Posted on

ฉีดเติมเต็มใบหน้า ระหว่างฟิลเลอร์ VS ไขมัน จะเลือกตัวไหนดี ข้อดี ข้อเสียอย่างไร

ฟิลเลอร์ VS ไขมัน จะเลือกตัวไหนดี

ตามที่เราทราบกันอยู่แล้วว่า เมื่อเราอายุมากขึ้น นอกจากริ้วรอยที่มีเพิ่มขึ้นตามวัยแล้ว ซึ่งแก้ไขด้วยการฉีดสารโบทอกซ์ อีกปัญหาหนึ่งเมื่ออายุมากขึ้น ก็คือใบหน้าจะมีการสูญเสียคอลลาเจน ไขมัน หรือมวลกระดูก ทำให้เกิดการหย่อนคล้อย การเติมเต็มใบหน้าด้วยการฉีดฟิลเลอร์หรือไขมัน ก็เพื่อทดแทนเนื้อหนังที่หายไปของใบหน้า เป็นหัตถการด้านความงาม เพื่อย้อนวัยให้กลับมาดูดีขึ้น นอกจากนี้ยังมาฉีดเติมบริเวณอื่นๆ ที่ต้องการให้ดูดีขึ้น เช่น เติมขมับ หน้าผาก เสริมจมูกหรือเติมคา

ฟิลเลอร์ต่างจากการฉีดไขมันอย่างไร
ฟิลเลอร์ คือสารเติมเต็มที่ทำการสังเคราะห์ขึ้นมา ประกอบด้วยสารกลุ่ม HA ( Hyaluronic acid) สารตัวนี้สังเคราะห์เลียนแบบคอลลาเจนตามธรรมชาติในร่างกายมนุษย์ ปัจจุบันฟิลเลอร์มีการพัฒนาดีขึ้นมาก มีหลายแบบ หลายยี่ห้อที่ผ่านอย. และได้มาตรฐานสากล
แต่ก็มีฟิลเลอร์ปลอมออกมาด้วยเช่นกัน แยกยากมากจากของแท้ เพราะกอปปี้ออกมาได้เหมือนกันเลย แต่จะสังเกตได้ง่ายๆ คือราคาจะถูกมากเกินจริง ถ้าเจอแบบหลักพันบาทต่อซีซีนี่ ให้ระวังไว้ว่าปลอมหรือไม่ผ่านอย.ชัวร์ ตัวฟิลเลอร์ปลอมนี่เอง ที่ทำให้เกิดปัญหาในปัจจุบัน ยิ่งคนฉีดไม่ใช่แพทย์ ไม่มีความชำนาญ ยิ่งน่ากลัว
ภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย และกำลังซื้อลดลงในปัจจุบันนี่เอง สงครามแข่งกันถูก แข่งกันลดราคา ยิ่งทำให้ฟิลเลอร์ปลอมระบาดหนักมากขึ้น จึงทำให้คนเริ่มมาสนใจฉีดไขมันตัวเองกันมากขึ้น เพราะชัวร์ว่ายังไงก็ไม่ปลอม เพราะเป็นไขมันตัวเอง
ฉีดไขมัน
คือการนำไขมันส่วนเกินของร่างกายฉีดมาเติมเต็มบริเวณใบหน้า หรือบริเวณที่เราต้องการ แต่ต้องฉีดในปริมาณที่มาก เพราะไขมันที่ฉีดเข้าไปจะสลายไปเอง ประมาณ 30-40% และมักจะอยู่ไม่นาน และต้องใช้ปริมาณมากๆ หรือฉีดเกินไว้ก่อน หลังทำจึงต้องพักฟื้น
ดังนั้นก่อนจะฉีดเติมเต็มด้วยฟิลเลอร์ หรือไขมัน จึงควรเปรียบเทียบข่อดี ข้อเสียแต่ละแบบ ดังนี้

เปรียบเทียบการ เติมไขมันหน้า vs ฉีดฟิลเลอร์

หัวข้อการเติมไขมันหน้าการเติมฟิลเลอร์
ราคาราคาถูกกว่ามาก ทั่วหน้าไม่จำกัดซีซี ประมาณ 25,000+ราคาสูงกว่ามาก ถ้าของแท้ ราคา 12,000+ ต่อ 1cc
ขนาดแผลมีแผลบริเวณที่ดูดไขมัน 3-5 mmไม่มีรอยแผลให้เห็น
ผลหลังทำทันทีอาจจะเป็นก้อนหรือหน้าเป็นปลาทองได้ เพราะต้องเติมให้มากกว่าที่ควรเป็น เพราะ 30% จะสลายไปเห็นผลทันทีหลังทำ ดูเป็นธรรมชาติ
อยู่ได้นานมั้ยอยู่ได้ 3-6 เดือนขึ้นอยู่เทคนิคการเตรียมไขมันอยู่ได้ 12-24 เดือน ขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์ที่ใช้
เหมาะกับใครคนที่ต้องการเติมครั้งละเยอะๆ ให้เปลี่ยนแปลงชัดเจน เหมาะกับคนที่ต้องการเติมหลายๆจุดพร้อมกันคนที่ต้องการเปลี่ยนแปลงไม่มาก ไม่อยากให้ใครสังเกตได้
การยกกระชับเหมาะกับการเติมเต็มทั่วใบหน้าให้อวบอิ่ม ไม่มีผลต่อการยกกระชับเหมาะกับการเติมเต็มและยกกระชับไปด้วย เพราะสามารถจะวางบนกระดูกทดแทนมวลกระดูกที่หายไปได้
บริเวณไหนที่ฉีดได้ฉีดได้ทุกบริเวณยกเว้น ริมฝีปาก ดอลลี่อาย ฉีดใต้ตามักจะนูนเป็นก้อนฉีดได้ทุกบริเวณตามความต้องการ โดยเฉพาะบริเวณที่ต้องการความเนียน เช่น ริมฝีปาก ดอลลี่อาย ใต้ตา

การเติมไขมันหน้ากับการเติมฟิลเลอร์ ชนิดHA แบบไหนปลอดภัยกว่ากัน  ?

ปลอดภัยไม่แตกต่างกัน ถ้าแพทย์ที่ทำมีความชำนาญ มีประสบการณ์ และใช้ฟิลเลอร์ที่ได้มาตรฐานผ่าน อย . หรือไขมันที่ใช้ได้คัดกรองอย่างปลอดเชื้อ และเทคนิคที่ได้มาตรฐาน ผลข้างเคียงที่เราต้องระวังกันมากคือ การฉีดเข้าหลอดเลือด เพราะอาจจะทำให้ตาบอด หรืออาจจะถึงเสียชีวิตได้ โดยในต่างประเทศทั่วโลก พบปัญหามักจะเกิดจากจากฉีดไขมันมากกว่าฟิลเลอร์ อาจจะเป็นเพราะหลายๆ ประเทศมีการฉีดไขมันกันมาก และที่สำคัญคือ เมื่อเกิดปัญหา ไขมันไม่มีเอนไซม์ที่ใช้ย่อยสลายไขมันได้  แต่หากเป็นฟิลเลอร์ชนิด Hyarulonic acid จะมีเอนไซม์ที่ชื่อ Hyaluronidase ที่สามารถละลายหมดได้ 100% ทันที หากแพทย์พบว่าฟิลเลอร์เข้าเส้นเลือดก็จะสามารถแก้ไขได้ทันทีครับ
Facebook: https://www.facecook.com/clinicneo
Instagram: https://www.instagram.com/clinicneobydr.jarasphol/
Website: http://www.clinicneo.co.th/
Tel.: 02-399-3390-1,088-694-9266

Posted on

ฉีดไขมันเติมเต็มใบหน้า (Fat Grafting) คืออะไร แล้วมีเทคนิคอย่างไรให้อยู่นาน ข้อดี ข้อเสีย

ทำไมต้องฉีดเติมไขมันเติมเต็มใบหน้า (Fat Grafting)  

เนื่องจาก คนเราเมื่ออายุมากขึ้น ย่อมเกิดการเปลี่ยนแปลง นอกจากริ้วรอยตามอายุแล้ว ความหย่อนคล้อยไม่กระชับ ก็เป็นอีกปัญหาสำหรับคนที่กลัวแก่ สาเหตุของความหย่อนคล้อย ก็มาจากปริมาตรผิวหนังที่ลดลง หรือ Volumn Loss ไป ดังนั้นถ้าเราสามารถจะชดเชย Volumn ที่เสียไปให้กลับมาเต่งดึง มีน้ำมีนวล ดูเยาว์วัยขึ้น น่าดูขึ้น ก็คือการฉีดเติมด้วย Fillers หรือการฉีดเติมไขมัน ซึ่งเป็นทางเลือกใหม่อีกทางหนึ่งที่สามารถใช้ปรับแก้ไขรูปหน้า และ เติมเต็มใบหน้าได้เช่นเดียวการฉีดฟิลเลอร์

การฉีดเติมไขมันเติมเต็มใบหน้า (Fat Grafting)  คืออะไร :

คือการนำไขมันส่วนเกินของร่างกายฉีดมาเติมเต็มบริเวณใบหน้า หรือบริเวณที่เราต้องการ โดยการย้ายไขมัน ( Fat transfer) จากตำแหน่งที่ไม่ต้องการ เช่น ที่สะโพก พุง ต้นขา ก้น ซึ่งเป็นไขมันในส่วนที่มีคุณภาพดีที่สุด การฉีดเติมไขมันเหมาะกับคนที่ต้องการการเปลี่ยนแปลงปริมาตรบนหน้าที่ค่อนข้างมาก เพราะราคาโดยรวมเป็นซีซี จะถูกกว่าการฉีดเติมเต็มด้วยฟิลเลอร์
ดูดไขมันจากร่างกายเอามาฉีดที่ใบหน้าแตกต่างกับดูดไขมันลดสัดส่วนหรือไม่ ?
แตกต่างกัน เพราะไขมันที่จะนำมาฉีดที่ใบหน้า จะเป็นไขมันในส่วนที่มีคุณภาพดีที่สุด คือไขมันบริเวณหน้าท้อง ก้น ต้นขา สะโพก  ซึ่งเป็นคนละแบบคนละเทคนิคกับการดูดสลายไขมันลดสัดส่วน อันนี้จะเน้นดูดออกทิ้งไป ด้วยเครื่องมือต่างๆ เครื่องมือที่ดูดมักจะมีความร้อน เพื่อสลายไขมันให้แตกตัว แล้วเอาไปทิ้ง ซึ่งจะทำให้สเต็มเซลล์จากไขมันจะตายหมด  จะนำมาฉีดเติมใบหน้าไม่ได้

เทคนิคการฉีดไขมันที่หน้าในปัจจุบันเป็นอย่างไร

ในปัจจุบันมีการพัฒนาได้ดีกว่าเมื่อก่อนมาก ลดอัตราการสลายของไขมันหรือเกิดเซลล์ไขมันตาย ทำให้อยู่ได้นานขึ้น ไม่ต้องกลับมาเติมซ้ำ ทำให้กำหนดปริมาณและขนาดได้แม่นยำ และได้ผลลัพธ์จึงดีกว่าเมื่อก่อน โดยแพทย์จะดูดไขมันส่วนเกินออกจากร่างกาย โดยใช้หัวดูดที่มีรูขนาดเล็ก และใช้กระบอกดูดหรือไซริงค์ขนาดเล็ก ค่อยๆ ดูด เพื่อป้องกันไม่ให้เซลล์ไขมันเสียหาย เมื่อได้ไขมันมาแล้วก็จะมาทำการปั่นแยก โดยใช้เทคนิคให้ได้ไขมันที่มีคุณภาพสูง และไขมันที่จะนำมาใช้ฉีดมีขนาดเล็กลง จากนั้นแพทย์จะฉีดไขมันเข้าไปในตำแหน่งที่ต้องการโดยใช้เข็มขนาดเล็ก โดยมีเทคนิคพิเศษเพิ่มเติม ดังนี้
1. Autologous Fat graft คือ การดูดไขมันจากบริเวณหน้าท้อง ต้นขา หรือก้น มาผ่านกระบวนการคัดกรองให้เหลือเนื้อเยื่อไขมัน แล้วฉีดกลับเข้าไปเติมเต็มใบหน้าต่อไป
2. Cell-Assisted lipotransfer: CAL คือ การนำเนื้อเยื่อไขมันที่คัดกรองออกมาจากการดูดไขมันจากบริเวณหน้าท้อง ต้นขา หรือก้น แล้วนำมาผสมกับ สเต็มเซลล์ไขมันเ หรือ PRP ( เกร็ดเลือดเข้มข้น) เพื่อช่วยเพิ่มอัตราการอยู่ได้นานของไขมันที่ฉีดเข้าไป ไขมันสลายน้อยลง เทคนิดนี้ถือว่าดีกว่าแบบที่ แรก แต่ก็ราคาแพงกว่า ต้องอาศัยแพทย์ที่มีประสบการณ์และความชำนาญ

ข้อดี-ข้อเสีย-การเตรียมตัวก่อนฉีดเติมไขมัน

ข้อดีของการฉีดไขมันตัวเอง
-สามารถเติมได้ในปริมาณที่เราต้องการ โดยไม่จำกัดซีซี และราคาโดยรวมถูกกว่าฟิลเลอร์
– เป็นเซลล์ของตัวเราเอง จึงทำให้ไม่มีการต่อต้าน ไม่เกิดการแพ้ แต่ไม่ต้องกังวลเรื่องของปลอม ของไม่มีคุณภาพเหมือนกับการฉีดฟิลเลอร์
-สามารถเติมได้ทุกส่วนทั่วใบหน้า  หรือบริเวณอื่นๆ เช่น เติมหน้าอก เติมก้นได้
ข้อเสียของการฉีดไขมันตัวเอง
-ไม่สามารถดูดไขมันจากคนที่น้ำหนักตัวน้อยหรือผอมมากๆ ได้
– ต้องฉีดในปริมาณที่มาก เพราะไขมันที่ฉีดเข้าไปจะสลายไปเอง ประมาณ 30-40% นั่นหมายความว่า แพทย์บางท่านอาจจะต้องฉีดไขมันเกินไว้ หลังฉีดอาจจะหน้าบวมคล้ายปลาทอง เพราะต้องเผื่อไขมันสลายด้วย
– กรณีที่ฉีดปริมาณไม่มาก เพื่อป้องกันหน้าบวมแบบปลาทอง อาจจะต้องมาเติมบ่อยๆ จนกว่าจะพอใจ
– ไขมันจะถูกดูดซึมได้ค่อนข้างเร็วโดยประมาณใช้เวลา 6 เดือน และอาจจะต้องฉีดซ้ำอีกครั้ง


การเตรียมตัวก่อนฉีดไขมันเติมเต็มใบหน้า

  • แจ้งประวัติการแพ้ยา ยาและอาหารเสริมที่รับประทาน รวมถึงโรคประจำตัว และประวัติการผ่าตัดให้แพทย์ทราบ และนำยาที่รับประทานประจำมาให้แพทย์ประเมิน
  • งดรับประทานยาละลายลิ่มเลือด (กลุ่มยา Aspirin, Ibuprofen) วิตามินเอ อี ซี สมุนไพร โสม  ใบแปะก๊วย น้ำมันปลา ก่อนรับบริการ 2 สัปดาห์
  • งดสูบบุหรี่ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ก่อนผ่าตัดอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อและระยะการบวมที่นานกว่าปกติ
  • ไม่ต้องอดอาหาร แต่ควรรับประทานอาหารไม่ให้อิ่มเกินไป
  • งดการผ่าตัดในช่วงที่เป็นหวัด ไอ ไข้ หรือป่วย
  • ควรอาบน้ำสระผม ทำความสะอาดร่างกายให้สะอาดเรียบร้อยก่อนการผ่าตัด
  • ไม่ควรใช้เครื่องสำอางใดๆ ในบริเวณใบหน้า ที่ยากแก่การเช็ดออกก่อนการผ่าตัด เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อได้
  • เตรียมใส่เสื้อผ้าที่หลวมสบาย ถอดใส่ง่าย
  • ก่อนการผ่าตัดควรทำใจให้สบาย เพราะการฉีดไขมันเติมเต็มใบหน้าไม่น่ากลัวอย่างที่คิด

การปฏิบัติตัวหลังฉีดไขมันเติมเต็มใบหน้า

  • 24 ชม. แรก งดการนวดหน้า ทาครีม โลชั่น
  • 48-72 ชม.แรก ประคบเย็นด้วยเจลประคบ เพื่อลดบวม
  • ควรนอนให้ศีรษะสูงใน 3 วันแรก เพื่อลดอาการบวม
  • ควรพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 8 ชั่วโมง
  • หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด อาหารร้อน ของหมักดอง อาหารที่แข็งที่ย่อยยาก
  • งดแอลกอฮอล์ งดสูบบุหรี่ ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อและการบวมที่นานกว่าปกติ
  • รับประทานยาตามเวลาที่แพทย์สั่ง
  • มาตัดไหม ตามแพทย์นัด
  • ถ้ามีอาการผิดปกติหรือแดงมากให้กลับมาพบแพทย์


    ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อที่
    Facebook: https://www.facecook.com/clinicneo
  • Instagram: https://www.instagram.com/clinicneobydr.jarasphol/
  • Website: http://www.clinicneo.co.th/
  • Tel.: 02-399-3390-1,091-819-4930
Posted on

ก่อนจะดูดไขมัน ( Liposuction ) ควรจะรู้ว่า มีวิธีไหนได้บ้าง อย่างไร จะได้สวยปลอดภัย

ดูดไขมัน สร้างความมั่นใจ ให้หุ่นสวย ปลอดภัย

ไขมันส่วนเกิน คือ ไขมันที่เกิดจากการรับประทานอาหารเข้าไปในร่างกายและไม่สามารถที่จะขับออกจากร่างกายหรือไม่ได้เผาผลาญออกมาจากร่างกาย จึงกลายเป็น ไขมันส่วนเกินหรือ พลังงานส่วนเกิน อาจจะมีสาเหตุจากกรรมพันธุ์ที่ทำให้สัดส่วนบริเวณนี้ลดลงได้ค่อนข้างยาก หรือขาดการออกกำลังกาย หรือระบบการเผาผลาญในร่างกายมีความผิดปกติ
ดังนั้นการดูดไขมันส่วนเกิน จึงอาจจะเป็นทางเลือกที่ได้ผลดีและเห็นผลทันทีหลังทำ โดยบริเวณที่นิยมทำการดูดไขมัน มักจะเป็นบริเวณที่มีไขมันสะสมอยู่จำนวนมาก ถ้าเลือกใช้วิธีอื่นอาจจะได้ผลช้า และต้องทำหลายครั้ง เช่น บริเวณหน้าท้อง สะโพก  ต้นขา เป็นต้น

วัตถุประสงค์
1.ดูดไขมันเพื่อนำเซลล์ไขมันกลับมาใช้ เพื่อเสริมส่วนต่างๆ ของร่างกาย
2.ดูดไขมันเพื่อปรับปรุงรูปร่าง (เซลล์ไขมันไม่สามารถนำกลับมาใช้ได้อีก)
ข้อดีของการดูดไขมัน
1. สามารถเลือกกำจัดไขมันส่วนเกินที่สะสมตามร่างกายเฉพาะจุดได้ ได้ผลทันทีหลังทำ
2. ใช้เวลาในการพักฟื้นไม่นาน
3. สามารถนำไขมันส่วนเกินที่ถูกดูดออกมาแล้ว ไปเพิ่มที่อื่นได้ ทดแทนฟิลเลอร์ ราคาถูกกว่า และถือเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย
4. ถ้าคุณดูแลตัวเองให้ดีหลังจากที่ดูดไขมันไปแล้ว ผลของการรักษาก็จะอยู่ได้นานมากขึ้น
ข้อเสียของการดูดไขมัน
1.  อาจจะมีอาการฟกช้ำดำเขียวอยู่ช่วงหนึ่ง แต่จะค่อยๆ จางหายไปใน 4-6 อาทิตย์
2.  อาการผิวเป็นคลื่นๆ ไม่เรียบเนียนนั้น อาจเกิดได้จากการดูดไขมันที่ไม่มีความชำนาญ หรืออาจเกิดจากการดูแลตัวเอง
3.  แผลที่มาจากการดูดไขมันอาจมีอาการเจ็บบ้าง แต่ไม่มาก ช่วงเวลาพักฟื้นอาจมีเลือดหรือน้ำเหลืองไหลออกมา
4.  อาจจะมีโอกาสเป็นแผลนูน แผลคีรอยด์ได้
5. เมื่อดูดไขมันแล้ว อาจจะมีความนูนโค้งไม่เสมอกัน มีรอยย่นของกล้ามเนื้อในจุดที่ดูดไขมัน ทำให้ผิวพรรณดูไม่เป็นธรรมชาติ

วิธีดูดไขมันมีกี่แบบ

ตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน หลักการดูดไขมัน คือ การนำท่อขนาดต่างๆ กัน ใส่เข้าไปใต้ชั้นไขมันใต้ผิวหนัง แล้วใช้เครื่องมือที่มีความแรงในการดูดขนาดต่างๆ กัน วิธีการดูดไขมันมีหลายวิธีด้วยกัน ดังนี้
1. Syringe Method  เป็นการดูดไขมันด้วยอุปกรณ์สุญญากาศ โดยจะใส่ท่อขนาดเล็กลงในบริเวณที่ต้องการ ลงไปในชั้นไขมัน และใส่ยาชากับน้ำเกลือฉีดไปที่ด้วยเทคนิค Tumescent  เพื่อช่วยระงับความรู้สึกและลดการเสียเลือด ข้อดีของการดูดไขมันด้วยเทคนิคนี้จะช่วยเพิ่มความปลอดภัย ช่วยให้สามารถเอาไขมันออกมาได้ง่าย มักนิยมทำในบริเวณที่มีไขมันไม่มาก เพราะต้องใช้เวลาในการทำค่อนข้างมาก หรือทำการดูดไขมันมา หรือเพื่อนำไขมันมาฉีดเติมทดแทนฟิลเลอร์

2. Ultrasound Liposuction  เช่น VASER (Vibration Amplification of Sound Energy at Resonance ) เป็นการดูดไขมัน ด้วยการใช้พลังงานคลื่นเสียง ( Ultrasound ) ในระดับความถี่ที่เหมาะสมเพื่อเข้าไปทำปฏิกิริยากับไขมัน ทำให้ไขมันกลายเป็นของเหลว จากนั้นจึงใช้เครื่องมือดูดไขมันที่เป็นของเหลวออกมา มักจะใช้ในการดูดไขมันที่มีปริมาณมาก เช่น พุง ต้นขา สะโพก เพราะทำได้เร็ว ใช้เวลาน้อย นอกจากนี้ บางคนยังสามารถจะเอาวิธีมาดูดไขมัน สร้าง 6-Pack ได้ด้วย

3. Radio – Frequency Assisted Liposuction )  เช่น Body Tite คือ การใช้พลังงานจากคลื่นความถี่วิทยุ RF (Radio Frequency) ชนิด Bipolar พลังงานจากคลื่นความถี่วิทยุนี้ จะเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อนที่เนื้อเยื่อผิว ทำให้ไขมันสลายเป็นของเหลวก่อนจะถูกดูดออกมา ระหว่างการรักษาสามารถ ห้ามเลือดไปด้วยขณะทำการดูดไขมัน เพื่อลดการสูญเสียเลือดระหว่างการรักษ

4.Laser Liposuction  เช่น Smart Lipo Slimlipo, AccuSculpt  เป็นการดูดไขมัน ด้วยการใช้เลเซอร์ ในการสลายเซลล์ไขมัน โดยจะยิงเลเซอร์เข้าไปก่อน หลังจากนั้นจึงนำไขมันออกมา และยังช่วยทำให้ผิวกระชับขึ้นด้วย สามารถใช้รักษาในบริเวณที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยได้ และลดปัญหาผิวหย่อนคล้อยหลังการดูดไขมันแบบเดิมได้

5. Power and Vibration Liposuction  เช่น  PAL (Power Assisted Liposuction ) เป็นเครื่องมือที่ดูดไขมันใช้เข็มดูดไขมันที่การสั่นสะเทือนด้วยความถี่สูง คล้าย ๆ กับการสั่นของแปรงสีฟันไฟฟ้า  โดยมักจะทำร่วมกับวิธีอื่นๆ ซึ่งจะทำให้ดูดไขมันในส่วนที่ยากให้ออกมาง่ายขึ้น

6. Water Jet Liposuction : เช่น Body Jet เป็นการดูดไขมันโดยใช้พลังน้ำที่มีประสิทธิภาพการทำงานสูงในการแยกไขมันให้ออกจากเนื้อเยื่อส่วนต่างๆ โดยไม่ทำให้เนื้อเยื่อผิวหนังได้รับความบอบช้ำ ทำให้เซลล์ไขมันยังคงมีชีวิต และยังคงเต็มไปด้วยสเต็มเซลล์จึงสามารถนำไปใช้ประโยชน์ นำกลับไปฉีดเติมเต็ม ทดแทนฟิลเลอร์ในส่วนต่างๆของร่างกาย มักนิยมทำในบริเวณเล็กๆ เช่นไขมันใต้ตา หรือดูดไขมันที่ต้นขา เพราะจะนำมาฉีดเติมไขมันใบบริเวณอื่น

การดูแลตัวเองหลังการดูดไขมัน
การดูดไขมันนั้นมีผลถาวรเฉพาะกับไขมันที่ดูดออกไปแล้ว อย่างไรก็ตามก็สามารถมีไขมันเพิ่มมาได้ใหม่ หรือมีน้ำหนักเพิ่มได้อีก หากไม่ดูแลการรับประทานอาหารหรือการออกกำลังกายที่ดี หากต้องการผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ต้องควบคุมการรับประทานอาหารและการออกกำลังกายอย่างเหมาะสมต่อไป หลังจากขั้นตอนการดูดไขมันเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ศัลยแพทย์อาจให้สวมใส่ชุดบีบกระชับสัดส่วนเป็นเวลาประมาณ 1-2 เดือน เพื่อช่วยในการควบคุมอาการบวมที่เกิดขึ้น และอาจต้องรับประทานยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันการติดเชื้อที่อาจเกิดขึ้นในบางราย อีกอย่างที่ต้องระลึกไว้เสมอก็คือ การดูดไขมันไม่ได้ทำให้น้ำหนักตัวลดลง แต่ช่วยให้สัดส่วนดูดีขึ้น 

สอบถามเพิ่มเติมได้ที่
Facebook: https://www.facecook.com/clinicneo
Instagram: https://www.instagram.com/clinicneobydr.jarasphol/
Website: http://www.clinicneo.co.th/
Tel.: 02-399-3390-1,088-694-9266

Posted on

Growth factor จาก PRP ( Platelet Rich Plasma ) กับการรักษาผมร่วงและฟื้นฟูผิวให้ดูอ่อนกว่าวัย

Growth factor จาก PRP ฟื้นฟูทุกปัญหาผิว ผมร่วง

Growth factor คือ กลุ่มโปรตีนที่เซลล์ในร่างกายผลิตขึ้นและปล่อยออกมาเพื่อทำหน้าที่ให้เซลล์สื่อสารระหว่างกัน เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเจริญเติบโต การซ่อมแซมเซลล์ โดยจะคอยควบคุมกระบวนการสร้างเนื้อเยื่อใหม่เพื่อทดแทนเนื้อเยื่อที่เสียหายไป
Growth Factor อยู่ที่ไหน : พบได้ในร่างกายของมนุษย์ ประกอบด้วยสารหลายชนิด เช่น ไซโตไคน์ (Cytokine), ฮอร์โมน (Hormone), และอินเตอร์ลิวคิน (Interleukin) ซึ่งโกรทแฟคเตอร์ (Growth Factor) จะพบได้มากในสเต็มเซลล์ที่ยังเยาว์วัยและเจริญพัฒนาไม่เต็มที่ เช่น สเต็มเซลล์ที่ผิวหนัง สเต็มเซลล์ที่ไขมัน และสเต็มเซลล์ที่เม็ดเลือด (PRP) เป็นต้น
PRP ( Platelet Rich Plasma ) คืออะไร : PRP คือเกล็ดเลือดเข้มข้นที่สกัดแยกอออกมาจากเลือดของเราเอง โดยในองค์ประกอบของเลือด จะมีส่วนประกอบที่เป็นพลาสมา(น้ำเลือด) และส่วนประกอบที่เป็นเซลล์ ส่วนประกอบที่เป็นเซลล์ได้แก่ เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือด PRP ได้มาจากการปั่นแยกเลือดออกมา เพื่อให้ได้เกล็ดเลือดที่มีความเข้มข้นกว่าเลือดทั่วไป 3-4 เท่า และใน PRP จะประกอบไปด้วยสารต่างๆมากมายเช่น Growth Factor ซึ่งสารเหล่านี้จะช่วยทำให้เซลล์ต่างๆฟื้นตัวและทำงานได้เต็มประสิทธิภาพเหมือนตอนยังเป็นวัยรุ่น อีกทั้งเร่งอัตราการฟื้นฟูและซ่อมแซมร่างกายได้อย่างน่าอัศจรรย์ กระตุ้นการสร้าง Collagen Elastin และอื่นๆอีกมากมาย

ขั้นตอนของการทำ PRP
1. เจาะเลือดของคนไข้โดยปริมาณที่ต้องการ
2.  นำเลือดที่ได้มาผ่านกระบวนการปั่นแยกเกล็ดเลือดด้วยเครื่องปั่นเลือด
3.  เลือดจะแบ่งชั้นออกมาตามลำดับ คัดแยกเกล็ดเลือดที่สมบูรณ์เพื่อนำมาใช้ในการรักษา
4.  คัดแยกเกล็ดเลือดและพลาสมาที่สมบูรณ์เพื่อนำมาใช้
5.   แพทย์จะนำ PRP ที่สกัดได้ไปฉีดในบริเวณที่ต้องการ

Growth factor จาก PRP สามารถฉีดจุดไหนได้บ้าง :

มีการใช้วิธีรักษาผู้ป่วยด้วย PRP มาประมาณ 30 ปี โดยใช้ในการรักษาทางศัลยกรรมกระดูก และใช้ในการรักษาอาการบาดเจ็บของข้อหรือเส้นเอ็นจากการเล่นกีฬา โดย Growth factor จาก PRP มีคุณสมบัติในการเรียกสเต็มเซลล์ ในร่างกายออกมาทำการซ่อมแซมอาการบาดเจ็บ และรักษาในจุดนั้นๆ ให้หายเร็วขึ้น ต่อมาได้มีการพัฒนาให้สามารถฉีดตามส่วนต่างๆของร่างกายได้ โดยเฉพาะในส่วนที่ต้องการการฟื้นฟูเป็นพิเศษ เช่น
1. หากฉีดบริเวณหนังศีรษะรักษาผมร่วง ศีรษะล้าน โดยจะทำให้หนังศีรษะและเส้นผมดกดำมากขึ้น เส้นใหญ่ขึ้น และมีความแข็งแรงมากขึ้น
2. การฉีดบนใบหน้า เพื่อให้ผิวหน้าเด้ง อิ่มน้ำ ผิวหนังกลับมาแข็งแรงเหมือนผิวเด็กที่ยังไม่เคยโดนมลภาวะมาก่อน
3. ฉีดร่วมกับการฉีดไขมัน เพื่อให้หน้าอิ่มและเปล่งปลั่งมากขึ้น รวมถึงเป็นการเสริมประสิทธิภาพให้ไขมันที่ฉีดเข้าไปอยู่กับใบหน้าของเราได้นานขึ้นด้วย
4. ฉีดบริเวณโคนของอวัยวะเพศชาย ช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ

การเตรียมตัวก่อนทำ PRP

-ควรนอนพักผ่อนอย่างน้อย 8 ชั่วโมง
-ดื่มน้ำให้มากๆ ประมาณ 2 ลิตร
-เพื่อผลลัพธ์ที่ดีควรได้รับวิตามินซีวันละ 1000 มก ประมาณ  1 อาทิตย์ ก่อนการทำ
-ห้ามรับประทานยา กลุ่ม ASA หรือ NSIAD ก่อน ทำ 2-3 วัน
-งดแอลกอฮอล์อย่างน้อย 2-3 วัน