Posted on

สารสกัดจากผลส้มแขก( Garcenia Cambogia) สามารถลดน้ำหนักได้อย่างไร

ผลส้มแขก( Garcenia Cambogia) คืออะไร

ส้มแขก( Garcenia Cambogia) เป็นพืชพื้นบ้านดั้งเดิมของไทย ที่นิยมใช้ในการประกอบอาหารมาเป็นเวลานานแล้ว ลักษณะของผลส้มแขก จะคล้ายฟักทองขนาดเล็ก มีมากทางภาคใต้ ซึ่งมีการนำมาปรุงเป็นอาหารโดย ใช้เพิ่มรสเปรี้ยวให้อาหาร
ผลส้มแขก มีสาร HCA หรือ Hydroxy-citric acid อยู่เป็นจำนวนมาก โดยพบว่า HCA นี้มีคุณสมบัติในการยับยั้งการสะสมของไขมันส่วนเกินในร่างกาย และลดความอยากอาหารได้
กลไกการออกฤทธิ์ของ HCA จะออกฤทธิ์โดยการไปยับยั้งการทำงานของเอ็นไซม์ ATP Citrate Lyase ในวงจร Kreb’s cycle (วงจรการย่อยสลายกลูโคส ของเซลร่างกาย) ทำให้ยับยั้งการนำน้ำตาล จากอาหารประเภท แป้ง ข้าว และน้ำตาล ไม่ให้เปลี่ยนไปเป็นไขมันสะสมตามร่างกายแต่จะนำไปใช้เป็นพลังงานของร่างกาย
ทำให้ร่างกายสดชื่นไม่อ่อนเพลีย และ เมื่อในกระแสเลือดไม่ขาดน้ำตาล ก็จะทำให้ความรู้สึกหิวอาหารลดลง ไปด้วย ขณะเดียวกัน ก็ จะนำไปสะสมเป็นพลังงานสำรองในรูปของไกลโคเจนที่ตับ ทำให้ร่างกายรับรู้ว่ามีพลังงานสำรองเพียงพอ ทำให้ไม่รู้สึกหิวมาก นอกจากนี้ ยังมีผลไปกระตุ้น ให้มีการดึงเอาไขมันที่สะสมออกมาใช้เป็นพลังงานทำให้ไขมันที่สะสมอยู่ลดลงซึ่งจะมีผลทำให้รูปร่างดีขึ้น
การนำสารสกัดจากผลส้มแขกมารับประทานเพื่อให้น้ำหนักลดลง พบว่าน้ำหนักตัวอาจจะไม่ลดลงเร็วมากนัก ประมาณ 1 กิโลภายใน 3-4 อาทิตย์ แต่รูปร่างจะดีขึ้น เอว(พุง) ลดลง ความอึดอัดลดน้อยลง
ปัจจุบัน ส้มแขก ได้มีการทำเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อใช้ลดน้ำหนัก ในหลายรูปแบบ เช่น ชนิดเม็ด แคบซูล และผง และมีวางจำหน่ายทั่วไป
ผลข้างเคียง ยังไม่พบผลข้างเคียงหรืออันตรายที่เกิดขึ้นจากการรับประทานตามขนาดที่แนะนำคือ รับประทาน 600 mgครั้งละ 2 เม็ด วันละ 3 เวลา ก่อนอาหารประมาณ 1 ชั่วโมงพร้อมกับดื่มน้ำตามหลัง ประมานหนึ่งแก้ว

Posted on

ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน( Postcoital pills) : รู้ก่อนใช้ ว่ามีกี่แบบ ใช้อย่างไรให้ปลอดภัย ไร้ผลข้างเคียง

ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน( Postcoital pills หรือ (morning after pills) เป็นยาคุมกำเนิดที่แต่ละเม็ดประกอบด้วยฮอร์โมนเพศในปริมาณที่สูง จะใช้เฉพาะกรณีจำเป็นคือมีการร่วมเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกันล่วงหน้า หรือ กรณีถูกข่มขื่น โดยจะให้กินยาภายใน 24-48 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์ (บางตำราอาจให้ยาวได้ถึง 72 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์ แต่ความมั่นใจในการป้องกันการตั้งครรภ์ก็จะน้อยกว่า ) และหลังจากรับประทานยาไปประมาณ 1 สัปดาห์จะมีประจำเดือนตามปกติ
ชนิดของยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉิน
1.การใช้ฮอร์โมน estrogen อย่างเดียว การใช้ estrogen ขนาดสูงในการคุมกำเนิดฉุกเฉิน จะมีหลายชนิดและหลายขนาด ตลอดจนวิธีบริหารยาที่แตกต่างกันเช่น
-Ethinyl estradiol รับประทาน 5 mg. /วัน 5 วันติดต่อกัน
– Conjugated estrogen รับประทาน 5 mg./ วัน 5 วันติดต่อกัน
– conjugated estrogen 50 mg. ฉีดเข้าหลอดเลือดดำเป็นเวลา 2 วัน
– estradiol benzoate 30 mg. ฉีดเข้ากล้ามเนื้อเป็นเวลา 5 วัน
ทั้งนี้ ฮอร์โมนที่ใช้จะต้องใช้ภายใน 72 ชั่วโมง หลังจากที่มีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก ผลข้างเคียงที่พบได้ คือ คลื่นไส้ อาเจียน เวียนศรีษะ ปวดศรีษะ คัดตึงเต้านม ระดูมาผิดปกติ ปัจจุบันไม่เป็นที่นิยมเนื่องจากผลข้างเคียงดังกล่าว
2.การใช้ฮอร์โมน progestogen อย่างเดียว มีการนำเอา levonorgestrel มาใช้ โดยใช้ levonorgestrel ขนาด 0.75 mg. รับประทาน 2 ครั้ง ห่างกัน 12 ชั่วโมง ให้รับประทานภายใน 72 ชั่วโมง หลังจากมีเพศสัมพันธ์ อัตราความล้มเหลว 1.1-2.9% ผลข้างเคียงที่อาจพบได้คือ คลื่นไส้ อาเจียน นอกจากนี้มีการศึกษาพบว่า ระยะเวลาที่เริ่มรับประทานยามีผลต่อประสิทธิภาพของวิธีการคุมกำเนิด โดยการที่ทานยาภายใน 24 ชั่วโมงจะป้องกันการตั้งครรภ์ได้ดีกว่าทานภายใน 72 ชั่วโมง

3.การใช้ฮอร์โมนรวม estrogen+ progestrogen (Yuzpe regimen)  วิธีนี้เป็นวิธีที่ FDA และ วิทยาลัยสูตินรีเเพทย์แห่ง USA แนะนำ แบ่งได้เป็น
3.1 ยาเม็ดคุมกำเนิดที่มี ethinyl estradiol 0.05 mg. + levonorgestrel 0.25 mg.or norgestrel 0.5mg. รับประทานครั้งละ 2 เม็ด จำนวน 2 ครั้ง ห่างกัน 12 ชั่วโมง โดยให้รับประทานครั้งแรกภายใน 72 ชั่วโมงภายหลังการมีเพศสัมพันธ์
3.2 ยาเม็ดคุมกำเนิดที่มี ethinyl estradiol 0.03 mg. + levonorgestrel 0.15 mg.or norgestrel 0.3mg. รับประทานครั้งละ 2 เม็ด จำนวน 2 ครั้ง ห่างกัน 12 ชั่วโมง โดยให้รับประทานครั้งแรกภายใน 72 ชั่วโมงภายหลังการมีเพศสัมพันธ์ ผลข้างเคียงที่พบ มีอาการคลื่นไส้( 30-66% ) อาเจียน (12-22% อาการจะลดลงถ้าทานยาแก้คลื่นไส้ อาเจียน ก่อนประมาณ 1 ชั่วโมง) เจ็บคัดตึงเต้านม (1-47%) และพบว่ามากกว่า ร้อยละ 90 จะมีระดูภายใน 21 วัน หลังรับประทานยา ระยะเวลาเฉลี่ย 7-9 วัน อัตราความล้มเหลว 2-3.5% (ถ้าใช้วิธีนี้แล้วยังเกิดการตั้งครรภ์ ยังไม่พบรายงานว่าทารกมีความผิดปกติหรือพิการแต่กำเนิด)
4.การใช้ยา Antiprogestin  มีการนำ Mifepristone ซึ่งเป็น antiprogestin มาใช้ พบว่ามีประสิทธิภาพสูง ซึ่งจะออกฤทธิ์ยับยั้งการตกไข่ ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกมีการเปลี่ยนแปลง มีการเจริญเติบโตช้ากว่าปกติ แต่จะไม่มีผลต่อการสร้างฮอร์โมนของรังไข่ Mifepristone 600 mg. รับประทานครั้งเดียวภายใน 72 ชั่วโมงภายหลังมีเพศสัมพันธ์จะสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ประมาณ 100% ผลข้างเคียงที่พบ 42% จะมีระดูเลื่อนออกไปมากกว่า 3 วัน อาจพบอาการคลื่นไส้ อาเจียนได้บ้างแต่น้อยมาก แต่ยานี้ยังไม่มีจำหน่ายไนประเทศไทย
5.การใช้ยา danazol ยาประเภทนี้มักจะใช้โดยสูตินารีแพทย์ และใช้รักษาโรคตั้งครรภ์ไข่ปลาอุก ( Endomethiosis) จะไม่กล่าวถึงในรายละเอียด
ผลข้างเคียง จากการใช้ยาคุมฉุกเฉิน
– อาจก่อให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน
– ทำให้ประจำเดือนมาเร็วหรือช้าลง
– อาจมีอาการปวดท้อง เจ็บคัดเต้านม
– มีเลือดออกกระปริบกระปรอยหรือมีเลือดออกมากระหว่างเดือน 
และหากหลังใช้ยา ประจำเดือนยังไม่มาเกินกว่า 1 สัปดาห์ควรตรวจดูว่าเป็นเพราะตั้งครรภ์หรือไม่ หากสงสัยควรไปปรึกษาแพทย์

อย่างไรก็ตามการใช้ยาเม็ดคุมกําเนิดแบบฉุกเฉินอย่างถูกต้องภายหลังมีเพศสัมพันธ์โดยไม่มีการป้องกันการตั้งครรภ์ พบว่า มีอัตราการตั้งครรภ์ เกิดขึ้นได้ร้อยละ 2 เรียกได้ว่ายาเม็ดคุมกําเนิดแบบฉุกเฉิน มีประสิทธิภาพต่ำกว่าวิธีคุมกําเนิดแบบปกติทั่ว ๆ ไป ดังนั้น ถ้านําเอายาเม็ดคุมกําเนิดแบบฉุกเฉินมาใช้บ่อยครั้ง จึงมีความเสี่ยงที่จะเกิดการล้มเหลวได้ จึงเป็นเหตุผลว่า ทําไมจึงไม่ควรจะนําเอายาเม็ดคุมกําเนิดแบบฉุกเฉินมาใช้เพื่อคุมกําเนิดเป็นประจํา ไม่แนะนำให้ใช้ยาคุมกำเนิดประเภทนี้ และไม่ควรกินยานี้เกินสัปดาห์ละ 1 ครั้งหรือเกินเดือนละ 4 ครั้ง

Posted on

งานวิจัย : Pycnogenol สารสกัดจากเปลือกสน มาริไทม์ สามารถรักษาฝ้าทำให้จางลงได้

Pycnogenol คืออะไร

คือ สารต้านอนุมูลอิสระจากธรรมชาติ สกัดจากเปลือกสนมาริไทม์ฝรั่งเศส (Pinus pinaster)Pycnogenol  ที่อุดมไปด้วยส่วนผสมของสารอาหารจากธรรมชาติ อันได้แก่ สารไบโอฟลาโวนอยด์ (bioflavonoids) และ กรดผลไม้ (fruit acids) หลากหลายชนิด
สรรพคุณ
1.ช่วยต่อต้านการผลิตเม็ดสีเมลานิน ปรับสภาพผิวที่หมองคล้ำ กระ ฝ้า สีผิวไม่สม่ำเสมอจากการทำลายของแสง UV
2.ปรับผิวพรรณให้เนียนนุ่ม มีน้ำมีนวล ผิวดูอ่อนเยาว์ จากคุณสมบัติเพิ่มกรดไฮยาลูโรนิกในชั้นผิวหนังมากขึ้น นอกจากขาวใสแล้วยังลดเลือนริ้วรอยลึกได้อีกด้วย
3. มีสารป้องกันการอักเสบให้ผิว ซึ่งช่วยป้องกันผิวจากการถูกทำร้ายด้วยแสงแดด
4. ช่วยกระตุ้นความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระของเซลล์เป็น 2 เท่า และช่วยดักจับอนุมูลอิสระที่อยู่ในกระแสเลือด
5. ปกป้องโครงสร้างผิวไม่ให้ถูกทำลายโดยเอนไซม์ที่สลายคอลลาเจนและอิลาสติน

 

งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง  ได้นำคนไข้ฝ้าผู้หญิง จำนวน 30 คน อายุประมาณ 29-59 ปี ( อายุเฉลี่ย 41 ปี) และมีปัญหาเรื่องฝ้าโดยเฉลี่ย 8 ปี รับประทานยาที่สกัดจากเปลือกสนดังกล่าว ขนาด 25 มก. วันละ 3 ครั้ง ติดต่อกันเป็นเวลา 1 เดือน แล้วนำมาวัดผล ด้วยการซักประวัติ ว่าดีขึ้นหรือแย่ลง หรือเหมือนเดิม และได้ทำการวัดระดับความเข้มของฝ้า ผลการทดลองมีดังนี้ 

ผลลัพธ์ ได้ผลดีมาก ได้ผลดี ไม่ได้ผล ได้ผลรวม
จำนวนคน 7 17 6 24
% 22.23 % 56.57 % 20 % 80%

โดยเกณฑ์การพิจารณาประสิทธิภาพของการรักษา 

– กรณีได้ผลดีมาก คือ ขนาดความเข้มของฝ้าลดลง 2 หน่วย หรือ ขนาดพื้นที่ของฝ้าลดลง 1 ใน 3 ส่วน และไม่มีฝ้าเกิดใหม่
– กรณีที่ได้ผลดี คือ ขนาดความเข้มของฝ้าลดลง 1หน่วย หรือ ขนาดพื้นที่ของฝ้าลดลง 1 ใน 3 ส่วน และไม่มีฝ้าเกิดใหม่
– กรณีที่ไม่ได้ผล คือ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงทั้งขนาดและความเข้มของฝ้า

จากการทดลองดังกล่าว ได้มีการบันทึกผลข้างเคียงที่อาจเกิดได้ ดังนี้

อาการที่พบ จำนวน ได้ผลดีมาก ได้ผลดี ไม่ได้ผล ได้ผลรวม
อ่อนเพลีย 13 3 6 4 69.23 %
เจ็บหน้าอก/ซี่โครง 10 2 5 3 70 %
ท้องผูก 13 3 5 5 61.54 %
ใจร้อน 16 2 7 7 56.52 %


โดยพบว่าผลการตรวจเลือดและปัสสาวะก่อนและหลังการรับประทานยาดังกล่าว ไม่พบการเปลี่ยนแปลง

จากผลงานการวิจัยดังกล่าว  ถือว่าเป็นแนวทางการรักษาฝ้า ที่ได้ผลในการรักษาในระดับหนึ่ง และมีผลข้างเคียงก็ไม่มีอันตรายร้ายแรงอะไร นอกจากนี้อาจจะช่วยชะลอวัยได้ด้วย