Posted on

มือเหี่ยว ดูเหมือนแก่ก่อนวัย ป้องกันแล้วก็ไม่ไหว แก้ไขได้ ด้วยการฉีดฟิลเลอร์ (Hand Rejuvenation with Fillers)

4 เคล็ดลับ ป้องกัน มือเหี่ยว

– ในแวดวงความงามในปัจจุบัน คนส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นเกี่ยวกับการดูแลความงาม และฟื้นฟูผิวหน้า ให้กลับมาสดใส แลดูเยาว์วัย กันเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็มีบางอย่างที่บางคนละเลย หรือไม่สนใจ นั่นก็คือ มือ
แม้จะปกปิดอายุที่แท้จริง จากใบหน้าที่เต่งตึงได้ แต่ส่วนใหญ่กับมือกลับเป็นตัวบ่งบอกอายุที่แท้จริงของเราได้อีกทางหนึ่งทีเดียว ดังนั้นนอกจากดูแลผิวหน้าและผิวตัวเป็นอย่างดีแล้ว อย่าปล่อยให้มือต้องเหี่ยวอย่างเดียวดาย เอาเทคนิคนี้ไปใช้ ให้มือเด็ก เนียนนุ่ม ไม่ดูเหี่ยวจนฟ้องอายุด้วยค่ะ ถ้าไม่อยากให้หนุ่มๆ จับแล้วว่าแก่ มาดู 5 เคล็ดลับนี้นะครับ
1. ทาครีมบำรุง ถึงแม้เราจะใช้มือทาครีมและคิดว่ามือก็ได้รับการบำรุงจากครีมทาผิวอยู่แล้ว แต่ถ้าจะให้ดีก็ลองเลือกครีมทามือโดยเฉพาะด้วยดีกว่า จะได้เน้นบำรุงไปที่ริ้วรอยและความหยาบกร้านของมือตรงจุดไปเลย ทาบ่อยๆ ทุกครั้งหลังล้างมือก็ยิ่งดี
2. ทากันแดด เพราะแสงแดดมีแสงยูวีที่ นอกจากจะทำให้มือดำคล้ำแล้ว ยังทำให้มือเหี่ยวก่อนวัยได้ด้วย
3. ทำพาราฟินมือ คือการใช้แว็กซ์หรือขี้ผึ้ง มาละลายให้อุ่นๆ แล้วเอามือค่อยๆ จุ่มลงไป ซึ่งความอุ่นจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด เพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ ช่วยบรรทาอาการนิ้วล็อคได้ เมื่อมือของเรามีการไหลเวียนของเลือดที่ดีแล้ว ก็จะทำให้มือนุ่มขึ้นด้วยนั่นเอง แต่อาจจะต้องทำต่อเนื่องเรื่อยๆ
4. ใส่ถุงมือเข้านอน หลังทาครีมเรียบร้อย เวลาเข้านอน อาจจะมีแอร์ที่ทำให้ครีมระเหยได้ง่าย การใส่ถุงมือก่อนนอน จะได้ป้องกันความมือแห้ง และเป็นการป้องกันครีมจะได้ซึมเข้าผิวไม่หลุดง่าย

ฟิลเลอร์ ฟื้นคืนความเยาววัยให้มือได้ (Hand Rejuveantion)

Fillers : จัดเป็นทางเลือกหนึ่ง เพื่อการฟื้นฟูมือให้ดูอ่อนกว่าวัยที่แท้จริง เห็นผลทันที ไม่มีต้องทำศัลยกรรม โดยจะช่วยบำรุงและฟื้นฟูสภาพผิวอย่างเป็นธรรมชาติ โดยคุณสมบัติของ Hyaluronic acid ที่มีสรรพคุณดูดน้ำให้ผิว ทำให้ผิวแต่งตึงทันทีหลังฉีด แต่ควรเลือกชนิดของฟิลเลอร์ที่มีคุณสมบัติเฉพาะที่ ปั้นได้ง่าย ไม่เป็นก้อนหลังฉีด เพราะหลังมือเป็นบริเวณที่บอบบาง สังเกตได้ง่าย และที่สำคัญต้องฉีดสลายได้ เมื่อไม่พอใจ

Fillers ที่ดี ที่จะฉีดมือ ควรจะมีคุณสมบัติพิเศษดังนี้ คือ 

  1. ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวโดยการสร้างสมดุลให้กับเซลล์ผิวเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว
  2. ช่วยสร้างไฟโบรบลัสท์ (Fibroblast)สร้างเซลส์ใหม่อย่างครบวงจร
  3. ช่วยปกป์องผิวจากการทำลายของอนุมูลอิสระและแสงแดด
  4. ให้ความชุ่มชื้น เต่งตึงลดริ้วรอย ขาวใส และความอ่อนเยาว์ อย่างยั่งยืน
  5. เป็นฟิลเลอร์ที่มีคุณสมบัติลื่นไหล โมเลกุลเล็ก ปั้นแต่งได้ง่าย ดูดน้ำได้ดี เพราะมือมักจะแห้งได้ง่าย และมีปลอดภัย ผ่านอ.ย.
  6. เลือกฟิลเลอร์ที่มีอายุไม่นาน เพราะผิวที่มือ เปลี่ยนแปลงตามอายุ ถ้าฉีดฟิลเลอร์ที่อยู่นานหลายๆ ปี อาจจะมีปัญหาเป็นก้อนๆ ได้ เพราะมือเราต้องขยับเคลื่อนไหวตลอดเวลา
  7. ฉีดสลายได้ เมื่อไม่พอใจ
เห็นผลทันที หลังฉีดฟิลเลอร์
ฉีดฟิลเลอร์อยู่ได้นาน 10-12 เดือน
Posted on

DHEA : ฮอร์โมนที่จัดเป็นกลุ่มอาหารเสริม เพื่อการชะลอวัย ช่วยให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น

Portrait of smiling senior man using laptop on porch

DHEA คืออะไร

DHEA ย่อมาจาก Dehydroepiandrosterone จัดเป็นฮอร์โมนเพศชนิดหนึ่ง ที่ผลิตจากต่อมหมวกไต ( Adrenal glands บริเวณที่เรียกว่า Zona reticularis ) พบมากที่สุดในร่างกายของมนุษย์
DHEA เป็นฮอร์โมนตั้งต้นของฮอร์โมนเพศที่สำคัญ อันได้แก่
1. Testosterone(ฮอร์โมนเพศชายที่สำคัญ)
2. Estrogen(ฮอร์โมนเพศหญิงที่สำคัญ)
3. Androstenidione
DHEA จัดเป็นกลุ่มฮอร์โมนชะลอความชรา (Anti-aging hormone) เช่นเดียวกับฮอร์โมนเพื่อการเจริญเติบโต (Growth Hormone) ,Testosterone,Estrogen และเมลาโตนิน (Melationin) โดย DHEA มีหน้าที่สำคัญๆ ดังนี้
1. ควบคุมการผลิตฮอร์โมน 18 ตัวในร่างกาย อย่างเป็นระบบ ที่สำคัญเป็นต้นตอของฮอร์โมนเพศชายและฮอร์โมนเพศหญิง
2. ลดการสะสมของไขมัน
3. เพิ่มภูมิคุ้มกัน โดยการกระตุ้นการผลิตและการทำงานของเม็ดเลือดขาว
4. ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ มะเร็งตับ และมะเร็งผิวหนัง
5. เพิ่มการทำงานของสมอง ช่วยให้ความจำดีขึ้น ชะลออาการของผู้ป่วยอัลไซเมอร์
6. ลดอาการวัยทองในสุภาพสตรี ช่วยในการเพิ่มความหนาแน่นของกระดูก ลดโคเลสเตอรอล และลดอาการซึมเศร้า
7. ลดความเสี่ยงต่อการเกิดเส้นเลือดหัวใจตีบ เนื่องจากมีหลักฐานว่าช่วยลดระดับฮอร์โมน cortisol ที่เกี่ยวข้องกับความเครียดและเป็นสาหตุหนึ่งของการเกิดโรคหัวใจ
8. ช่วยทำให้เส้นผมและขนเจริญเติบโต โดยเฉพาะบริเวณรักแร้ หัวเหน่า (pubic hairs)
9. ช่วยทำให้ผิวพรรณเต่งตึง ลดริ้วรอย เสริมสร้างคอลลาเจน
10. ช่วยทำให้สมรรถภาพทางเพศดีขึ้น

DHEA Food Source
DHEA Supplements

ฮอร์โมน DHEA ปกติร่างกายจะสร้าง ตั้งแต่อยู่ในครรภ์และจะมีมากที่สุดเมื่ออายุประมาณ 25 ปี หลังจากนั้นจะลดลงเรื่อยๆ พบว่า เมื่ออายุ 65 ปีจะมีปริมาณเหลือเพียง 20% ของคนหนุ่มสาว (อายุ 20 ปี ) นอกจากนี้ สาเหตุบางอย่าง เช่น ความเครียด การสูบบุหรี่ ก็ทำให้ระดับฮอร์โมน DHEA ลดลงได้เช่นกัน

DHEA ตรวจได้อย่างไร :
ปัจจุบัน ประเทศไทยเราสามารถจะตรวจหาระดับฮอร์โมน DHEA ได้ในกระแสเลือด โดยการตรวจต้องส่งห้องแลบที่ทำการให้บริการด้าน Anti-Aging โดยเฉพาะ เพราะตามรพ.ทั่วๆ ไป อาจจะยังไม่สามารถให้บริการได้ โดยเมื่อตรวจพบว่า ร่างกายเรามีระดับฮอร์โมน DHEA ลดลง เราจะได้ป้องกันอาการต่างๆ และหาทางเพิ่มระดับฮอร์โมนนี้ให้สูงขึ้น หรือเข้าสู่ภาวะปกติได้

ภาวะพร่อง DHEA :
โดยพบว่า เมื่อใดที่ร่างกายมีภาวะพร่องฮอร์โมน DHEA ( DHEA Deficiency) จะพบมีอาการดังต่อไปนี้

  1. อาจจะมีอาการผมร่วงทั่วหนังศีรษะ เส้นผมบางลง เส้นผมแห้งกรอบ
  2. ขนรักแร้ ขนที่หัวหน่าว ลดลงชัดเจน
  3. อ้วนง่าย มีไขมันส่วนเกิน โดยเฉพาะที่พุง
  4. ความต้องการทางเพศลดลง
  5. เหนื่อยเพลียง่าย (Fatique) หงุดหงิด ซึมเศร้า อารมณ์แปรปรวนได้ง่าย
  6. ตาแห้ง ผิวหนังแห้ง ขาดความชุ่มชื้น

แนวทางการเพิ่มระดับ ฮอรโมน DHEA
1. อาหาร : พบว่าอาหารจำพวกปลา ไข่ ผัก ผลไม้ สัตว์ปีก ถั่ว หรือธัญญพืช ต่างๆ ช่วยเพิ่มระดับฮอร์โมนนี้ให้สูงขึ้นได้
2.การให้ฮอร์โมนทดแทน (DHEA Supplements) : พบว่า DHEA จัดเป็นฮอร์โมนตัวเดียวที่ FDA ของอเมริกา จัดอยู่ในกลุ่มอาหารเสริม เพราะมีความปลอดภัยสูง จะพบว่ามีวางขายตามห้างสรรพสินค้าหรือร้านค้าอาหารเสริมโดยทั่วไป DHEA-S เป็นที่นิยมและขายดีมากในต่างประเทศ ในสหรัฐอเมริกาสามารถหาชื้อได้โดยไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์
ขนาดที่รับประทาน 25 มก.ต่อวัน (สำหรับผู้หญิง) และ 50 มก(.สำหรับผู้ชาย ) ซึ่งพบว่าถ้ารับประทานในขนาดนี้ จะไม่มีผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายใดๆ เพียงแต่บางคน อาจจะมีผิวมัน สิว หรือขนดกมากขึ้น เนื่องจาก อาจจะมีผลไปทำให้ระดับ Testosterone สูงขึ้นได้

Posted on 2 Comments

มาเด้ คอลลาเจน ( Made’ Collagen ) ฟื้นฟูผิวฉ่ำวาว มีออร่า ล้ำลึกระดับเซลล์ ด้วยเทคนิคการฝังเข็มตามศาสตร์จีน (Homeopathy)

มาเด้ คอลลาเจน ( Made’ Collagen )คืออะไร

คือ การฟื้นฟูผิว กลับสู่ความเยาววัย ด้วยหลักการธรรมชาติบำบัด (Homeopathy) ในระดับเซลล์ ถูกคิดค้นในปี 1991 โดยแพทย์ชาวเบลเยี่ยม ที่ชื่อ Jan Kersschot ด้วยการฉีดสารสกัดจากธรรมชาติปริมาณเล็กน้อยในบริเวณจุดฝังเข็ม ตามแบบแพทย์แผนจีน บริเวณใบหน้า ซึ่งเชื่อว่าจุดฝังเข็มดังกล่าว จะทำให้ตัวสารสำคัญที่ฉีดสามารถแทรกซึมเข้าไปในบริเวณเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังถึงชั้นในของเซลล์ ที่เรียกว่า Matrix
– เราเชื่อว่าผิวอ่อนล้า หมองคล้ำ แก่ก่อนวัย เกิดจากมลภาวะภายนอก เช่น แสงแดด สารพิษ ต่างๆ สามารถสะสมและเกิดการทำลายผิวเรา ตรงชั้นในของเซลล์ ที่เรียกว่า Matrix นั่นเอง
– สูตรผสมของมาเด้ คอลลาเจน ที่มีทั้งวิตามินรวม แร่ธาตุ เอนไซม์ และเซลล์บำบัด ( Placenta) และคอลลาเจน ที่ผสมกัน แบบ Homeopathy โดยมีหลักการบำบัดว่า “ ใช้สิ่งที่คล้ายกัน มารักษาสิ่งที่คล้ายกัน หรือ การนำพิษล้างพิษ ” เพื่อกระตุ้นเซลล์ผิวให้กลับมาแข็งแรง

มาเด้ คอลลาเจนทำงานอย่างไร

มาเด้ คอลลาเจน จะทำงานอย่างเป็นขบวนการ และจังหวะที่สอดคล้องกัน และตัวยาแต่ละตัวก็จะส่งเสริมฤทธิ์ซึ่งกันและกัน จะฉีดทั้งหมด 20 จุดทั่วใบหน้า เพื่อประสิทธิภาพที่สูงสุดในการบำรุงผิว โดยมีกลไกในการทำงาน 4 ขั้นตอนดังนี้

  1. Detoxification: คือการเร่งขับสารพิษและของเสีย ซึ่งเป็นสาเหตุการเกิดริ้วรอยออกจากร่างกาย เพราะถ้าเซลล์ผิวพรรณที่สารพิษหรือของเสียจำนวนมากๆ เซลล์ผิวพรรณก็ไม่สามารถจะได้รับสารอาหารใหม่ๆ เข้าไปหล่อเลี้ยงได้ ดังนั้นจึงต้องขจัดของเสียหรือสารพิษที่อยู่ในเซลล์ผิวพรรณออกไปเสียก่อน 
  2. Metabolism : คือ การเร่งการเผาผลาญพลังงานและการไหลเวียนของเลือด โดยขบวนการนี้จะช่วยให้ผิวพรรณ ได้รับสารอาหารบำรุงผิวที่จำเป็น ทำให้มีกำลังฟื้นฟูตัวเองได้
  3. Nutrients and Cell Therapy : สูตรยาเฉพาะของ มาเด้ คอลลาเจน จะประกอบด้วยสารอาหาร และเซลล์เนื้อเยื่อในจำนวนที่พอเหมาะที่ร่างกายต้องการ เพื่อการสร้างคอลลาเจน และ fibroblasts ใหม่ กับผิวพรรณ
  4. Restructuring : คือการปรับสมดุลให้กับผิวพรรณใหม่ ช่วยให้ผิวพรรณมีภูมิคุ้มกันที่ดี แข็งแรง สามารถต่อสู้กับสาเหตุของความเสื่อมของผิวพรรณได้ ทำให้ผิวสวยแข็งแรง ไม่ถูกทำลายได้ง่ายจากสิ่งแวดล้อมภายนอก

มาเด้ คอลลาเจน เหมาะกับใครบ้าง

1.ผู้มีปัญหาสิวเรื้อรัง ที่สมดุลย์ของฮอร์โมนผิดปกติ Made’ Collagen จะเข้าไปช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมนต่างๆในร่างกายให้เป็นปกติ
2. ผู้ที่ผิวแพ้ง่าย จะเข้าไปช่วยกระตุ้นให้มีการสร้างเซลล์ผิวใหม่ทำให้ผิวแข็งแรงและทนทานต่อสารที่ทำให้แพ้ต่างๆ ได้ดีขึ้น
3. ผู้ที่มีฝ้าฮอร์โมน ใจากฮอร์โมนผิดปกติ โดยจะช่วยในเรื่องการหมุนเวียนของเลือด และปรับสมดุลของฮอร์โมน
4. ผู้ที่ผิวหมองคล้ำ จากแสงแดด และมลพิษ มาเด้ คอลลาเจน จะช่วยขับสารพิษที่ฝังในระดับเซลล์ออกมาจากร่างกาย
5. ผู้ที่มีปัญหาผิวแห้งเรื้อรัง ทาครีมบำรุงก็ไม่ช่วยอะไร มาเด้ คอลลาเจน จะทำให้ผิวพรรณที่สุขภาพดี เต่งตึง เปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวล ผิวฟูดูฉ่ำน้ำ อย่างดูเป็นธรรมชาติ
มาเด คอลลาเจน ทำกี่ครั้งจึงจะเห็นผล มีผลข้างเคียงใดๆ หรือไม่ 
– มาเด้ คอลลาเจน สกัดจากสารสกัดธรรมชาติ และวิตามิน จึงไม่พบผลข้างเคียงใดๆ เห็นผลตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ ช่วงแรก ควรจะทำต่อเนื่องทุกอาทิตย์ จากนั้นจะฉีดห่างออกไป เป็นเดือนละ 1-2 ครั้ง หรือทุก 1-3 เดือน เพื่อบำรุงผิวในระยะยาว
– พบว่า ยิ่งทำตอนอายุยิ่งน้อย ก็จะเห็นผลเร็วกว่า เมื่ออายุมากขึ้น เพราะสภาพเซลล์โดยรวมยังดีอยู่ และไม่ต้องใช้เวลานานในการปรับสภาพ แต่ถ้าอายุมากขึ้น อาจจะต้องทำหลายครั้งมากกว่านี้ เพราะเซลล์ผิวเสื่อมมานานพอสมควร ต้องใช้เวลานานมากกว่าในการให้ฟื้นคืนกลับมาปกติ

Posted on

หน้าขาวใส ไร้จุดด่างดำ ทำได้หลายวิธี แบบไหน อย่างไร ได้ให้ผลดี ปลอดภัย ไม่มีผลข้างเคียง

หน้าขาวใส ไร้จุดด่างดำ ทำได้หลายวิธี ดีแตกต่างกัน

“ผิวหน้าขาวใส” จัดเป็นความต้องการอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่รักความสวยงาม ไม่ว่าเพศไหน วัยไหน เป็นค่านิยมที่ฮิตติดเทรนด์ ยิ่งไม่มีสิว ฝ้า กระ รอยด่างดำ แผลเป็น รอยหลุม จึงเป็นยอดปรารถณาเป็นอย่างยิ่ง แต่พอค้นใน Google มีให้เลือกเยอะมาก จนสับสนว่าจะเลือกวิธีไหนดีใ ดังนั้นผู้เขียนจึงพยายามจะรวบรวมเทคนิคหน้าใสต่างๆ เหล่านี้ ไว้ในบทความนี้ เพื่อสะดวกในการเลือกใช้ให้เหมาะสมกับผิวหน้า ปัญหา และความต้องการของแต่ละท่าน พร้อมข้อดี ข้อเสียแต่ละแบบ ขอเรียงลำดับตามความนิยม และการได้ผลดี จากมากไปน้อยนะครับ ดังนี้นะครับ
1.เมโสหน้าใส ( Meso bright) : เป็นการรักษาที่ได้รับความนิยมสูงสุด ในกลุ่มวัยรุ่น ที่ต้องการเห็นผลท้ันทีหลังทำ หลักการคือการฉีดสารไวเทนนิ่งที่มีส่วนผสมขนานต่างๆ เช่น วิตามินเอ,ซี Glutathione,Placental Extracts เข้าสู่ผิวชั้นใน (ในชั้น Mesoderm) ด้วยปืนยิงดิจิตอล หรือ ใช้เข็มสะกิดไปทั่วใบหน้า ลงไปใต้ผิวหนัง ชั้นหนังแท้ (Dermis) เพื่อจุดมุ่งหมายในการยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน หลังทำนอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มการไหลเวียนของระบบโลหิตและระบบน้ำเหลือง ทำให้ผิวหน้าอ่อนเยาว์และช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เสมือนเติมอาหารและวิตามินให้แก่ผิวโดยตรง สามารถทำบ่อยได้เท่าที่ต้องการ
ข้อเด่น : ทำให้ผิวหน้าขาวใส เห็นผลทันทีได้ และไม่ต้องทำบ่อยๆ สามารถทำบ่อยได้เท่าที่ต้องการ
ข้อด้อย : อาจจะมีความรู้สึกเจ็บเล็กน้อย ในขณะที่ทำ ในบางคนอาจจะเกิดการอักเสบ หรือคัน บวมแดง และเกิดจุดเลือดออกบริเวณที่ฉีดได้ ไม่ช่วยรอยแดงสิว

2. มาเด้ คอลลาเจน ( Made’ Collagen) : เป็นการฉีดยาตามจุดฝังเข็ม 20 จุด ตามศาสตร์จีนโบราณ โดยใช้ ที่มีทั้งวิตามินรวม แร่ธาตุ เอนไซม์ และเซลล์บำบัด ( Placenta) และคอลลาเจน ที่ผสมกัน แบบธรรมชาติบำบัด ( Homeopathy ) มาเด้ คอลลาเจน จะทำงานอย่างเป็นขบวนการ และจังหวะที่สอดคล้องกัน ทั้งการทำดีทอกซ์ผิว กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด การให้อาหารกับผิว ปรับความสมดุล ฟื้นฟูผิว กลับสู่ความเยาววัย ทำใหผิวฉ่ำวาว มีออร่า เหมาะกับคนที่มีปัญหาผิวแห้ง ผิวหมองคล้ำ หน้าดูอิตโรย ไม่สดใส
ข้อเด่น :  ทำให้ผิวใส ดูมีน้ำมีนวล ทันทีหลังทำ ไม่เคยมีหลักฐานการแพ้ตัวยาที่ฉีด
ข้อด้อย : ไม่เหมาะกับคนที่กลัวเข็ม หรือเขียวช้ำง่าย การฉีดไปตามจุดฝังเข็ม จะค่อนข้างเจ็บมาก บางคนทนไม่ไหว ไม่ช่วยเรื่องฝ้า กระ รอยดำ รอยแดงสิว

3.Oxygen -Jet Peel : หน้าใส ฉ่ำน้ำด้วยออกซิเจนบริสุทธิ์เข้มข้น ส่งผ่านด้วยความแรงสูงที่ความเร็ว 200 เมตรต่อวินาที (Jet Spray ) จะถูกนำพาผิว ช่วยชะล้างสิ่งสกปรกในผิวหน้าได้ล้ำลึกยิ่งขึ้น ทำให้ผิวเนียนนุ่ม นอกจากนี้ ออกซิเจน มีสรรพคุณเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ(Anti-Oxidants) ที่ดี จึงช่วยลดริ้วรอย แก่ก่อนวัย
ข้อเด่น : หน้าขาวได้ไว หลังทำสังเกตได้ชัดเจน ไม่พบผลข้างเคียงใดๆ หน้าไม่ลอก ไม่ต้องเลี่ยงแดด เหมาะกับทุกสภาพผิว แม้ผิวที่แพ้ง่าย
ข้อด้อย:  อยู่ได้ไม่นาน เพราะออกซิเจนสลายได้ไว ต้องทำบ่อยๆ ทุก 1-2 อาทิตย์ ไม่ช่วยเรื่องฝ้า กระ รอยดำ หรือรอยแดงสิว

4. เลเซอร์หน้าใส (Micro-Laser Peel) : เป็นการทำให้หน้าขาวใส โดยใช้เลเซอร์ ที่มีคุณสมบัติเฉพาะแต่ละปัญหา โดยแยกการทำงาน ว่าจะยับยั้งการสร้างเม็ดสี ลดการสร้างเม็ดสีให้จางลง จาก รอยดำ ฝ้า กระ เลเซอร์เม็ดสี กลุ่ม Q-Switch Nd:YaG Laserเช่น Revlite Lase, Medlite C-6 ที่มารักษา หรือ กลุ่มรอยแดง จากสิว ผิวไม่เรียบเนียน ด้วย V-beam laser
ข้อเด่น : หน้าขาวได้ไว หลังทำสังเกตได้ชัดเจน แก้ปัญหาฝ้า กระ รอยด่างดำ รอยแดงสิว กระชับรูขุมขน ได้ดี และเร็วกว่าทุกๆ วิธี และ เหมาะกับทุกสภาพสีผิว แทบจะไม่มีผลข้างเคียงใดๆ หลังทำไม่ต้องพักฟื้น ไปทำงานได้ปกติ
ข้อด้อย: ราคาค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับวิธีอื่น


5. ครีมทาหน้าขาว(Whitening creams : คือการทาครีมทำให้หน้าขาว อาศัยขบวนการ ให้ครีม หรือสารทั้งหลาย ต้องมีฤทธิ์ในยับยั้ง ขบวนการสร้างเม็ดสีให้ลดลง เมื่อใช้ไปต่อเนื่อง ก็จะค่อยๆ ทำให้สีผิวขาวขึ้นได้ระดับหนึ่ง
ข้อเด่น : ทำให้สีผิวค่อยๆ ขาวขึ้น โดยไม่พบผลข้างเคียงใดๆ ยกเว้นในรายที่แพ้ตัวยาบางตัว
ข้อด้อย: ได้ผลแตกต่างกันในแต่ละคน ขึ้นอยู่สีผิว ส่วนประกอบของครีมความสม่ำเสมอในการทาครีมก็แตกต่างกัน จึงไม่เหมาะกับผู้ที่ใจร้อน และอาจจะทำให้แพ้ได้ในบางคน

6. การลอกผิวด้วยกรดผลไม้ (Chemical Peeling ) คือ การเร่งให้ผิวหนังหลุดลอกออกเร็วขึ้น โดยใช้สารเคมี อาทิ กรดผลไม้เข้มข้น เช่น 30-70 % AHAs,30-50% TCA การเลือกใช้สารเคมีใด ความเข้มข้นเท่าไหร่ ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ หลักการรักษา คือทำให้เกิดการทำลายเซลล์ผิวหนังให้น้อยที่สุด และมีการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ให้มากที่สุด
ข้อเด่น : ผิวหน้าขาวไวภายใน 3-7 วันหลังทำ นอกจากนี้ยังช่วยทำให้รอยด่างดำ ฝ้า กระ จางลงได้
ข้อด้อย: ทำให้ผิวหน้าลอกได้หลายระดับ ขึ้นอยู่กับความเข้มข้น ระยะเวลาที่ทาทิ้งไว้ ถ้าลอกมากเกินไป หรือลอกบ่อยๆ ผิวหน้าจะบางลงได้ บางรายที่แพ้สารเคมีที่ใช้ แทนที่ผิวหน้าจะขาวใส อาจจะแพ้ แดง ระคายเคือง ผิวหน้าไหม้เกรียม ดำคล้ำขึ้นกว่าเดิมก็ได้ วิธีนี้ไม่เหมาะกับคนสิีผิวคล้ำ หรือต้องออกแดดบ่อยๆ

7.ไอออนโต( Iontophoresis) : คือ การใช้เครื่องมือ ที่ทำให้ตัวยาไวเทนนิ่ง แตกตัวเป็นประจุ เพื่อให้ตัวยาซึมลึกเข้าสู่ผิวได้ดีขึ้น ทำให้ได้ผลมากขึ้น และเร็วขึ้นกว่าการทาไวเทนนิ่งครีมปกติ
ข้อเด่น : มีความปลอดภัย และมีผลข้างเคียงน้อยมาก หลังการรักษาสามารถใช้ยาหรือครีมทาได้ตามปกติ ออกแดดได้ ผิวหน้าจะลอกเป็นขุยไม่มาก หรือ ไม่ลอกเลย เหมาะสำหรับคนที่ผิวมัน และมีสิว ไปด้วย เพราะจะช่วยทำให้ผิวหน้าแห้งลงได้ สิวลดลงได้เช่นกัน
ข้อด้อย: อาจจะรู้สึกเจ็บหรือคันยุบยิบในระหว่างทำ (ซึ่งบางคนไม่ชอบ ) ไม่สามารถทำได้ทุกจุดบนใบหน้า บางคนอาจจะทำให้สิวเห่อมากขึ้นได้ โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติผิวหน้าแพ้ง่าย

8. Phonophoresis : คือ เทคนิคการทำให้ผิวหน้าขาวใส โดยเครื่อง อัลตราโซนิค โดยใช้คลื่นความถี่สูง 20,000 Hz ผลักตัวยากลุ่มไวเทนนิ่งให้ลงลึกสู่ผิวหน้า ไปออกฤทธิ์ได้เร็วขึ้น ถือว่าเป็นวิธีทีสะดวก เพราะราคาไม่แพง
ข้อเด่น : ทำให้ผิวหน้าเนียนใสได้ โดยที่ไม่รู้สึกเจ็บปวด หรือคันยุบยิบเหมือนการทำไอออนโต นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตให้ดีขึ้น ช่วยทำให้กระชับผิวหน้า ลดริ้วรอยได้ด้วย เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวแห้ง
ข้อด้อย: ไม่เหมาะกับผู้ที่มีผิวหน้ามัน เพราะกระตุ้นให้เกิดสิวเห่อขึ้นได้ มีโอกาสเกิดการแพ้ยาที่ใช้ ได้ผลการรักษาช้า ไม่แน่นอน เพราะมีการงานวิจัย เชื่อว่าไม่ได้ผลเหมือนกัน

9.การกรอผิวด้วยเกร็ดอัญมณี(Microdermabrasion) : เป็นการกรอผิวหนังที่มีปัญหาในชั้นหนังกำพร้า ให้หลุดลอกออกด้วยเกร็ดอัญมณี (Aluminium Oxide) ขนาดเล็กมาก โดยให้วิ่งตามการพ่นของเครื่องปั๊ม โดยมีการปรับความแรง ความเร็วในการพ่นผลึกดังกล่าวได้ตามต้องการของผู้ใช้ เหมาะผิวหน้าที่มีปัญหา รอยด่างดำ หมองคล้ำ
ข้อเด่น : ทำให้ผิวหน้าขาวใส ได้ในทันทีหลังทำ แต่จะมากน้อย แค่ไหน ขึ้นอยู่กับความลึกตื้นในการกรอผิว ระยะเวลาในการทำ นอกจากนี้ยังช่วยทำให้ ผิวหน้ามันลดลง รูขุมขนกระชับขึ้นได้
ข้อด้อย: ขณะทำการกรอผิว อาจจะรู้สึกแสบเคือง ระคายผิว และเจ็บในระหว่างที่ทำ และไม่สามารถทำได้ในผู้ที่มีปัญหาสิวอักเสบรุนแรง หรือผิวแพ้ง่าย ผู้ที่ตากแดดบ่อยๆ หลังทำต้องเลี่ยงแดด ถ้าทำบ่อยๆ อาจจะทำให้ผิวหน้าบางลงได้

Posted on

Chelation Therapy : การกำจัดสารพิษ โลหะหนัก ในเส้นเลือด เพื่อสุขภาพที่ดี ชีวิตยืนยาว

โลกปัจจุบัน เต็มไปด้วยมลพิษ ทั้ง น้ำ และอากาศ ดิน อาหาร ทุกอย่างล้วนมี โอกาสที่จะปนเปื้อนสารพิษ โลหะหนักได้ สารพิษโลหะหนักพบได้ในวัสดุก่อสร้าง เครื่องสำอาง ยารักษาโรค อาหารที่ผ่านกระบวนการ ต่าง ๆ แหล่งเชื้อเพลิงผลิตภัณฑ์สำหรับดูแลสุขภาพ สิ่งมีชีวิตต่าง ๆ รวมถึงมนุษย์
ซึ่งจะก่อให้เกิดความผิดปกติ ในการแบ่งตัวของเซลล์ทำให้ความสามารถในการนำสารอาหารไปหล่อเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายน้อยลง ส่งผลให้เกิดความเสื่อมสภาพของอวัยวะในร่างกายอย่างต่อเนื่อง
Chelation Therapy คืออะไร? 
คือ การให้สารน้ำทางหลอดเลือด ที่มีสารประกอบประเภทกรดอะมิโน ที่เรียกว่า EDTA ผสมกับวิตามินและแร่ธาตุ ซึ่ง EDTA ทำหน้าที่สำคัญ ในการจับสารโลหะหนักเช่น ตะกั่ว ปรอท สารหนู หรือ แม้แต่แคลเซี่ยมส่วนเกิน ซึ่งสะสมตกค้างในเนื้อเยื่อ และพอกอยู่ ตามผนังหลอดเลือดของเรา เพื่อขจัดออก ทางระบบปัสสาวะ
ระยะเวลาในการทำ แต่ละครั้ง ประมาณ 2.5-3 ชั่วโมง ระหว่างที่ทำสามารถ พักผ่อน ดูโทรทัศน์ อ่านหนังสือหรือฟังเพลงได้ตาม ปกติธรรมดา ภายหลังจากการเสร็จการรักษาสามารถ ประกอบกิจกรรมได้ตามปกติไม่จำเป็นต้องนอนพัก

Chelation Therapy มีกลไกการรักษาอย่างไร ? 
EDTA จะไปจับกับโลหะหนัก เช่น เหล็ก และ แคลเซี่ยม ซึ่งสะสมพอกอยู่ตามผนังหลอดเลือด( Plaque) ให้ไหลเวียนออกมาในกระแสเลือด รวมไปถึงโลหะหนักเป็นพิษที่สะสมอยู่ในเนื้อเยื่อร่างกายด้วย นอกจากนี้ วิตามินและแร่ธาตุ โดยเฉพาะสารต้านอนุมูลอิสระในขนาดที่เรียกว่า Megadose (ขนาดมากพอที่จะส่งผลในการรักษา) ก็จะไปรักษาหลอดเลือด ทำให้ผนังหลอดเลือดดีขึ้น เส้นเลือดจะไม่ตีบตัน

Chelation Therapy มีประโยชน์อย่างไร 

  1. ขจัดสารพิษตกข้างในร่างกายและระบบหลอดเลือด
  2. ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง
  3. ทำให้ระบบการไหลเวียนโลหิตดีขึ้น
  4. ลดอัตราเสี่ยงของหลอดเลือดแข็งอุดตันและตีบแคบซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจขาดเลือด
  5. ป้องกันโรคความเสื่อมต่างๆที่เกิดขึ้นจากระบบหมุนเวียนที่ไม่ดี

    ผลข้างเคียงจากการทำ Chelation Therapy 
    ระยะแรกบางท่านอาจมีอาการอ่อนเพลีย อันเนื่องจากกระบวนการขับสารพิษออกจากร่างกาย อาการที่เกิดขึ้น แก้ได้โดยการพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำผลไม้และรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางอาหารครบถ้วนตามความ ต้องการของร่างกาย

Chelation Therapy เหมาะกับใคร

  1. ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการอุดตันของหลอดเลือด เช่น อุดฟันด้วยโลหะ อมัลกัม มีไขมันในเส้นเลือดสูง มี oxidative stress (ระดับอนุมูลอิสระสูง) เช่น ดื่มชา กาแฟ แอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ ฯลฯ
  2. ผู้ที่มีปัญหาพิษโลหะสะสมและปัญหาสารพิษอื่นๆ สะสมในร่างกาย
  3. ผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอ การไหลเวียนเลือดบกพร่อง มีอาการ เช่น เวียนหัวง่าย ฯลฯ
  4. ผู้ที่มีปัญหาโรคความดันโลหิตสูง เนื่องจากหลอดเลือดไม่ยืดหยุ่น
  5. ผู้ที่แข็งแรงดี แต่ต้องการป้องกันตนเองจากโรคมะเร็งและโรคเส้นเลือด ตีบตัน รวมทั้งต้องการกำจัดสารพิษและโลหะหนักออกจากตัวและ ต้องการรักษาสภาพของเส้นเลือดทั่วตัว ไม่ให้เกิดการอุดตันในอนาคต
  6. ผู้ที่ไปทำบอลลูนเส้นเลือด,ใส่ขดลวด,ทำบายพาส มาแล้ว เพราะจะเกิดการอุดตันใหม่เร็ว ๆ นี้ การทำคีเลชั่น จะลดปัญหาเหล่านั้นได้

ขั้นตอนในการทำ Chelation Therapy 

  1. พบแพทย์เพื่อซักถามประวัติและตรวจร่างกาย วัดความดันโลหิต และจะมีการคำนวณปริมาณยาที่เหมาะสมเป็น รายบุคคล
  2. ทำการตรวจ LAB พื้นฐานเพื่อหาปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เช่น ตรวจหน้าที่ของไต เป็นต้น
  3. ทำการตรวจวิเคราะห์ผลเลือด (Live Blood Analysis) ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญมากสามารถบ่งบอก ภาวะของเลือด ในขณะที่เซลล์ยังมีชีวิตซึ่งสามารถประเมินภาวะของร่างกายได้หลากหลายครอบคลุมในหลายๆ โรค
  4. ทำการบำบัดด้วย คีเลชั่นบำบัดตามสูตรยาที่เหมาะสม แก่ผู้เข้ารับการบำบัดแต่ละราย
  5. นัดติดตามผลเป็นระยะ ซึ่งระยะเวลาขึ้นกับลักษณะของโรคที่เรามีปัญหาอยู่

Posted on

Live Blood Analysis : การตรวจวิเคราะห์ชีวเคมี เลือดขณะยังมีชีวิต ทางเลือกในการดูโลหะหนัก

Live Blood Analysis คืออะไร

คือ การตรวจชีวเคมีในร่างกาย โดยการตรวจวิเคราะห์ส่วนประกอบของเม็ดเลือดขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ เพื่อดูลักษณะ เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว น้ำเลือด รวมทั้งสิ่งผิดปกติในเลือด ซึ่งบ่งบอกถึงสภาวะที่แท้จริงของร่างกาย
โดยผลการวิเคราะห์จะแสดงความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดให้ ทราบทันที แบบ Real Time ผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ วิเคราะห์ผลกันในทันที โดยเห็นภาพร่วมกันทั้งแพทย์และคนไข้
ผลที่ได้จากการวิเคราะห์ อาจจะพบเห็น สารตกค้างในเลือด สารพิษ สารโลหะ หนัก ไขมัน ภาวะเลือดผิดปกติ ภาวะเลือดจาง หรือความผิดปกติในระบบต่างๆ ในร่างกาย เช่น ระบบการย่อยอาหาร โรคภูมิแพ้ ระบบฮอร์โมน ตลอดจนภาวะการขาดสารอาหารหรือวิตามินบางอย่าง ซึ่งมีประสิทธิภาพในการช่วยประเมินความเสี่ยงในการเกิดโรค และความ เสื่อมต่างๆ ของร่างกาย เพื่อนำไปสู่การฟื้นฟูและการรักษาที่ถูกวิธี

ประโยชน์ที่จะได้จากการตรวจ Live Blood Analysis 
ผลวิเคราะห์ด้วยวิธีนี้ จะบ่งบอกถึง ลักษณะการใช้ชีวิตทั่วๆ ไป เช่น การรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย การพักผ่อน และแนวโน้มการเกิดโรค โดยจะดูองค์ประกอบหลักๆ ได้ดังนี้

  1. ระบบย่อยอาหาร ภาวะการดูดซึมอาหาร เพื่อวินิจฉัยระบบการย่อยอาหาร ว่ามีความผิดปกติอย่างไรหรือไม่
  2. สารพิษตกค้างในเลือด เช่น โลหะหนัก ต่างๆ ที่ได้รับจากสิ่งแวดล้อมโดยตรงหรือทางอ้อม
  3. ความสมดุลของฮอร์โมนเพศในร่างกาย
  4. สารอนุมูลอิสระในเลือด
  5. ระบบภูมิคุ้มกัน และภาวะภูมิแพ้ ของร่างกาย
  6. ระบบการหมุนเวียนของเลือด

ขั้นตอนการตรวจ Live Blood Analysis 

  1. แพทย์จะใช้วิธีตรวจโดยเครื่องมือเจาะเลือดแบบปากกา ซึ่งเจ็บเพียงเล็กน้อย และต้องการเลือดเพียง 1 หยด
  2. นำเลือดที่ได้ มาแตะที่สไลด์บางๆ แล้วนำไปส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ ชนิดพิเศษ ที่เรียกว่า Darkfield Microscope  ที่เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ ซึ่งจะสามารถแสดงผลขึ้นหน้าจอทันที เราจะเห็นภาพการกระจายตัวของเม็ดเลือด ชนิดต่างๆ สารพิษตกค้าง ไขมันในเลือด แบคทีเรีย หรือความผิดปกติอื่นๆ ได้ทันที ดูน่าตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก
  3. เมื่อทราบความผิดปกติที่เกิดขึ้น แพทย์จะให้คำแนะนำในการปฏิบัติตน เปลี่ยน Life Style ที่ไม่ถูกต้อง หรือวางแผนการรักษา เพื่อแก้ไขสิ่งที่ผิดปกติ เช่น การให้วิตามินหรืออาหารเสริม การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร หรือการกำจัดสารพิษด้วยการทำ
Posted on

ฝ้า (Melasma) อยากหาย ให้หน้าใส รักษาอย่างไร ให้ถูกจุด หยุดปัญหาเรื้อรัง ป้องกันไว้ก่อน

ฝ้าคืออะไร ชนิดของฝ้าและสาเหตุการเกิดฝ้า

ฝ้า (melasma) คือ ปื้นสีน้ำตาลที่เกิดบริเวณแก้มจมูกหน้าผากคาง ซึ่งเป็นบริเวณที่ถูกแสงแดด (แต่อาจเกิดที่แขนได้) มักเป็นเหมือนกันทั้ง 2 ข้างของใบหน้า
สาเหตุของการเกิดฝ้า
1. แสงแดดเชื่อว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดตัวกระตุ้นให้เกิดฝ้า หรือทำให้ฝ้าเป็นมากขึ้น
2. ผิวแห้งขาดการบำรุง จะทำให้เกิดฝ้าได้ง่ายกว่าคนผิวมัน
3. ฮอรโมน ถือว่าเป็นสาเหตุของการเกิดฝ้าที่สำคัญอีกสาเหตุหนึ่ง การเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมนผิดปกติ อาจทำให้เกิดฝ้าได้
4. เครื่องสำอางค์ การแพ้เครื่องสำอางค์ อาจทำให้เกิดรอยดำแบบฝ้าได้
5. พันธุ์กรรม และเชื้อชาติ เชื่อว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง ถ้ามีบุคคลใดเคยเป็นฝ้าในครอบครัว จะทำให้บุตรหลาน มีโอกาสเป็นฝ้าได้ถึง ร้อยละ 30-50 และพบบ่อยในคนเอเซียมากกว่าในยุโรป
ชนิดของฝ้า
1. ฝ้าตื้น (Epidermal type) – เกิดขึ้นบริเวณชั้นหนังกำพร้า มีสีน้ำตาลเข้มไปจนถึงสีเทาดำ และสามารถเห็นขอบเขตได้ชัดเจน
2.ฝ้าลึก (Dermal type) – เกิดขึ้นบริเวณชั้นหนังแท้ใต้หนังกำพร้า มีสีน้ำตาลอ่อน สีเทา สีเทาอมฟ้า มีขอบเขตของฝ้าไม่ชัดเจน โดยมากเราจะสังเกตได้ว่าฝ้าชนิดนี้จะกลืนไปกับผิวหน้าเป็นบริเวณกว้าง
3. ฝ้าผสม (Mix type) – ฝ้าที่มีการผสมกันระหว่างฝ้าลึก และฝ้าตื้นบนใบหน้า
4. ฝ้าเลือด ( Vascular melasma หรือ Telangiectetic melasma ) ฝ้าเลือดดังกล่าวเกิดจากความผิดปกติของเส้นเลือดฝอยบนผิวหน้า อันเป็นผลมาจากการใช้เครื่องสำอาง ที่มีส่วนผสมของ ไฮโดรควินิน หรือเสตียรอยด์หรือยาคุมกำเนิด ส่งผลให้เส้นเลือดฝอยแตกและมีเลือดกระจุกบริเวณพังผืดใต้ผิวหนังชั้นลึก โดยจะมีสีน้ำตาลแดง

รักษาฝ้าในปัจจุบัน 

1. ครีมทารักษาฝ้า สมัยก่อน ครีมทาฝ้ามักจะมีส่วนผสมของสาร Hydroquinone ซึ่งได้ผลดี แต่ก็มีผลข้างเคียง อย.ได้ถือว่าเป็นยาอันตราย ไม่อนุญาตให้ผสมในครีมรักษาฝ้า เพื่อวางจำหน่ายทั่วไป ครีมรักษาฝ้าในปัจจุบัน จึงได้เปลี่ยนมาใช้ สารสกัดจากธรรมชาติแทน อาทิเช่น เปลือกสน ,Kogic acid,Albutin, Licorice Extracts,Vitamin C ซึ่งกลไกการออกฤทธิ์แต่สารแต่ละตัว ก็จะแตกต่างกันไป ในยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานินที่ผิดปกติ ดังนั้นก่อนเลือกครีมทารักษาฝ้า ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อผลการรักษาที่ได้ผลดี ไม่มีผลข้างเคียง
2. ยารับประทานรักษาฝ้า  มักจะใช้เสริมกับครีมทาฝ้า เช่นวิตามินซี, วิตามินอี ,ยารับประทาน tranexamic acid (มักใช้ในฝ้าเลือด ) การรับประทานยาควรอยู่ในการดูแลของแพทย์ เพราะยารับประทานบางตัวมีผลข้างเคียงได้

3. การรักษาฝ้าด้วยเลเซอร์เม็ดสี : การรักษาฝ้า ด้วยเลเซอร์เม็ดสี( Pigmented laser) เป็นการใช้เลเซอร์ Q-Switched Nd:YaG Laser ซึ่งจัดว่าเป็นเลเซอร์ที่รักษารอยฝ้า ได้ผลดีมากกว่า 70-80% โดยไม่พบผลข้างเคียงใด และเหมาะกับทุกสภาพสีผิว กลไกการรักษา คือการทำให้ฝ้า ค่อยๆ เลือนจางลง โดยไม่ต้องลอกผิว หลังทำจึงไม่ต้องพักฟื้น ไปทำงานได้ปกติ ปัจจุบัน Q-Switched Nd:YaG Laser จัดเป็นการรักษาฝ้าที่ได้รับความนิยมสูงสุดในปัจจุบัน เพราะเห็นผลชัดเจน ไว และไม่มีผลข้างเคียง ออกแดดได้ตามปกติ ได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเลเซอร์รักษาฝ้า ได้แก่ MedLite ,Revlite , Pico Laser นอกจากนี้ยังนำมารักษารอยด่างดำ ตามใบหน้า ลำตัว หรือหัวนมดำคล้ำ รักแร้ดำ ริมฝีปากดำคล้ำได้ด้วย

3. การรักษาฝ้าด้วยการฉีด(Meso bright) : หลักการคือการฉีดสารไวเทนนิ่งที่มีส่วนผสมขนานต่างๆ เช่น วิตามินเอ,ซี Glutathione,Placental Extracts ,Transemic acid เข้าสู่ผิวชั้นใน (ในชั้น Mesoderm) ด้วยปืนยิงดิจิตอล หรือ ใช้เข็มฉีดไปบริเวณที่เป็นฝ้า เพื่อจุดมุ่งหมายในการยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานินที่ผิดปกติ หรือการละลายฝ้าให้ค่อยๆ จางลง วิธีนี้มักจะได้ผลดีเฉพาะฝ้าเลือด หรือฝ้าที่เกิดจากฮอรโมนผิดปกติ ฝ้าบางชนิดอาจจะไม่ได้ผล ดังนั้นก่อนทำ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนเช่นกัน
ส่วนการรักษาฝ้า วิธีอื่นๆ เช่น การลอกด้วยกรดผลไม้ (Chemical peeling ) , การทำไอออนโต , การกรอผิว การทำ IPL การลอกฝ้าด้วยเลเซอร์ ไม่ค่อยแนะนำ เพราะบางอย่างไม่เหมาะกับผิวเอเซีย ทำให้ดำคล้ำได้ง่าย เกิดผลข้างเคียง บางอย่างยังไม่มีผลงานวิจัยรับรองชัดเจน

การป้องกันการเกิดฝ้า 

1. โฟมล้างหน้า หรือเจลล้างหน้า ควรเลือกล้างหน้าด้วยโฟม หรือเจล ที่เหมาะกับผิวแห้ง เพื่อป้องกันผิวแห้งมากขึ้น
2. ครีมกันแดด ถือว่าเป็นเครื่องสำอางพื้นฐานที่ต้องใช้ตลอดเวลา เนื่องจากมีการวิจัยแล้วว่า แสงแดดนอกจากทำให้เกิดฝ้าแล้ว ยังทำให้เกิดริ้วรอยแก่ก่อนวัย การเลือกใช้ครีมกันแดด นอกจากจะต้องเหมาะกับผิวแล้ว ควรคำนึงถึงประสิทธิภาพของสารกันแดดด้วย ค่า SPF เท่าใด (ค่าสารกันแดดที่ป้องกันรังสียูวีบี) และค่า PA เท่าไหร่ (ค่าสารกันแดดที่ป้องกันรังสียูวีเอ) สำหรับผู้ที่เป็นฝ้า ควรเลือกครีมกันแดด ที่มีค่า SPF> 25 และค่า PA++ เป็นอย่างน้อย และควรมีส่วนผสมของครีมบำรุงร่วมด้วย
3. ครีมปรับสภาพผิว อาจอยู่ในรูปของ BHA Creams,AHA gel,BHA gel หรือครีมบำรุงอย่างอื่น เพื่อช่วยปรับสภาพผิวหน้า ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว
4. ครีมบำรุงผิว การบำรุงผิวหน้าตั้งแต่วัยเยาว์ ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี การเลือกครีมที่มีส่วนผสมของ วิตามินเอ ซี อี หรือ EPO พบว่ามีส่วนช่วยในการป้องกันฝ้า และริ้วรอยได้
5. โภชนาการและอาหารเสริม ควรรับประทานผัก ผลไม้ ที่มีคุณค่าทางวิตามิน โดยเฉพาะวิตามินซี เพราะพบว่านอกจากป้องกันการเกิดโรคหวัดแล้ว ยังใช้รักษาฝ้าได้ด้วย แพทย์อาจแนะนำให้รับประทานวิตามินซี(เม็ด) วันละ 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน ควบคู่กับวิตามินอี 1,200 ยูนิตต่อวัน

Posted on

RevLite (Pigmented Laser) : เลเซอร์ลบรอยสัก รักษาฝ้า กระ ทุกชนิด รักแร้ดำ รอยไหม้ ได้ผล ไม่ลอก ไม่แดงหลังทำ

Revlite คืออะไร แตกต่างจากเลเซอร์เม็ดสีตัวอื่นอย่างไร

จัดเป็น Pigmented Laser ชนิด Q-switched Nd:YaG laser ที่ผ่านการรับรองเรื่องประสิทธิภาพและประสิทธิผลจาก FDA ของอเมริกา ตั้งแต่ปี ค.ศ 2008
ความแตกต่าง : มีการพัฒนาให้มีคุณลักษณะที่โดดเด่น ด้วยเทคนิคเฉพาะที่ให้พลังงานมากขึ้น แต่ระยะเวลาในการยิงสั้น แบบ nanosecond มีความจำเพาะต่อรอยโรคที่แม่นยำขึ้น จึงได้ผลมากขึ้น เร็วขึ้น และปลอดภัยมากขึ้นกว่าไม่มีความร้อนสะสมที่ผิว เหมือนยี่ห้ออื่นๆ เลเซอร์ RevLite® เหมาะกับทุกสภาพสีผิว สามารถเลือกยิงได้ หลากหลายช่วงความยาวคลื่น(multi-wavelength) จึงเพิ่มขีดความสามารถได้มากกว่า Q-switched laser รุ่นก่อนหน้านี้

RevLite รักษาอะไรได้บ้าง

1. กลุ่มความผิดปกติของเม็ดสี (Pigmented Lesion Removal ) :  ได้แก่ ฝ้าทุกชนิด กระ ปานดำ ปานโอตะ ขนคุด รอยดำรักแร้ รอยดำท่อไอเสีย ขาหนีบดำ รอยดำสิว
2. Rejuvenation : ด้วยเทคนิค Micro-Laser Peel ด้วยช่วงคลื่น 1064nm เลเซอร์ RevLite® จึงสามารถแก้ปัญหาริ้วรอยเหี่ยวย่น รูขุมขนกว้าง รอยด่างดำ ทำให้หน้าเนียนขาว เสริมสร้างคอลลาเจน

3. Tattoo Removal (ลบรอยสัก): RevLite® ถือว่าเป็นเลเซอร์ที่สามารถลบรอยสักที่ได้ผลดีสุดในปัจจุบันถือว่าเป็น Gold Standard for Tattoo Removal ที่การันตีได้ทั่วโลก ) เพราะสามารถลบรอยสักได้หลายสี ที่เลเซอร์อื่นทำไม่ได้ ตั้งแต่สีดำ สีแดง สีเขียว สีน้ำเงิน ฯลฯ
4. Hair Removal (กำจัดขนอ่อน ): สามารถกำจัดขนอ่อนที่ใบหน้า หรือขนที่สีไม่เข้มในที่ลับ ซึ่งเลเซอร์กำจัดขน Gentle YAG จะกำจัดขนกลุ่มนี้ได้ไม่ดี เพราะจำนวนเม็ดสีเมลานินน้อย ทำให้เป้าหมายยิงไม่ได้แม่นยำและที่สำคัญ นำมารักษาสิวเสี้ยนได้ดีอีกด้วย

ขั้นตอนการทำ

ขั้นตอนการรักษาและการดูแลหลังการรักษา 
– ล้างหน้าให้สะอาด เช็ดให้แห้งและคาดอุปกรณ์ปิดตา แล้วทำความสะอาดผิวอย่างล้ำลึกด้วย Oxygen Jet peel และเตรียมผิวให้ชุ่มน้ำ ก่อนยิงเลเซอร์ ใช้เวลายิงเลเซอร์ประมาณ 10-30 นาที ระหว่างยิงจะได้ยินเสียงเปรี๊ยะๆ หากมีกระฝ้ามากก็จะมีเสียงดังไม่ขาดระยะ อาจจะมีอาการเจ็บนิดๆ เหมือนดีดหนังสติ๊ก จากนั้นก็จะทาครีมกันแดด หลังทำสามารถจะแต่งหน้าได้ตามปกติ

ผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ 
ผลข้างเคียงแทบจะไม่มี ถ้ามีก็ขึ้นอยู่กับเทคนิคการยิง เช่น อาจจะทำให้เกิดร่องรอยด่างขาวได้ ซึ่งอาจจะเป็นชั่วคราว ดังนั้นในการรักษาด้วยเครื่องเลเซอร์ RevLite® จึงควรเลือกแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทีมีประสบการณ์และมีเทคนิคในการรักษา จำนวนครั้งในการทำ ขึ้นอยู่กับสภาพปัญหาของแต่ละคน

ขอบตาคล้ำจางลงตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ
ลบรอยสัก เห็นผลจางลงตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ
ปานดำ รักษาด้วยเลเซอร์ Revlite
Revlite ลบรอยสักได้ทุกสี ไม่มีแผลเป็น
Posted on

กระ (Freckles) : กระตื้น กระลึก กระเนื้อ กระแดด กระกรรมพันธุ์ รักษาอย่างไร ให้จางลง คงความขาว เนียน ใส ให้ใบหน้า

กระคืออะไร มีกี่แบบ

กระ คือจุดด่างดำที่เกิดบนใบหน้า อาจจะมีสีน้ำตาล หรือเป็นสีค่อนข้างดำ กระบางชนิดอาจจะเป็นคล้ายๆ ติ่งเนื้อ มักจะเกิดบนผิวหนัง ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น ใบหน้า ลำคอ หน้าอก แขน หรือขา
กระแบ่งได้เป็น 4 ชนิด
1. กระตื้น (Freckle, Ephelis) ลักษณะเป็นสีแทนออกแดง หรือน้ำตาลอ่อน รูปร่างกลมเป็นจุดเล็ก ๆ โดยมักจะปรากฏขึ้นช่วงฤดูร้อน และพบได้ในผู้ที่มีสีผิวค่อนข้างขาว หรือในครอบครัวที่มีพันธุกรรมกระชนิดนี้ รวมถึงกลุ่มคนที่มีสีผมแดงและตาสีเขียวที่มีความเสี่ยงสูง
2. กระลึก(Nevus of Hori) มีลักษณะเป็นจุดสีเทาหรือฟ้าอมเทาหลายจุดที่บริเวณโหนกแก้มสองข้าง มักพบในผู้หญิงเอเชียเนื่องจากมีเซลล์สร้างเม็ดสีขึ้นผิดที่ คือไปอยู่ชั้นหนังแท้

3. กระแดด (Lentigo or Solar Lentigo ) กระชนิดนี้ที่มีสีเข้ม มักเป็นสีแทน น้ำตาล หรือดำ ปรากฏตามบริเวณที่สัมผัสแดด เช่น หลังมือ ใบหน้า บริเวณไหล่และหลังส่วนบน กระชนิดนี้ เป็นได้ทุกกลุ่มอายุ โดยเป็นผลมาจากตากแดดเป็นเวลายาวนาน จึงพบได้มากในผู้สูงอายุ ซึ่งต่อมาอาจจะกลายเป็นมะเร็งผิวหน้ังได้
4. กระเนื้อ (Seborrheic Keratosis) ลักษะเป็นก้อนเนื้อ มีลักษณะเป็นติ่งเนื้อขนาดเล็กคล้ายหูดนูนขึ้นมาจากผิวหนัง สีน้ำตาลหรือดำอาจมีผิวเรียบหรือขรุขระ ขนาด2-3เซนติเมตร พบได้บ่อยตามใบหน้า หนังศีรษะ หน้าอก ไหล่ ท้อง และหลัง มักเกิดเป็นกระจุกมากกว่าจุดเดียว แต่จะไม่พบตามฝ่ามือหรือฝ่าเท้า มักจะเกิดจากพันธุกรรม แสงแดด เมื่ออายุมากขึ้น หรือโดนแดดมากขึ้น เป็นเวลานาน จะมีจำนวนเพิ่มขึ้นได้
ฝ้ากับกระ แตกต่างกันอย่างไร
ฝ้า จะมีลักษณะเป็นปื้นและมีขนาดใหญ่กว่า ขอบเขตไม่ชัดเจน มักจะเกิดในบริเวณที่สัมผัสแสงแดด ขณะที่ กระ จะเป็นจุดกลมๆ เล็กๆ มีขอบเขตชัดเจน มักจะเกิดกระจายทั่วไป บนใบหน้า

การรักษากระ

1. ครีมทา(Whitening creams) : มักจะเป็นครีมกลุ่มที่ผสมไวเทนนิ่ง เช่น Kojic adic,Albutin,Vitamin C เพื่อให้กระจางลง มักจะใช้ได้เฉพาะกระตื้น แต่ก็ได้ผลไม่ดี
2. การลอกผิวด้วยกรดเข้มข้น (Chemical peeling ): กลุ่มนี้มักจะใช้ได้กับกระตื้น กับกระแดด แค่พอทำให้กระจางลงได้บ้าง ถ้าทำบ่อยๆ ก็ทำให้ผิวบางลงและไวต่อแสงแดดมากขึ้น ทำให้กระกลับมาเป็นใหม่ และรุนแรงกว่าเดิม
3. เลเซอร์ ( Laser ) : การใช้เลเซอร์เป็นวิธีที่ง่าย ปลอดภัย ผลตอบสนองค่อนข้างดี มากกว่า 80-90 % โดยพบว่าเลเซอร์ที่ใช้ก็มีดังนี้
3.1 Pigmented Laser (Q-Switched Nd:YaG Laser) เช่น Revlite ,Pico Laser ซึ่งจัดว่าเป็นเลเซอร์ที่รักษากระได้ทุกชนิด ยกเว้นกระเนื้อ เหมาะกับทุกสภาพสีผิว ผลการรักษา ขึ้นอยู่กับ จำนวนครั้งและเทคนิคของแพทย์
3.2 Co2 Laser : เป็นเลเซอร์ที่ใช้กำจัดกระเนื้อ สามารถกำจัดออกหมดได้ในครั้งเดียว สะดวกและปลอดภัย ไม่มีผลข้างเคียงใดๆ หลังทำอาจจะมีรอยแดงๆ ควรเลืี่ยงแดดหรือทาครีมกันแดดเพื่อป้องกันรอยดำหลังทำ

การป้องกันกระ

นอกจากสาเหตุทางพันธุกรรมที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขอะไรได้แล้ว การหลีกเลี่ยงการเผชิญแสงแดดเป็นทางเดียวที่จะช่วยป้องกันไม่ให้เป็นกระ หรือมิให้กระกลับมาใหม่ ปฏิบัติตามได้ง่าย ๆ ไม่กี่ข้อดังนี้

  • เตรียมพร้อมเผชิญแสงแดดด้วยการทาครีมกันแดดทุกครั้ง โดยเลือกครีมที่มี SPF 50 เป็นอย่างต่ำ
  • ปกป้องใบหน้าซึ่งเป็นส่วนที่โดนแสงแดดบ่อย ๆ ด้วยการสวมหมวกปีกกว้าง
  • สวมใส่เสื้อผ้าปกปิดร่างกาย เช่น เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว
  • หลีกเลี่ยงการพบเจอแสงแดดช่วงเวลาประมาณ 10 โมงเช้าถึง 3 โมงเย็น ที่มีแดดแรง
  • พยายามอยู่ในร่มหรือภายในตัวอาคาร
กระตื้น กระลึก รักษาด้วย Q-Switched Nd:YaG Laser
กระเนื้อ ก่อนหลัง การรักษาด้วย CO2 Laser
Posted on

Fine Scan 1550 : เลเซอร์รักษาสิวเรื้อรัง รอยหลุมสิว รูขุมขนกว้าง เซ็บเดิร์ม สำหรับผิวเอเซีย

Fine Scan 1550 คืออะไร

คือเลเซอร์ ประเภท Erbium Grass Fiber ที่ความยาวช่วงคลื่น 1550 nm โดยการยิงเลเซอร์เป็นลำเล็กๆ จำนวนมาก เพื่อทำให้เกิดการทำลายที่ผิวหนังเป้าหมาย เช่น รอยหลุม รูขุมขนกว้าง ท่อไขมันที่อุดตัน หรืออักเสบ แล้วก่อให้เกิดการบาดเจ็บเล็กๆ (micro-injuries) หลังจากนั้นก็จะเกิดการสมานแผล และสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ หลังทำ ผิวหน้าจึงกระชับขึ้น รูขุมขนเล็กลง รอยหลุมตื้นขึ้น รอยด่างดำ จางลง นอกจากนี้ยังช่วยซ่อมแซมท่อไขมันอุดตันอักเสบในคนที่มีปัญหาสิวอักเสบ สิวอุดตัน เป็นๆ หายๆ ให้หายขาดได้ด้วย
Fine Scan 1550 แตกต่างจาก Fraxel Re:Store หรือไม่ อย่างไร
เป็นเลเซอร์ชนิดเดียวกัน ต่างกันที่ Fraxel Re:Store นำเข้าจาก USA ขณะที่ Fine Scan 1550 เป็นเลเซอร์ที่ประกอบในประเทศ แต่ใช้อะไหล่แท้ จากอังกฤษ และหัวอ่าน Scanner จาก อเมริกา ได้ผลดีใกล้เคียงกับ Fraxel Re:Store แต่ผลข้างเคียง เรื่อง ระยะเวลาพักฟื้น รอยดำ รอยแดง หรือรอยดำ หลังทำ จะน้อยกว่า Fraxel Re:Store

ทำไม Fine Scan 1550 จึงเหมาะกับผิวเอเซีย

  1. หัวยิง :  หัวยิง เป็นรูปสี่เหลี่ยม แนบสนิทกับใบหน้า จึงให้พลังงานสม่ำเสมอ และกำหนดขอบเขตได้ง่าย ไม่ยิงซ้ำจุดเดิม จึงไม่ทำให้เกิดการยิงซ้ำ จนเกิดการสะสมของความร้อนในแต่ละจุด มากเกินไป หรือน้อยเกินไป
    2. ระบบการปล่อยพลังงงาน : Fine scan จะปล่อยเลเซอร์ แบบสเปรย์สี และพ่นแบบสุ่มไปมาหลายๆ พื้นที่ ลดอัตราการเกิดความร้อนสะสม ซึ่งจะแตกต่างจากยี่ห้ออื่นๆ ที่ลำแสงเลเซอร์จะพ่นแบบคลี่พัดจีนหรือแปรงสี scan แนวเดียวทีละแถว โดยเมื่อยิ่งทำไปนานๆ ความร้อนจะสะสมที่หางแถวไปเรื่อยๆ ซึ่ง มักจะเกิดรอยดำหรือรอยแดงได้ง่ายกว่า
    3. ความเร็วของเลเซอร์ : ยิงด้วยความเร็วสูง (ไม่ถึง 1/1000 ของวินาที) ควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ โดยแต่ละจุดเล็กๆที่ถูกยิง จะไม่เปิดปากแผลด้านบน จึงไม่เกิดการทำลายเนื้อเยื่อ หลังทำจึงไม่ค่อยมีแผลชัดเจน ไม่มีเลือด หรือสะเก็ดมากนัก ไปทำงานได้ตามปกติ ขนาดสะเก็ดแผลที่เกิดขึ้นมันเล็กจนมองเกือบไม่เห็น

Fine Scan 1550 รักษาอะไรได้บ้าง 

  1. รอยหลุมสิว : ใช้ได้กับหลุมสิวทุกชนิด จะกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้หลุมสิวตื้นขึ้น  ผลการรักษาพบว่า หลังทำเพียงครั้งเดียว รอยหลุมตื้นขึ้นประมาณ 30%
  2. รูขุมขนกว้าง :  โดยลอกผิวด้วยเลเซอร์ด้วยเทคนิค Micro-Laser Peel ทำให้รูขุมขนกระชับขึ้น ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ
  3. ริ้วรอย เหี่ยวย่น รอบดวงตา : กระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจน จึงทำให้ริ้วรอยเหี่ยวย่นตื้นขึ้น ผิวหน้ากระชับขึ้น โดยพบว่า มีการวิจัยในอาสาสมัครคนไทย 20 คน (รพ.รามา) พบว่า หลังทำ 8 ครั้ง ห่างกันทุก 1 อาทิตย์ พบว่าริ้วรอยเหี่ยวย่นรอบดวงตา ดีขึ้นประมาณ 40-50%
  4. รอยแตกลาย : ทำลายพังผืดหรือเม็ดสีผิวผิดปกติ สร้างคอลลาเจน และสร้างเม็ดสีเมลานินใหม่ สิผิวที่แตกลาย ก็จะค่อยจางลดลง โดยพบว่าหลังทำ 3 ครั้ง ริ้วรอยแตกลายดีขึ้น 70-90%
  5. สิวเรื้อรัง : เนื่องจากปัญหาสิวอักเสบ หรือสิวอุดตัน เป็นๆ หายๆ มีสาเหตุจากความผิดปกติของต่อมไขมัน หรือท่อไขมัน การทำ Finescan เหมือนการล้างท่อที่อุดตัน และยังทำให้รอยแดง รอยดำ จากสิว ดีขึ้นได้ด้วย
  6. เซ็บเดิร์ม : โรคผิวหนังอักเสบที่เกิดจากต่อมไขมันผิดปกติ ทำให้เกิดรอยแดงเป็นขุย ตามซอกจมูก หัวคิ้ว มักจะเป็นๆ หาย ๆ การทำ Finescanจะไปทำลายต่อมไขมันที่ผิดปกติ สามารถช่วยหายขาดได้นานขึ้น

Posted on

เลเซอร์คืออะไร ทำงานอย่างไร ทำไมต้องมีหลายเครื่อง เลือกยังไง ให้ได้ผลดี ไม่มีผลข้างเคียง

เลเซอร์(Laser) คืออะไร

Laser ย่อมาจาก Light Amplification by Stimulated Emission of Radiations เลเซอร์ความงาม มีมากมาย หลายแบบ หลายยี่ห้อ แต่ที่เหมือนกันคือจะ ทำงานแตกต่างจากแสงทั่วๆไป โดย เลเซอร์เมื่อทำงาน จะมีพาพลังงานจำนวนมากไปด้วย ทำให้สามารถผลิตความร้อนได้ในปริมาณมากด้วยเช่นกัน สมบัติเด่น 4 ประการของแสงเลเซอร์ คือ

  1. มีทิศทางเดียวแน่นอน ( Collimated)
  2. มีความถี่เดียว เป็นแสงสีเดียว ( Monochromatic)
  3. มีเฟสเดียวกัน และ มีหน้าคลื่นเดียว (Coherent)
  4. มีความเข้ม/จ้าสูง 

เลเซอร์แต่ละแบบ ทำงานแตกต่างกันอย่างไร

เลเซอร์ด้านความงาม มีการพัฒนากันอย่างต่อเนื่อง แต่หลักๆ การทำงาน เลเซอร์แต่ละชนิดจะมีต้นกำเนิดของพลังงานลำแสงที่แตกต่างกัน จึงมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน โดยปัจจัยหลักที่แพทย์จะเลือกเลเซอร์ประเภทใด มาใช้ในการรักษาปัญหาด้านผิวหนัง หรือด้านความงาม จึงต้องเลือกจากปัจจัยหรือคุณสมบัติของเลเซอร์นั้นๆ ให้เหมาะสม หรือ พูดง่าย ถ้าจะรักษาด้วยเลเซอร์แล้ว คุณภาพหรือประสิทธิภาพและประสิทธิผลจะได้ผลดีเพียงใด น่าพอใจมากน้อยแค่ไหน นอกจากยี่ห้อของเครื่องที่ได้มาตรฐานสากลแล้ว ยังต้องมีปัจจัยอื่นๆ อีก ดังนี้
1. Wavelenth ( ความยาวช่วงคลื่น ) : มีหน่วย เป็น นาโนเมตร(nm) ถือว่าเป็นปัจจัยหลักที่สำคัญที่สุดของเลเซอร์แต่ละประเภท เพราะความยาวช่วงคลื่น จะตัวกำหนดในเรื่องของการยิงเลเซอร์ไปยังเป้าหมายหรือปัญหาของผิวพรรณ ได้ถูกต้องและได้ผล เพราะปัญหาแต่ละอย่าง การรักษาด้วยเลเซอร์ ต้องเลือกช่วงคลื่นที่ตรงกับปัญหานั้นๆ

2. Fluence ( พลังงาน ) : มีหน่วยเป็น จูลหรือมิลลิจูล( J/mJ ) โดยเมื่อแพทย์เลือกช่วงคลื่นของเลเซอร์ที่เหมาะสมแล้ว ต่อมาแพทย์จะเลือกพลังงานในการยิงเพื่อทำลายเป้าหมายที่ต้องการ ซึ่งถ้าใช้พลังงานมาก ก็ได้ผลมากกว่า แต่ก็เกิดผลข้างเคียงได้มากกว่า ตรงนี้แหละ คือความชำนาญและประสบการณ์ของแพทย์ที่ทำเลเซอร์ แต่ละคน จะเลือกพลังงานในการยิงให้เหมาะสมกับสภาพปัญหาของคนไข้ และสีผิวของคนไข้ โดยถ้าพลังงานมาก ก็เกิดผลข้างเคียงมาก สีผิวเข้ม ก็เกิดผลข้างเคียงมากกว่าสีผิวอ่อนกว่า
3. Pulse Duration ( ระยะเวลาในการยิงแต่ละครั้ง ) : มีหน่วยเป็น วินาที(sec) ถ้าใช้ระยะเวลาในการยิงนาน ก็จะได้พลังงานมาก ได้ผลดี แต่ก็มีผลข้างเคียงมาก ดังนั้น เลเซอร์บางเครื่อง ก็สามารถแบ่งระยะเวลาการยิงเป็นช่วงๆ SubPulses เพื่อให้ได้พลังงานเพียงพอที่ต้องการ แต่มีความร้อนสะสมน้อย เพื่อลดผลข้างเคียง เช่น วีบีมรุ่นแรก แบ่งพลังงานเป็น 4 ช่วง ต่อมาแบ่งเป็น 8 ช่วงเพื่อให้ยิงได้แรงขึ้น แต่ผลข้างเคียงลดลง

4.Spot size ( ขนาดหัวยิง ) : ขนาดมีผลต่อการกระจายของพลังงานเลเซอร์
– หัวยิงขนาดใหญ่ พลังงานก็ลงได้ลึกกว่าหัวยิงขนาดเล็ก แต่การกระจายของพลังงานที่ไม่ต้องการก็มากกว่า แพทย์จะเลือกใช้หัวยิง แล้วแต่บริเวณและความต้องการให้ลงลึกตื้นแค่ไหน หรือต้องการความแม่นยำแค่ไหน
5. Cooling System (ระบบการให้ความเย็น ) : เพราะเลเซอร์ ก็มีความร้อนเกิดขึ้น ดังนั้น ก่อนจะยิงเลเซอร์ ต้องเตรียมผิวหนังคนไข้ให้พร้อม เช่นอาจจะแปะหรือทายาชาทิ้งไว้ให้ชา หรือทำให้ผิวหนังของคนไข้มีความเย็นระดับหนึ่ง เพื่อมิให้เจ็บเกินไป ระหว่างที่ทำ หรือ มิให้ผิวหนังบริเวณที่ยิงเกิดรอยไหม้จากความร้อนของเลเซอร์ ซึ่งอาจจะมีหลายแบบ เช่น การใช้เจลเย็นทา,การใช้หัวยิงเลเซอร์ที่มีระบบ cooling อยู่แล้ว (เช่น วีบีมเลเซอร์ )หรือการพ่นไอเย็นจัด ระหว่างทำ เช่น เครื่อง Cooling Jet

6.Scanner Type (การปรับลำแสงเลเซอร์ ) : ในเลเซอร์บางประเภท เช่น กลุ่ม Fractional Laserจะเป็นการยิงลำแสงเป็นรูเล็กๆ โดยผ่านเครื่องกรองเลเซอร์ ซึ่งมีหลายแบบ ตั้งแต่เริ่มแรกที่ใช้ตะแกรงกรองเลเซอร์ให้ผ่านเป็นรูเล็ก ๆจนพัฒนาเป็นเครื่อง scanner ที่ใช้คอมพิวเตอร์ในการคำนวณ ให้การกระจายของลำแสงเลเซอร์ละเอียด ไปทั่วๆ บริเวณแบบสุ่ม เพื่อลดความสะสมเฉพาะที่ จึงทำให้โอกาสเกิดรอยดำหรือผลข้างเคียงยิ่งน้อยลง เช่น Finescan 1550 ได้มีการปรับตรงนี้ที่แตกต่างจากยี่ห้ออื่น
– ดังนั้น รพ.หรือคลินิกด้านความงาม ที่ทำการรักษาด้วยเลเซอร์ จำเป็นต้องมีเครื่องเลเซอร์ไว้หลายประเภท แต่ละประเภทจึงมีลักษณะ เฉพาะ แตกต่างกัน เลเซอร์เครื่องเดียว ไม่สามารถรักษาปัญหาผิวพรรณได้ทุกชนิด แพทย์จะต้องเลือกชนิดของเลเซอร์ให้เหมาะสมกับสภาพปัญหา ที่สำคัญ สิ่งที่ควรรู้ก่อนจะตัดสินใจไปทำเลเซอร์ก็คือ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะทำเลเซอร์แล้วได้ผลดีเหมือนกันหมด เพราะมีข้อจำกัดหลายอย่าง ที่อาจทำให้การทำเลเซอร์กับคนหนึ่งอาจไม่ได้ผลดีเท่ากับอีกคน อันได้แก่ สีผิว บริเวณที่ทำ ความรุนแรงของปัญหา ฯลฯ

Posted on

เลเซอร์ และเครื่องมือต่างๆ ในการรักษาปัญหาผิวหน้าและความงาม

ความงามของผิวหน้า อาศัยเลเซอร์กับเครื่องมืออะไรบ้าง

ในคลินิกทำหน้า นอกจากการทำทรีทเม้นต์ ให้ครีมทา ให้ยารับประทาน หรือฉีดโบทอกซ์ ฟิลเลอร์แล้ว ยังมีหัตถการอื่น ที่ใช้เครื่องมือ หรือเลเซอร์ในการรักษาปัญหาผิวหน้า และความงาม ซึ่งได้ แบ่งกลุ่มตามปัญหาของคนไข้ ได้ดังนี้
1.กำจัดเนื้องอกธรรมดาของผิวหนัง :
กลุ่มติ่งเนื้อ กระเนื้อ ขี้แมงวัน ใฝขนาดไม่ใหญ่นัก โดยการทำให้ผิวหนังหลุดลอกออกไป ข้อดีของเลเซอร์คือ ไม่มีการเสียเลือด เหมือนการผ่าตัด และไม่จำเป็นต้องใช้การจี้ไฟฟ้าห้ามเลือด จึงลดอันตรายจากความร้อนลงได้มาก เลเซอร์ในกลุ่มนี้ ได้แก่ CO2 Laser 10,600 nm
2. เลเซอร์ลอกผิวหน้า (Laser Resurfacing :
การลอกผิวด้วยแสงเลเซอร์นี้ ผิวหนังแท้จะลอกออก โดยเลือกความตื้นลึกได้ แต่ไม่มีผลต่อเนื้อเยื่อรอบข้าง มักจะนำมาทำการรักษา ริ้วรอย หลุมสิว ผิวหนังเสื่อมจากโดนแสงแดด นานๆ (Photoaging) เลเซอร์ในกลุ่มนี้ ได้แก่ Fractional CO2 Laser Erbium:YAG laser 2.940 nm,fractional laser 1550 nm

3.ฝ้า กระ รอยดำ ปานดำ :
มักจะใช้ในรักษาปัญหาเม็ดสีมากผิดปกติ โดยการลดจำนวนเซลสี ทำให้รอยโรคลอกออก หรือทำให้จางลง ปัจจุบัน มักจะเลือกทำให้จางลง เพราะจะได้ไม่มีผลข้างเคียง รอยดำ หรือทำอันตรายต่อเนื้อเยื่อข้างเคียง เลเซอร์ในกลุ่มนี้ได้แก่ Q-switched Nd:YAG
4. ปานแดง รอยแดง รอยคล้ำจากเส้นเลือด เส้นเลือดขอด : หลักการ คือ เลือกเลเซอร์ที่ไปออกฤทธิ์ที่หลอดเลือดฝอยแดง หรือหลอดเลือดดำหดตัวลง แต่บางครั้งอาจจะต้องทำร่วมกับวิธีอื่นๆ ด้วย เช่นการฉายเลเซอร์ ควบคู่กับการฉีดยา เข้าหลอดเลือดในกลุ่มเส้นเลือดขอด สามารถทำลายเส้นเลือดตั้งแต่ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 0.5 จนถึง 3 mm เลเซอร์ในกลุ่มนี้ได้แก่ Pulse dye laser ( V-beam ),Long-pulsed laser( GentleYaG,Coolquide), IPL


6. ลบรอยสัก : ปัจจุบันรอยสักเกือบทุกสี สามารถลบออกได้ด้วยเลเซอร์ ซึ่งข้อดีคือ ไม่มีแผลเป็นหลังทำ เหมือนกับการลอกออกด้วยกรดเข้มข้น พบว่ารอยสักสีดำ แดง จะได้ผลดีกว่ารอยสักสีอื่นๆ
เลเซอร์ในกลุ่มนี้ได้แก่ Q-switched Nd:YAG ,Q-switched ruby
7. กำจัดขน : ปัจจุบันก็ยังไม่สามารถกำจัดขนได้ถาวร 100 % เพียงแต่อาจจะทำให้ลดลงและทำให้ขนใหม่ขึ้นได้ช้าลง ได้ผลดี ในกลุ่มขนสีดำ หรือสีเข้ม ขนาดไม่ใหญ่นัก เช่น ขนรักแร้ ขนหน้าแข้ง ขนแขน ขนในที่ลับ และได้ผลน้อย หรือต้องทำหลายๆ ครั้ง ในกลุ่มขนสีอ่อน เช่น ขนที่ใบหน้า หรือขนขนาดใหญ่ เช่น หนวดเครา
เลเซอร์ในกลุ่มนี้ได้แก่ IPL Long-pulsed ์Nd:YAGlaser ,Long-pulsed alexandrite laser , Long-pulsed diode laser

8. เลเซอร์ชนิดแสงความเข้มข้นสูง :
บางคนก็จัดเป็นเลเซอร์ บางกลุ่มก็จัดเป็นคลื่นแสงความเข้มสูง ่ข้อดี คือ เครื่องเดียวนำมารักษา ได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งการลดเซลล์สี การรักษาหลอดเลือด การกำจัดขน หรือการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน แต่เนื่องจากไม่เฉพาะเจาะลง จึงได้ผลไม่ดีนัก และเนื่องจากเป็นคลื่นแสง จึงมีความร้อน โอกาสเกิดผลข้างเคียง เช่น รอยไหม้ รอยดำ จึงเกิดได้ง่าย โดยเฉพาะคนสีผิวเอเซียหรือสีผิวเข้ม เลเซอร์ในกลุ่มนี้ได้แก่ IPL
9. ดึงหน้า ยกกระชับ ปรับรูปหน้า : หลักการก็คือกระตุ้นคอลลาเจน โดยใช้ความร้อนลึกลงไปใต้ผิว แต่ละระดับ ว่าต้องการแก้ไขตรงไหน หรือการร้อยไหม ซึ่งมีหลายแบบ ลงไปในชั้นผิว หลังทำจะมีการตึงตัวของผิวหนัง ร่วมกับการสร้างคอลลาเจนผิวหนังก็จะดึงกระชับ ปรับหน้าหย่อนคล้อย เครื่องมือ กลุ่มนี้ได้แก่ RF,HIFU,Thermage ,Titan,Exilis Elite,Ulthera ,การร้อยไหม

Posted on

เมโสแฟต (Mesofat) : ฉีดสลายไขมัน ลดแก้ม ลดเหนียง ลดไขมันส่วนเกิน ได้ทุกบริเวณ

เมโสแฟต คืออะไร

คือการฉีดยาเข้าไปในชั้นไขมัน ตัวยาจะไปสลายไขมันในบริเวณที่ไม่ต้องการ ทำให้ผนังไขมัน( Fat cell wall) แตกตัวออก ทำให้ไขมันที่จับตัวกันเป็นก้อนๆ สลายออกเป็นไขมันเหลว ( Lipid Fat ) แล้วถูกขับออกทางปัสสาวะ เป็นส่วนใหญ่
ชื่อเรียกแตกต่างกันไป ทั้ง เมโสแฟต แฟตบอมบ์ เมโสไลโป ฯลฯ แต่จริงๆ หลักการเหมือนกัน แต่ต่างกันที่ตัวยาที่ใช้ ปริมาณที่ใช้ และบริเวณที่ฉีด
ตัวยาที่ใช้มีอะไรบ้าง
เนื่องจากได้รับความนิยมมาก ไม่แพง และสะดวก จึงมีการพัฒนาสูตรยา ออกมามากมายในตลาด แต่จะขอแบ่งออกเป็นกลุ่มดังนี้
1. ตัวยาที่จัดเป็นยาและมีผลงานวิจัยรองรับ : ได้แก่ Phosphatidylcholine (PC), Deoxycholate (DC) ,L-Carnitine กลุ่มนี้สลายไขมันด้วยการทำให้ไขมันแตกตัวออกเป็นไขมันเหลวผ่านระบบต่อมน้ำเหลือง แล้วขับออกทางปัสสาวะ ข้อดี คือ ฉีดปริมาณไม่เยอะ เพียง 1-2 CC ก้ได้ผลดี เพราะสรรรพคุณยาเข้มข้น ทำให้ไม่เจ็บตัวมาก รอยช้ำน้อย แต่ก็มีข้อเสียคือ มักจะแสบเวลาฉีด บางคนบวมหลังฉีดได้
2. ยาและสารสกัดธรรมชาติ ที่ยังไม่มีการรับรองผล : กลุ่มนี้มักจะนำมาผสมกับกลุ่มแรก ให้ออกฤทธิ์มากขึ้น ได้แก่ Caffeine, vitamin B5, Theophylline, Archichoke extract,Tyrosine,Aesculus hippocastanum, Juglans regia กลุ่มนี้กลไกการสลายไขมัน คือช่วยเรื่องการไหลเวียนโลหิตกับระบบน้ำเหลือง จะได้เรื่องกระชับผิวเป็นหลัก ถ้าจะให้ได้ผลสลายไขมัน ต้องฉีดปริมาณมากกว่าเป็น 10 เท่า ข้อดีคือไม่เจ็บ ส่วนใหญ่ไม่บวม ถ้าบวม น่าจะเกิดจากปริมาณที่ฉีดเยอะมากกว่า



ฉีดบริเวณไหนบ้าง

หลักการคือ สลายไขมัน ในส่วนที่การออกกำลังกายไม่ช่วยมากนัก เช่น

  1. ลดแก้ม
  2. ลดเหนียง
  3. ลดเปลือกตาบน
  4. ลดจมูกชมพู่ ส่วนข้อ 5-7 มักจะใช้ฉีดกรณีมีไม่มากนัก ถ้ามากต้องใช้วิธีอื่นแทน เช่นการดูดไขมัน หรือสลายไขมันด้วยเครื่องมือ
  5. ลดพุง ลดหน้าท้อง บั้นเอว
  6. ลดต้นแขน ลดต้นขา
  7. ลดไขมันที่น่อง

ข้อห้ามในการทำ Mesofat

  1. สตรีมีครรภ์
  2. คนไข้โรคเบาหวานที่ต้องฉีดอินซูลินเป็นประจำ
  3. คนไข้ที่มีประวัติโรคระบบหลอดเลือดผิดปกติในสมอง เช่น เส้นเลือดสมองตีบ หรืออุดตัน
  4. คนไข้ที่มีประวัติโรคเลือดผิดปกติ โรคมะเร็ง
  5. คนไข้ที่มีประวัติโรคหัวใจ และทำการรักษาด้วยยาหลายขนาน

ข้อควรปฏิบัติหลังทำ Mesofat และข้อควรระวัง

1. ควรดื่มน้ำวันละอย่างน้อย 2 ลิตร เพราะไขมันเหลวที่โดนสลายจะถูกขับออกทางปัสสาวะเป็นส่วนใหญ่
2. อาจจะพบอาการบวมช้ำ หรืออาการเจ็บปวดบ้างเล็กน้อย ขณะที่ทำและหลังทำ 1-3 วัน ดังนั้น ควรเลี่ยงการ การเข้าอบซาวน่า การนวด การดื่มอัลกอฮอล์ หรือการทำทรีทเม้นต์ใดๆ หลังทำประมาณ 1 อาทิตย์ เพื่อลดการฟกช้ำให้น้อยลง
3. ควรเดินออกกำลังกายเบา ๆ หลังทำ เช่น การเดินเร็ว โยคะ แอโรบิก อย่างน้อยวันละ 30-45 นาที อาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง เพื่อให้กล้ามเนื้อกระชับและรีดไขมันให้ออกจากร่างกายเร็วขึ้น ลดการสะสมของไขมันใหม่
4. เปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารเพื่อควบคุมน้ำหนัก และไขมันส่วนเกิน มิให้กลับมาสะสมได้อีก
5. ป้องกันการหย่อนคล้อยหลังทำ ควรจะทำการยกกระชับบริเวณที่ทำ ด้วยเครื่องมือยกกระชับ ต่างๆ เช่น RF เพื่อช่วยรีดไขมันให้ออกจากร่างกายได้เร็วขึ้น อาจจะเสริมด้วยการตีสลายไขมันด้วยเครื่อง Slimming Machine กรณีที่ไขมันเกาะตัวแน่นเกินไป

ข้อควรระวัง

หลายๆคลินิกแข่งขันด้านราคากัน ทำให้มีการลดคุณภาพ หรือเปลี่ยนตัวยา เพื่อให้ได้กำไร โดยมีการใช้ยาบางอย่าง ที่แม้ได้ผลเร็ว แต่มีผลข้างเคียง เช่น

  1. ยากลุ่มเสตียรอยด์ เช่น Dexamethasone พวกนี้ไขมันลดได้ จากการทำให้ไขมันฝ่อ ฉีดไปนานๆ อาจจะเกิดรอยบุ๋มเฉพาะจุด จะทำให้ระบบฮอร์โมนต่างๆของร่างกายผิดปกติ และทำให้ภูมิต้านทานลดลง ทำให้ติดเชื้อได้ง่าย
  2. Hyarulonidase : เป็นยาที่สลายฟิลเลอร์ ถ้าเอามาฉีดไขมันทำให้เซลล์ไขมันแตกเช่นกัน แต่ก็ทำให้ HA ที่ดีๆใต้ผิวของเราก็ถูกทำลายไปด้วย ทำให้เหี่ยวเร็ว แก่เร็ว และตัว Hyarulonidase นี้ ยังพบอัตราการแพ้ยาสูงอีกด้วย หมอกระเป๋าใช้ตัวนี้เป็นตัวหลักเลย