Posted on

หน้าขาวใส ไร้จุดด่างดำ ทำได้หลายวิธี แบบไหน อย่างไร ได้ให้ผลดี ปลอดภัย ไม่มีผลข้างเคียง

หน้าขาวใส ไร้จุดด่างดำ ทำได้หลายวิธี ดีแตกต่างกัน

“ผิวหน้าขาวใส” จัดเป็นความต้องการอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่รักความสวยงาม ไม่ว่าเพศไหน วัยไหน เป็นค่านิยมที่ฮิตติดเทรนด์ ยิ่งไม่มีสิว ฝ้า กระ รอยด่างดำ แผลเป็น รอยหลุม จึงเป็นยอดปรารถณาเป็นอย่างยิ่ง แต่พอค้นใน Google มีให้เลือกเยอะมาก จนสับสนว่าจะเลือกวิธีไหนดีใ ดังนั้นผู้เขียนจึงพยายามจะรวบรวมเทคนิคหน้าใสต่างๆ เหล่านี้ ไว้ในบทความนี้ เพื่อสะดวกในการเลือกใช้ให้เหมาะสมกับผิวหน้า ปัญหา และความต้องการของแต่ละท่าน พร้อมข้อดี ข้อเสียแต่ละแบบ ขอเรียงลำดับตามความนิยม และการได้ผลดี จากมากไปน้อยนะครับ ดังนี้นะครับ
1.เมโสหน้าใส ( Meso bright) : เป็นการรักษาที่ได้รับความนิยมสูงสุด ในกลุ่มวัยรุ่น ที่ต้องการเห็นผลท้ันทีหลังทำ หลักการคือการฉีดสารไวเทนนิ่งที่มีส่วนผสมขนานต่างๆ เช่น วิตามินเอ,ซี Glutathione,Placental Extracts เข้าสู่ผิวชั้นใน (ในชั้น Mesoderm) ด้วยปืนยิงดิจิตอล หรือ ใช้เข็มสะกิดไปทั่วใบหน้า ลงไปใต้ผิวหนัง ชั้นหนังแท้ (Dermis) เพื่อจุดมุ่งหมายในการยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน หลังทำนอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มการไหลเวียนของระบบโลหิตและระบบน้ำเหลือง ทำให้ผิวหน้าอ่อนเยาว์และช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เสมือนเติมอาหารและวิตามินให้แก่ผิวโดยตรง สามารถทำบ่อยได้เท่าที่ต้องการ
ข้อเด่น : ทำให้ผิวหน้าขาวใส เห็นผลทันทีได้ และไม่ต้องทำบ่อยๆ สามารถทำบ่อยได้เท่าที่ต้องการ
ข้อด้อย : อาจจะมีความรู้สึกเจ็บเล็กน้อย ในขณะที่ทำ ในบางคนอาจจะเกิดการอักเสบ หรือคัน บวมแดง และเกิดจุดเลือดออกบริเวณที่ฉีดได้ ไม่ช่วยรอยแดงสิว

2. มาเด้ คอลลาเจน ( Made’ Collagen) : เป็นการฉีดยาตามจุดฝังเข็ม 20 จุด ตามศาสตร์จีนโบราณ โดยใช้ ที่มีทั้งวิตามินรวม แร่ธาตุ เอนไซม์ และเซลล์บำบัด ( Placenta) และคอลลาเจน ที่ผสมกัน แบบธรรมชาติบำบัด ( Homeopathy ) มาเด้ คอลลาเจน จะทำงานอย่างเป็นขบวนการ และจังหวะที่สอดคล้องกัน ทั้งการทำดีทอกซ์ผิว กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด การให้อาหารกับผิว ปรับความสมดุล ฟื้นฟูผิว กลับสู่ความเยาววัย ทำใหผิวฉ่ำวาว มีออร่า เหมาะกับคนที่มีปัญหาผิวแห้ง ผิวหมองคล้ำ หน้าดูอิตโรย ไม่สดใส
ข้อเด่น :  ทำให้ผิวใส ดูมีน้ำมีนวล ทันทีหลังทำ ไม่เคยมีหลักฐานการแพ้ตัวยาที่ฉีด
ข้อด้อย : ไม่เหมาะกับคนที่กลัวเข็ม หรือเขียวช้ำง่าย การฉีดไปตามจุดฝังเข็ม จะค่อนข้างเจ็บมาก บางคนทนไม่ไหว ไม่ช่วยเรื่องฝ้า กระ รอยดำ รอยแดงสิว

3.Oxygen -Jet Peel : หน้าใส ฉ่ำน้ำด้วยออกซิเจนบริสุทธิ์เข้มข้น ส่งผ่านด้วยความแรงสูงที่ความเร็ว 200 เมตรต่อวินาที (Jet Spray ) จะถูกนำพาผิว ช่วยชะล้างสิ่งสกปรกในผิวหน้าได้ล้ำลึกยิ่งขึ้น ทำให้ผิวเนียนนุ่ม นอกจากนี้ ออกซิเจน มีสรรพคุณเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ(Anti-Oxidants) ที่ดี จึงช่วยลดริ้วรอย แก่ก่อนวัย
ข้อเด่น : หน้าขาวได้ไว หลังทำสังเกตได้ชัดเจน ไม่พบผลข้างเคียงใดๆ หน้าไม่ลอก ไม่ต้องเลี่ยงแดด เหมาะกับทุกสภาพผิว แม้ผิวที่แพ้ง่าย
ข้อด้อย:  อยู่ได้ไม่นาน เพราะออกซิเจนสลายได้ไว ต้องทำบ่อยๆ ทุก 1-2 อาทิตย์ ไม่ช่วยเรื่องฝ้า กระ รอยดำ หรือรอยแดงสิว

4. เลเซอร์หน้าใส (Micro-Laser Peel) : เป็นการทำให้หน้าขาวใส โดยใช้เลเซอร์ ที่มีคุณสมบัติเฉพาะแต่ละปัญหา โดยแยกการทำงาน ว่าจะยับยั้งการสร้างเม็ดสี ลดการสร้างเม็ดสีให้จางลง จาก รอยดำ ฝ้า กระ เลเซอร์เม็ดสี กลุ่ม Q-Switch Nd:YaG Laserเช่น Revlite Lase, Medlite C-6 ที่มารักษา หรือ กลุ่มรอยแดง จากสิว ผิวไม่เรียบเนียน ด้วย V-beam laser
ข้อเด่น : หน้าขาวได้ไว หลังทำสังเกตได้ชัดเจน แก้ปัญหาฝ้า กระ รอยด่างดำ รอยแดงสิว กระชับรูขุมขน ได้ดี และเร็วกว่าทุกๆ วิธี และ เหมาะกับทุกสภาพสีผิว แทบจะไม่มีผลข้างเคียงใดๆ หลังทำไม่ต้องพักฟื้น ไปทำงานได้ปกติ
ข้อด้อย: ราคาค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับวิธีอื่น


5. ครีมทาหน้าขาว(Whitening creams : คือการทาครีมทำให้หน้าขาว อาศัยขบวนการ ให้ครีม หรือสารทั้งหลาย ต้องมีฤทธิ์ในยับยั้ง ขบวนการสร้างเม็ดสีให้ลดลง เมื่อใช้ไปต่อเนื่อง ก็จะค่อยๆ ทำให้สีผิวขาวขึ้นได้ระดับหนึ่ง
ข้อเด่น : ทำให้สีผิวค่อยๆ ขาวขึ้น โดยไม่พบผลข้างเคียงใดๆ ยกเว้นในรายที่แพ้ตัวยาบางตัว
ข้อด้อย: ได้ผลแตกต่างกันในแต่ละคน ขึ้นอยู่สีผิว ส่วนประกอบของครีมความสม่ำเสมอในการทาครีมก็แตกต่างกัน จึงไม่เหมาะกับผู้ที่ใจร้อน และอาจจะทำให้แพ้ได้ในบางคน

6. การลอกผิวด้วยกรดผลไม้ (Chemical Peeling ) คือ การเร่งให้ผิวหนังหลุดลอกออกเร็วขึ้น โดยใช้สารเคมี อาทิ กรดผลไม้เข้มข้น เช่น 30-70 % AHAs,30-50% TCA การเลือกใช้สารเคมีใด ความเข้มข้นเท่าไหร่ ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ หลักการรักษา คือทำให้เกิดการทำลายเซลล์ผิวหนังให้น้อยที่สุด และมีการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ให้มากที่สุด
ข้อเด่น : ผิวหน้าขาวไวภายใน 3-7 วันหลังทำ นอกจากนี้ยังช่วยทำให้รอยด่างดำ ฝ้า กระ จางลงได้
ข้อด้อย: ทำให้ผิวหน้าลอกได้หลายระดับ ขึ้นอยู่กับความเข้มข้น ระยะเวลาที่ทาทิ้งไว้ ถ้าลอกมากเกินไป หรือลอกบ่อยๆ ผิวหน้าจะบางลงได้ บางรายที่แพ้สารเคมีที่ใช้ แทนที่ผิวหน้าจะขาวใส อาจจะแพ้ แดง ระคายเคือง ผิวหน้าไหม้เกรียม ดำคล้ำขึ้นกว่าเดิมก็ได้ วิธีนี้ไม่เหมาะกับคนสิีผิวคล้ำ หรือต้องออกแดดบ่อยๆ

7.ไอออนโต( Iontophoresis) : คือ การใช้เครื่องมือ ที่ทำให้ตัวยาไวเทนนิ่ง แตกตัวเป็นประจุ เพื่อให้ตัวยาซึมลึกเข้าสู่ผิวได้ดีขึ้น ทำให้ได้ผลมากขึ้น และเร็วขึ้นกว่าการทาไวเทนนิ่งครีมปกติ
ข้อเด่น : มีความปลอดภัย และมีผลข้างเคียงน้อยมาก หลังการรักษาสามารถใช้ยาหรือครีมทาได้ตามปกติ ออกแดดได้ ผิวหน้าจะลอกเป็นขุยไม่มาก หรือ ไม่ลอกเลย เหมาะสำหรับคนที่ผิวมัน และมีสิว ไปด้วย เพราะจะช่วยทำให้ผิวหน้าแห้งลงได้ สิวลดลงได้เช่นกัน
ข้อด้อย: อาจจะรู้สึกเจ็บหรือคันยุบยิบในระหว่างทำ (ซึ่งบางคนไม่ชอบ ) ไม่สามารถทำได้ทุกจุดบนใบหน้า บางคนอาจจะทำให้สิวเห่อมากขึ้นได้ โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติผิวหน้าแพ้ง่าย

8. Phonophoresis : คือ เทคนิคการทำให้ผิวหน้าขาวใส โดยเครื่อง อัลตราโซนิค โดยใช้คลื่นความถี่สูง 20,000 Hz ผลักตัวยากลุ่มไวเทนนิ่งให้ลงลึกสู่ผิวหน้า ไปออกฤทธิ์ได้เร็วขึ้น ถือว่าเป็นวิธีทีสะดวก เพราะราคาไม่แพง
ข้อเด่น : ทำให้ผิวหน้าเนียนใสได้ โดยที่ไม่รู้สึกเจ็บปวด หรือคันยุบยิบเหมือนการทำไอออนโต นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตให้ดีขึ้น ช่วยทำให้กระชับผิวหน้า ลดริ้วรอยได้ด้วย เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวแห้ง
ข้อด้อย: ไม่เหมาะกับผู้ที่มีผิวหน้ามัน เพราะกระตุ้นให้เกิดสิวเห่อขึ้นได้ มีโอกาสเกิดการแพ้ยาที่ใช้ ได้ผลการรักษาช้า ไม่แน่นอน เพราะมีการงานวิจัย เชื่อว่าไม่ได้ผลเหมือนกัน

9.การกรอผิวด้วยเกร็ดอัญมณี(Microdermabrasion) : เป็นการกรอผิวหนังที่มีปัญหาในชั้นหนังกำพร้า ให้หลุดลอกออกด้วยเกร็ดอัญมณี (Aluminium Oxide) ขนาดเล็กมาก โดยให้วิ่งตามการพ่นของเครื่องปั๊ม โดยมีการปรับความแรง ความเร็วในการพ่นผลึกดังกล่าวได้ตามต้องการของผู้ใช้ เหมาะผิวหน้าที่มีปัญหา รอยด่างดำ หมองคล้ำ
ข้อเด่น : ทำให้ผิวหน้าขาวใส ได้ในทันทีหลังทำ แต่จะมากน้อย แค่ไหน ขึ้นอยู่กับความลึกตื้นในการกรอผิว ระยะเวลาในการทำ นอกจากนี้ยังช่วยทำให้ ผิวหน้ามันลดลง รูขุมขนกระชับขึ้นได้
ข้อด้อย: ขณะทำการกรอผิว อาจจะรู้สึกแสบเคือง ระคายผิว และเจ็บในระหว่างที่ทำ และไม่สามารถทำได้ในผู้ที่มีปัญหาสิวอักเสบรุนแรง หรือผิวแพ้ง่าย ผู้ที่ตากแดดบ่อยๆ หลังทำต้องเลี่ยงแดด ถ้าทำบ่อยๆ อาจจะทำให้ผิวหน้าบางลงได้

Posted on

Chelation Therapy : การกำจัดสารพิษ โลหะหนัก ในเส้นเลือด เพื่อสุขภาพที่ดี ชีวิตยืนยาว

โลกปัจจุบัน เต็มไปด้วยมลพิษ ทั้ง น้ำ และอากาศ ดิน อาหาร ทุกอย่างล้วนมี โอกาสที่จะปนเปื้อนสารพิษ โลหะหนักได้ สารพิษโลหะหนักพบได้ในวัสดุก่อสร้าง เครื่องสำอาง ยารักษาโรค อาหารที่ผ่านกระบวนการ ต่าง ๆ แหล่งเชื้อเพลิงผลิตภัณฑ์สำหรับดูแลสุขภาพ สิ่งมีชีวิตต่าง ๆ รวมถึงมนุษย์
ซึ่งจะก่อให้เกิดความผิดปกติ ในการแบ่งตัวของเซลล์ทำให้ความสามารถในการนำสารอาหารไปหล่อเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายน้อยลง ส่งผลให้เกิดความเสื่อมสภาพของอวัยวะในร่างกายอย่างต่อเนื่อง
Chelation Therapy คืออะไร? 
คือ การให้สารน้ำทางหลอดเลือด ที่มีสารประกอบประเภทกรดอะมิโน ที่เรียกว่า EDTA ผสมกับวิตามินและแร่ธาตุ ซึ่ง EDTA ทำหน้าที่สำคัญ ในการจับสารโลหะหนักเช่น ตะกั่ว ปรอท สารหนู หรือ แม้แต่แคลเซี่ยมส่วนเกิน ซึ่งสะสมตกค้างในเนื้อเยื่อ และพอกอยู่ ตามผนังหลอดเลือดของเรา เพื่อขจัดออก ทางระบบปัสสาวะ
ระยะเวลาในการทำ แต่ละครั้ง ประมาณ 2.5-3 ชั่วโมง ระหว่างที่ทำสามารถ พักผ่อน ดูโทรทัศน์ อ่านหนังสือหรือฟังเพลงได้ตาม ปกติธรรมดา ภายหลังจากการเสร็จการรักษาสามารถ ประกอบกิจกรรมได้ตามปกติไม่จำเป็นต้องนอนพัก

Chelation Therapy มีกลไกการรักษาอย่างไร ? 
EDTA จะไปจับกับโลหะหนัก เช่น เหล็ก และ แคลเซี่ยม ซึ่งสะสมพอกอยู่ตามผนังหลอดเลือด( Plaque) ให้ไหลเวียนออกมาในกระแสเลือด รวมไปถึงโลหะหนักเป็นพิษที่สะสมอยู่ในเนื้อเยื่อร่างกายด้วย นอกจากนี้ วิตามินและแร่ธาตุ โดยเฉพาะสารต้านอนุมูลอิสระในขนาดที่เรียกว่า Megadose (ขนาดมากพอที่จะส่งผลในการรักษา) ก็จะไปรักษาหลอดเลือด ทำให้ผนังหลอดเลือดดีขึ้น เส้นเลือดจะไม่ตีบตัน

Chelation Therapy มีประโยชน์อย่างไร 

  1. ขจัดสารพิษตกข้างในร่างกายและระบบหลอดเลือด
  2. ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง
  3. ทำให้ระบบการไหลเวียนโลหิตดีขึ้น
  4. ลดอัตราเสี่ยงของหลอดเลือดแข็งอุดตันและตีบแคบซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจขาดเลือด
  5. ป้องกันโรคความเสื่อมต่างๆที่เกิดขึ้นจากระบบหมุนเวียนที่ไม่ดี

    ผลข้างเคียงจากการทำ Chelation Therapy 
    ระยะแรกบางท่านอาจมีอาการอ่อนเพลีย อันเนื่องจากกระบวนการขับสารพิษออกจากร่างกาย อาการที่เกิดขึ้น แก้ได้โดยการพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำผลไม้และรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางอาหารครบถ้วนตามความ ต้องการของร่างกาย

Chelation Therapy เหมาะกับใคร

  1. ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการอุดตันของหลอดเลือด เช่น อุดฟันด้วยโลหะ อมัลกัม มีไขมันในเส้นเลือดสูง มี oxidative stress (ระดับอนุมูลอิสระสูง) เช่น ดื่มชา กาแฟ แอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ ฯลฯ
  2. ผู้ที่มีปัญหาพิษโลหะสะสมและปัญหาสารพิษอื่นๆ สะสมในร่างกาย
  3. ผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอ การไหลเวียนเลือดบกพร่อง มีอาการ เช่น เวียนหัวง่าย ฯลฯ
  4. ผู้ที่มีปัญหาโรคความดันโลหิตสูง เนื่องจากหลอดเลือดไม่ยืดหยุ่น
  5. ผู้ที่แข็งแรงดี แต่ต้องการป้องกันตนเองจากโรคมะเร็งและโรคเส้นเลือด ตีบตัน รวมทั้งต้องการกำจัดสารพิษและโลหะหนักออกจากตัวและ ต้องการรักษาสภาพของเส้นเลือดทั่วตัว ไม่ให้เกิดการอุดตันในอนาคต
  6. ผู้ที่ไปทำบอลลูนเส้นเลือด,ใส่ขดลวด,ทำบายพาส มาแล้ว เพราะจะเกิดการอุดตันใหม่เร็ว ๆ นี้ การทำคีเลชั่น จะลดปัญหาเหล่านั้นได้

ขั้นตอนในการทำ Chelation Therapy 

  1. พบแพทย์เพื่อซักถามประวัติและตรวจร่างกาย วัดความดันโลหิต และจะมีการคำนวณปริมาณยาที่เหมาะสมเป็น รายบุคคล
  2. ทำการตรวจ LAB พื้นฐานเพื่อหาปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เช่น ตรวจหน้าที่ของไต เป็นต้น
  3. ทำการตรวจวิเคราะห์ผลเลือด (Live Blood Analysis) ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญมากสามารถบ่งบอก ภาวะของเลือด ในขณะที่เซลล์ยังมีชีวิตซึ่งสามารถประเมินภาวะของร่างกายได้หลากหลายครอบคลุมในหลายๆ โรค
  4. ทำการบำบัดด้วย คีเลชั่นบำบัดตามสูตรยาที่เหมาะสม แก่ผู้เข้ารับการบำบัดแต่ละราย
  5. นัดติดตามผลเป็นระยะ ซึ่งระยะเวลาขึ้นกับลักษณะของโรคที่เรามีปัญหาอยู่

Posted on

Live Blood Analysis : การตรวจวิเคราะห์ชีวเคมี เลือดขณะยังมีชีวิต ทางเลือกในการดูโลหะหนัก

Live Blood Analysis คืออะไร

คือ การตรวจชีวเคมีในร่างกาย โดยการตรวจวิเคราะห์ส่วนประกอบของเม็ดเลือดขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ เพื่อดูลักษณะ เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว น้ำเลือด รวมทั้งสิ่งผิดปกติในเลือด ซึ่งบ่งบอกถึงสภาวะที่แท้จริงของร่างกาย
โดยผลการวิเคราะห์จะแสดงความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดให้ ทราบทันที แบบ Real Time ผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ วิเคราะห์ผลกันในทันที โดยเห็นภาพร่วมกันทั้งแพทย์และคนไข้
ผลที่ได้จากการวิเคราะห์ อาจจะพบเห็น สารตกค้างในเลือด สารพิษ สารโลหะ หนัก ไขมัน ภาวะเลือดผิดปกติ ภาวะเลือดจาง หรือความผิดปกติในระบบต่างๆ ในร่างกาย เช่น ระบบการย่อยอาหาร โรคภูมิแพ้ ระบบฮอร์โมน ตลอดจนภาวะการขาดสารอาหารหรือวิตามินบางอย่าง ซึ่งมีประสิทธิภาพในการช่วยประเมินความเสี่ยงในการเกิดโรค และความ เสื่อมต่างๆ ของร่างกาย เพื่อนำไปสู่การฟื้นฟูและการรักษาที่ถูกวิธี

ประโยชน์ที่จะได้จากการตรวจ Live Blood Analysis 
ผลวิเคราะห์ด้วยวิธีนี้ จะบ่งบอกถึง ลักษณะการใช้ชีวิตทั่วๆ ไป เช่น การรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย การพักผ่อน และแนวโน้มการเกิดโรค โดยจะดูองค์ประกอบหลักๆ ได้ดังนี้

  1. ระบบย่อยอาหาร ภาวะการดูดซึมอาหาร เพื่อวินิจฉัยระบบการย่อยอาหาร ว่ามีความผิดปกติอย่างไรหรือไม่
  2. สารพิษตกค้างในเลือด เช่น โลหะหนัก ต่างๆ ที่ได้รับจากสิ่งแวดล้อมโดยตรงหรือทางอ้อม
  3. ความสมดุลของฮอร์โมนเพศในร่างกาย
  4. สารอนุมูลอิสระในเลือด
  5. ระบบภูมิคุ้มกัน และภาวะภูมิแพ้ ของร่างกาย
  6. ระบบการหมุนเวียนของเลือด

ขั้นตอนการตรวจ Live Blood Analysis 

  1. แพทย์จะใช้วิธีตรวจโดยเครื่องมือเจาะเลือดแบบปากกา ซึ่งเจ็บเพียงเล็กน้อย และต้องการเลือดเพียง 1 หยด
  2. นำเลือดที่ได้ มาแตะที่สไลด์บางๆ แล้วนำไปส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ ชนิดพิเศษ ที่เรียกว่า Darkfield Microscope  ที่เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ ซึ่งจะสามารถแสดงผลขึ้นหน้าจอทันที เราจะเห็นภาพการกระจายตัวของเม็ดเลือด ชนิดต่างๆ สารพิษตกค้าง ไขมันในเลือด แบคทีเรีย หรือความผิดปกติอื่นๆ ได้ทันที ดูน่าตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก
  3. เมื่อทราบความผิดปกติที่เกิดขึ้น แพทย์จะให้คำแนะนำในการปฏิบัติตน เปลี่ยน Life Style ที่ไม่ถูกต้อง หรือวางแผนการรักษา เพื่อแก้ไขสิ่งที่ผิดปกติ เช่น การให้วิตามินหรืออาหารเสริม การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร หรือการกำจัดสารพิษด้วยการทำ