilberry) เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก ที่เริ่มฮิตติดอันดับเครื่องดื่มสุขภาพหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จากการที่นักบินในหน่วยทหารอากาศของประเทศอังกฤษ นำผลบิลเบอร์รี่สุกมารับประทาน แล้วพบว่าทำให้ความสามารถในการมองเห็นตอนกลางคืนดีขึ้น และทำให้อาการเมื่อยล้าของดวงตาเมื่อใช้สายตานานๆ น้อยลง หลังจากนั้น อีกถึง 20 ปี จึงได้มีการค้นคว้าวิจัยทางวิทยาศาสตร์กันอย่างจริงจัง ว่าทำให้บิลเบอรี่จึงให้ผลดีต่อสุขภาพของดวงตาอีกครั้งหนึ่ง

สารที่สำคัญในบิลเบอร์รี่

  1. แอนโธไซยาโนไซด์ (Anthocyanosides) สามารถจับกับเซลล์บุผิว( pigmented epithelium) ที่จอภาพเรตินาได้ดี โดยมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระที่ดีเลิศ (Anti-oxidant) ช่วยลดความเสื่อมของเซลล์ และคืนสภาพสาร rhodopsin ได้หลังจากถูกแสง จึงช่วยทำให้การมองเห็นในที่มืดได้ดี
  2. แทนนิน(Tannins) )มีฤทธิ์ในการสมานแผล(Astingent) และให้ผลในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรค เช่น พวกแบคทีเรียบางชนิด
  3. ฟลาโวนอยด์(Flavonoid) ซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ (Anti-oxidant) เช่นกัน และยังเป็นสารตั้งต้นของฮอร์โมนหลายชนิดที่สำคัญต่อมนุษย์
  4. กลูโคควินิน(Glucoquinine) เป็นสารที่มีฤทธิ์กระตุ้นให้การทำงานของอินซูลิน ทำให้การควบคุมน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้น

ประโยชน์ขบิลเบอร์รี่ต่อสุขภาพดวงตา 

  1. ช่วยถนอมดวงตา ทำให้การมองเห็นในที่มืดดีขึ้น
  2. ช่วยรักษาอาการตาบอดกลางคืน ( Night blindness)
  3. ช่วยลดอาการเมื่อยล้าของดวงตา เมื่อใช้สายตานานๆ
  4. ช่วยป้องกันเลนส์ตาและช่วยให้คอลลาเจนในตาในส่วน cornea และหลอดเลือดฝอยแข็งแรงขึ้น
  5. ช่วยลดอนุมูลอิสระในจอตา ทำให้ป้องกันอาการเสื่อมที่มักจะเกิดกับดวงตาให้น้อยลงได้ เช่น ต้อกระจก ต้อหิน ต้อเนื้อ ตาเสื่อมในคนสูงอายุ(สายตายาว)

สรรพคุณอื่นๆ

  1. พบว่าสารแทนนิน ในผลบิลเบอร์รี่ สามารถบรรเทาอาการท้องเสีย อาการคลื่นไส้ และภาวะอาหารไม่ย่อยได้
  2. สามารถลดอาการปวดเจ็บจากภาวะเส้นเลือดขอด (Varicose vein) ได้ เนื่องจากภาวะดงกล่าวเกิดจาก ความเสื่อมของเซลล์เช่นกัน
  3. สามารถใช้ลดอาการอักสเบในช่องปาก และเยื่อบุช่องปากได้
  4. ช่วยลดอาการเสื่อมของเซลล์ผิวหนัง ที่ทให้เกิดจุดด่างดำของผิวพรรณได้

    ปัจจุบันจึงได้มีการจดบันทึกว่า บิลเบอร์รี่เป็นสมุนไพรที่มีความปลอดภัยและไม่มีผลข้างเคียง จึงมักนิยมนำมาเป็นอาหารเสริม และได้รับความสนใจ ในการนำมาใช้ในการรักษาสุขภาพในปัจจุบัน สำหรับคนสุงอายุ หรือคนที่ต้องการถนอมดวงตาให้มีประสิทธิภาพดีขึ้นและนานๆ
Posted on

อยากเปลี่ยนสีผม แต่จะทำยังไง ไม่ให้ทำร้ายเส้นผม ผมยังดูเงางาม มีน้ำหนัก สุขภาพผมดี

4 วิธีดูแลเส้นผม หลังทำสีผม ป้องกันผมเสีย

  1. หมักและพอกผมภายหลังการสระ โดยใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับการหมักผมหรือพอกผม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสารบำรุงประเภททรีทเม้นต์ หรือคอนดิชั่นเนอร์ ที่ให้การบำรุงที่ล้ำลึกกว่าคอนดิชั่นเนอร์ปกติ ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายและสะดวก และสามารถทำเองได้ที่บ้าน โดยนำมาหมักหรือพอกหลังการสระผม ทิ้งไว้ประมาณ 5-10 นาที จากนั้นจึงล้างออกให้สะอาด
  2. ใส่สารบำรุงหลังการสระผม ซึ่งมีทั้งในรูปของแคปซูล ในหลอด หรือในขวดเพื่อหยด เช่น เซรุ่ม สารบำรุงและวิตามินบำรุง จะช่วยให้สีผมไม่ซีดจาง หรือกระเทาะออกไว ทำให้ผมมีชีวิตชีวามีประกาย
  3. อบไอน้ำ โดยแบ่งผมเป็นช่อๆ แล้วพอกด้วยสารบำรุงในรูปของโปรตีนสำหรับเส้นผม จากนั้นจึงเข้าเครื่องอบไอน้ำ โดยสำหรับผมสั้นประมาณ10 นาที และผมยาว ควรอบประมาณ 15 นาที สารบำรุงเหล่านี้จะซึมเข้าสู่แกนเส้นผมได้ลึกขึ้นถึงชั้นเนื้อผม จึงทำให้ผมมีความชุ่มชื้นมีน้ำหนัก
  4. การแว็กซ์ผม คือการทรีทเม้นต์อย่างหนึ่งซึ่งเป็นที่นิยม และมีประโยชน์ต่อสุขภาพของเส้นผม แต่มักจะอยู่ได้ไม่นาน ประมาณ 10 -15 ครั้งของการสระผมแวกซ์ก็จะหลุดหมด เพราะสารบำรุงประเภทนี้จะทำงานบริเวณเปลือกผมด้านนอกเท่านั้น บางครั้งจึงต้องใช้อุปกรณ์หรือเครื่องมือเพื่อช่วยนำพาตัวแว๊กซ์ให้ซึมลึกมากยิ่งขึ้น