Posted on

ผมหงอกก่อนวัย (Premature grey hair ) สัญญาณเตือนว่าเริ่มแก่ หรือแค่มีปัญหาโรคภัย

ผมหงอกก่อนวัย คืออะไร เกิดจากอะไรได้บ้าง

หมายถึง ภาวะที่มีผมหงอก ก่อนอายุที่ควรจะเป็น ส่วนที่จะอยู่ที่อายุเท่าใดนั้น เป็นตัวเลขโดยประมาณ โดยในฝรั่งผิวขาวถือว่า หากมีผมหงอกก่อนอายุ 20 ปี ถือว่าหงอกก่อนวัย แต่ในแถบเอเซียถือว่า ถ้าหงอกก่อนอายุ 30 ปี จึงจะเรียกว่ามีภาวะผมหงอกก่อนวัย
ผมหงอกก่อนวัย เกิดจากอะไร
1. ความเสื่อมของเซลล์เส้นผมปกติ: ปกติแล้วคนเราจะเริ่มมีผมหงอกตอนอายุ 30 ปลาย ๆ เกิดจากการที่เซลล์สร้างเม็ดสีเสื่อมสภาพ ทำให้สร้างเม็ดสีได้น้อยลงหรือหยุดการสร้างเม็ดสีเลย เส้นผมที่งอกขึ้นใหม่จึงเป็นเส้นผมที่มีสีเทาหรือสีขาว
2. กรรมพันธุ์: พบว่ากรรมพันธุ์มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยจะพบว่าอาจจะมีผมหงอกก่อนวัยได้มากกว่าคนทั่วไป
3. โรคเรื้อรัง หรือความผิดปกติในร่างกาย:   โรคโลหิตจาง ภาวะทัยรอยด์เป็นพิษ เบาหวาน อารมณ์เครียดมาก หรือ หวาดกลัวเฉียบพลัน ฯลฯ
4. การขาดสารอาหารบางอย่าง เช่น การขาดแร่ธาตุทองแดง วิตามินบี 5 (Pantothenic acid) แร่มังกานีส
5. ยาบางตัว ที่มีผลต่อการสร้างเม็ดสีผม เช่น ยารักษามาลาเรีย Chloroquine

ป้องกันและรักษาอย่างไร

การป้องกันภาวะผมหงอกก่อนวัย
1. รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยเลือกที่มีประโยชน์ต่อเส้นผม เพื่อป้องกันการขาดสารอาหาร
2. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
3. พักผ่อนให้เพียงพอ
4. พยายามหาทางลดความเครียด เช่น กำจัดหรือเลี่ยงสาเหตุที่ทำให้เครียด ผ่อนคลายความเครียด ด้วยการ ดูหนัง ฟังเพลง พบป่ะเพื่อนฝูง
5. ตรวจสุขภาพ เพื่อป้องกันโรคเรื้อรังต่าง ๆ
5. ลดดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่
การรักษาผมหงกก่อนวัย เมื่อเกิดผมหงอกก่อนวัย ไม่มีทางป้องกันให้อัตราการเกิดผมหงอกลดลง และไม่มีทางรักษาให้หายได้
แนวทางแก้ไข 
– มีอยู่ทางเดียวก็คือ การเปลี่ยนสีผม หรือการย้อมผม แต่ในบางคน การมีผมสีขาวทั้งศีรษะ ก็ถือเป็นความเก๋ อีกแบบ
การย้อมผมบ่อยๆ มีผลเสียได้มั้ย
– การย้อมผมเพื่อปิดผมขาวบ่อย ๆ อาจไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ แต่อาจจะส่งผลเสียต่อสุขภาพผม ทำให้ผมแห้งกร้าน อ่อนแอ เป็นสาเหตุของเส้นผมขาดหลุดร่วงง่าย ดังนั้นอาจต้องลองพิจารณาข้อดี-ข้อเสียในการย้อมผมปิดผมขาวดี ๆ หรือเลือกใช้ที่สกัดจากธรรมชาติ เช่น กลุ่ม Henna extracts

Posted on

รังแค (Dandruff) เกิดจากอะไร ทำไมไม่หายซะที ขาดความมั่นใจ แก้ไขอย่างไรให้หาย

รังแค (Dandruff) คืออะไร

รังแค ( Pityriasis capitis) คือ ภาวะที่หนังศีรษะมีขุยเล็กๆ ออกมา มีลักษณะแห้ง หรือมีไขมัน เคลือบอยู่ก็ได้ โดยไม่พบความผิดปกติอื่นร่วมด้วย พบได้บ่อยในวัยรุ่นทั้งเพศชายและหญิง โดยพบอายุประมาณ 15-25 ปี
อาการของรังแค
1. มีสะเก็ดสีขาวหรือเหลือง ลักษณะเป็นแผ่นแบนและบางมันวาว มักพบบริเวณหนังศีรษะ เส้นผม หรือไหล่
2. มีอาการคันศีรษะ หนังศีรษะมัน แดงหรือเป็นสะเก็ด
3. มักจะพบว่าเป็นมากในช่วงฤดูหนาวและอาการจะดีขึ้นเมื่อเข้าสู่ฤดูร้อน
4. ถ้าเกิดการอักเสบหรือติดเชื้อร่วมด้วย อาจมีกลิ่น และ หนังศีรษะบวมแดง
สาเหตุของรังแค
เกิดจากปัญหาฮอร์โมนแอนโดรเจนมีปริมาณสูง ทำให้ต่อมไขมันผลิตไขมันมากขึ้น แล้วเกิดการหลุดลอกในชั้นหนังกำพร้า( ขี้ไคล) ออกมาตลอดเวลา บางคนคิดว่าเกิดจาก จุลินทรีย์ที่พบในหนังศีรษะ ประเภท Pityrosporon ovale หรือ P.orbiculate

รังแคแห้งแตกต่างจากรังแคเปียกอย่างไร
รังแคเปียก คือ แผ่นความมัน ที่เกิดจากต่อมไขมันผลิตไขมันในปริมาณที่มากเกินไป แล้วเกิดการสะสมบนหนังศีรษะ มีความเหนียว มันจะเริ่มดึงดูดและเกาะติดกับสิ่งสกปรกและเซลล์ผิวที่ตายแล้ว
-รังแคแห้ง จะเป็นสะเก็ดสีขาวขนาดเล็กที่หลุดออกจากหนังศีรษะของคุณได้อย่างง่ายดายด้วยการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย ในทางตรงกันข้ามรังแคเปียกจะปรากฏเป็นสะเก็ดรังแคขนาดใหญ่สีเหลืองและเหนียวที่เกาะติดกันกับเส้นผมของคุณ พวกมันไม่หลุดง่าย
แนวทางการรักษา ต้องทำความเข้าใจว่า เป็นภาวะธรรมชาติอย่างหนึ่งในวัยรุ่น ดังนั้นจุดมุ่งหมายในการรักษา คือการควบคุมมิให้รังแคเป็นมาก ดังนั้นแชมพูสระผม ควรมีคุณสมบัติในการชะล้างไขมันได้ดี และลอกขุยได้ เช่น แชมพูที่มีส่วนผสมของ Cold tar หรือ ทาโลชั่นที่มีส่วนผสมของ 2% Salicylic acid แล้วทิ้งไว้ 2 ชั่วโมง แล้วสระออก การใช้แชมพูที่มีส่วนผสมของ Ketoconazole เช่น Nizoral shampoo ก็สามารถรักษารังแคได้ดี เพราะเชื่อว่าทำให้เชื้อ Pityrosporon ovale หรือ P.orbiculate ลดลง
ที่สำคัญ จะต้องแยกให้ได้ว่า ไม่ใช่เกิดจากสาเหตุของความผิดปกติจากโรคอื่นๆ เช่น เซ็บเดิร์ม เชื่อราที่หนังศีรษะ เรื้อนกวาง หรือผิวหนังอักเสบจากการแพ้สารเคมี ดังนั้นถ้าไม่แน่ใจ แนะนำให้พบแพทย์

Posted on

Alopecia areata : โรคผมร่วงเป็นหย่อม เป็นวงๆ ผมแหว่งเป็นกระจุก ทุกข์ใจ แก้ไขได้

Alopecia Areata (โรคผมร่วงหย่อม)

คือ โรคผมร่วงที่พบได้บ่อยโรคหนึ่ง และมักพบในช่วงอายุ 20-50 ปี พบในชายและหญิงได้เท่าๆ กัน แม้จะไม่กระทบต่อสุขภาพกายทั่วไปของผู้ที่มีปัญหาผมร่วงหย่อม แต่กระทบกระเทือนต่อภาวะจิตใจพอสมควร
-ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจนของโรคนี้ แต่ปัจจัยที่มีผลได้แก่ กรรมพันธุ์ (ซึ่งพบได้ประมาณ 10-20%) ภาวะภูมิต้านทาน ความเครียด โรคภูมิแพ้หนังศีรษะ ลักษณะอาการที่พบได้คือ ผู้ป่วยอาจไม่รู้สึกตัว เนื่องจากจะมีผมร่วงเกิดขึ้นทันทีทันใด และไม่มีอาการผิดปกติอย่างอื่นที่สังเกตได้เห็นชัด เว้นแต่ช่างตัดผม เป็นคนสังเกตเห็นและบอกแก่ผู้ป่วย โดยจะพบรอยแหว่ง ขอบเขตชัดดังรูป ขนาด 2-5 ซม. อาจพบเพียงหย่อมเดียวหรือหลายๆหย่อม คล้ายหนูแทะ ในคนที่มีอาการรุนแรง อาจศีรษะล้านทั้งหัว และอาจไม่มีขนตามรักแร้ หัวหน่าว ร่วมด้วย

แนวทางการรักษา

1. ครีมทา: ที่มีส่วนผสมของ Steroids ทาบริเวณที่ร่วง วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 3-4 เดือน
2. โลชั่นปลูกผม ที่มีส่วนผสมของ Minoxidil ทาบริเวณที่ร่วง วันละครั้ง เป็นเวลาต่อเนื่อง 3-4 เดือน
3. การรับประทานยา แพทย์จะพิจารณาเป็นรายๆ ไป หรือใช้ในรายที่เป็นรุนแรง
4. ฉีดยา Steroids เข้าที่บริเวณรอยโรค ถ้าทายาแล้วผมไม่ขึ้น แต่ไม่นิยมในปัจจุบัน เนื่องจากอาจเกิดรอยบุ๋มได้ และเกิดภาวะดื้อยาภายหลังได้
5. Mesohair โดยการฉีดตัวยาที่มีส่วนทำให้เส้นผมงอก เช่น ไมนอกซิดิล ไบโอติตน เสตียรอยด์เจือจาง ฯลฯ เข้าไปที่บริเวณผมร่วงเป็นหย่อมๆโดยตรง ในปริมาณน้อยๆ ทุก 1 ตร.ซม ซึ่งจะช่วยป้องกันผลข้างเคียงการเกิดรอยบุ๋มจากการรักษาแบบเดิมๆ ในข้อ 4 ได้
6. การทำภูมิคุ้มกันบำบัด เป็นการให้สารที่ก่อให้เกิดอาการภูมิแพ้ที่ผิวหนังลงบนบริเวณที่ผมร่วง เพื่อทำให้เกิดการอักเสบที่จะนำไปสู่การกระตุ้นให้ผมกลับมางอกขึ้นใหม่ได้อีกครั้ง แต่วิธีการนี้มีผลข้างเคียงที่อาจทำให้เกิดโรคผิวหนังชนิดอื่นตามมาได้

ภาวะแทรกซ้อนของโรคผมร่วงเป็นหย่อม

โรค Alopecia Areata อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนตามมาได้ ดังนี้

  • อาการทางร่างกาย ผู้ป่วยอาจเสี่ยงเป็นโรคทางภูมิคุ้มกัน เช่น โรคเกี่ยวกับไทรอยด์ โรคด่างขาว หรือโรคโลหิตจาง เป็นต้น
  • อาการทางจิตใจ ผู้ป่วยอาจเกิดความเครียด รู้สึกแปลกแยก หรืออาจเป็นโรคซึมเศร้าได้

การป้องกันโรคผมร่วงเป็นหย่อม

ปัจจุบันยังไม่มีวิธีใดป้องกันโรค Alopecia Areata ได้ แต่สามารถรักษาตามอาการที่เกิดขึ้นและทำให้ผมงอกกลับมาใหม่ให้เร็วที่สุด โดยผู้ป่วยควรดูแลตนเองและป้องกันปัญหาสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นตามมา รวมทั้งคนทั่วไปก็อาจหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เป็นโรคนี้ เช่น

  • ผ่อนคลายความเครียด เพราะความเครียดเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคได้
  • เลือกรับประทานอาหารที่มีสารบำรุงเส้นผม เช่น วิตามินเอ วิตามินบี วิตามินซี และธาตุสังกะสี เป็นต้น
  • ใส่วิก สวมหมวก หรือทาครีมกันแดดบริเวณหนังศีรษะที่เกิดอาการ เพื่อป้องกันแสงแดดทำอันตรายต่อหนังศีรษะ
  • สวมแว่นกันแดดในกรณีที่โรคนี้ส่งผลให้ขนตาร่วง เพราะอาจมีสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ดวงตาได้เนื่องจากไม่มีขนตาคอยป้องกัน
Posted on

พริก (Chilli) : อาหารสมุนไพร ใช้ปรุงอาหาร กับสรรพคุณทางยามากมาย ที่นำมาใช้ในการรักษาโรค

พริก เป็นอาหารสมุนไพรที่ใช้กับทุกครัวเรือน ที่เรานิยมนำมาปรุงอาหาร และพบได้บ่อย เช่น พริกขี้หนู พริกชี้ฟ้า และพริกหยวก ท่านทราบหรือไม่ว่าพริกนั้นมีคุณค่าทางอาหารและคุณค่าทางยาที่วิเศษชนิดหนึ่ง เพราะในไส้พริกจะมีสาร Capsaicin ซึ่งเป็นสารที่มีรสเผ็ด และสาร Carotenoid วิตามินเอ วิตามินซี ไขมัน และโปรตีน

สรรพคุณทางยาของพริก มีดังนี้ 

  1. พริกช่วยขับเสมหะ ทำให้ทางเดินหายใจโล่ง โดยสาร Capsaicin จะช่วยลดความไวของปอดต่อการเกิดอาการต่างๆ เช่น การบวมของเซลล์หลอดลม ลดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อบริเวณหลอดลม ดังนั้นในผู้ป่วยหอบหืดจึงมีประโยชน์ เพราะจะ สังเกตว่า เมื่อเรารับประทานพริกเผ็ดๆ น้ำตา น้ำมูกจะไหล จึงทำให้เสมหะเหนียวข้น เจือจางลง และทำให้ขับเสมหะออกมาได้ง่าย
  2. พริกช่วยสลายลิ่มเลือด ลดการเกิดการอุดตันของเส้นเลือด อันเป็นสาเหตุของเส้นเลือดหัวใจตีบได้ โดยได้มีรายงานวิจัย จากคณะแพทย์ ศีริราช ( นพ.สุคนธ์ วิสุทธิพันธ์และคณะ) ยืนยันว่า คนที่ได้รับพริกจะมีการทำงานของร่างกายเพื่อสลายลิ่มเลือดได้ดีและไวกว่าคนที่ไม่ได้รับพริก นอกจากนี้ยังมีรายงานของนักวิทยาศาสตร์ชาวอินเดีย พบว่าคนเอเซียที่รับประทานพริกเป็นประจำ มีโอกาสเกิดปัญหาการอุดตันของเส้นเลือด และ มีปริมาณ Fibrinogen ในเลือดต่ำกว่าคนทางยุโรปที่ไม่ค่อยได้ทานพริก
  3. พริกช่วยลดอาการปวด โดยพบว่าสาร Capsaicinจะออกฤทธิ์ที่เซลล์ประสาท โดยไปชะลอการหลั่งของสารสื่อประสาท ( Neurotransmitter) ที่ปลายประสาท Substance P ที่เกี่ยวข้องกับสมองที่รับรู้การเจ็บปวด
  4. พริกช่วยกระตุ้นสมองส่วนกลางให้หลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน ซึ่งเป็นสารสร้างความสุข ทำให้เกิดการผ่อนคลาย ทำให้อยากหลับ และช่วยให้ความดันโลหิตลดลง
  5. พริกช่วยกระตุ้นให้อยากอาหาร เนื่องจากเมื่อรับประทานพริก ต่อมน้ำลายจะทำงานมากขึ้น และไปกระตุ้นปลายประสาทให้สมองส่วนกลางรับรู้การอยากอาหาร
  6. พริกช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งได้ เนื่องจากในพริกประกอบด้วยวิตามินเอ วิตามินซี ซึ่งเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ

ดังนั้นจึงเห็นได้ว่า ในคนที่ชอบรับประทานอาหารรสจัด จึงไม่ค่อยจะมีปัญหาทางระบบทางเดินหายใจมากนัก แต่แม้ว่าพริกจะมีสรรพคุณดังกล่าว ก็แนะนำให้รับประทานอย่างระมัดระวัง เพราะรสเผ็ดในพริก อาจจะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อกระเพาะอาหารได้ ทำให้เกิดบาดแผลในระบบทางเดิน อาหารได้ภายหลัง ดังนั้นไม่ควรรับประทานพริกสดๆ หรือรับประทานตอนท้องว่าง

Posted on

แพ้เครื่องสำอาง สาเหตุจากอะไร อาการเป็นแบบไหนได้บ้าง ที่ต้องระวัง

‘ เครื่องสำอาง’ ตามพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ. 2525 หมายความว่า วัตถุที่มุ่งหมายสำหรับใช้ทา ถู นวด พ่น หยอด ใส่ อบ หรือการกระทำด้วยวิธีอื่นใด ต่อส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกาย
เพื่อทำความสะอาด ความสวยงาม หรือ ส่งเสริมให้เกิดความสวยงาม ตลอดจนเครื่องประทินโฉมต่างๆ ดังนั้นทุกคน ทุกเพศวัย จึงต้องใช้เครื่องสำอางทั้งนั้น เพราะรวมถึง สบู่ ยาสีฟัน และแชมพูทำความสะอาดร่างกายด้วย
แพ้เครื่องสำอางค์พบบ่อยแค่ไหน
จากสถิติในต่างประเทศ มีการสำรวจการใช้เครื่องสำอาง พบว่า มีผลข้างเคียงในการใช้เครื่องสำอาง 680 ครั้ง ต่อการใช้ 1,000,000. ครั้ง และในคลินิกภูมิแพ้ พบคนไข้มีการแพ้จากเครื่องสำอาง ประมาณ 10 %
สาเหตุที่ทำให้เกิดอันตรายจากการแพ้เครื่องสำอาง อาจจะเกิดจาก 
1. ความเข้มข้นของสารที่มากเกินไป
2. การใช้ผิดวิธี และวัตถุประสงค์
3. ความเป็นด่างของเครื่องสำอาง
4. เครื่องสำอางมีสารระเหย เป็นส่วนประกอบอยู่ในปริมาณสูง เช่น ในน้ำหอมบางชนิด
5. ตำแหน่งที่ใช้ เช่น รอบดวงตา มีโอกาสแพ้ได้ง่ายกว่าที่อื่น

อาการทางคลินิก ที่อาจเกิดได้จากการใช้เครื่องสำอาง 

1. การระคายเคือง ( Irritation contact dermatitis) มีอาการคัน หรือรู้สึกเพียงยิบๆ ในช่วงเวลาสั้นๆ ไม่เกิน 10 นาที มักเกิดจากการใช้เครื่องสำอางบนใบหน้า อาจมีผื่นแดง บวม ตุ่มผิวหน้งอักเสบ เมื่อหยุดการใช้ อาการจะหายไป
2. อาการภูมิแพ้ผื่นคัน(Allergic contact dermatitis) อาการที่ตั้งแต่น้อยๆ แค่มีผื่นแดงคัน จนกระทั่งแพ้มาก เป็นตุ่มแดง ตุ่มน้ำ มีขุย สารที่ก่อให้เกิดการแพ้ มักได้แก่ น้ำหอม สารกันบูด สารลาโนลิน สีย้อมผม
3. ผื่นลมพิษ(Contact Urticaria) จะมีอาการผื่นแดง บวม ถ้าเป็นน้อยๆ อาจเห็นแค่ หนังตาบวม ปากบวม ถ้าเป็นมาก อาจพบผื่นบวมทั่วหน้า มักเกิดจาก การแพ้ยาย้อมผม
4. ผิวหนังเปลี่ยนสี( Pigmented contact dermatitis) บางครั้งพบว่า ยิ่งทาเครื่องสำอางแล้วหน้ายิ่งดำ อาจเกิดจากผลิตภัณฑ์ที่ส่วนผสมของน้ำหอม มะกรูด มะนาว แตงกวา หรือการใช้สมุนไพรทาหน้า ซึ่งมีสารเคมีที่เมื่อโดนแดดแล้วจะเกิดอาการแพ้แสงแดด เห็นเป็นรอยดำบริเวณที่สัมผัส บางครั้งแม้จะหยุดใช้ก็ยังไม่หายดำ
5. ผื่นขาว( Contact leukoderma) ในสมัยก่อน มีผู้นิยมใช้ครีมทาทำให้หน้าขาว ด้วยสารจำพวกปรอท ไฮโดรควิโนน ทำให้หน้าขาวได้จริง แต่จะขาวไม่สม่ำเสมอ กระดำกระด่าง เมื่อหยุดใช้ก็ยังมีอาการด่างขาว ถาวร แต่ในปัจจุบัน ทางอ.ย. ได้มีการห้ามการใช้สารพวกนี้ในเครื่องสำอางแล้ว
6. สิว(Cosmetic Acne) มักเกิดจากเครื่องสำอาง ที่มีส่วนผสมของลาโนลิน สารสเตียรอยด์ โซเดียมลอรัลซัลเฟต เมื่อใช้นานๆ จะเกิดสิวได้ ดังนั้นในคนที่อายุเลยวัยที่จะเป็นสิวแล้ว ถ้าเกิดสิวขึ้นมา ให้สงสัยว่าอาจจะเกิดจากการแพ้เครื่องสำอางไว้ก่อน
7. การเปลี่ยนแปลงของเล็บ เช่น เล็บลอก เปลี่ยนสี ขอบเล็บอักเสบ อาจเกิดจากยาทาเล็บ น้ำยาล้างเล็บ
8. การเปลี่ยนแปลงสีผม อาจจะมีเส้นผมหัก เปราะง่าย เนื่องจากน้ำยาดัดผม หรือ น้ำยายืดผม
9. ผลต่อระบบอื่นๆ ของร่างกาย เช่น เยื่อบุตาอักเสบ การดูดซึมของสาร และการสะสมของสารพิษในระยะยาว เช่น มีการผสมสารตะกั่ว หรือ ปรอท ทำให้เกิดพิษได้

ดังนั้น เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น และไม่แน่ใจว่า จะเกิดจากการแพ้สารนั้นหรือไม่ ควรปรึกษาแพทย์ ถ้าเป็นไปได้ ควรนำเครื่องสำอางที่ใช้มาทดสอบ และนำฉลากที่บอกส่วนผสมมาด้วย และช่วยให้แพทย์วินิจฉัยได้ง่ายขึ้น

Posted on

” โกนหนวด” แล้วสิวขึ้น ต้องทำอย่างไร อยากหน้าดูเกลี้ยงเกลา โกนยังไงไม่ให้เป็นสิว!

ทำไมโกนหนวดแล้วสิวขึ้น

เกิดจากการที่ผิวส่วนนั้นระคายเคืองจากใบมีดโกนที่เก่าและสกปรก ไม่คม การโกนหนวด มักจะโกนย้อนแนวเส้นขน ซึ่งคิดว่าจะโกนได้เกลี้ยงเกลากว่า การโกนตามแนวขน เลบทำให้เกิดการระคายเคืองกับรูขุมขน ทำให้รูขุมขนอักเสบ ท่อไขมันอุดตัน และประกอบกับล้างหน้าไม่สะอาด จึงทำให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียสิว (P.acne) เลยเกิดการสิวอักเสบขึ้นมา
หนวดคนเราปกติต้องโกนบ่อยแค่ไหน
หนวดเครากับผู้ชาย เป็นของคู่กันและเป็นสัญลักษณ์ทางเพศอย่างหนึ่ง การดูแลหนวดเคราให้เรียบร้อย จึงเป็นกิจกรรมที่ผู้ชายทุกคน ควรจะเอาใจใส่อย่างยิ่ง จึงจะนำเสนอเกร็ดความรู้เรื่อง การโกนหนวดเครา มาให้รับทราบกันซักนิดนะครับ
หนวดเคราโดยปกติ จะงอกเฉลี่ยวันละ 0.2-0.5 มม. และมีอายุประมาณ 3-6 เดือนแล้วแต่เชื้อชาติและกรรมพันธุ์ ระยะเวลาและความถี่ในการโกนหนวดเคราแต่ละคนจึงไม่เท่ากัน บางคนอาจจะต้องโกนทุกวัน แต่ในบางคนอาจจะโกนเพียงอาทิตย์ละ 1-3 ครั้ง

ขั้นตอนการโกนหนวดเคราที่ควรปฏิบัติ 

  1. ล้างหน้า-ล้างมือให้สะอาด โดยเลือกผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่เหมาะกับผิว เพื่อกำจัดสิ่งสกปรกบริเวณใบหน้าและมือ เพราะมีบ่อยๆ ที่บางคนโกนหนวดเคราโดยยังไม่ทำความสะอาดผิวหน้าก่อน เช่น โกนด้วยเครื่องโกนหนวดไฟฟ้า( ง่ายและไวดี ) ทำให้สิ่งสกปรกและเชื้อแบคทีเรียแทรกซึมเข้าไปตามรูขุมขน ทำให้เกิดสิวอักเสบหลังโกนหนวดเคราได้ภายหลัง
  2. ใช้โฟมโกนหนวด ทาให้บริเวณที่ต้องการจะโกนให้ทั่ว ที่แนะนำให้ใช้โฟมโกนหนวด เนื่องจากว่า โฟมจะช่วยให้หนวดเคราอ่อนตัว ลื่นไหลได้มากขึ้น ทำให้การโกนหนวดไม่ทำลายเซลล์ผิวหน้า ไม่แนะนำให้โกนด้วย มีดโกนทันที หรือใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าอย่างอื่น เช่น สบู่ ทาแทนโฟมโกนหนวด
  3. ใช้ผ้าร้อนประคบให้หนวดเคราอ่อนตัว โดยนำผ้าขนหนูชุบน้ำร้อน หรือนำเข้าไมโครเวฟประมาณ 30-60 วินาที แล้วนำมาเช็ดและซับโฟมบนใบหน้าที่ติดอยู่ออกให้หมดจด
  4. ใช้โฟมโกนหนวดทาอีกครั้ง แล้วเริ่มต้นใช้ใบมีดโกนที่สะอาดและคม เริ่มโกนเคราและหนวดโดยโกนไปตามแนวเส้นขน ไม่โกนย้อนแนวเส้นขน เพื่อรบกวนต่อต่อมไขมันและรูขุมขนให้น้อยที่สุด นอกจากนี้ไม่ควรโกนซ้ำที่เดียวหลายๆ ครั้ง เพราะจะทำให้ระคายเคืองผิว เกิดการแพ้ อักเสบ และสิวได้
  5. ล้างหน้าด้วยน้ำเย็นเพื่อกระชับรูขุมขน แล้วทาอาฟเตอร์เชพโลชั่นเพราะโลชั่นจะช่วยสมานผิวกรณีที่เกิดบาดแผล ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า และควรจะทาออย์บำรุงผิว เพื่อช่วยรักษาความชุ่มชื้นแก่ผิวบริเวณที่โกนหนวดเครา
  6. ควรเปลี่ยนใบมีดโกนทุกอาทิตย์ เพราะถ้าใบมีดด้านจะทำให้โกนได้ไม่เกลี้ยงเกลาและระคายเคืองผิว จนอาจจะทำให้เกิดบาดแผลได้

การโกนหนวดเคราที่ถูกวิธี และใส่ใจดูแลรักษา จะช่วยเสริมบุคคลิกภาพของท่านชายให้ดูน่ามอง สะอาดสะอ้าน โดยเฉพาะหนุ่มออฟฟิศทั้งหลาย คงไม่ต้องบอกนะครับว่า ผลประโยชน์หลายด้านอาจจะตามมาโดยที่คุณคาดไม่ถึง !

Posted on

Hair Sunscreen: เส้นผมถูกแสงแดดทำร้ายได้ ป้องกันก่อนสาย ด้วยครีมกันแดดสำหรับเส้นผม

แสงแดด ทำร้ายเส้นผมได้อย่างไร

แสงแดดทำลายเส้นผมแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยรังสีอุตราไวโอเลตจะทำปฏิกริยากับกรดอะมิโนแอซิคชนิดต่างๆ ในเส้นผม โดยมีน้ำร่วมด้วยในปฏิกริยา จะได้อนุมูลไฮดรอกซิล ซึ่งจะทำลายโครงสร้างโปรตีน keratin ในเส้นผม แต่โดยธรรมชาติ เม็ดสีเมลานินในเส้นผม จะช่วยปกป้องแสงแดดได้ระดับหนึ่ง แต่ถ้านานไป ก็อาจทำลายเม็ดสีเมลานินได้ จึงจะเห็นว่าในกรณีที่ตากแดดนานๆ ผมสีดำ จะค่อยๆจาง หรือกลายเป็นสีน้ำตาลได้

ผลของการตากแดดบ่อยๆ และนานๆ จะมีผลต่อเส้นผมดังนี้ 

1. เส้นผมหยาบกร้าน ไม่นุ่มสลวย
2. เส้นผมจะเปราะและหักง่าย
3. ขาดความมันวาว
4. สีของเส้นผมจางลง
5. คุณสมบัติในการทนต่อแรงดึงลดลง

ครีมกันแดดสำหรับเส้นผมแตกต่างจากครีมกันแดดทั่วไปอย่างไร

สารกันแดดที่ใช้ได้ดีในครีมกันแดดสำหรับผิวหน้าและผิวกายหลายๆ ตัว ไม่จำเป็นว่าจะได้ผลดีต่อผลิตภัณฑ์ของเส้นผมเสมอไป เพราะเป้าหมายในการใช้แตกต่างกัน เพราะสารกันแดดที่ทาบนผิวหนัง จะมีคุณสมบัติเป็นครีม ที่ซึมซับเข้าสู่ผิวหนังได้ดี แต่ถ้าเอาสารประเภทนี้ไปผสมในแชมพู หรือครีมนวดผมเพื่อใชักันแดด อาจจะถูกชะล้างด้วยน้ำออกหมดได้
สารกันแดดชนิดใดเหมาะกันเส้นผม
สาร Octyl-dimethyl PABA, Octhyl methoxy-cinnamate และ Benzoquinone ซึ่งเป็นสารกันแดดตัวหนึ่ง มีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุดในการนำมาใช้กับเส้นผม เพราะเกาะติดแน่นกับเส้นผม ไม่ละลายในน้ำ ซึ่งสามารถดูดซึมรังสี UVA,UVB ได้ดี
เกณฑ์การวัดประสิทธิภาพในการกันแดด
จะใช้ค่า HPF ( hair protection factor) ขณะที่ครีมกันแดดสำหรับผิวพรรณ จะใช้คำว่า SPF ( sun protection factor) HPF จะตรวจจากการความแข็งแรงในการดึงเส้นผมให้ขาดโดยมีค่า HPF เป็น 2-15
ครีมกันแดดสำหรับเส้นผมใช้ตอนไหน
ควรใส่หลัง เจลแต่งผม มูสใส่ผม หรือ hair spray หรือเป็นส่วนประกอบในเจล หรือมูลแต่งผมเลย ไม่ควรทาแล้วล้างออก ดังนั้น การเลือก hair care products สำหรับเส้นผม ควรพิจารณาตั้งแต่ สารกันแดดที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ รูปแบบของสินค้าที่ใช้ และค่า HPF ที่แสดงข้างขวด

Posted on

ถ้าลูกแพ้นม ไม่อยากดื่มนม มีอะไรทดแทนได้มั้ย ที่จะทำให้กระดูกเจริญเติบโตและแข็งแรงดี

ก่อนหน้านี้ เราเคยทราบว่าการส่งเสริมให้เด็กๆ ดื่มนมหรือรับประทานผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ทำจากนมทุกวัน จะทำให้กระดูกแข็งแรง ไม่เปราะหักง่าย และยังป้องกันโรคกระดูกพรุนในวัยผู้ใหญ่
แต่ทว่าผลการวิจัยล่าสุดในสหรัฐฯกลับบ่งชี้ว่า การออกกำลังกายและการรับประทานอาหารที่อุดมด้วยแคลเซียมชนิดอื่นๆ ก็ได้ผลเท่าเทียมหรือดีกว่าด้วยซ้ำ

ได้มีผลการศึกษาของคณะนักวิจัยแห่งองค์การคณะกรรมการแพทย์ในกรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา และลงตีพิมพ์ในวารสารกุมารแพทย์ของสหรัฐฯฉบับล่าสุด ระบุว่า การรับประทานอาหารซึ่งมีสารแคลเซียมชนิดร่างกายดูดซึมได้อย่างต่ำวันละ 400 มิลลิกรัม หรือเท่ากับนมวัว 1 แก้วนั้น ไม่จำเป็นต้องดื่มนมหรือกินผลิตภัณฑ์จากนมก็ได้ แต่สามารถดื่มหรือกินอย่างอื่นแทน อาทิ น้ำส้มที่ไม่ทิ้งกาก 1 แก้ว, กระหล่ำปลีหรือหัวผักกาดเขียวปรุงสุก 1 ถ้วย, ข้าวโอ๊ตชงดื่มได้ทันที 2 ซอง, เต้าหู้ เศษ2ส่วน3 ถ้วย, ผักบร็อกโคลี 1เศษ2ส่วน3 ถ้วย

นอกจากนั้น การศึกษานี้ซึ่งเป็นการตรวจสอบทบทวนงานวิจัยที่มีผู้ทำไว้ก่อนจำนวน 37 ชิ้น ยังพบว่าการออกกำลังกายน่าจะสำคัญยิ่งกว่าการรับสารแคลเซียมเข้าร่างกายด้วยซ้ำ ในการทำให้กระดูกมีการเจริญเติบโตอย่างแข็งแรง

Posted on

สิวแกะเกา( Acne excori’ee) ผู้ปกครองเช็คด่วน! เด็กมีปัญหามั้ย ทำไมเห็นสิวแล้วทนไม่ได้

young woman squeeze her acne in front of the mirror

สิว ทำร้ายจิตใจวัยรุ่นได้

มีงานวิจัยในอเมริกา พบว่า คนทุกคน 100 % ต้องเคยเป็นสิวในชั่วชีวิตของคนคนนั้น แต่มีจำนวน 10% ของวัยรุ่นเป็นสิว คิดว่า ภาวะการเป็นสิวเป็นสิ่งเลวร้ายที่สุดในชีวิตวัยรุ่น ทำให้การเรียนตกต่ำ เข้าสังคมไม่ใคร่ได้ การพิจารณาตัวเองว่าต่ำต้อย เมื่อเป็นนานๆ ก็มีการเก็บกด เศร้าเกิดความกังวลใจในการเข้าสังคม และมีสิทธิ์ไม่ได้งานหลังจากการสอบสัมภาษณ์อย่างไรก็แล้วแต่ มีเพียง 7% เท่านั้น ที่ปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อการรักษา
70% ของผู้ที่มารักษา เป็นสิว สิว เป็นโรคของวัยรุ่นโดยเฉพาะ ใครไม่เป็นสิวถือว่าเป็นโชคดี แต่แพทย์พบว่า ถ้าใครไม่เป็นสิวในวัยรุ่นอาจเป็นสิวได้ในวัยผู้ใหญ่
มีผลงานสำรวจความเห็นของ ปัญหาวัยรุ่น ของชาวอเมริกันพบว่า
– ให้เลือกเอาว่า ขอมีหน้าสวยไม่มีสิว กับการเลิกนัดกับดาราสาว ซิ้นดี้ โครฟอร์ด หรือ ดาราชาย แบรทพิทท์ 1 ใน 3 คนตอบว่า ขอหน้าไร้สิว ดาราไม่สนใจ
– ให้เลือกเอาว่า มีหน้าสวยไร้สิว กับเงินรางวัล 40,000 บาท 1 ใน 5 คนตอบว่าไม่รับเงิน

สิวแกะเกา บ่งบอกความเศร้าใจของวัยรุ่น

จากผลการสำรวจปัญหาทางผิวพรรณของวัยรุ่น มีการโหวตให้ปัญหาสิวและรอยแผลเป็นสิว เป็นปัญหาที่กังวลมากที่สุด ทำให้เค้าไม่กล้าที่แสดงออก หรือมีความสัมพันธ์ทีด่ีกับเพื่อนได้ อาจจะโดนเพื่อนล้อ หรือแกล้งได้ บางคนอาจจะเก็บตัวอยู่คนเดียว ฯลฯ
สิวแกะเกา คือร่องรอยที่วัยรุ่นเห็นสิวแล้วทนไม่ได้ ไม่มีสมาธิที่จำทำอะไร เรียนไม่ได้ ต้องบีบ เค้น แกะ ออกให้หมด เป็นปัญหาที่แสดงได้ว่า มีความกังวลมากกว่าปกติ บางคนนั่งเฝ้าหน้ากระจก เพื่อตรวจตราผิวหน้าของตนเองว่าเกลี้ยงเกลาหรือไม่ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า บางครั้งพบสิวหัวดำแค่ 1-2 เม็ด ก็จะเฝ้าบีบเคล้นด้วยเล็บมือแหลมๆ จนกว่าสิวจะออก ทำให้เกิดรอยแผลถลอก แผลอักเสบ และรอยแผลเป็นทั่วหน้า
เชื่อกันว่าผู้ที่มีปัญหาสิวแกะเกา ส่วนใหญ่จะมีความผิดปกติทางจิตใจร่วมด้วย เช่น เป็นพวกย้ำคิดย้ำทำ ( obsessional trait) หรือมีสภาพจิตใจซึมเศร้า ( depreesion) ทั้งนี้เพราะวัยรุ่นเป็นวัยที่มีอารมณ์แปรปรวนได้ง่ายอยู่แล้ว
ดังนั้น ผู้ปกครองของวัยรุ่นที่เกิดสิว ควรสอบถาม และให้ความสำคัญต่อ สภาพจิตใจของบุตรหลาน ที่เป็นสิวว่าเป็นอย่างไร และต้องพร้อมเข้าใจ ว่าสิวไม่ใช่เรื่องธรรมดาสำหรับเค้า เราต้องช่วยเหลือให้เค้าหายจากสิว แม้จะต้องเสียเวลา และเงินทองไปกับการรักษาสิว

Posted on

ผื่นแพ้เสื้อผ้า (Textile contact dermatitis) : เสื้อใหม่ ทำไม ใส่แล้วไม่สบายตัว สาเหตุและการแก้ไข

การแพ้เสื้อผ้า ไม่ว่าจากเสื้อผ้าชุดชั้นนอกหรือชุดชั้นในพบได้ไม่บ่อยนัก ตามปกติแล้ว เนื้อผ้าทั้งที่ผลิตจากธรรมชาติ หรือเส้นใยสังเคราะห์ จะไม่ก่อให้เกิดการแพ้ แต่การแพ้จะเกิดต่อเมื่อมีการเติมสารเคมีลงในเนื้อผ้าระหว่างกระบวนการตัดเย็บเป็นเสื้อผ้าผู้ที่แพ้มักจะนึกไม่ถึง และคิดว่าผื่นที่เกิดอาจเกิดจากการแพ้เหงื่อ หรือเป็นเชื้อราก็ได้

อาการและอาการแสดง

  1. อาการคันจากการเสียดสีและสัมผัส ( Subjective irritation) ส่วนใหญ่จะเกิดการระคายเคืองมากกว่าการแพ้ เนื่องจากลักษณะของเนื้อผ้า เช่น ผ้าลูกไม้ หรือผ้าลินิน
  2. ผื่นลมพิษบริเวณที่สัมผัส ( contact urticaria) ลักษณะก็คล้ายลมพิษทั่วไป แต่จะเกิดบริเวณที่มีการกดทับ เช่น ที่สายรัดยกทรง การกดทับบริเวณขอบกางเกงที่บั้นท้าย
  3. ผื่นอักเสบแบบตุ่มน้ำพองใส แบบ Eczema คล้ายการเกิดผิวแพ้ในเด็ก มักเกิดจากการระคายเคือง ในบริเวณที่แนบชิดกับเนื้อผ้า เช่น แพ้สีย้อมผ้า หรือแพ้สารที่เคลือบมากับเนื้อผ้า
  4. ผื่นแบบจุดเลือดออก ใต้ผิวหนัง ( petichiae) เป็นจุดแดงๆ คล้ายในโรคไข้เลือดออก มักไม่คัน สาเหตุส่วนใหญ่ เกิดจากการแพ้ยางสังเคราะห์ในผ้า หรือยางยืดอีลาสติก

สาเหตุการเกิด แบ่งได้เป็น

  1. ตัวเนื้อผ้าเอง ใยเนื้อผ้าบางชนิดอาจทำให้เกิดการระคายเคือง เช่น ผ้าลินิน ผ้าฝ้าย ผ้าขนสัดว์ ผ้าลูกไม้ นอกจากนี้ผ้าบางชนิด อาจทำให้เกิดลมพิษได้ เช่น ผ้าไหม เป็นต้น
  2. สารที่ปะปนในกระบวนการผลิตผ้า เช่น สารฟอร์มาดีไฮด์ ที่ทำให้ผ้าเรียบและมัน ซึ่งพบว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการแพ้เสื้อผ้ามากที่สุด
  3. สีย้อมผ้า ชุดชั้นในที่มีสีสดๆ อาจทำให้เกิดการแพ้ได้
  4. สารที่ใช้ในการผลิตยางยืด บางครั้งอาจแพ้ยางที่อยู่ในขอบยางอีลาสติกได้
  5. สารที่ปะปนมากับการซักรีด จากการล้างออกไม่หมด เช่น ผงซักฟอก น้ำยาปรับผ้านุ่ม สารฟอกขาว สารเพิ่มฟอง น้ำหอม สี
  6. โลหะ เช่น ในพวก กระดุม ตะขอ

การที่จะพิสูจน์ว่า ลักษณะอาการผื่นที่พบ เกิดจากการแพ้เสื้อผ้า หรือชุดชั้นในหรือไม่ อาจทำการทดสอบได้ด้วยการนำสารที่สงสัยมาปิดไว้ที่หลังเป็นเวลา 48 ชั่วโมง แล้ววัดผล ซึ่งเรียกว่า การทำ Patch test ซึ่งสามารถทำได้ที่สถาบันโรคผิวหนัง หรือ โรงพยาบาลใหญ่ๆ ของรัฐ

การป้องกัน 

  1. ควรซักชุดชั้นในทุกครั้งที่ซื้อมาใหม่ก่อนใส่ และหลีกเลี่ยงผงซักฟอกที่มี คลอรีนและผงฟอกขาว
  2. ถ้าพบว่าหลังใส่เสื้อผ้า หรือชุดชั้นใน แล้วมีอาการคัน หรือเกิดผื่น ควรหยุดใช้ทันที
  3. ใส่เสื้อผ้าหลวมๆ และหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้เกิดเหงื่อออก เพราะอาจทำให้สีย้อมผ้า หรือ ฟอร์มาดีไฮด์ ละลายออกมาทำให้แพ้ได้
  4. ถ้าแพ้ยางยืด อาจเลือกใช้ชุดชั้นในที่ทำด้วยผ้าธรรมดา หรือชุดชั้นในที่ทำจากไลครา( lycra) ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เกิดยืดหยุ่นได้ที่ไม่ใช่ยาง
  5. ถ้าแพ้โลหะ อาจใช้ตะขอพลาสติก หรืออาจใช้ยาทาเล็บที่ไม่มีสีเคลือบตัวโลหะไว้ ไม่ให้สัมผัสกับผิวหนังโดยตรง
Posted on

ผักตำลึง : พืชสวนครัวที่ไม่ใช่แค่อร่อย แต่ช่วยลดความเสี่ยงในหลายๆ โรคได้ อย่างคาดไม่ถึง

ตำลึง ซึ่งมีลักษณะเป็นเถาไม้เลื้อย มีมือจับเกาะยึดต้นไม้อื่นๆ มีดอกสีขาว มีผลเป็นรูปยาวรีคล้ายแตงกวา มีใบเป็นรูปทรงคล้ายหัวใจ เวลาเอาใบและยอดอ่อนๆ มาแกงจืดกับหมูสับแล้วละก็… อร่อยอย่าบอกใคร

ไม่ใช่แค่อร่อยอย่างเดียว แต่ตำลึงยังมีประโยชน์อีกมาก มีทั้งสารเบต้าแคโรทีนที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง ลดน้ำตาลในเลือด และหัวใจขาดเลือด มีแคลเซียมช่วยบำรุงกระดูกและฟัน มีฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก ไนอาซิน และวิตามินซี ลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียด

สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดลพบว่า หากใครกินตำลึงบ่อยๆ เส้นใยอาหารในตำลึงก็สามารถช่วยลดอัตราเสี่ยง ในการเกิดโรคมะเร็งในกระเพาะอาหารได้อีกด้วย
นอกจากนั้นตามตำราแพทย์แผนโบราณ ตำลึงถือเป็นยาเย็น ใบช่วยขับพิษ และถอนพิษไข้ แก้อาการแพ้ อักเสบ แมลงมีพิษกัดต่อย แก้แสบคัน โดยใช้ใบตำลึงสดๆ ประมาณ 1 กำมือมาล้างให้สะอาด แล้วตำให้ละเอียด ผสมน้ำเล็กน้อย นำมาทาบริเวณที่มีอาการคันก็จะหายได้
ตำลึงเป็นผักที่พบได้ง่าย แถมปลูกก็ยังง่าย เพียงแค่เอาเมล็ดจากผลที่สุกจัดๆ มาเพาะ หรือเอาเถาแก่ยาวประมาณ 6-8 นิ้ว มาปักลงในดินผสมปุ๋ย หมั่นรดน้ำบ่อยๆ และหาไม้มาทำหลักให้ตำลึงเลื้อยเมื่อเถาเริ่มงอก ปลูกเอาเองไม่ต้องซื้อของใคร แค่นี้ก็ได้ต้นตำลึงเอาไว้กินแกงจืดกันได้ทุกมื้อ และถ้ายิ่งเด็ด ยอดตำลึงก็จะยิ่งขึ้นงาม เพราะฉะนั้นจะลองเปลี่ยนเมนูเป็นแกงเลียง ต้มเลือดหมู หรือจะนึ่งจิ้มน้ำพริกก็กินกันได้ไม่มีเบื่อ

Posted on 2 Comments

เคล็ดลับกับการป้องกันและดูแลให้ “นมเด้ง” ตลอดกาล ทำอย่างไร โดยไม่ต้องศัลยกรรม

สาเหตุสำคัญที่ทำให้เต้านมหย่อนยาน
1. ลดน้ำหนักตัวอย่างฮวบฮาบ ผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก รูปร่างอ้วน มักจะมีไขมันสะสมพอกพูนบริเวณเต้านมมาก เมื่อลดน้ำหนักอย่างฮวบฮาบ ทำให้ส่วนที่หายไปก่อนคือไขมันส่วนเกินนั่นเอง ผิวหนังภายนอกที่เคยขยายและอุ้มน้ำหนักเต้านมและไขมันส่วนเกินไว้ก่อนหน้านั้น จึงห้อยและหย่อนยานตามสรีระ เนื่องจากกล้ามเนื้อภายในเต้านมไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพิ่มเติม
2. หญิงวัยทองและวัยหมดประจำเดือน เต้านมจะหย่อนยานตามธรรมชาติ เนื่องจากการลดลงของปริมาณฮอร์โมนเอสโตรเจน เพราะหน้าที่สำคัญของเอสโตรเจนคือควบคุมการเจริญเติบโตของเต้านม รังไข่ ช่องคลอดและการเจริญพันธุ์ของผู้หญิง
หน้าอกไม่เด้งดังใจ หย่อนยานก่อนวัย ทำอย่างไร
1. ไม่ควรลดน้ำหนักตัวอย่างฮวบฮาบ ควรจำกัดอาหารไขมันควบคู่ไปกับการออกกำลังกาย ที่เหมาะสม เช่น การว่ายน้ำ ซึ่งถือเป็นการออกกำลังกายที่ดีที่สุด วิธีดังกล่าวจะช่วยลดไขมันส่วนเกินพร้อม ๆ กับการกระชับกล้ามเนื้อภายในให้เต่งตึงได้ดี ผิดกับการวิ่งที่กลับจะทำให้หน้าอกหย่อนคล้อยมากขึ้น
2. เพิ่มระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน ด้วยอาหารที่มีส่วนผสมของ “ไฟโตเอสโตรเจน” ซึ่งปลอดภัยแต่มีคุณสมบัติคล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน แม้ว่าจะมีประสิทธิผลต่ำกว่าฮอร์โมนถึง 100 – 1,000 เท่าก็ตาม สารไฟโตเอสโตรเจนจะพบมากในถั่วเหลือง นมถั่วเหลือง เต้าหู้ และสมุนไพรอื่น ๆ เช่น กาวเครือ เป็นต้น แต่มีข้อควรระวังคือ“ไฟโตเอสโตรเจน” จะทำให้ฤทธิ์ของฮอร์โมนเอสโตรเจนตามธรรมชาติยลดลงจึงไม่เหมาะกับวัยเด็ก หรือวัยรุ่น สตรีมีครรภ์ และหญิงให้นมบุตร

ผลิตภัณฑ์ “นมเด้ง” ได้ผลจริงไม่
จริงๆ แล้ว ไม่ต่างอะไรกับ “มอยเจอร์ไรเซอร์” ที่ช่วยให้ผิวแลดูชุ่มชื่นเท่านั้น ไม่ได้ช่วยให้นมเด้ง อย่างที่คาดหวังกันเอาไว้
การตบนมได้ผลหรือไม่
ก็ไม่ได้เกิดผลรวดเร็วดังใจ เพราะการตบนมเสมือนการออกำลังกายของเต้านม ที่ช่วยให้กล้ามเนื้อแข็งแรง เหมือนเช่นการเดินมากๆ ที่ทำให้น่องโต เป็นต้น ส่วนไหนจุดไหนทำงานมากกล้ามเนื้อก็แข็งแรง กระชับ แต่ก็เสียงต่อการเกิดมะเร็ง เนื่องจากการตบนมจะไปกระตุ้นการเกิดเซลล์ใหม่ๆ ที่อาจผิดปกติ

เคล็ด 5 วิธีดูแลหน้าอกให้สวยนาน

  1. บำรุงด้วยครีม เลือกครีมที่มีส่วนผสมของเรตินอลเพื่อป้องกันริ้วรอยย่นยาน สร้างความชุ่มชื้นกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินให้แข็งแรง รวมทั้งต้องปกป้องจากแสงแดด
  2. เสื้อชั้นในมีโครง สามารถช่วยชะลอความหย่อนยานให้ช้าลงได้
  3. ครีมกันแดด ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 15 เป็นอย่างน้อย ที่จะช่วยปกป้องจากรังสียูวีเอและบี ทำให้เกิดเป็นริ้วรอยก่อนวัยและจุดด่างดำ
  4. ท่าทางการนอน การกดหน้าอกลงบนที่นอนเป็นประจำ จะทำให้หน้าอกผิดรูปผิดร่างไป ท่าการนอนที่ดีคือนอนตะแคง แล้วมีหมอนรองหน้าอกเพื่อช่วยพยุงไว้ขณะหลับ
  5. ป้องกันและรักษาสิวที่หน้าอก เพราะบริเวณนี้ต่อมไขมันมาก และมีแนวโน้มที่จะเกิดสิวอุดตันและสิวอักเสบได้ง่าย
  6. Ultherapy: คลื่นอัลตราซาวด์ ไปกระตุ้นการทำงานของอีลาสติน และเสริมสร้างคอลลาเจน ลดการหย่อนคล้อย ได้ ช่วยได้ระดับนึง ในรายที่ไม่อยากทำศํลยกรรม
Posted on

หวัด น้ำมูกไหล รำคาญยังไง ก็ไม่ควรสั่งน้ำมูกแรงๆ ! เพราะอาจจะทำให้เกิดไซนัสอักเสบ

เมื่อเวลาเป็นหวัด น้ำมูกไหล ย่อมก่อให้เกิดความรำคาญเป็นอย่างมาก และเสียบุคลิกภาพ ดังนั้นหลายคนจึงต้องสั่งน้ำมูกทิ้งเสีย แต่ในบางคนเกิดอาการคัดจมูก หายใจไม่สะดวก จึงคิดว่าน้ำมูกมีมาก จึงต้องสั่งแรงๆ ทราบหรือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

Jack Gwaltney and Birgit Winther แห่งมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียในสหรัฐอเมริกา ได้นำอาสาสมัครที่เป็นหวัด มาตรวจวัดความดันอากาศปากโพรงไซนัส โดยใช้ CT scan ร่วมกับเครื่องวัดความดันบรรยากาศที่สอดเข้าไปใจโพรงจมูก แล้วสั่งให้อาสาสมัครสั่งน้ำมูกแรงๆ พบว่าแต่ละครั้งที่สั่งน้ำมูก ความดันอากาศที่วัดได้จะสูงขึ้นมาก จนสามารถทำให้น้ำมูกกระเด็นเข้าไปในโพรงไซนัสได้หลายมิลลิเมตร ซึ่งเมื่อเกิดปัญหาไซนัสอักเสบ การรักษาจะยิ่งยุ่งยาก และอาจจะใช้เวลานานกว่าจะหายขาดได้

ดังนั้น ไม่ควรสั่งน้ำมูก เวลาเป็นหวัด เพราะยิ่งสั่งน้ำมูก จะทำให้เชื้อไวรัสหวัด กระจายเข้าไปในโพรงไซนัสได้ง่าย และอาจเกิดไซนัสอักเสบภายหลัง และยังทำให้เชื้อแพร่กระจายไปยังคนข้างเคียงด้วย

นอกจากนี้ ในกรณีที่เป็นหวัด น้ำมูกไหลไม่มาก ไม่แนะนำให้รับประทานยาลดน้ำมูก เพราะนอกจากทำให้ง่วงนอนได้แล้ว ยังทำให้เสมหะเหนียว และกระตุ้นการไอด้วย