Posted on

น้ำยาบ้วนปาก (Mouth wash) : เลือกอย่างไร จึงจะได้ผล ปลอดภัย ลดโรคในช่องปาก

ปัจจุบันจะพบว่า มีน้ำยาบ้วนปาก ออกมาวางจำหน่ายในท้องตลาดมากมายหลากหลายยี่ห้อ พร้อมกับการโฆษณาตามสื่อต่างๆ โดยการอ้างสรรพคุณ ต่างๆ โดยเฉพาะการฆ่าเชื้อโรคในช่องปากและลำคอ ขจัดกลิ่นปาก ลดการอักเสบของเหงือก ทำให้ปากหอมสดชื่น และลดฟันผุได้ด้วย เรามาเรียนรู้ เพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อเท็จจริงดังกล่าวว่าจริงเท็จเพียงใดนะครับ

ส่วนประกอบของน้ำยาบ้วนปาก 
1. ส่วนประกอบพื้นฐาน (Basic ingredient)
1.1 อัลกอฮอล์: ทำให้รุ้สึกสดชื่น ใช้เป็นตัวทำละลายสารแต่งกลิ่นรส และยังช่วยทำความสะอาดช่องปากและมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อ
1.2 สารแต่งกลิ่น: เป็นตัวทำให้น้ำยาบ้วนปากน่าใช้ เพิ่มความรู้สึกสดชื่น ทำให้ลมหายใจสะอาดชั่วคราว สารแต่งกลิ่นบางตัว สามารถมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อได้
1.3 Hemectant: จะช่วยรักษาความชื้น ป้องกันการตกผลึก
1.4 Surfactant: ใช้ในการทำละลายสารแต่งกลิ่นรส ทำให้เกิดฟอง
1.5 น้ำ: เป็นตัวช่วยหลักในการรวมของส่วนผสมหลายๆ อย่าง
2. สารที่ออกฤทธิ์จำเพาะ (Agents for specified effect)
2.1 Astingents salts: ที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน คือ Zinc chloride โดยสารเคมีนี้จะทำให้บรรเทาอาการเจ็บคอ และลดการระคายเคืองต่อเยื่อบุช่องปาก นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียในช่องปากได้ ลดการเกิดกลิ่นปากลงได้
2.2 Antimicrobial agents: สารกลุ่มนี้ที่นิยมใช้กัน โดยมีฤทธิ์กำจัดกลิ่นปาก ยับยั้งการเกิดคราบจุลินทรีย์และหินน้ำลาย ได้ดีเรียงจากมากไปน้อย ก็คือ Chorhexidine, ,Phenolic compound Listerine,Alkaloid sanguinarine
แต่พบว่า Chorhexidine จะมีผลข้างเคียงคือ ทำให้เกิดคราบน้ำตาลบนเคลือบฟันได้ และอาจจะทำให้ ต่อมรับรสของลิ้นเสียไป มีการหลุดลอกของช่องปากได้ ดังนั้นในเมืองไทย จึงนิยมใช้ Listerine มากกว่า ทั้งยังเป็นที่ยอมรับของ FDA,ADA มากว่า 100 ปีแล้ว
2.3 Fluoride: ที่นิยมมักจะอยู่ในรูปของ Sodium fluoride เพราะเตรียมในรูปแบบน้ำยาบ้วนปากได้ง่าย และมีประสิทธิภาพดีในการป้องกันฟันผุได้ระดับหนึ่ง แต่ถ้าจะให้ป้องกันต้านฟันผุได้ดี และลดจำนวนแบคทีเรียบนผิวเคลือบฟัน มักจะผสมในรูป Standnus fluoride มากกว่า

ความปลอดภัยในการใช้น้ำยาบ้วนปาก 

– น้ำยาบ้วนปากที่ดี ควรมีคุณสมบัติ ไม่กระตุ้นให้เกิดการระคายเคืองในช่องปาก ไม่ทำให้เกิดการลอกของเยื่อบุช่องปาก แต่พบว่าผู้ใช้น้ำยาบ้วนปาก จะเกิดการอักเสบรอยแผลเฉียบพลันได้ประมาณร้อยละ 30 ตามส่วนประกอบข้างบน
ควรใช้น้ำยาบ้วนปากในช่วงเวลาสั้นๆ ที่มีปัญหาในช่องปาก แต่ไม่ควรเกิน 2-3 สัปดาห์ หรือตามคำแนะนำของทันตแพทย์ เพราะเมื่อได้รับการรักษาและแก้ไขแล้ว ควรหยุดใช้ทันที เพราะหาก ใช้ติดต่อกันในระยะเวลานาน จะทำให้แบคทีเรีย เกิดการดื้อยาได้ นอกจากนี้ จะทำให้มีโอกาสเกิดมะเร็งช่องปากได้สูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ใช้ที่สูบบุหรี่ร่วมด้วย
– ไม่แนะนำให้ให้ใช้ในเด็กเล็ก อายุน้อยกว่า 5 ปี เพราะอัลกอฮอล์ที่เป็นส่วนผสมในน้ำยาบ้วนปาก ทำให้เป็นอันตรายต่อเด็กได้
นอกจากนี้ การทำความสะอาดช่องปาก โดยการแปรงฟัน ใช้ใหมขัดฟัน ไม้จิ้มฟัน หรืออุปกรณ์ฉีดน้ำ ทันทีที่รับประทานอาหารเสร็จแล้ว เพื่อ ขจัดเศษอาหารทิ้งทันที จะช่วยลดกลิ่นปากและลมหายใจเหม็นได้ และในความเห็นส่วนตัว พบว่าน้ำผสมเกลือ ก็เป็นยาอมบ้วนปากที่มีประสิทธิภาพดีและหาง่าย ราคาถูก เช่นกัน อาจจะไม่มีผลข้างเคียงเหมือนน้ำยาบ้วนปากยี่ห้อดังๆ ทั้งหลายก็ได้

เอกสารอ้างอิง : บทความเรื่อง ‘ น้ำยาบ้วนปาก’ โดย ทันตแพทย์พิทักษ์ ไชยเจริญ มหาวิทยาลัยมหิดล
ขอบคุณภาพจาก http://www.dailymail.co.uk/health/article-1113422/Mouthwash-causes-oral-cancer-pulled-supermarkets-say-experts.html

Posted on

4 เคล็ดลับ 4 ขั้นตอน กับการล้างหน้าอย่างไรให้ถูกวิธี ไม่มีผลข้างเคียง หน้าเกลี้ยงใส ไร้สิ่งอุดตัน

การที่มีสุขภาพผิวหน้าที่ดี สะอาด เรียบเนียนใส จึงเป็นความประทับใจต่อผู้พบเห็น ดังนั้นจึงมีคำถามบ่อยๆ ว่าการทำความสะอาดผิวหน้าที่ดีและถูกวิธีนั้นเป็นอย่างไร

4 เคล็กลับกับการทำความสะอาดผิวหน้า

  1. การทำความสะอาดด้วยน้ำ: ถือว่าเป็นการทำความสะอาดที่ง่ายที่สุด และไม่มีโอกาสแพ้ได้เลย แพทย์มักจะแนะนำให้ล้างได้บ่อยๆ สำหรับคนที่ผิวมัน และผิวแพ้ง่าย เนื่องจากไม่มีสารระคายเคืองต่อผิวหน้า
    แต่น้ำก็มีข้อเสียคือจะชะล้างสิ่งสกปรก แบคทีเรีย ไขมันส่วนเกินได้หมดจดได้ยาก หรือต้องล้างหลายๆ ครั้ง
  2. ารทำความสะอาดด้วยน้ำมัน: เป็นการทำความสะอาดและชะล้างไขมัน ฝุ่นละอองที่ไม่ละลายในน้ำ รวมทั้งเครื่องสำอางแต่งหน้าทั้งหลาย ซึ่งได้แก่ ครีมล้างหน้า (cleansing creams) นอกจากนี้ยังช่วยลดแรงตึงผิวระหว่างน้ำกับผิวหน้า ทำให้ผิวหน้าไม่แห้งตึงมากหลังล้างหน้า
    ที่นิยมใช้กันก็ได้แก่ mineral oil,olive oil แต่น้ำมันก็มีข้อเสียคือ ถ้าน้ำมันบริสุทธิ์ก็จะมีราคาแพง และล้างหรือเช็ดออกได้ยาก เนื่องจากมีความหนืดสูง จึงทำให้มีความรู้สึก เหนอะหนะ และสิ่งสกปรกที่ละลายน้ำได้ (water soluble) ก็ล้างออกได้ยาก ดังนั้นจึงมักจะแนะนำให้ใช้ทั้งวิธีที่ 1 และ 2 ควบคู่กัน
  3. การทำความสะอาดด้วยของแข็งดูดซับสิ่งสกปรกไว้: มักไม่นิยมใช้สำหรับคนทั่วไป แต่จะเหมาะกับคนไข้ที่ลุกจากเตียงมาล้างหน้าไม่ได้ โดยการใช้สารที่มีคุณสมบัติในการดูดซับสิ่งสกปรก ซึ่งได้แก่ silica,talcum,starch,fuller’s earth ทั้งหลาย ทาทั่วใบหน้าแล้วเช็ดออก แต่ก็มักจะไม่สะอาดเท่ากับวิธีที่ 1-2
  4. การทำความสะอาดด้วยการขัดถู: มักไม่นิยมใช้ในการล้างหน้าในชีวิตประจำกัน ถือเป็นกรรมวิธีที่ทำกันในคลินิกผิวหนังหรือสถานเสริมความงาม เช่น การทำการลอกผิวหน้าด้วยการทำ peeling ด้วยกรดผลไม้ ,TCA การกรอผิวหน้าด้วยเกร็ดอัญมณี

4  ขั้นตอนการล้างหน้าที่ถูกวิธี

ขั้นตอนที่ 1.ครีมล้างหน้า 
ควรจะทำการกำจัดฝุ่นละออง คราบเหงื่อใคลและเครื่องสำอางที่ตกแต่งผิวหน้าให้ออกให้หมดจดก่อน โดยเฉพาะในคนที่ต้องแต่งหน้า เป็นประจำโดยอาจจะต้องใช้ครีมล้างหน้า เพื่อขจัดสิ่งสกปรกที่ละลายได้ในไขมัน
ขั้นตอนที่ 2. แล้วตามด้วยผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่ผสมสารลดแรงตึงผิว 
– ใช้ สบู่ เจล โฟม เพื่อชะล้างสิ่งสกปรกที่ละลายได้ในน้ำ โดยเลือกสารลดแรงตึงผิวที่เป็นอันตรายต่อผิวน้อยที่สุดและมีอำนาจในการชำระล้างได้ดี
ขั้นตอนที่ 3. หลังจากนั้นก็ล้างออกด้วยน้ำ 
เพื่อขจัดคราบสบู่ โฟม หรือเจลที่หลงเหลืออยู่ที่ผิวหน้า แล้วตามด้วยโลชั่นปรับสภาพผิวที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ที่ไม่ระคายผิว และสารฝาดสมาน (astringent)ที่ทำหน้าที่ปิดรูขุมขน
ขั้นตอนที่ 4. ทา Moiturizer creams บางๆ
เพิ่มความชุ่มชื้นและนุ่มนวล เพื่อป้องกันผิวหนังแห้งตึงจากการสูญเสียน้ำจากความชื้นในบรรยากาศ โดยเลือกครีมบำรุงให้เหมาะกับสภาพผิวแต่ละคน เช่น ถ้าผิวมัน ก็ควรเลือกครีมบำรุงประเภท oil free หรือความเข้มข้นไม่มากนัก เพื่อป้องกันผิวหน้ามันมากเกินไป หรือ ในคนที่ผิวแพ้ง่ายก็ไม่ควรเลือกครีมบำรุงที่ผสมน้ำหอม หรือ AHA

Posted on

รองเท้าส้นสูง ( High Heels) ใส่อย่างไร ไม่ปวดขา ไม่เมื่อยล้า แก้ไขยังไง เมื่อเกิดการบาดเจ็บ

รองเท้าส้นสูง ( High Heels) คือสูงแค่ไหน
โดยทั่วไปรองเท้าที่จะเรียกได้ว่าเป็นรองเท้าส้นสูงนั้น จะต้องมีความสูงมากกว่า ๔ นิ้วครึ่ง สำหรับรองเท้าผู้หญิง และสูงมากกว่า ๓ นิ้วครึ่ง สำหรับรองเท้าผู้ชาย
มีน้อยคนนักที่จะรู้ว่าภายใต้ความเคยชินกับการสวมรองเท้าส้นสูงเป็นเวลานาน ๆ ส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างไรบ้าง อย่ามองข้ามความสำคัญเล็ก ๆ น้อย ๆ ในการดูแลสุขภาพเท้าของตัวเอง

การเปลี่ยนแปลงด้านสรีระขณะสวมใส่รองเท้าส้นสูง 

  1. ขณะสวมใส่รองเท้าส้นสูงทำให้เรามีรูปร่างสูงขึ้น แต่ขณะเดียวกันรอยเท้าจะสั้นกว่าปกติ ซึ่งตามหลักของ ชีวกลศาสตร์ ร่างกายจะรักษาสมดุลยากขึ้น กล้ามเนื้อฝ่าเท้าและขาจึงต้องทำงานมากกว่าเดิม เพื่อที่จะพยายามรักษา สมดุลของการทรงตัวให้ได้
  2. ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของจุดรับน้ำหนักของร่างกาย นั่นคือน้ำหนักจะตกที่ปลายเท้ามากกว่าปกติ ทำให้เกิด การเบี่ยงเบนของร่างกายไปจากเดิม กล้ามเนื้อขาและลำตัวต้องทำงานมากขึ้น ที่สำคัญบริเวณหลังจะเกิดการแอ่นมาก และเป็นสาเหตุของการปวดหลังในอนาคตได้
  3. กล้ามเนื้อน่องและเอ็นร้อยหวายจะหดสั้นตลอดเวลาที่ใส่รองเท้าส้นสูง ทำให้บริเวณน่องเกิดความตึงตัวการไหล เวียนของเลือดไม่ดี
  4. การเดินขณะใส่รองเท้าส้นสูง จะทำให้ความยาวของการก้าวเท้าสั้นกว่าเมื่อเดินเท้าเปล่า เนื่องจากกล้ามเนื้อน่องมี การหดตัวอยู่บ้างแล้วขณะที่ใส่รองเท้าส้นสูง ดังนั้นเมื่อกล้ามเนื้อต้องทำงานถึบปลายเท้าเพิ่มขึ้นอีก จึงเกิดแรงถีบเพียง เล็กน้อยเท่านั้น
  5. การขึ้นบันไดขณะสวมใส่รองเท้าส้นสูง จะทำให้ร่างกายขาดความมั่นคง เพราะต้องเกร็งและระวังว่าจะสะดุดบันได กลัวหกล้ม เลยทำให้กล้ามเนื้อขาต้องทำงานมากกว่าปกติ

รองเท้าสูงเท่าไร จึงจะก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ
เป็นเรื่องยากอยู่เหมือนกันที่จะชี้เฉพาะลงไปเลยว่ารองเท้าสูงเท่าไร จึงจะก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ เนื่องจากเหตุปัจจัยของแต่ละคนแตกต่างกัน เช่น รูปร่างอ้วนหรือผอม ความแข็งแรง ของกล้ามเนื้อเป็นอย่างไร ซึ่งคนที่มีกล้ามเนื้อแข็งแรงก็อาจจะเกิดอันตรายน้อยกว่าคนทั่วไป นอกจากนี้ ก็ยังขึ้นอยู่กับ ความเคยชินด้วยว่าใส่รองเท้าสูงมานานเท่าไร อย่างไรก็ตาม การใส่รองเท้าส้นสูงที่มีส้นรองเท้าแหลมและสูง ย่อมเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายได้มากกว่าการสวม รองเท้าส้นทึบและเตี้ยอย่างแน่นอน
การบาดเจ็บที่มักเกิดขึ้นสำหรับผู้ที่ใส่รองเท้าส้นสูงเป็นประจำ

  1. เกิดอาการปวดเมื่อย บริเวณฝ่าเท้า นิ้วเท้า และน่อง เพราะกล้ามเนื้อที่ไม่แข็งแรงต้องทำงานมาก เกินไป จึงทำให้เกิดการเมื่อยล้าได้ง่าย หรือเพราะกล้ามเนื้อบางมัดถูกยึดมากเกินไป หรือการไหลเวียนของเลือดบริเวณ นั้นไม่ดี เนื่องจากกล้ามเนื้อบางมัด เช่น กล้ามเนื้อน่องหดเกร็งอยู่เป็นเวลานาน ๆ
  2. เกิดการปวดบางตำแหน่ง เช่น ที่นิ้วเท้า ซึ่งเกิดจากการถูกบีบ การกดทับ และการเสียดสี จากรองเท้า ประเภทแฟชั่นที่อาจจะมีรูปลักษณะแปลก ๆ แต่สวมใส่แล้วไม่สบายเท้า
  3. เกิดอันตรายเนื่องจากอุบัติเหตุ เช่น เท้าแพลงเมื่อเกิดการเหยียบพลาด หกล้มทำให้กระดูกหัด หรือ ตกหลุม

การแก้ปัญหาเมื่อบาดเจ็บ 

– กรณีได้รับอุบัติเหตุ เช่น ข้อเท้าแพลง ในระยะ 1-2 วันแรกให้ใช้น้ำแข็งประคบนาน 5-10 นาที ทำวันละ ๒ ถึง ๓ ครั้ง เพื่อช่วยลดอาการปวด และพักการใช้ข้อเท้าชั่วคราวโดยการพันด้วยผ้าพันชนิดยืด ถ้าอาการยังไม่ดีขึ้น ควรรีบไปพบแพทย์
-กรณีปวดเมื่อยข้อเท้า เมื่อกลับถึงบ้าน ให้แช่เท้าด้วยน้ำร้อน (ที่พอทนได้) ดูให้ระดับน้ำสูงถึงครึ่งน่อง แช่นาน 10-15 นาที พร้อมกับออกกำลังเท้าและนิ้วเท้าไปด้วย โดยการกระดกปลายเท้าขึ้นถึบปลายเท้าลง งอนิ้วเท้า เหยียด นิ้วเท้า หันฝ่าเท้าเข้าด้านใน และหันฝ่าเท้าออกด้านนอก เพื่อเป็นการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ และถ้าเป็นไปได้ควรนวดเท้า บ่อย ๆ ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง อาทิ เหยียบกะลา คลึงเท้าด้วยลูกกอล์ฟ และนวดเท้า

แม้บางคนจะทราบดีว่าการสวมรองเท้าส้นสูงเป็นความสง่าที่มาพร้อมกับความปวดเมื่อย แต่หญิงสาวเป็นจำนวน มากไม่อาจตัดใจลาจากรองเท้าส้นสูงได้อย่างเด็ดขาด ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกัน จึงไม่ควรสวมรองเท้าส้นสูงเดินเป็นเวลานานในแต่ละวัน ควรปล่อยให้เท้าได้พักอยู่ใน ท่าสบายบ้าง หรือสลับกับการสวมรองเท้าที่มีความสูงน้อยลงบ้าง เพื่อช่วยให้เลือดบริเวณน่องและเท้าไหลเวียนเป็นปกติ เกิดเป็นหญิงยุคใหม่ จะสวยทั้งทีก็ต้องมีความรู้ที่ถูกต้องด้วย

Posted on

มาสก์หน้าอย่างไร ให้ตรงกับสภาพผิว ปรับหน้าให้ขาวใส ได้ด้วยตนเอง ด้วยวิธีง่ายๆ

ปัจจุบัน หน้าเนียนใส กำลังเป็นที่นิยมกันในคนที่รักสวยรักงามทั้งหลาย ทำให้ดูสะอาดตา และเป็นที่ดึงดูดใจกับผุ้พบเห็นทั้งหลาย ดังนั้นหลายท่านก็ได้ขวนขวายหาแนวทางที่จะบำรุงรักษาผิวพรรณให้เนียน ขาวใส ไร้ตำหนิ ไม่ว่าจะเป็นการสรรหาเลือกครีมสารพัดยี่ห้อมาลองใช้
แต่ในยุคนี้ อยากจะให้เราได้ประหยัดค่าใช้จ่ายกันบ้าง ดังนั้นผมจึงได้ลองค้นหาสูตรเคล็ดลับในการทำให้หน้าใสได้ด้วยตนเองมาฝาก โดยการพอกหน้าด้วยวิธีง่ายๆ ซึ่งเป็นการทำให้เซลล์ที่ตายแล้วหลุดออกไปจากผิวหน้า รวมไปถึงพวกสิวอุดตันต่างๆ ก็จะหลุดออกไปด้วยทำให้ผิวนุ่มเนียนขึ้น ปราศจากสิวฝ้า เลือดลมบนผิวหน้าหมุนเวียนดีขึ้น และเวลาทาครีมบำรุงจะช่วยให้ซึมเข้าผิวได้ดีกว่าเดิมด้วย ซึ่งอาจจะเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีเวลา และทรัพย์จางได้ลองทำดูนะครับ ดังนี้
Mask สำหรับผิวธรรมดา
ใช้โยเกิร์ต (รสธรรมดา) 1/4 ถ้วย ผสมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา คนให้เข้ากันแล้วทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที หรือจนรู้สึกว่าส่วนผสมที่ทาไว้แห้ง จึงล้างออกด้วยน้ำอุ่น สูตรนี้จะทำให้ผิวหน้าเราได้คุณค่าของนมมาช่วยบำรุงผิว และน้ำผึ้งที่กระชับรูขุมขน
Mask สำหรับผิวแห้ง
นำกล้วยหอมสุก 1/2 ลูก มาบดแล้วผสมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา คนให้เข้ากันแล้วทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำเย็น สูตรนี้ทำให้หน้านุ่มและตึงสวย

Mask สำหรับผิวมัน
นำมะเขือเทศสุก 1 ลูก มาบดหรือสับให้ละเอียด นำมาพอกที่หน้า ทิ้งไว้ 10-20 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำอุ่น ทำสัปดาห์ละครั้งจะช่วยลดความมันบนใบหน้าได้ วืตามินในมะเขือเทศจะช่วยบำรุงผิวและเซลล์ใต้ผิวได้เป็นอย่างดี
Mask สำหรับผิวอักเสบเป็นสิว
ใช้น้ำผึ้งทาที่หน้าทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น น้ำผึ้งมีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อและยังช่วยกระชับรูขุมขน มีค่า pH เป็นกลาง สูตรนี้รับรองไม่แพ้ครับ แถมหน้ายังเรียบเนียน และสิวก็จะยุบลงอีกต่างหาก
Whitening Mask
ใช้น้ำมะนาว 1 ลูก น้ำมะนาวฝรั่ง 1 ลูก น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ และโยเกิร์ตประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ นำทั้งหมดมาผสมให้เข้ากัน ทาถูนวดเบาๆ ที่หน้า ทำสัปดาห์ละ 1 ครั้ง จะทำให้หน้าขาวเป็นธรรมชาติ

เห็นมั้ยหละครับว่า กรรมวิธีหลากหลายนี้ ต่างก็ช่วยให้สีผิวหน้าขาวใส ได้ตามต้องการ ควรเลือกเปรียบเทียบให้เหมาะสมกับสภาพผิว ความต้องการ และความสะดวก กันนะครับ แต่อยากจะแนะนำว่า แม้ว่าผิวหน้าจะเนียนใสได้ตามต้องการแล้ว แต่ก็ไม่ได้คงอยู่อย่างถาวร เพราะมีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้หน้าหมองคล้ำกลับมาได้ใหม่ เช่น แสงแดด ความเครียด การพักผ่อนไม่เพียงพอ ดังนั้นก็ต้องหมั่นดูแล ทำทรีทเม้นต์ทั้งหลายอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ที่สำคัญ พยายามเลี่ยงแดด ทาครีมกันแดด อย่างสม่ำเสมอ

Posted on

สีผิวแต่ละคนแตกต่างกัน ประเภทของสีผิว (Skin Tone Classification) มีผลกับรักษาผิวพรรณ

สีผิวคนเราเกิดจากอะไร

สีผิวของคนเรา เกิดจากการผสมของสี ของสารต่างๆในร่างกาย ดังนี้

  1. สีน้ำตาลหรือดำ เกิดจาก Melanin pigments ที่เกิดขึ้นจากเซลล์ melanocytes ที่อยู่ที่ชั้น Stratum basale ในชั้นหนังกำพร้า(Epidermis)
  2. สีแดง (Oxyhemoglobin) ที่อยู่ในหลอดเลือด ซึ่งสีนี้จะเข้มขึ้นเมื่อมีการขยายตัวของหลอดเลือด หรือถ้ามีการเปลี่ยนแปลง ที่ผิดปกติของหลอดเลือด เช่น หลอดเลือดขยายตัว ก็จะเห็นผิวเป็นสีแดงเพิ่มขึ้น
  3. สีเขียว (Reduced hemoglobin) ซึ่งเปลี่ยนแปลงมาจาก Oxyhemoglobin เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในร่างกาย ซึ่งจะเกิดเฉพาะบางบริเวณ เช่น ที่ใบหน้าหรือที่มือ
  4. สีเหลือง (Carotene) เป็นสีของน้ำดี สีนี้มักจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง ยกเว้นเกิดภาวะที่มีน้ำดีคั่ง หรือการรับประทานอาหาร ที่มีสาร carotene มาก เช่นมะละกอ ฟักทอง ปกติสีนี้จะถูกผสมกลมกลืนไปกับสีอื่นหมด คือจะไม่เห็นสีเหลืองเด่นชัด แต่ถ้ามีปริมาณมากในภาวะผิดปกติบางอย่าง เช่น ภาวะตับอักเสบ หรือถุงน้ำดีอักเสบ ท่อน้ำดีอุดตัน จึงจะทำให้เห็นสีเหลืองออกมาเด่นชัด ที่เรียกว่าภาวะดีซ่าน และการเปลี่ยนแปลงนี้จะเกิดทั่วตัว ถือเป็นลักษณะสีผิวที่บ่งบอกโรคบางอย่างได้

การจัดแบ่งสีผิวของคนเรา (Skin tone classification) ในทางผิวหนัง โดยอาศัย Fitpatric skin type classification  ซึ่งเป็นหลักที่แพทย์ผิวหนัง ใช้เป็นหลักสากล ที่แพทย์ต้องแยกสีผิวคนไข้ให้ได้ว่าอยู่โทนสีผิวไหน จะมีประโยชน์ สำหรับการเลือกพลังงานและชนิดของเลเซอร์ในการรักษาผิวพรรณ เพราะเลเซอร์บางชนิด จะใช้กับบางสีผิวไม่ได้ การที่ทราบกลไกการสร้างสีผิว ทำให้มีการพัฒนาแนวทางการรักษาปัญหาทางผิวหนังให้เหมาะสมกับสีผิวแต่ละประเภท เมื่อให้ได้ผลมากทีสุดและผลข้างเคียงน้อยที่สุด นอกจากนี้ยังเป็นแนวทาง ในการแต่งตัว แต่งหน้า เลือกเฉดสีให้เหมาะกับผิวแต่ละประเภทอีกด้วย

แบ่งออกได้ดังนี้

Skin typeคำจำกัดความคำอธิบาย ตัวอย่าง
Type IVery fair skin. Burns very easily & doesn’t tanผิวขาวซีด อ่อนบาง ตากแดดแล้วผิวใหม้ง่ายมาก และไม่มีสีแทนหรือคล้ำ เช่น กลุ่มคนเผือก
Type IIFair skin. Burns easily & tans slightlyผิวขาวอมชมพู อ่อนบาง ตากแดดแล้วผิวใหม้ง่าย และมีสีแทนหรือคล้ำได้เล็กน้อย เช่น กลุ่มชนผิวขาวผมบอนด์แถบยุโรปตอนบน เช่น ไอร์แลนด์
Type IIIBurns occasionally & tans slowlyผิวขาวปนเหลือง ตากแดดแล้วบางครั้งผิวใหม้ และมีสีแทนหรือคล้ำได้แต่ก็ต้องใช้เวลา เช่น กลุ่มชนผิวขาวแถบอเมริกาตอนใต้ กลุ่มแสกนดิเนเวีย ลูกครึ่งเอเซีย-ยุโรป
Type IVMinimal burning & tans alwaysผิวเหลือง ตากแดดแล้วผิวใหม้ได้บ้างแต่น้อย และมีสีแทนหรือคล้ำได้เสมอๆ เช่น กลุ่มชนเอเซียตอนบน เช่น ญี่ปุ่น จีน เกาหลี
Type VRarely burns & tans always. Medium to heavy pigmentation.ผิวคล้ำ ผิวสองสี ตากแดดแล้วผิวใหม้ได้น้อยมาก และมีสีผิวคล้ำและดำในบางที่ เช่น กลุ่มชนเอเซียตอนล่าง กลุ่มทางอเมริกาใต้ เช่น ไทย มาเลเซีย เม็กซิโก สเปน
Type VINever burns & has a very dark tan. Heavy pigmentationผิวดำ ตากแดดแล้วผิวไม่เคยใหม้ และมีสีผิวดำสนิท เช่น กลุ่มชนผิวดำ(นิโกร) แถบแอฟริกาใต้
Posted on

Aromatherapy : ศาสตร์แห่งการบำบัดด้วยกลิ่น เพื่อสุขภาพกายและใจที่ผ่อนคลาย

Aromatherapy(สุวคนธบำบัด) หมายถึงการนำกลิ่นหอมจากสมุนไพรมาใช้ในการดูแลรักษาสุขภาพ ทำให้ร่างกาย จิตใจอารมณ์เกิดความสมดุล
-โดยใช้หลักทางสรีรศาสตร์ที่มนุษย์สามารถสัมผัสกลิ่น ได้มากกว่าหมื่นชนิดนั่นเอง กลิ่นที่มนุษย์ได้รับสัมผัสในแต่ละครั้ง จะผ่านประสาทสัมผัสรับกลิ่น (Olfactory nerves) ซึ่งอยู่เหนือโพรงจมูก (nasal cavity) เมื่อกลิ่นต่าง ๆ จากโมเลกุลของละอองเกสรดอกไม้ ผ่านกระเปาะรับกลิ่น (Olfactory bulbs) ที่ต่อกับลิมบิค ซีสเต็ม (Limbic system) ซึ่งเป็นสมองส่วนควบคุมอารมณ์และความทรงจำ
– ไอจากน้ำมันหอมระเหยจะผ่านลมหายใจ เข้าสู่ปอด และผ่านไปสู่ศูนย์ควบคุม การทำงานของสมองไปยังต่อมประสาท ต่อมสมอง แล้วหยุดที่ระบบความจำ ซึ่งจะกระทบต่ออารมณ์ ความรู้สึก ทำให้รู้สึกสบาย
– กลิ่นหอมที่ไปสู่ระบบควบคุมประสาท จะทำให้ความคิดโลดแล่น เมื่อไปกระทบต่อมฮอร์โมน ก็กระตุ้นให้ฮอร์โมนหลั่งสารแห่งความสุข ( Endorphine) ช่วยคลายเครียด กระปรี้กระเปร่า ไม่ซึ่มเศร้า
– หลักการ นี้เอง น้ำมันหอมระเหยที่ถูกสกัดจากพืชสมุนไพรหลากหลายชนิดจึงถูกค้นคว้าวิจัย เพื่อนำมาบำบัดรักษาโรคต่าง ๆ เพราะคุณสมบัติที่แตกต่างกันของพืชสมุนไพรซึ่งผ่านการค้นคว้ามาแล้วจากหลายสถาบัน หลายอารยธรรม หลายช่วงกาลเวลา ถูกสั่งสมให้คุณค่าของความรู้ทางด้านน้ำมันหอมระเหยมีประสิทธิภาพสูงขึ้น

ประเภทของการบำบัดด้วย Aroma Therapy
อโรมา เธอราพี… เป็นการบำบัดรักษาด้วยการใช้น้ำมันหอมระเหย หรือ Essential Oil ที่สกัดจากพืชที่มีกลิ่นหอม ซึ่งใช้หลักใหญ่ 2 แบบ คือ
1 การดมกลิ่น
2 การทาให้ซึมผ่านทางผิวหนัง
ทั้งนี้ อาจจะทำทั้งสองแบบควบคู่ไปด้วยกัน
การเลือกกลิ่นสำหรับการบำบัดรักษา
เบซิล – มีผลช่วยสร้างความสดชื่น กระปรี้ประเปร่าให้กับร่างกาย ช่วยให้สมองปลอดโปร่งและมีสมาธิในการทำงานต่างๆ ในแต่ละวัน เวลากลับจากงานเหนื่อยๆ เบซิลจะช่วยไล่ความอ่อนเพลียได้อย่างเหลือเชื่อ ยิ่งเหยาะผสมกับลาเวนเดอร์และเปปเปอร์มินท์ด้วยแล้ว ยิ่งไล่ความเครียดได้อย่างดี
ลาเวนเดอร์ – พืชยอดนิยมที่มักจะใช้เป็นหัวน้ำหอมของสบู่ และแป้งหลายยี่ห้อ มีคุณสมบัติในการรักษาและบรรเทาอาการต่างๆ ได้มากมาย ไม่ว่าจะช่วยลดความตึงเครียด ปรับสภาพสมดุลย์ให้กับร่างกายและจิตใจ คืนความสดชื่นให้กับสมอง ฝ่าเท้า และกล้ามเนื้อตามจุดต่างๆ  ลาเวนเดอร์เพียง 2-3 หยดบนหมอนใบนุ่ม จะช่วยให้หลับสบายฝันหวานตลอดคืน…
อีฟนิ่ง พริมโรส – น้ำมันหอมระเหยที่มักใช้ผสมในโลชั่นบำรุงผิวสมัยนี้ เพราะอุดมด้วยวิตามิน และแร่ธาตุ ให้ผลดีกับใบหน้าและผิวพรรณ ป้องกันความแห้งกร้าน รักษาโรคผิวหนังเรื้อรังต่างๆ ได้อีกด้วย
ซีดาร์วู้ด – น้ำมันสกัดที่รู้จักกันดีตั้งแต่สมัยโบราณว่ามีคุณสมบัติช่วยป้องกันผิวเสีย และลดความมันของใบหน้า ใช้บรรเทาอาการไอ แก้หวัดได้อีกด้วย แต่ก็มีข้อควรระวังคือ ห้ามใช้กับหญิงมีครรภ์เป็นอันขาด
มะกรูด – สมุนไพรใกล้ครัวชนิดนี้นอกจากใช้ทำยาสระผมแก้ผมร่วง บำรุงเส้นผมแล้ว น้ำมันหอมยังช่วยให้ผ่อนคลาย เติมพลังให้อารมณ์สดชื่น เสริมสร้างความมั่นใจ ถ้าใช้เป็นน้ำมันนวดตัว ก็จะช่วยลดรอยแผลเป็นให้จางลงได้
โรสวู้ด – กลิ่นหอมของน้ำมันสกัดชนิดนี้จะช่วยให้สดชื่น และหอมติดกายดีแท้ ถ้านำมาใช้ผสมกับน้ำมันนวด หลังการออกกำลังกายจะช่วยบรรเทาอาการเมื่อย ลงได้โขทีเดียว แถมยังช่วยลดอาการปวดไมเกรนได้อีกด้วย
เปลือกส้ม – กลิ่นหอมจากน้ำมันเปลือกส้มแทบไม่ต้องบรรยายสรรพคุณ ช่วยให้รู้สึกสดชื่น อบอุ่น อารมณ์สนุกสนาน เมื่อผสมกับน้ำมันนวดตัว จะช่วยให้ระบบย่อยอาหารดีขึ้น และช่วยให้นอนหลับสบาย

ข้อควรระวังในการใช้ Aromatherapy

น้ำมันหอมระเหยที่ใช้ใน Aromatherapy นั้น สามารถใช้สูดดมหรือนวดตามร่างกายได้อย่างปลอดภัย แต่เนื่องจากเป็นน้ำมันสกัดที่มีความเข้มข้นสูง ผลิตภัณฑ์บางชนิดจึงอาจจำเป็นต้องเจือจางก่อนนำไปใช้ เพราะหากทาลงบนผิวหนังโดยตรงก็อาจทำให้เกิดการระคายเคืองและทำให้ผิวไวต่อแดดได้ หรือหากสูดดมจากบรรจุภัณฑ์ก็อาจมีกลิ่นฉุนแสบจมูกและทำให้เกิดอาการแพ้อย่างรุนแรงสำหรับผู้ที่ไวต่อกลิ่นด้วย

นอกจากนี้ มีข้อควรระวังเพิ่มเติมในการเลือกใช้น้ำมันหอมระเหย ดังนี้

  • ไม่ควรชิม ดื่ม หรือรับประทานน้ำมันหอมระเหย เพราะผลิตภัณฑ์บางชนิดอาจมีพิษและทำให้เกิดความเสียหายต่อทางเดินอาหาร ตับ และไตได้
  • ไม่ควรใช้น้ำมันหอมระเหยกับเด็ก ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ และผู้ที่อยู่ในช่วงให้นมบุตร เพราะอาจไม่ปลอดภัยและทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ได้
  • ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่สกัดจากธรรมชาติ 100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งไม่มีส่วนผสมของสารเคมีหรือสารสังเคราะห์ใด ๆ
  • ควรทดสอบอาการแพ้ที่ผิวหนังก่อนใช้ทุกครั้ง โดยทาน้ำมันหอมระเหยที่ท้องแขนแล้วปิดไว้เป็นเวลา 24 ชั่วโมง หากมีอาการบวม แสบ หรือแดง ห้ามใช้น้ำมันหอมระเหยชนิดนั้นอีก
Posted on

ครีมบำรุง เริ่มทาอย่างไร ตรงไหนก่อนหลัง แบบไหน ให้ถูกวิธี เพื่อผลลัพธ์ที่ดีต่อผิวพรรณ

การใช้ครีมบำรุงผิวเพื่อความชุ่มชื้นแก่ผิว จึงถือเป็นปัจจัยสำคัญของการดูแลผิวหน้า ซึ่งนอกจากการเลือกใช้ครีมบำรุงที่เหมาะหรือตรงตามความต้องการของผิวแล้ว ขั้นตอนการทาครีมบำรุงผิวหน้าให้ถูกต้อง จึงจะทำให้ได้ประสิทธิภาพของครีมได้เต็มที่

ขั้นตอนการทาครีมบำรุงผิวพรรณ 

  1. ทำความสะอาดผิวหน้าให้หมดจด แล้วเลือกปริมาณครีมที่ต้องใช้ให้พอเหมาะตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญด้านความงาม เพราะถ้าน้อยเกินไป ก็จะไม่ได้ประสิทธิภาพเท่าที่ควร หรือถ้ามากเกินไป ก็จะทำให้ผิวหน้ามันเกินไป และก็เปลืองโดยใช่เหตุ ซึ่งส่วนใหญ่จะประมาณ 1 ข้อมือหรือ 1 ลูกเชอรี่
  2. เริ่มแต้มครีมที่บริเวณ 5 จุด ของใบหน้า คือ หน้าผาก จมูก แก้มทั้งสองข้างและคาง
  3. ใช้นิ้วกลางและนิ้วนาง ในการเกลี่ยวนบริเวณที่กว้างที่สุดก่อน เช่น โหนกแก้ม โดยเริ่มจากส่วนกลางไปยังส่วนข้างๆ โดยทางด้านซ้ายออกซ้าย และทางด้านขวาออกขวา แล้วตามด้วยแนวสันจมูก ใต้โพรงจมูก คาง และหน้าผาก โดยเว้นบริเวณรอบดวงตาไว้ เพราะอาจจะต้องใช้ครีมชนิดเฉพาะรอบดวงตาทาแทน
  4. การลงน้ำหนักนิ้วควรจะเบาที่สุด เพราะผิวหน้าเป็นผิวที่บอบบาง ควรได้รับการทะนุทะนอม ถ้าลงน้ำหนักแรงเกินไป อาจจะทำให้เกิดรอยย่นในภายหลังได้
  5. การทาครีมรอบดวงตา ควรใช้ปริมาณเนื้อครีมประมาณ 1 เมล็ดถั่วเขียว แล้วใช้นิ้วนางเพียงนิ้วเดียวในการทา เพราะจะน้ำหนักกดเบาที่สุด แล้วทาครีมไล่ตามแนวโครงกระดูกเบ้าตา อาจจะเริ่มที่หัวตาหรือหางตาก่อนก็ได้ แล้ววนครีมรอบๆ ดวงตาจะวนเข้าหรือวนออกก็ได้ตามถนัด แต่ต้องวนไปในทิศทางเดียวกันทั้งสองข้าง
  6. การทาครีมบริเวณลำคอ ควรใช้ปริมาณเนื้อครีมเท่ากับที่ใบหน้าประมาณ 1 ข้อมือ โดยเริ่มจากบิรเวณที่กว้างที่สุดของลำคอก่อนคือ บริเวณฐานลำคอแล้วใช้ปลายนิ้วทั้งหมดค่อยๆ ลูบไล้ขึ้น ไม่ควรทาลงนะครับ เพราะจะทำให้ผิวบริเวณลำคอหย่อนยานไปตามแนวโน้มถ่วงของโลก ทำให้เกิดรอยย่นภายหลังได้
  7. การทาครีมบริเวณหน้าอก อาจจะใช้ครีมที่เหลือจากลำคอ ทาลูบไล้ในช่วงอกต่อไปได้ โดยการใช้ปลายนิ้วลูบไล้เพียงเบาๆ และวนให้ทั่วแผ่นอก เพื่อการซึมซับของเนื้อครีมสู่ผิว แล้วค่อยไล่ทาไปที่หน้าท้องและส่วนหลัง
  8. การทาครีมบริเวณแขน จะใช้ครีมปริมาณมาก ประมาณ 2-3 ข้อมือ โดยเริ่มต้นที่ต้นแขนด้านท้องแขนก่อน แล้วทาวนขึ้นหลังแขน โดยการใช้ปลายนิ้วลูบไล้เพียงเบาๆ เพื่อการซึมซับของเนื้อครีมสู่ผิว
  9. การทาครีมบริเวณขาและเท้า จะใช้ครีมปริมาณมากเช่นกัน ประมาณ 2-3 ข้อมือ โดยเริ่มต้นที่ต้นขาก่อน แล้วทาวนจากด้านต้นขาไปปลายขา โดยการใช้ปลายนิ้วลูบไล้เพียงเบาๆ เพื่อการซึมซับของเนื้อครีมสู่ผิว โดยควรจะเน้นบริเวณหน้าแข้งสองข้างให้มาก เพราะบริเวณนี้จะแห้งได้ง่าย ส่วนบริเวณเท้าควรทาทั้งสองด้าน คือ หลังเท้าและฝ่าเท้า พร้อมทำการนวดไปทั่วอุ้งเท้า เพื่อผ่อนคลายและเพิ่มการไหลเวียนโลหิต
Posted on

แพ้เครื่องสำอาง สาเหตุจากอะไร อาการเป็นแบบไหนได้บ้าง ที่ต้องระวัง

‘ เครื่องสำอาง’ ตามพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ. 2525 หมายความว่า วัตถุที่มุ่งหมายสำหรับใช้ทา ถู นวด พ่น หยอด ใส่ อบ หรือการกระทำด้วยวิธีอื่นใด ต่อส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกาย
เพื่อทำความสะอาด ความสวยงาม หรือ ส่งเสริมให้เกิดความสวยงาม ตลอดจนเครื่องประทินโฉมต่างๆ ดังนั้นทุกคน ทุกเพศวัย จึงต้องใช้เครื่องสำอางทั้งนั้น เพราะรวมถึง สบู่ ยาสีฟัน และแชมพูทำความสะอาดร่างกายด้วย
แพ้เครื่องสำอางค์พบบ่อยแค่ไหน
จากสถิติในต่างประเทศ มีการสำรวจการใช้เครื่องสำอาง พบว่า มีผลข้างเคียงในการใช้เครื่องสำอาง 680 ครั้ง ต่อการใช้ 1,000,000. ครั้ง และในคลินิกภูมิแพ้ พบคนไข้มีการแพ้จากเครื่องสำอาง ประมาณ 10 %
สาเหตุที่ทำให้เกิดอันตรายจากการแพ้เครื่องสำอาง อาจจะเกิดจาก 
1. ความเข้มข้นของสารที่มากเกินไป
2. การใช้ผิดวิธี และวัตถุประสงค์
3. ความเป็นด่างของเครื่องสำอาง
4. เครื่องสำอางมีสารระเหย เป็นส่วนประกอบอยู่ในปริมาณสูง เช่น ในน้ำหอมบางชนิด
5. ตำแหน่งที่ใช้ เช่น รอบดวงตา มีโอกาสแพ้ได้ง่ายกว่าที่อื่น

อาการทางคลินิก ที่อาจเกิดได้จากการใช้เครื่องสำอาง 

1. การระคายเคือง ( Irritation contact dermatitis) มีอาการคัน หรือรู้สึกเพียงยิบๆ ในช่วงเวลาสั้นๆ ไม่เกิน 10 นาที มักเกิดจากการใช้เครื่องสำอางบนใบหน้า อาจมีผื่นแดง บวม ตุ่มผิวหน้งอักเสบ เมื่อหยุดการใช้ อาการจะหายไป
2. อาการภูมิแพ้ผื่นคัน(Allergic contact dermatitis) อาการที่ตั้งแต่น้อยๆ แค่มีผื่นแดงคัน จนกระทั่งแพ้มาก เป็นตุ่มแดง ตุ่มน้ำ มีขุย สารที่ก่อให้เกิดการแพ้ มักได้แก่ น้ำหอม สารกันบูด สารลาโนลิน สีย้อมผม
3. ผื่นลมพิษ(Contact Urticaria) จะมีอาการผื่นแดง บวม ถ้าเป็นน้อยๆ อาจเห็นแค่ หนังตาบวม ปากบวม ถ้าเป็นมาก อาจพบผื่นบวมทั่วหน้า มักเกิดจาก การแพ้ยาย้อมผม
4. ผิวหนังเปลี่ยนสี( Pigmented contact dermatitis) บางครั้งพบว่า ยิ่งทาเครื่องสำอางแล้วหน้ายิ่งดำ อาจเกิดจากผลิตภัณฑ์ที่ส่วนผสมของน้ำหอม มะกรูด มะนาว แตงกวา หรือการใช้สมุนไพรทาหน้า ซึ่งมีสารเคมีที่เมื่อโดนแดดแล้วจะเกิดอาการแพ้แสงแดด เห็นเป็นรอยดำบริเวณที่สัมผัส บางครั้งแม้จะหยุดใช้ก็ยังไม่หายดำ
5. ผื่นขาว( Contact leukoderma) ในสมัยก่อน มีผู้นิยมใช้ครีมทาทำให้หน้าขาว ด้วยสารจำพวกปรอท ไฮโดรควิโนน ทำให้หน้าขาวได้จริง แต่จะขาวไม่สม่ำเสมอ กระดำกระด่าง เมื่อหยุดใช้ก็ยังมีอาการด่างขาว ถาวร แต่ในปัจจุบัน ทางอ.ย. ได้มีการห้ามการใช้สารพวกนี้ในเครื่องสำอางแล้ว
6. สิว(Cosmetic Acne) มักเกิดจากเครื่องสำอาง ที่มีส่วนผสมของลาโนลิน สารสเตียรอยด์ โซเดียมลอรัลซัลเฟต เมื่อใช้นานๆ จะเกิดสิวได้ ดังนั้นในคนที่อายุเลยวัยที่จะเป็นสิวแล้ว ถ้าเกิดสิวขึ้นมา ให้สงสัยว่าอาจจะเกิดจากการแพ้เครื่องสำอางไว้ก่อน
7. การเปลี่ยนแปลงของเล็บ เช่น เล็บลอก เปลี่ยนสี ขอบเล็บอักเสบ อาจเกิดจากยาทาเล็บ น้ำยาล้างเล็บ
8. การเปลี่ยนแปลงสีผม อาจจะมีเส้นผมหัก เปราะง่าย เนื่องจากน้ำยาดัดผม หรือ น้ำยายืดผม
9. ผลต่อระบบอื่นๆ ของร่างกาย เช่น เยื่อบุตาอักเสบ การดูดซึมของสาร และการสะสมของสารพิษในระยะยาว เช่น มีการผสมสารตะกั่ว หรือ ปรอท ทำให้เกิดพิษได้

ดังนั้น เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น และไม่แน่ใจว่า จะเกิดจากการแพ้สารนั้นหรือไม่ ควรปรึกษาแพทย์ ถ้าเป็นไปได้ ควรนำเครื่องสำอางที่ใช้มาทดสอบ และนำฉลากที่บอกส่วนผสมมาด้วย และช่วยให้แพทย์วินิจฉัยได้ง่ายขึ้น

Posted on

ครีมกันแดด เลือกแบบไหน ใช้อย่างไร ถึงจะได้ผลในการป้องกันรังสียูวี ใครควรใช้

ปัจจุบันนี้ วงการแพทย์ได้พิสูจน์และวิจัยแล้วว่า แสงแดดเป็นสาเหตุหลักสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้เกิดปัญหาหลายอย่างต่อผิวหน้า เช่น ทำให้เกิดฝ้า กระ รอยหมองคล้ำ มะเร็งผิวหนัง ริ้วรอยแก่ก่อนวัย ฯลฯ จึงเห็นว่า การใช้ครีมกันแดดทุกวัน เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับทุกเพศทุกวัย แพทย์บางท่านแนะนำให้เด็กอายุ ตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป ทาครีมกันแดด โดยให้ผู้ปกครองทาให้ เพื่อสร้างนิสัยการทาครีมกันแดด

ประสิทธิภาพของครีมกันแดด แต่ละยี่ห้อ มีหลักการพิจารณาในการเลือกซื้อคือ ต้องดูที่ค่า SPF=Sun Protective Factor ซึ่งหมายถึง ค่าที่ใช้วัดในการกันแดด ว่าเป็นกี่เท่าของผิวที่ไม่ได้ทากันแดด ในเวลาและบริเวณเดียวกัน โดยมีวิธีคิดดังนี้ SPF=MED บริเวณที่ทายากันแดด/MED บริเวณที่ไม่ได้ทากันแดด โดยค่า MED ย่อมาจาก ปริมาณแสงที่น้อยที่สุดที่ทำให้เกิดรอยแดงที่ผิวหนัง( Minimum Erythematous dose)

ควรใช้ครีมกันแดดที่ค่า SPF เท่าใด ได้มีการทดลองด้วยค่าต่างๆ กันเทียบกับการดูดซับแสงดังนี้

SPF
ค่าดูดซับแสง UVB(%)
2
50
4
75
8
87.5
15
93.3
20
95
30
96.7
45
97.8
50
98

จะเห็นได้ว่า ค่า SPF ระหว่าง 15-45 จะให้คุณสมบัติในการดูดซับแสงได้ใกล้เคียงกัน และ ค่า SPF ระหว่าง 30-45 แทบไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญในการดูดซับรังสีUVB ดังนั้น แพทย์นิยมให้คนไข้ ใช้ครีมกันแดด ที่มี SPF สูงกรณีที่ต้องตากแดดนานติดต่อกัน และใช้ครีมกันแดด SPF ต่ำ กรณีที่ตากแดดเป็นครั้งคราว เพราะ ครีมกันแดดที่มีค่า SPF ยิ่งสูง ก็จะมีความมันมาก และราคาสูง ตามความเห็นของผู้เขียนมเห็นว่า ครีมกันแดดที่ควรเลือก สำหรับผิวคนไทย น่าจะมีค่า SPF=15 กรณีผิวมัน และ SPF= 30 กรณีที่ผิวธรรมดา และผิวแห้ง

รูปแบบของสารกันแดด ที่หลายแบบ แต่แนะนำให้ใช้ ในรูปของครีมหรือโลชั่น เพราะมีประสิทธิภาพดี ค่า SPF สูง เพราะในรูปอื่น เช่น Oils ( มักจะมันมาก ราคาแพง) Gel ( ไม่มัน รู้สึกดี แต่ผลิตยาก ไม่คงตัว SPF ต่ำเกินไป) สเปรย์ มักมีการกระจายตัวไม่สม่ำเสมอ

ข้อแนะนำในการใช้ครีมกันแดดทั่วไป

  1. ควรทาครีมกันแดดทุกวัน โดยเฉพาะในช่วงเวลา 9.00-16.00 น. โดยทาก่อนออกแดด 15-30 นาที
  2. ควรทาหนาพอควร สำหรับใบหน้า หู คอ และหลังมือ จะใช้ประมาณ 2-3 กรัม
  3. ทากันแดดซ้ำ หลังว่ายน้ำ หรือเหงื่อออกมากๆ
  4. หลีกเลี่ยงการทารอบดวงตา เพราะอาจระคายเคืองได้ง่าย
  5. บริเวณจมูก และร่องแก้ม โหนกแก้ม ควรทาครีมกันแดดให้มาก เพราะกระทบแสงแดดโดยตรง และเป็นตำแหน่งที่เกิดปัญหาฝ้าได้บ่อย
  6. บริเวณริมฝีปาก อาจทากันแดด ที่อยู่ในรูปของลิปติก หรือผสม Wax
  7. ในคนที่ผมบาง ควรทาครีมกันแดด ที่หนังศีรษะด้วย
  8. ถ้าเป็นไปได้ ควรสวมหมวก ใส่เสื้อผ้าปกคลุม กรณีตากแดดจัด และเป็นเวลานานๆ
  9. กรณีที่มีปัญหา ผิวแพ้ง่าย หรือ เป็นสิว อาจงดครีมกันแดด ไว้ก่อน โดยป้องกันด้วยวิธีอื่นไปก่อน แล้วปรึกษาแพทย์เพื่อการเลือกใช้ที่เหมาะสม

เคล็ดลับการทาครีมกันแดดหน้าร้อน

  1. ทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF มากกว่า 15 สำหรับผิวมัน และ SPF มากกว่า 30 สำหรับผิวแห้ง สำหรับป้องกันรังสียูวีบี และเลือกค่า PA ++ เป็นอย่างน้อยสำหรับป้องกันรังสียูวีเอ และควรเป็นประจำทุกวัน โดยเฉพาะบริเวณใบหน้าและริมฝีปาก และเลือกครีมบำรุงที่มีสารปกป้องแสงแดด
  2. ครีมกันแดดที่เลือกใช้ ควรดูข้างขวดว่า สามารถปกป้องได้ทั้ง UVA,UVB เพราะยูวีเอ จะทำให้ผิวหนังแห้ง และเหี่ยวย่นได้ ส่วนยูวีบี จะทำให้ผิวหน้าแดง หมองคล้ำ และใหม้เกรียม
  3. สารกันแดดที่เลือกใช้ ถ้าเลือกแบบที่สะท้อนแสงแดด ( physical sunscreens) เช่น Zinc oxide,Titanium จะได้ผลดีกว่าแบบ ดูดซับแสงไว้ที่ผิว( chemical sunscreen) แต่ก็ไม่เหมาะกับคนผิวคล้ำ เพราะจะทำให้ผิวหน้าขาวเกินไป
  4. ทาครีมกันแดดทุกครั้งก่อนออกจากบ้าน อย่ารีรอไปทาข้างนอกบ้าน หรือบนชายหาด เพราะกว่าจะทาเสร็จเรียบร้อย ผิวอาจได้รับแสงแดดมากพอที่จะทำลายผิว
  5. ใช้ครีมกันแดดในปริมาณมากพอควร คือ ประมาณ 2 ข้อมือสำหรับผิวหน้า และใช้ครีมกันแดดที่มีปริมาณอย่างน้อยประมาณ 30 กรัม สำหรับทาทั่วผิวกาย อย่าถูแรงเกินไป อาจทำให้ครีมหลุดลอก ไม่สามารถป้องกันแดดได้เต็มที่ นอกจากนี้ควรทาครีมกันแดด ห่างกันทุก 2 ซม. ถ้าทิ้งช่วงทานานกว่านี้ อาจจะทำให้ประสิทธิภาพลดลงได้ ถ้าเหงื่อออก หรือโดนน้ำสาดช่วงสงกรานต์ ควรทาครีมกันแดดซ้ำได้ทันทีที่ผิวแห้งลง หรือเลิกเล่นสาดน้ำช่วงสงกรานต์
  6. การพักผ่อนตามชายทะเล การเล่นกีฬา หรือทำกิจกรรมกลางแจ้งในหน้าร้อน ควรทาครีมเพิ่มเติมทุก ๆ 2 ชั่วโมง เพราะแสงแดดจะทำลายคุณสมบัติของครีมตลอดเวลา จึงต้องเติมเพิ่มเติม แต่ยังไงพกหมวก ร่ม แว่นกันแดด ไปด้วย
  7. ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดในช่วงเวลาที่ร้อนที่สุด คือ เวลาระหว่าง 10.00-15.00 น. หรือสวมเสื้อแขนยาว สวมหมวก หรือกางร่มเมื่อจำเป็นต้องออกจากบ้าน
  8. หากต้องการเปลี่ยนสีผิวให้เป็นสีแทน ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารกันแดดและวิตามินอี
  9. นอกจากนี้ควรลดอัตราเสี่ยงอย่างอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มเหล้า และมลภาวะต่างๆ เพราะจะทำให้แสงแดดทำลายผิวพรรณได้ง่ายขึ้น
  10. สำหรับบางท่านที่ใช้ครีมที่มีส่วนผสมของกรดผลไม้ จะทำให้ผิวไวต่อแสงแดด ดังนั้นควรทาครีมกันแดดที่ SPF > 30 จะปกป้องผิวได้ดีกว่า