Posted on

Dutasteride: ยาปลูกผมตัวใหม่ หยุดผมร่วง สร้างผมใหม่ แก้ไข ผมบาง ศีรษะล้าน

ไม่มั่นใจ หล่อแค่ไหน แต่ไร้เส้นผม ผมบาง ศีรษะล้าน

ปัญหาศรีษะล้าน  จัดเป็นปัญหาที่ผู้ชายถือว่ามีความสำคัญเป็นอันดับ 1 ที่ไม่อยากจะให้เกิดขึ้นกับตัวเอง ทั้งๆ ที่มีอุบัติการณ์เกิดได้ถึง 10 %  ในคนเอเซีย หรือ 30-40 % ในคนยุโรป อเมริกา ตามที่เราทราบกันแล้วว่า ปัญหาผมร่วง ผมบางมีสาเหตุการเกิดได้หลายอย่าง แต่สาเหตุใหญ่ๆที่พบในปัจจุบัน และพอมีแนวทางแก้ไขได้ นั่นคือปัญหาผมร่วง ศีรษะล้านจากปัญหาฮอร์โมนเพศ ชื่อ Dihydrotesterone(DHT)  สูงกว่าปกติ ซึ่งพบได้ถึง 30-40 % ของสาเหตุของการเกิดผมร่วง ผมบาง ทั้งในผู้ชาย และผู้หญิง
ฮอร์โมนเพศชาย ชื่อ Dihydrotestosterone (DHT) มีกลไกที่เป็นสาเหตุของผมร่วงโดย จะทำให้วงจรชีวิตของเส้นผมสั้นลง ผมจึงร่วงได้มากและเร็วกว่าปกติ ทำให้เส้นผมมีขนาดเล็กลง และสั้นลง ทำให้ผมค่อยๆบางลง จนดูโล่งเตียน นอกจากนี้ยังทำให้ ปริมาณผมใหม่ งอกได้ไม่เป็นปกติ ทั้งจำนวนและขนาดของเส้นผมที่เล็กลง ต่อมาได้มีการวิจัยเพิ่มมากขึ้น พบว่า  ฮอร์โมนเพศชาย ชื่อ Dihydrotestosterone (DHT)  นั้นเกิดได้จากเอนไซม์ 5-Alpha reductase ซึ่งมี 2 ชนิด คือ เอนไซม์ 5-Alpha reductase type 1 และ เอนไซม์ 5-Alpha reductase type 2 

ผมร่วง ผมบางจากกรรมพันธุ์ หรือฮอร์โมน

ยารักษาผมร่วงที่ อ.ย.ทุกประเทศ รับรองผล

1. Finasteride (Propecia) เป็นยารับประทานรตัวแรกที่นำมารักษาผมร่วง ที่ได้มีการพิสูจน์ ัรับรองผลโดยสถาบันอาหารและยา(FDA) ของ สหรัฐอเมริกา เมื่อปี ค.ศ 1997 และผ่าน อย.เมืองไทยแล้วว่าสามารถลดปัญหาผมร่วงจาก DHT สูง และทำให้ผมขึ้นได้จริง )ซึ่่งเราได้มีการนำมาใช้แล้วมากกว่า 20 ปี แต่สามารถยับยั้งได้แค่ เอนไซม์ 5-Alpha reductase type 2 โดยไม่มีฤทธิ์ในการยับยั้ง เอนไซม์ 5-Alpha reductase type 1 ทำให้ไม่สามารถจะแก้ไขปัญหา ผมบาง จากสาเหตุ DHT ได้ครอบคลุมครบวงจร
2. Dutasteride (Avodart) ถือเป็นยารุ่นที่ 2 ต่อมาจากยา Finasteride ในการแก้ปัญหาผมบาง Dutasteride เป็นตัวยาสังเคราะห์ขึ้นมาใหม่ ได้มีการพิสูจน์ ัรับรองผลโดยสถาบันอาหารและยา(FDA) ของ สหรัฐอเมริกา เมื่อปี ค.ศ 2010 ซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้ง เอนไซม์ 5-Alpha reductase  type 1 และ Type 2 ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนเพศชาย testosterone เป็น DHT จึงทำให้ระดับ DHT ลดลงในกระแสโลหิต และพบได้ได้ผลดีกว่า ยา Finasteride

หยุดผมร่วงได้แค่ไหน Finasteride VS Dutasteride

1. ยา Dutasteride มีฤทธิ์ยับยั้ง เอนไซม์ 5-Alpha reductase  type 1 และ Type 2 จึงลดระดับ DHT ในเลือดถึง 93 % ขณะที่ ยา Finasteride มีฤทธิ์ยับยั้ง เฉพาะเอนไซม์ 5-Alpha reductase  type 2 จึง ลดระดับDHT ในเลือดได้เพียง  78 %
2.  นอกจากนี้ อัตราส่วนความแรงหรือความสามารถ ของ ยา Dutasteride :ยา Finasteride ในการยับยั้งเอนไซม์ 5-Alpha reductase  type  2  ยังมากกว่าถึง 3:1 จึงลดระดับ DHT ที่หนังศีรษะได้ถึง 93 % ขณะที่ยา Finasteride ลดระดับ DHT ที่หนังศีรษะได้เพียง 34-41 %
3. ยา Dutasteride พบว่าไม่มีผลต่อการทำงานของตับ เหมือนกับยา Finasteride นอกจากนี้ ยังไม่มีผลต่อไต ระดับไขมันในเลือด
4. ยา Dutasteride มีราคาแพงกว่า ยา Finasteride 1.5-2 เท่า

ผลข้างเคียงและข้อควรระวัง Finasteride VS Dutasteride

1. ยา Dutasteride มีผลข้างเคียงต่อสมรรภภาพทางเพศ (ทั้งในแง่ความต้องการทางเพศ การแข็งตัว และการหลั่ง ) ในอัตรา  8-9  % ขณะที่ ยา Finasteride มีผลข้างเคียงต่อสมรรภภาพทางเพศ (ทั้งในแง่ความต้องการทางเพศ การแข็งตัว และการหลั่ง)  ในอัตรา 3.7    %
2. ยา Dutasteride มีผลข้างเคียงต่อการลดจำนวนเชื้ออสุจิ  และปริมาณน้ำอสุจิอย่างมีนัยสำคัญ แต่ไม่มีผลต่อการเคลื่อนไหวของตัวอสุจิเมื่อเทียบกับยาหลอก  ขณะที่ ยา Finasteride ไม่มีผลข้างเคียงต่อจำนวนอสุจิ แต่มีผลต่อการเคลื่อนไหวของตัวอสุจิ อย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับยาหลอก
3. ทำให้ผลการตรวจคัดกรองมะเร็งต่อมลูกหมาก มีการคลาดเคลื่อนได้ โดยพบว่าจะทำให้ระดับ PSA level ซึ่งเป็นตัวชี้วัดมะเร็งต่อมลูกหมากอาจจะมีค่าต่ำกว่าความเป็นจริงได้ 50%  ดังนั้นก่อนรับประทานยา Dutasteride ควรจะตรวจระดับ  PSA level ก่อนรับประทานยา Dutasteride และหลังรับประทานยา Dutasterideและตรวจเช็คอีกประจำทุกปี  ดังนั้นถ้าเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก อาจจะทำให้ตรวจพบได้ช้ากว่าคนปกติ  ดังนั้นการตรวจคัดกรองมะเร็งต่อมลูกหมาก ก็ควรจะตรวจเช็คเป็นประจำทุกปี สำหรับคนที่รับประทานยาตัวนี้ โดยเฉพาะเมื่ออายุเกิน 50 ปี
4. ยา Dutasteride ไม่่มีผลต่อการเกิดมะเร็งเต้านมในผู้ชาย แต่ถ้าในระหว่างที่รับประทาน ยา Dutasteride ถ้าเกิดมีปัญหาพบก้อนในหน้าอก ผิดปกติ ก็ควรต้องพบแพทย์เพื่อตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมเช่นกัน
   ข้อห้ามใช้
    ยา Dutasteride ไม่แนะนำให้ใช้ในผู้หญิงที่มีแนวโน้มจะตั้งครรภ์ หรือเตรียมตั้งครรภ์ เพราะยานี้จะทำให้เกิดความผิดปกติ หรือพัฒนาการของอวัยวะเพศของทารกได้ ส่วนการเลือกใช้ยาตัวไหนในการรักษาผมร่วงจาก DHT สูง แนะนำให้พบแพทย์ด้านเส้นผม เพื่อปรึกษาข้อดี-ข้อเสีย และการเลือกใช้ 

    แต่ทั้งนี้ ทั้งนั้นจะเห็นว่า การรักษาผมร่วงแบบไม่ต้องผ่าตัด ควรจะรักษาแบบผสมผสาน ทั้งการใช้ยารับประทานแก้สาเหตุของผมร่วง ในรูปแบบของยารับประทาน (Finasteride/Dutasteride)  ควบคู่กับการฟื้นฟูเส้นผมให้กลับมาดกดำมากขึ้น ด้วยใช้ยาทา จำพวก Minoxidil ซึ่งมีฤทธิ์เพิ่มจำนวนเส้นผม  การรับประทานวิตามินสำหรับบำรุงเส้นผม หรืออาจจะเสริมด้วยการทำเลเซอร์ปลูกผม (Low Level Laser Therapy (HAIRMAX) เพื่อให้ออกซิเจนกับเส้นผม หรือการทำเมโสปลูกผม(Mesotherapy)  จึงจะทำให้ผลการรักษาครอบคลุมครบวงจร และควรจะทำการรักษาต่อเนื่อง และพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเส้นผมเท่านั้น ไม่ควรจะซื้อยามาทำการรักษาเอง เพราะการรักษาอาจจะมีผลข้างเคียงเกิดขึ้นได้ ถ้าพบแพทย์สม่ำเสมอ ยังสามารถจะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้ทันท่วงที

Posted on

สลายไขมัน ยกกระชับ ปรับรูปหน้า กระชับสัดส่วนให้เป๊ะปัง ในเครื่องเดียว : Exilis Elite

เครื่องเดียวครบ จบเรื่องไขมัน ยกกระชับปรับสัดส่วน

ปัญหา ไขมันส่วนเกิน ผิวหน้า ผิวกาย หย่อนคล้อย ไม่กระชับ จัดเป็นปัญหาที่สำคัญปัญหาหนึ่ง ของผู้ที่ดูแลและห่วงใยในสุขภาพและภาพลักษณ์ของตนเอง เพราะการมีรูปร่างที่สมส่วน กระชับ มีสัดส่วนโค้งเว้า ของสตรีเพศ หรือกล้ามเนื้อที่แข็งแรง สมชายชาตรี ต่างเป็นสุดยอดปรารถนากันทีเดียว เพราะ ถ้าเรายังฟิต ยังเป๊ะ ทุกอณูขุมขนตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วหล่ะก็ อายุเป็นเพียงตัวเลขที่เราไม่เคยหวั่นไหว
ปกติ เวลาเราต้องการจะสลายไขมันส่วนเกิน หรือจะยกกระชับ ปรับรูปหน้า สัดส่วน ลดการหย่อนคล้อย เราต้องใช้การรักษาแยกกัน ใช้เครื่องมือต่างกัน ทำให้เสียทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย
แต่ Exilis Elite คือ นวัตกรรมใหม่ล่าสุด จากประเทศอังกฤษ ที่ได้ตอบโจทย์นี้ได้อย่างง่ายดาย โดยเครื่องเดียวครบ จบทุกปัญหาไขมันส่วนเกิน ไม่กระชับ โดยไม่ต้องเจ็บตัว ไม่ต้องพักฟื้น และได้ผลรวดเร็วตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ และที่สำคัญราคาไม่แพงเหมือนกับเครื่องมืออื่นๆ ที่เคยมีมาก่อน

Exilis Elite คืออะไร ทำงานอย่างไร

คือเครื่องมือในการสลายไขมันส่วนเกิน และกระชับสัดส่วน สามารถสลายไขมัน กระชับผิว ลดการหย่อยคล้อยในเครื่องเดียว โดยไม่ผ่าตัดหรือเจาะให้เจ็บตัว ( Non- Surgical body contouring and tightening ) โดยใช้หลักการทำงานร่วมกัน ของคลื่น Monopolar RF กับ Continuous Ultrasound
ทำงานอย่างไร
–  Exilis Elite จะส่งพลังงานความร้อนของคลื่น Monopolar RF ลงลึกไปในชั้นหนังแท้ ไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ให้ผิวกระชับ และชั้นไขมัน ไปสลายไขมันส่วนเกิน โดยสามารถจะ ลงลึกถึงชั้นไขมันได้ถึง 2.5 ซม. โดยไม่รู้สึกร้อนมากจนทนไม่ไหว เพราะมีระบบ Cooling System ที่หัว applicator จึงรู้สึกเพียงอุ่นๆ ที่ใต้ผิวหนัง ในขณะที่ทำ และยังมีระบบ Continous Ultrasound ทำงานควบคู่กันไปด้วย ซึ่งเราทราบมาก่อนแล้วว่า Ultrasound ช่วยกระชับผิวหน้า ผิวกายที่หย่อนคล้อย จึงช่วยทั้งกระชับสัดส่วน ลดไขมันส่วนเกิน ไปในคราวเดียวกัน โดยกลไกการทำงานที่ไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ให้กระชับผิวจากคลื่นความร้อน Monopolar RF  +Ultrasound และสลายไขมันด้วยความร้อนที่พอเหมาะ ที่จะทำให้เกิดเซลล์ไขมันตาย (Fat cell apoptosis) ซึ่งคือที่ อุณหภูมิ 41-43 องศาเซลเซียส โดยมีหัววัดอุณหภูมิให้ Monitor ในระหว่างทีทำ ซึ่งเป็นจุดเด่นอีกข้อที่ เครื่อง Monopolar RF  รุ่นก่อนๆ ไม่มี

Exilis VS Thermage

1. Exilis และ Thermage การทำงานไม่แตกต่างกัน ต่างใช้คลื่นความร้อน Monopolar RF เหมือนกัน
2. Thermage แนวพลังงานลงลึกกว่าและแคบตามแนวดิ่ง ไม่มี Ultrasound ส่วน Exilis เนื่องจากมี Ultrasound ร่วมด้วย คล้ายเครื่องนวดหน้าหรือตีไขมัน จะลงกว้างกว่าในแนวขวาง
3. Exilis มีจอมอนิเตอร์ บ่งบอกพลังงานในหน้าจอว่าเหมาะสมกับสภาพผิวแต่ละคนมั้ย หรือพลังงานพอหรือไม่ในการสลายไขมัน ยกกระชับ ปรับรูปหน้า สัดส่วน
4. Exilis จะปลดปล่อยพลังงานที่คงที่สม่ำเสมอ ซึ่งจะทำให้เกิดความร้อนได้ทั่วถึง ป้องกันการสะสมความร้อนเฉพาะจุด จึงไม่เกิดการไหม้ (burn) ผิวหนัง
5. หัวทำหน้าของ Exilisสามารถกำจัดริ้วรอยย่นใต้ตา ได้ผลดีกว่าเครื่องใดๆ เพราะสามารถบังคับให้ชิดดวงตาได้เท่าที่ต้องการ

มีขั้นตอนการทำอย่างไร และมีผลข้างเคียงหรือไม่
-แทบไม่ต้องเตรียมตัวอะไร แต่ถ้าสามารถดื่มน้ำเยอะๆ ก่อนจะมาทำจะยิ่งดี เพื่อให้ผิวหนังชุ่มน้ำ เพื่อจะได้ทนกับความร้อนได้ดีขึ้น และลดการสูญเสียน้ำจากความร้อนที่ผิว
– ไม่ต้องแปะยาชาให้เสียเวลา ก่อนทำพนักงานจะทำการติด PAD ที่ด้านหลังหรือสะโพก ใกล้บริเวณที่จะทำทรีทเม้นต์ ทาเจลหล่อลื่น(ที่สำหรับทำ IPL ) ทาก่อนแล้วก็เริ่มทำได้ โดยอุณหภูมิจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ ผ่านหน้าจอมอนิเตอร์ เมื่อได้ที่แล้ว อุณหภูมิจะหยุดแค่นั้น การปลดปล่อยพลังงาน RF ก็จะสม่ำเสมอเป็นแนวระนาบ ไม่ขึ้นๆ ลงๆ เหมือนกับ เครื่องยี่ห้ออื่น
– เมื่อรู้สึกร้อนจนทนไม่ไหว ก็แจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบ เจ้าหน้าที่ก็จะยกหัวขึ้นพักชั่วคราวโดยไม่รู้สึกว่ามี  Spark ให้สะดุ้งหรือเจ็บ เมื่อค่อยยังชั่วก็ค่อยเริ่มทำการรักษาต่อ โดยเวลาที่ทำก็แล้วแต่พื้นที่ อาจจะ 15-20 นาที โดยเครื่องจะคำนวณจากคอมพิวเตอร์
ผลข้างเคียงว่าจะมีอาการ Burn หลังทำหรือไม่
ไม่ต้องกังวล  เพราะ มีระบบตรวจวัดค่าสัมประสิทธิ์ความต้านทาน ด้วยระบบ Intelligence Impedance ที่เหมาะสม หลังทำอาจจะมีอาการแดงที่บริเวณที่ทำ ประมาณ  30-60 นาทีก็หายเป็นปกติ ส่วนความร้อนที่สะสมในชั้นไขมัน จะยังรู้สึกได้นานถึง 24-36 ชั่วโมงหลังทำ

Ekilis Elite สามารถทำได้ในบริเวณใดบ้าง และมีข้อห้ามในการทำหรือไม่
– สามารถทำได้ทุกเพศ ทุกวัยที่เริ่มมีปัญหาหน้ากลม ไขมันส่วนเกิน และหย่อยคล้อยไม่กระชับ และ สามารถจะทำได้ทุกส่วนในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นใบหน้า ไขมันใต้คาง (เหนียง) คอ หน้าอก หย่อนคล้อยในผู้หญิง หรือนมโตในผู้ชายที่เรียกว่า Gynecomastia หน้าท้อง บั้นเอว สะโพก ต้นขา หรือน่องที่มีไขมันมาก
ข้อห้าม ก็เฉพาะในบริเวณที่มีบาดแผล และในสตรีมีครรภ์เท่านั้น และในคนที่มีโรคประจำตัว ไม่ว่าเบาหวาน ไขมัน ความดันโลหิตสูง หรืออื่นๆ ก็สามารถทำได้

Posted on

Ulthera ดึงหน้า ยกกระชับ ปรับรูปหน้า ครั้งเดียวจบ ครบทุกปัญหาหน้าหย่อนคล้อย

Ulthera คืออะไร

Ulthera คือ เครื่องยกกระชับ ปรับรูปหน้า แบรนด์อเมริกา ทำงานโดยการปล่อย คลื่นเสียง Focus Ultrasound คลื่นจะเปลี่ยนเป็นความร้อน 63 องศา ถึงชั้น SMAS ซึ่งเทคโนโลยีอื่น ๆ ในปัจจุบันยังไม่สามารถทำได้ยกเว้นการทำศัลยกรรม
SMAS สำคัญอย่างไร
– มีความสำคัญในการยึดผิวหนังเข้าไว้กับกระดูกเป็นเหมือนชั้นกาวสองหน้าที่คอย เชื่อมผิวกับโครงร่างใบหน้าเข้าไว้ด้วยกัน เพราะปัญหาหย่อนคล้อยของผิวหน้า เกิดจากความเสื่อมหรือความอ่อนแอของชั้น SMAS
Ulthera ทำงานอย่างไรตรงชั้น SMAS
-พลังงานความร้อนจุดเล็กๆ จำนวนมากของ Ulthera จะ มุ่งเป้าหมายตรงรอยต่อของชั้นกล้ามเนื้อส่วนบน ( SMAS ) แล้วทำการซ่อมแซม ส่วนที่หย่อนคล้อยให้กลับมากระชับ คล้ายกับการยิงแมกซ์เย็บกระดาษให้ยึดติดกัน
– โดยในขณะที่ทำ แพทย์สามารถเห็นสภาพผิวหนังที่กำลังรักษาผ่านหน้าจอเครื่องตลอดเวลา ( SEE and TREAT ) ในขณะที่เครื่องอื่น ไม่มี ทำให้เห็นจุดบกพร่องของผิว และทำการรักษาได้แม่นยำ และได้ผลการรักษาที่แน่นอนกว่า ขบวนการรักษาทั้งหมดนี้จะไปกระตุ้นการเสริมสร้างคอลลาเจนใหม่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้ผิวค่อยๆ กระชับขึ้น รูปหน้าเล้กลง และดูเป็นธรรมชาติ โดยไม่ก่อให้ผลกระทบกับผิวบริเวณข้างเคียง จึงทำให้มีความปลอดภัยสูง และได้ผลเป็นที่น่าพอใจ

เปรียบเทียบ Ulthera กับการยกกระชับด้วยวิธีอื่นๆ

1. Ulthera พลังงานจะลงลึกสุดถึงชั้น SMAS ขณะที่ Thermage or Exilis ซึ่งเป็นคลื่นวิทยุ จะลงถึงเพียงชั้นไขมันหรือคอลลาเจน
2. พลังงานของ Ulthera เป็น Focuse Ultrasound Original จึงโฟกัส ตรง SMAS ได้แม่นยำทุกจุด และตรวจเช็คได้จากจอมอนิเตอร์ ส่วน HIFU ไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่า แต่ละยี่ห้อลงลึกได้ทุกครั้งที่ยิงมั้ย เพราะไม่มีจอมอนิเตอร์ให้สังเกตได้
3. การร้อยไหมยกกระชับผิว ก็ออกฤทธิ์ที่ชั้นไขมันหรือคอลลาเจน ส่วนชนิดของไหม ไม่ว่าไหมก้างปลา หรือแบบไหนก็ไม่สามารถลงลึกได้มาก ส่วนจะอยู่ได้นานแค่ไหน ก็แล้วแต่ชนิดของไหม ปกติจะอยู่ได้นาน 6-12 เดือน
4. การทำเลเซอร์ยกกระชับผิว เฃ่น Gentle YaG or V-beam เพื่อจะทำ Rejuvenation พลังงานจะ ก็ออกฤทธิ์ที่ชั้นหนังแท้ (Dermis) หรือกระชับผิวส่วน ปกติจะอยู่ได้นาน 1-2 เดือน
5. ฉีดโบทอกซ์ลิฟท์กรอบหน้า จะช่วยกรณีที่อายุยังไม่มาก และกรอบหน้าเริ่มหย่อนคล้อย จะฉีดชั้นเดียวกับที่ทำเลเซอร์ กระชับหน้า โดยจะออกฤทธิ์ที่ชั้นกล้ามเนื้อด้านบน ส่วนการฉีดกล้ามเนื้อชั้นลึก ด้วยโบทอกซ์ มักจะใช้ในการปรับรูปหน้า ซึ่ง Ulthera ก็ช่วยได้ระดับนึง เมื่อผิวหนังกระชับขึ้น หน้าก็จะดูเล็กลงได้ เช่นกัน โบทอกซ์ลิฟท์กรอบหน้าจะอยู่ได้นาน 4-6 เดือน
6. การนวดหน้า ก็ออกฤทธิ์ที่ชั้นหนังแท้ (Dermis) และตื้นกว่าการฉีดโบทอกซ์ หรือเลเซอร์กระชับผิว พวกนี้อยู่ได้ 1-2 อาทิตย์
ดังนั้นถ้าหวังผลยกกระชับในส่วนลึก ให้ได้ผลใกล้เคียงกับการผ่าตัดดึงหน้าที่ทำที่ชั้น SMAS เหมือนกัน ก็คงมีแต่เครื่อง Ulthera เท่านั้นที่สามารถนำมาทดแทนการผ่าตัดดึงหน้าได้ หรือทำให้ได้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกับการผ่าตัดดึงหน้า ไม่ต้องพักฟื้น หลังทำไปทำงานได้ตามปกติ

Ulthera เหมาะกับใคร
        ผู้ที่มีเริ่มมีความเสื่อมของเนื้อเยื่อเกี่ยวพันใต้ผิวหนัง ได้แก่ การลดลงของคอลลาเจนตามอายุ การสูญเสียไขมันที่ใบหน้า มีไขมันสะสมบริเวณข้างแก้มและเกิดเหนียง ได้แก่ 

  1. ผู้ที่มีหน้าใบหน้าคล้อย ไม่กระชับ
  2. ผู้ที่มีคิ้วตก หรือ หนังตาตก
  3. ผู้ที่มีกรอบรูปหน้าไม่ชัดเจน 
  4. ผู้ที่มีปัญหาหย่อนคล้อยใต้คาง
  5. ผู้ที่มีผิวหนังคอและเนินอกไม่กระชับ 
  6. ผู้ที่มีปัญหาคล้อยที่แขน
  7. ผู้ที่มีหน้าท้องไม่กระชับ 
  8. ลดภาวะเหงื่อออกมากที่รักแร้

ผู้ใดที่ไม่ควรทำ Ulthera

  1. ผู้ที่ได้รับการฝังแผ่นโลหะหรือฝังอุปกรณ์ทางการแพทย์บริเวณผิวหน้าและลำคอ
  2. สตรีตั้งครรภ์
  3. ผู้มีปัญหาเกี่ยวกับโรคลมชัก หรือเป็นเบาหวาน ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนการทำ

ผลการรักษาและข้อควรระวัง

  1. ให้ผลการรักษาเทียบเคียงกับการทำศัลยกรรมผ่าตัดดึงใบหน้า ส่วนได้ผลมากน้อยแค่ไหน ีขึ้นอยู่กับจำนวนLines ที่ยิง ความแรง และประสบการณ์ของแพทย์ที่ทำ
  2. หลังทำ ไม่มีรอยแผลเป็น ใช้ระยะเวลาสั้นในการดูแลรักษาผิวหน้า อาจพบอาการบวมแดงเล็กน้อย บริเวณที่ทำการรักษาและหายเป็นปกติภายใน 1-2 อาทิตย์
  3. อาจเกิดความปวดขณะทำ ลดความปวดได้ด้วยการทายาชา ก่อนการทำ 45-60 นาที.
  4. อาจพบห้อเลือด เกิดขึ้นได้หากพลังงานโดนเส้นเลือด อาการจะดีขึ้น 3-7 วันหลังการรักษา
  5. หากพลังงานโดนเส้นประสาท อาจทำให้เกิดการกล้ามเนื้ออ่อนแรงชั่วคราว ชาชั่วคราวได้ จะหายได้เองใน 1-2 เดือน
  6. อาจเกิดแผลเป็นขึ้นได้ หากยิงด้วยเทคนิคที่ไม่ถูกต้อง
  7. ผลการรักษาจะเห็นชัดขึ้นในระยะเวลาประมาณ 3 เดือน การรักษาต่อครั้งจะอยู่ได้นานประมาณ 1-2 ปี
  8. ผู้ป่วยควรจะกลับมาหลังจากทำการรักษา 3 เดือน สำหรับการประเมินซ้ำ

Posted on 2 Comments

จิ้ม 8 จุด หยุดยั้งการร่วงโรยตามวัย แก้ไขปัญหาหน้าหย่อนคล้อย ไม่กระชับ ปรับรูปหน้า (8 Points Face Lift with Fillers )

8 จุดบนหน้า สัญญาณบอกความชรา พาให้เราดูร่วงโรย

คนเราเมื่ออายุมากขึ้น จะมีการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนนอกจากริ้วรอยเหี่ยวย่นแล้ว การสูญเสียหรือลดลงชั้นคอลลาเจน ชั้นไขมัน มวลกระดูก (Volume loss) ก็ทำให้เราดูแก่กว่าวัยได้ ซึ่งจะสังเกตได้ชัดเจน 8 จุด ได้แก่บริเวณเหล่านี้

1.ร่องน้ำตา หรือเบ้าตาลึกขึ้น จนบางครั้งเหมือนคนอดนอน
2.โหนกแก้มเริ่มแบนมากขึ้น จนบางครั้งเห็นเป็นธารน้ำตา (Indian line)
3.แก้มที่เคยเป็นอวบอิ่มเป็นลูกส้มหายไป
4.ร่องแก้มเริ่มลึกขึ้น
5.เวลายิ้ม มุมปากตก มีร่องน้ำหมาก
6.คางเริ่มห้อย เริ่มมีเหนียง
7.ขอบคางเริ่มไม่คมชัด
8.แก้มตอบ มีรอยย่นเป็นริ้วๆ

การสูญเสียมวลไขมัน คอลลาเจน สาเหตุของความหย่อนคล้อย

ฉีดฟิลเลอร์ยกกระชับ (Filler Lifting )กลับมาอ่อนวัยได้

เราทราบว่าสาเหตุที่เกิดจากเปลี่ยนแปลงอย่างนี้ เกิดจากการที่คอลลาเจนที่ลดลงเมื่ออายุมากขึ้น (Volume loss) นั่นเอง   ดังนั้นถ้าเราสามารถที่จะเติมฟิลเลอร์ซึ่งเป็นสารเติมเต็มเข้าไปทดแทนคอลลาเจนที่หายไปตรง 8 จุดที่มีปัญหาดังกล่าว โดยเลือกชนิดของฟิลเลอร์ที่มี % HA สูง และมีความหนืดมาก จะมีคุณสมบัติยกกระชับได้ด้วย นอกจากการเติมเต็ม เช่น Perlane ,Juvederm Voluma,Perfectha Subcu. โดยใช้เข็มทู่ (Canula ) วางลึกบนกระดูก ทั้งประเภทของฟิลเลอร์และเทคนิค ตำแหน่งการวางที่ถูกต้อง จะยกกระชับปรับรูปหน้า เติมเต็มหน้าให้กลับมาอ่อนวัยได้
ข้อดีการยกกระชับด้วยฟิลเลอร์ ท่านจะยังสามารถขยับกล้ามเนื้อ หรือแสดงสีหน้าได้ปกติ เป็นธรรมชาติ และก็ถือว่า เทคนิคนี้อยู่ได้ 10-18 เดือน และในระหว่างนี้อาจจะต้องมีการฉีดเพิ่มเติม เพื่อ Touch Up บ้าง

อนึ่งแต่ใช่ว่าแพทย์ทุกคน จะฉีด 8 Points Face Lift ได้สวยงามเป็นธรรมชาติ เพราะต้องมีการเรียนรู้ และฝึกฝน ต้องมีประสบการณ์ในการฉีดฟิลเลอร์มาก่อนหลายปี และต้องมีความรู้รายละเอียดของฟิลเลอร์แต่ละรุ่น แต่ละยี่ห้อเป็นอย่างดี เพราะฟิลเลอร์ ที่แม้จะเลือกที่ผ่านอย .ซึ่งเป็นสาร Hyaluronic acid เหมือนกัน แต่ต่างยี่ห้อกัน ความหนืดก็ต่างกัน ก็ให้ผลไม่เหมือนกันได้ และตำแหน่ง 8 จุดนี้ ก็มีความยืดหยุ่นแตกต่างกัน เนื้อผิวแตกต่างกัน ไม่งั้นก็อาจจะไม่ได้ผล หรือฉีดแล้วเห็นเป็นก้อนนูน ดูไม่ธรรมชาติ

เทคนิคการฉีดเองก็สำคัญ แพทย์ต้องรู้กายวิภาคของเส้นใยกล้ามเนื้อบนใบหน้า เพราะการฉีดฟิลเลอร์ยกกระชับจะแตกต่างจากการฉีดฟิลเลอร์แบบสารเติมเต็ม แต่จะเป็นการฉีดเพื่อไปค้ำยันหรือต้านการหย่อนคล้อย แต่ละที่ก็ฉีดลึกตื้นไม่เหมือนกัน บางที่ก็ฉีดที่ชั้นใต้ผิวหนัง (Dermis) บางทีก็ต้องฉีดที่เหนือชั้น SMAS บางที่อาจจะต้องฉีดที่ใต้ชั้น SMAS ติดกระดูก

นอกจากนี้ ระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงก็ฉีดเทคนิดแตกต่างกัน เพราะโครงหน้าของผู้ชาย กับผู้หญิงไม่เหมือนกัน มุมมองฉีดให้หล่อ กับมุมมองฉีดให้สวย ถือเป็นศิลปะเฉพาะของแต่ละเพศ ที่สำคัญต้องรู้ว่าฉีดอย่างไร ถึงจะปลอดภัย ไม่มีผลข้างเคียง

Posted on 2 Comments

Mini-Thermage (Athron C ) : ยกกระชับ ปรับรูปหน้า ราคาเบาๆ หย่อนแค่ไหน ก็เอาอยู่

Mini-Thermage (Athron C ) คืออะไร? 

คือ เครื่องมือในการช่วยยกกระชับปรับรูปหน้า ลดริ้วรอย ลดความหย่อนคล้อยโดย โดยใช้เทคนิคการรักษาด้วย คลื่นความร้อนสูง โดยมี ช่วงความถี่วิทยุแบบ monopolar RF ที่ลงได้ลึกถึงชั้นไขมัน และลึกกว่า เครื่อง RF ทั่วๆ ไป  ไม่เจ็บ ไม่มีแผลเป็น ไม่ต้องพักฟื้นโดย ความร้อนที่เกิดขึ้นใต้ผิว จะทำให้เส้นใยคอลลาเจนที่คลายตัวและยืดออกไปตามอายุนั้นกระชับตัวขึ้น ความร้อนยังกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนขึ้นใหม่ ซึ่งจะช่วยให้ผิวของคุณหนาขึ้นและเรียบเนียนขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป
Thermage-Mini (Athron C )  ทำงานอย่างไร ? 
Thermage-Mini (Athron C ) มีหลักการทำงานเหมือนกับ เครื่องThermage เดิม( ที่มีราคาแพงหลายหมื่น ถึงแสนบาทต่อครั้งที่ทำ ) โดยจะทำงานโดยการส่งผ่านความร้อนลงไป ที่ผิวหนังชั้นลึก (Dermis) ทำให้เกิดการหดตัวของชั้นไขมันใต้ผิวหนัง 2 มิติ คือการหดตัว จากทางด้านข้างเข้าหากันและการหดตัวจากด้านบนกับด้านล่างเข้าหากัน ทำให้ผิวกระชับตึง ใบหน้าเล็กลง ลดการหย่อนคล้อย และลดเลือนริ้วร้อย และที่สำคัญราคาถูกกว่ามาก เพียง 5,000 บาทต่อครั้ง  ขั้นตอนก็สะดวก รวดเร็ว และไม่ต้องพักฟื้นหลังการทำ ซึ่งต่างจากเลเซอร์อื่นๆ วิธีการนี้สามารถทำได้ในทุกสภาพผิว ทุกสีผิว  FDA ของประเทศสหรัฐอเมริกา ฯ และประเทศไทย ได้รับรองผลว่าได้ผลในการยกกระชับจริง และอนุมัติให้ใช้ได้มาแต่ปลายปี 2003 ปัจจุบันก็ยังเป็นที่นิยมกันอยู่


ใช้เวลานานแค่ไหนจึงจะเห็นผล?
– Mini -Thermage (Athron C ) ได้พัฒนาคุณภาพได้ใกล้เคียงกับThermage มากที่สุด เมื่อเทียบกับเครื่องมือยกกระชับยี่ห้ออื่นๆ ในท้องตลาด และได้พัฒนามาเป็นรุ่นล่าสุดนี้ จนสามารถเห็นผลการรักษาได้ชัดเจน หลังทำเสร็จ และจะเห็นได้ชัดเจนเมื่อเวลาผ่านไป 1 เดือนและดีขึ้นเรื่อยๆ จนเห็นผลสูงสุดในเดือนที่ 6  การทำการรักษาด้วย Mini -Thermage (Athron C ) เพียงครั้งเดียว ก็จะเห็นความแตกต่างว่าผิวหน้าดีขึ้นในทันทีหลังการทำ ผิวของคุณจะตึงขึ้น เรียบขึ้น ประมาณ 30% และเมื่อเวลาผ่านไป คุณจะสังเกตเห็นว่า ผิวจะเรียบตึงขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อทำต่อเนื่องประมาณ 5 ครั้ง ห่างกันทุก 1-2 อาทิตย์ จะพบว่าผลการรักษาจะอยู่ได้นานมากกว่า 3-6 เดือน และอาจทำซ้ำได้เป็นระยะๆ การทำแต่ละครั้งใช้เวลา 20- 30 นาที
Mini-Thermage (Athron C )  แตกต่างจาก Thermage อย่างไร ?
– MinI-Thermage-Mini (Athron C ) หลักการทำงาน ใช้พลังงานความร้อน แบบเดียวกับ Thermage คือ ใช้ Monopolar RF เหมือนกัน แต่จะทำงานในชั้นหนังแท้ (Dermis) และชั้นไขมันเช่นกัน แต่ตื้นกว่า Thermage และเจ็บน้อยกว่า ราคาถูกกว่ามาก เหมาะกับผู้ที่มีงบประมาณจำกัด และเพิ่งจะเริ่มมีปัญหาการหย่อนคล้อย ไม่กระชับ และมีปัญหาการหย่อนคล้อยเฉพาะในชั้นหนังแท้ (Dermis) อาจจะใช้ทำการรักษาเสริมการร้อยไหมยกกระชับผิวหน้า การทำฟิลเลอร์ การทำเลเซอร์ยกกระชับ โบทอกซ์ลิฟท์หน้า หรือหลังทำเมโสแฟตลดแก้ม แล้วหลังทำ แก้มไม่กระชับ

Posted on

วิตามินซี ช่วยลดระดับยูริคในเลือด ทำให้เกิดโรคเกาต์ นิ่วในไต ลดลงได้

วิตามินซี จัดเป็นวิตามินตัวหนึ่งที่มีการศึกษาถึงคุณประโยชน์ สรรพคุณ กันอย่างมากและต่อเนื่อง
จัดเป็นวิตามินที่หาง่าย ราคาถูก และสามารถหารับประทานจากผลไม้รสเปรี้ยวต่างๆ และมีคุณประโยชน์หลายด้าน …

จากเดิมได้มีรายงานยืนยันทางการแพทย์แล้วว่า วิตามินซี จะมีบทบาทในเรื่องของผิวพรรณ (เช่น การป้องกันอันตรายจากแสงแดด UV,ช่วยลดการอักเสบ ลดการเกิดสะเก็ดหนาของโรคผิวหนังเรื้อนกวาง( Psoriasis),กำจัดอนุมูลอิสระที่เกิดจากภาวะชราของผิวหนัง,สารฟอกสีผิวให้ขาว ( whitening agents ),ช่วยในการสมานแผล ,ป้องกันโรคมะเร็งผิวหนัง) ช่วยป้องกันการเกิดโรคหวัด และทำให้เชื้ออสุจิแข็งแรงแล้ว

มีรายงานอีกหลายรายงานพบว่า วิตามินในขนาดสูงๆ ( ประมาณ 500 มก.) สามารถทำให้ระดับกรดยูริคในเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคเกาต์ นิ่วในไต ลดลงได้ด้วย ซึ่งได้มีคณะวิจัยจากมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอฟกินส์ ได้ทำการทดลองดังนี้

ได้มีอาสาสมัครผู้ใหญ่ จำนวน 184 คน ที่ได้เข้าร่วมโครงการวิจัยนี้ โดยได้แบ่งกลุ่มอาสาสมัครออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ โดยมีปัจจัยด้านอายุ เพศ ในเกณฑ์เฉลี่ยเท่าๆ กัน โดยให้กลุ่มหนึ่ง รับประทานวิตามินซี (Ascorbate) วันละ 500 มก. และอีกกลุ่มให้รับประทานยาหลอก โดยใช้เวลาในการทดลองมีกำหนด 2 เดือน

ผลการทดลองพบว่า กลุ่มที่ได้รับวิตามินซี ค่าระดับยูริคในเลือดลดลง 0.5 มก.ต่อเดซิลิตร ( จากเดิมอยู่ที่ 5.1 มก./ดล.) ในขณะที่กลุ่มที่รับประทานยาหลอก ไม่พบการเปลี่ยนแปลง ( จากเดิมที่ระดับ 7.0 มก./ดล.)

จากผลงานวิจัยนี้ยังไม่สามารถอธิบายได้ว่า กลไกการทำงานของวิตามินซี จะไปรบกวนกระบวนการสร้างกรดยูริคอย่างไร คงต้องหาหลักฐานพิสูจน์ยืนยันอีกครั้ง แต่ก็มีรายงานการวิจัยเล็กๆ อีกหลายกลุ่มที่ได้ยืนยันว่าการใช้วิตามินซีร่วมกับการรักษาโรคเกาต์ จะทำให้ผู้ป่วยลดอัตราการเกิดการอักเสบลงได้ และช่วยลดระดับกรดยูริคในปัสสาวะด้วย จึงทำให้ อัตราการเกิดนิ่วในไตลดลงได้ด้วย ดังนั้นการที่หลายท่านรับประทานวิตามินซีเป็นอาหารเสริม จึงน่าจะยินดีที่ได้รับประโยชน์อีกด้านเพิ่มขึ้น

Posted on

hair colors causes cancer? : ย้อมสีผม บ่อยๆ ทำให้เกิดมะเร็งหรือไม่ !

ปัจจุบันการย้อมสีผม ถือเป็นแฟชั่นที่ฮิตกันอย่างแพร่หลาย ทุกเพศทุกวัย ไม่ว่าจะเป็นการย้อมปิดผมขาว หรือการย้อมผมด้วยสีอื่นๆ ซึ่งในอเมริกามีการสำรวจพบว่า การย้อมสีผมพบได้ถึง 1 ใน 3 ของสตรีชาวสหรัฐฯ และมากกว่า 10 % ของบุรุษเมืองมะกัน จึงทำให้มีหลายคนกลัวว่า การย้อมสีผมบ่อยๆ จะทำให้เกิดอันตรายขนาดเป็นมะเร็งหรือไม่

ได้มีการเรียกร้องกันอย่างมาก โดยเฉพาะกลุ่มคณะกรรมการทางวิทยาศาสตร์ของผลิตภัณฑ์ความงามและผลิตภัณฑ์ที่มิใช่อาหารของยุโรป ให้ทำการศึกษาและวิจัยผลของสารเคมีที่ผสมในผลิตภัณฑ์ย้อมสีผมอย่างจริงจัง เช่น กลุ่มสาร Aromatic amine ,Arylamine ซึ่งอยู่ในยาตัวละลาย สีย้อมผม ทำให้ก่อเกิดสารก่อมะเร็งหรือไม่ เพราะมีบางงานวิจัยบ่งชี้ว่าทำให้เกิดมะเร็งกระเพาะปัสสาวะมากขึ้น

ทางองค์กรอาหารและยา(FDA) ของสหรัฐอเมริกาและองค์การวิจัยมะเร็งระหว่างประเทศ กลับมีความเห็นว่ายังไม่มีข้อมูลเพียงพอที่จะสรุปว่ายาย้อมผมทำให้เกิดมะเร็งได้จริง จึงยังไม่มีการประกาศห้ามจำหน่าย และทั้งนี้ทั้งนั้น ทั้ง 2 องค์กรก็กำลังเฝ้าระวังและติดตามงานวิจัยด้านนี้อย่า’ใกล้ชิดต่อไป ถึงแม้ว่า ก่อนหน้านี้จะยังไม่มีการทบทวนงานวิจัยด้านนี้อย่างมีระบบและจริงจัง
Taskkouche B และคณะได้จุดประกายความคิดเพื่อขจัดความกังขาเรื่องนี้ ด้วยการทบทวนผลงานวิจัยที่ผ่านมา จำนวน 79 รายงาน แบบเป็นระบบได้ผลพบว่า การใช้สีย้อมผมเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งระบบเลือด ( Non-Hodkin lymphoma,Hodkin Lymphoma,Muliple myeloma,Leukemia) ถึง 1.15 เท่า ซึ่งถือว่ามีนัยสำคัญ แต่การใช้สีย้อมผมเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งระบบกระเพาะปัสสาวะเพียง 1.01 เท่า และการใช้สีย้อมผมเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านมเพียง 1.06 เท่า ซึ่งถือว่าไม่มีนัยสำคัญ

ดังนั้นการผลงานรวบรวมการวิจัยในครั้งนี้ ทำให้หลายท่านเกิดความกังวลและไม่แน่ใจหรือมั่นใจว่าจะย้อมสีผมหรือไม่ ถ้าอยากปลอดภัยและลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็ง ท่านที่ไม่ยึดติดกับแฟชั่นอินเทรนด์ หรือไม่กลัวแก่และไม่กังวลผมหงอก ก็ควรจะงด ลด เลี่ยงการย้อมสีผมกันดีกว่า แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การย้อมสีผม แน่นอนสิ่งที่ตามมาและหลีกเลี่ยงไม่ได้ คือ สุขภาพเส้นผมจะอ่อนแอลง อาจจะเกิดปัญหา ผมร่วง ผมบาง เส้นผมไม่มีน้ำหนัก ขาดความนุ่นนวล สละสลวย ภายหลังได้

เอกสารอ้างอิง : Takkouche B,et al.Personal use of hair dynes and risk of cancer,JAMA 2005;293:2516-25

Posted on

งานวิจัย : ขนมปังฟอกขาว VS ช็อกโกแลต อย่างไหน ทำให้เกิดได้สิวได้ง่ายกว่า

ขนมปัง VS ช็อกโกแลต กับการเกิดสิว

ได้มีรายงานวิจัย ที่มหาวิทยาลัยโคโลราโด ในอเมริกา พบว่า ขนมปังฟอกขาว และ ซีรีล หรือเมล็ดธัญพืชอบแห้ง เป็นสาเหตุทำให้เกิดสิวได้มากกว่า ช็อกโกแลตหรืออาหารมันจัดอีก
เหตุผล เพราะอาหารประเภทแป้งที่ได้ผ่านกระบวนการฟอกสี หรือขัดสีธรรมชาติให้กลายเป็นสีขาวนั้น จะทำให้กระเพาะอาหารย่อยได้ง่ายขึ้น ดังนั้นเมื่อรับประทานเข้าไปแล้ว จะถูกดูดซึมได้ง่าย จึงกระตุ้นการหลั่งอินซูลิน ออกมาย่อยเพื่อเปลี่ยนให้เป็นน้ำตาลและพลังงานต่อไป แต่ก็ทำให้มีปริมาณ IFG-1 (Insulin-like-growth-factor) สูงขึ้นได้ด้วย

อินซูลิน และ IFG-1 จะมีผลต่อการผลิตฮอรโมนเพศชาย Testosterone มากขึ้นด้วย จึงทำให้มีการผลิตไขมัน ที่ต่อมไขมัน Sebaceous glands มากขึ้น ซึ่งจะทำให้ผิวหน้ามันมากขึ้น และ Sebum นี้เองเป็นที่โปรดปราน ของเชื้อแบคทีเรียสิว P.acne เป็นอย่างยิ่ง จึงทำให้มีโอกาสเกิดสิวอักเสบได้ง่ายกว่าปกติ นอกจากนี้ยังพบอีกว่า IFG-1 ยังทำให้เซลล์ผิวหนังที่เรียกว่า Keratinocytes แพร่กระจาย และทำให้สิวลุกลามไปหลายๆ แห่งด้วย

ดังนั้นท่านที่ชื่นชอบอาหารแป้ง ขนมปัง อาหารที่ย่อยง่าย ทั้งหลาย คงต้องพึงระวังภาวะสิวลุกลามไว้บ้างนะครับ

Posted on

น้ำยาบ้วนปาก (Mouth wash) : เลือกอย่างไร จึงจะได้ผล ปลอดภัย ลดโรคในช่องปาก

ปัจจุบันจะพบว่า มีน้ำยาบ้วนปาก ออกมาวางจำหน่ายในท้องตลาดมากมายหลากหลายยี่ห้อ พร้อมกับการโฆษณาตามสื่อต่างๆ โดยการอ้างสรรพคุณ ต่างๆ โดยเฉพาะการฆ่าเชื้อโรคในช่องปากและลำคอ ขจัดกลิ่นปาก ลดการอักเสบของเหงือก ทำให้ปากหอมสดชื่น และลดฟันผุได้ด้วย เรามาเรียนรู้ เพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อเท็จจริงดังกล่าวว่าจริงเท็จเพียงใดนะครับ

ส่วนประกอบของน้ำยาบ้วนปาก 
1. ส่วนประกอบพื้นฐาน (Basic ingredient)
1.1 อัลกอฮอล์: ทำให้รุ้สึกสดชื่น ใช้เป็นตัวทำละลายสารแต่งกลิ่นรส และยังช่วยทำความสะอาดช่องปากและมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อ
1.2 สารแต่งกลิ่น: เป็นตัวทำให้น้ำยาบ้วนปากน่าใช้ เพิ่มความรู้สึกสดชื่น ทำให้ลมหายใจสะอาดชั่วคราว สารแต่งกลิ่นบางตัว สามารถมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อได้
1.3 Hemectant: จะช่วยรักษาความชื้น ป้องกันการตกผลึก
1.4 Surfactant: ใช้ในการทำละลายสารแต่งกลิ่นรส ทำให้เกิดฟอง
1.5 น้ำ: เป็นตัวช่วยหลักในการรวมของส่วนผสมหลายๆ อย่าง
2. สารที่ออกฤทธิ์จำเพาะ (Agents for specified effect)
2.1 Astingents salts: ที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน คือ Zinc chloride โดยสารเคมีนี้จะทำให้บรรเทาอาการเจ็บคอ และลดการระคายเคืองต่อเยื่อบุช่องปาก นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียในช่องปากได้ ลดการเกิดกลิ่นปากลงได้
2.2 Antimicrobial agents: สารกลุ่มนี้ที่นิยมใช้กัน โดยมีฤทธิ์กำจัดกลิ่นปาก ยับยั้งการเกิดคราบจุลินทรีย์และหินน้ำลาย ได้ดีเรียงจากมากไปน้อย ก็คือ Chorhexidine, ,Phenolic compound Listerine,Alkaloid sanguinarine
แต่พบว่า Chorhexidine จะมีผลข้างเคียงคือ ทำให้เกิดคราบน้ำตาลบนเคลือบฟันได้ และอาจจะทำให้ ต่อมรับรสของลิ้นเสียไป มีการหลุดลอกของช่องปากได้ ดังนั้นในเมืองไทย จึงนิยมใช้ Listerine มากกว่า ทั้งยังเป็นที่ยอมรับของ FDA,ADA มากว่า 100 ปีแล้ว
2.3 Fluoride: ที่นิยมมักจะอยู่ในรูปของ Sodium fluoride เพราะเตรียมในรูปแบบน้ำยาบ้วนปากได้ง่าย และมีประสิทธิภาพดีในการป้องกันฟันผุได้ระดับหนึ่ง แต่ถ้าจะให้ป้องกันต้านฟันผุได้ดี และลดจำนวนแบคทีเรียบนผิวเคลือบฟัน มักจะผสมในรูป Standnus fluoride มากกว่า

ความปลอดภัยในการใช้น้ำยาบ้วนปาก 

– น้ำยาบ้วนปากที่ดี ควรมีคุณสมบัติ ไม่กระตุ้นให้เกิดการระคายเคืองในช่องปาก ไม่ทำให้เกิดการลอกของเยื่อบุช่องปาก แต่พบว่าผู้ใช้น้ำยาบ้วนปาก จะเกิดการอักเสบรอยแผลเฉียบพลันได้ประมาณร้อยละ 30 ตามส่วนประกอบข้างบน
ควรใช้น้ำยาบ้วนปากในช่วงเวลาสั้นๆ ที่มีปัญหาในช่องปาก แต่ไม่ควรเกิน 2-3 สัปดาห์ หรือตามคำแนะนำของทันตแพทย์ เพราะเมื่อได้รับการรักษาและแก้ไขแล้ว ควรหยุดใช้ทันที เพราะหาก ใช้ติดต่อกันในระยะเวลานาน จะทำให้แบคทีเรีย เกิดการดื้อยาได้ นอกจากนี้ จะทำให้มีโอกาสเกิดมะเร็งช่องปากได้สูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ใช้ที่สูบบุหรี่ร่วมด้วย
– ไม่แนะนำให้ให้ใช้ในเด็กเล็ก อายุน้อยกว่า 5 ปี เพราะอัลกอฮอล์ที่เป็นส่วนผสมในน้ำยาบ้วนปาก ทำให้เป็นอันตรายต่อเด็กได้
นอกจากนี้ การทำความสะอาดช่องปาก โดยการแปรงฟัน ใช้ใหมขัดฟัน ไม้จิ้มฟัน หรืออุปกรณ์ฉีดน้ำ ทันทีที่รับประทานอาหารเสร็จแล้ว เพื่อ ขจัดเศษอาหารทิ้งทันที จะช่วยลดกลิ่นปากและลมหายใจเหม็นได้ และในความเห็นส่วนตัว พบว่าน้ำผสมเกลือ ก็เป็นยาอมบ้วนปากที่มีประสิทธิภาพดีและหาง่าย ราคาถูก เช่นกัน อาจจะไม่มีผลข้างเคียงเหมือนน้ำยาบ้วนปากยี่ห้อดังๆ ทั้งหลายก็ได้

เอกสารอ้างอิง : บทความเรื่อง ‘ น้ำยาบ้วนปาก’ โดย ทันตแพทย์พิทักษ์ ไชยเจริญ มหาวิทยาลัยมหิดล
ขอบคุณภาพจาก http://www.dailymail.co.uk/health/article-1113422/Mouthwash-causes-oral-cancer-pulled-supermarkets-say-experts.html

Posted on

สูบบุหรี่ นอกจากจะทำลายสุขภาพ งานวิจัยยังชี้ชัดว่าเป็นการเสพสารเสพติดชนิดหนึ่ง

การสูบบุหรี่เป็นการเสพติดนิโคติน การเลิกสูบบุหรี่ในบางคน สามารถทำได้ยากแสนยาก เนื่องจากบุคคลนั้นได้เสพติดกับสารนิโคติน ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของบุหรี่
สมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศสหรัฐอเมริกา ได้จัดให้การสูบบุหรี่เป็นการเสพติดชนิดหนึ่ง คล้ายกับการเสพติดเฮโรอิน โคเคนหรือยาบ้า เลยทีเดียว

หลักฐานงานวิจัยที่สนับสนุนว่า นิโคตินเป็นสารเสพติด มีดังต่อไปนี้

  1. การสูบบุหรี่เป็นพฤติกรรมที่ไม่อาจยับยั้งได้: เพราะได้เคยมีรายงานว่า แม้คนป่วยจากพิษบุหรี่เอง ก็สามารถจะเลิกบุหรี่ได้เพียงไม่เกิน 50 %
  2. นิโคตินออกฤทธิ์ต่อสมอง ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ ความรู้สึก : ทำให้ก่อให้เกิดความพึงพอใจ ผ่อนคลายซึ่งเป็นปฏิกริยาตอบสนองต่อความเครียด มีความตื่นตัว จึงทำให้อยากสูบบุหรี่อีก โดยเกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไขสภาพแวดล้อมที่ติดต่อกันในระยะเวลาหนึ่ง และนำพาให้เกิดการผูกติด ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงอยากจะสูบบุหรี่ในแต่ละวันเกิดขึ้นมากในบางอารมณ์ เช่น หลังอาหารเวลาเครียด โกรธ หรือในขณะสังสรรค์กับเพื่อนฝูง
  3. บุหรี่…สูบแล้วไม่เคยอิ่ม : ปกติหลังการสูบบุหรี่และสูดควันเข้าไปในปอด นิโคตินจะเข้าสู่สมอง ใช้เวลาไม่เกิน 19 วินาที และถึงจุดสุดยอดเมื่อบุหรี่หมดมวน ทำให้ทันอกทันใจแก่ผู้สูบบุหรี่ จึงแสดงพฤติกรรมซ้ำแล้วซ้ำอีก (ซึ่งในการเสพด้วยวิธีอื่น เช่นการเคี้ยว จะใช้เวลามากกว่ามาก )
  4. นิโคติน ทำให้เกิดการดื้อได้ : ดังนั้นผู้ที่สูบบุหรี่อย่างติดต่อกันนานๆ มักจะมีแนวโน้มสูบบุหรี่ปริมาณมากขึ้น สังเกตได้จากผู้ที่ไม่เคยสูบบุหรี่ในตอนแรกจะมีอาการมึนงง คลื่นไส้ อาเจียน แต่อาการดังกล่าวจะหายไปเมื่อสูบมวนต่อไป
  5. นิโคติน ทำให้เกิดอาการได้ ถ้าระดับนิโคตินในเลือดต่ำลง : ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ค่อนข้างชัดว่า บุหรี่เป็นสารเสพติด เช่นเดียวกับยาบ้า หรือ เฮโรอิน แต่อาจจะมีอาการน้อยกว่า ดังนี้ อาจจะหงุดหงิดง่าย กระวนกระวาย เซื่องซึม ไม่มีสมาธิ อยากอาหารเพิ่ม น้ำหนักตัวเพิ่ม ความรุนแรงของอาการขาดนิโคตินมากน้อย แตกต่างกันในแต่ละคน และสัมพันธ์กับปริมาณนิโคตินที่ได้รับก่อนหน้าจะหยุดสูบบุหรี่
  6. เมื่อเลิกบุหรี่ได้แล้ว ก็ยังจะมีโอกาสกลับมาสูบได้อีก :คนส่วนใหญ่ที่ต้องการเลิกบุหรี่ มักจะต้องพยายาม มากกว่า 1 ครั้ง การหวนกลับมาสูบบุหรี่อีกเป็นปรากฏการณ์เดียวกับที่พบในผู้ป่วยที่พยายามจะเลิกเสพเฮโรอิน หรือเลิกดื่มสุรา โดยพบว่าผู้ที่พยายาม จะเลิกบุหรี่ ร้อยละ 60 จะกลับมาสูบบุหรี่อีกในเวลา 3 เดือน และร้อยละ 75 ในเวลา 6 เดือน
  7. บุหรี่ ทำให้เกิดอาการอยากเสพอย่างรุนแรงได้ : พบว่าในบางคนที่หยุดสูบบุหรี่กระทันหัน จะมีอาการเสี้ยน ยาไม่แตกต่างจากสารเสพติดชนิดอื่นๆ และอาจจะมากกว่าผู้เสพติดเฮโรอิน สุรา หรือโคเคนเสียอีก

    อ้างอิงจากบทความของ ผศ.นพ. ไพบูลย์ สุริยะวงศ์ไพศาล แห่งศูนย์เวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์รพ.รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ลงตีพิมพ์ในวารสารคลินิ
Posted on

ยาคุมกำเนิด รับประทานนานๆ มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านม เพิ่มขึ้นจริงหรือไม่?

Portrait of a young woman holding birth control pills

ในปี 2539 ได้มีรายงานการรวบรวมผลการศึกษาทางระบาดวิทยา 54 รายงานทางการแพทย์ ว่าหญิงที่รับประทานยาคุมกำเนิดมีอัตราเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านมเพิ่มขึ้น 1.24% แต่อย่างไรก็ยังมีข้อกังขากันอยู่ ว่ารายงานดังกล่าวเชื่อถือได้แค่ไหน
Marchbanks PA และคณะในอเมริกา ได้ทำการวิจัยใหม่อีกครั้ง ในเรื่อง การรับประทานยาคุมกำเนิด ทำให้อีตราการเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมหรือไม่ โดยได้ทำ case control ด้วยทั้งในกลุ่มที่เคยรับประทานยาคุมกำเนิดมาก่อนและกลุ่มที่กำลังรับประทานยาคุมอยู่ โดยทำการศึกษาจากหญิงอายุ 35-64 ปี โดยเป็นกลุ่มผู้ป่วยมะเร็งเต้านม จำนวน 4,575 ราย และกลุ่มเปรียบเทียบกับประชาชนทั่วไป จำนวน 4,682 ราย พร้อมทั้งได้มีการสอบถามประวัติ ย้อนหลังในเรื่องการรับประทานยาคุมกำเนิด
ผลการศึกษาพบว่า ในกลุ่มคนที่ขณะนี้ยังรับประทานยาคุมกำเนิดอยู่ มีอัตราเสี่ยงเท่ากับ 1% ส่วนกลุ่มที่เคยรับประทานยาคุมกำเนิดมาก่อน มีอัตราเสี่ยง ต่อมะเร็งเต้านม เท่ากับ 0.9% คณะผู้วิจัย จึงสรุปว่า การรับประทานยาคุมกำเนิดในปัจจุบันหรือเคยกินมาก่อน ไม่มีโอกาสเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ยังได้สรุปเพิ่มเติมว่า ในคนผิวดำ คนผิวขาว หรือ คนที่รับประทานยาคุมด้วยขนาดเอสโตรเจนมากน้อย หรือ คนที่รับประทานนานมากน้อยเพียงใด หรือ คนที่มีประวัติครอบครัวมีมะเร็งเต้านม หรือ เริ่มรับประทานยาคุมตั้งแต่อายุน้อยๆ ก็ไม่ได้ทำให้อัตราเสี่ยงเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด

เอกสารอ้างอิง………….Oral contraceptives pill and the risk of breast cancer, N Eng J Med 2002;346:2025-32

Posted on

เบาหวาน กับการขาดสาร”อิโนซิทอล” ที่มีความสำคัญต่อระบบประสาทและการกำจัดไขมัน

อิโนซิทอล (Inositol) เป็นสารชนิดหนึ่งในกลุ่มวิตามินบี ที่มีบทบาทสำคัญในระบบประสาทและระบบการกำจัดไขมัน ในภาวะปกติ หรือร่างกายสมบูรณ์ จะสามารถสร้างได้เองจากกลูโคส แต่ในผู้ป่วยเบาหวานซึ่งมีความผิดปกติในการนำน้ำตาลกลูโคสไปใช้ประโยชน์ อาจเกิดภาวะขาดสารตัวนี้ได้

กลไกการทำงานของ อิโนซิทอล (Inositol): เมื่อร่างกายได้รับสารนี้เข้าไป อิโนซิทอล (Inositol)จะถูกเปลี่ยนเป็น Phosphatidyl Inositol ซึ่งมีประโยชน์ในการสร้างเยื่อหุ้มเซลล์ (cell membrane) โดยเฉพาะเยื่อหุ้มระบบประสาท(Myelin Sheath) เซลล์รากผมที่ทำหน้าที่สร้างผม เซลล์ ไขกระดูก ดังนั้นเมื่อขาดสารนี้ ก็อาจทำให้เกิดความผิดปกติของอวัยวะหรือเซลล์นั้นๆ ได้

นอกจากนี้ยังพบว่า อิโนซิทอล (Inositol) ยังเป็นตัวกระจายไขมันที่เกาะอยู่ตามผนังเส้นเลือด และเพิ่มการใช้ไขมันอิสระในเซลล์ จึงช่วยลด ภาวะไขมันในเลือดสูงได้ด้วย

อาการขาดสาร อิโนซิทอล (Inositol) ในผู้ป่วยเบาหวาน

  1. ผิวหนังอักเสบ แบบ Eczema คือ มีอาการอักเสบบวมแดง คัน หรือ ลอกเป็นขุย
  2. ท้องผูกได้ง่าย เนื่องจากการทำงานของระบบประสาทที่ควบคุมการเคลื่อนไหวลำไส้ ทำงานผิดปกติ จึงทำให้อาหารไม่เคลื่อนตัวและตกค้างในลำไส้ใหญ่
  3. อาจเกิดความผิดปกติในดวงตา เช่น ตาบอดกลางคืน ต้อกระจก ต้อหิน และการมองเห็นผิดปกติได้
  4. เกิดภาวะผมร่วงได้ เพราะสารนี้เกี่ยวข้องกับขบวนการในการสร้างเซลล์เส้นผมให้เจริญเติบโตตามปกติ
  5. ทำให้ภาวะเส้นเลือดอุดตัน หรือมีการแข็งตัวของผนังเส้นเลือดได้ จากการที่โคเรสเตอรอลเกาะที่ผนังเส้นเลือดในปริมาณที่สูงเกินไป
  6. เกิดภาวะเสื่อมและอักเสบของปลายประสาท ทำให้มีอาการชา หรือปวดร้อนตามปลายมือปลายเท้าได้

ได้มีผลงานการวิจัยทางการแพทย์ยืนยันว่า การให้ผู้ป่วยเบาหวาน ที่มีอาการดังกล่าวจากการขาดอิโนซิทอล (Inositol) ควรรับประทานสารนี้เสริม ร่วมกับโคลีน จะทำให้ฟื้นฟูอวัยวะที่เกี่ยวข้องได้ดีขึ้น และยังช่วยป้องกันภาวะซึมเศร้า ภาวะวิตกกังวล และป้องกันภาวะมะเร็งได้ ( เนื่องจากเชื่อว่า สารประกอบของ อิโนซิทอล (Inositol) คือ Inositol Hexaphosphate มีส่วนในการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน T-cell ) โดยขนาดที่แนะนำคือ รับประทาน อิโนซิทอล (Inositol) วันละ 500-1,000 มก.ต่อวัน โดย แบ่งรับประทานเป็นวันละ 2 ครั้ง ก่อนอาหารเช้าเย็น

Posted on

Pycnogenol : สารสกัดจากเปลือกต้นสนมาริไทม์ กับคุณประโยชน์มากมาย ในบทบาทอาหารเสริม

เปลือกต้นสนมาริไทม์ จากฝรั่งเศส ในตระกูลพันธุ์ Pinus marittma ซึ่งขึ้นอยู่ในริมฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก ทางตอนใต้ของฝรั่งเศสประกอบด้วยสารอาหารกว่า 40 ชนิด ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เป็นรู้จักในนางว่า Pycnogenol®
– ดร.เลสเตอร์ แพคเกอร์ แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์ดเลย์ ได้รายงานผลการทดลองทางวิทยาศาสตร์ เกี่ยวกับสารสกัดจากเปลือกต้นสนชนิดนี้ พบว่าสารสกัดที่ได้ล้วนมีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระ อันเป็นสาเหตุทำให้เซลล์อวัยวะต่างๆ เสื่อมโทรม โดยพบว่าสารอาหารที่สกัดได้จัดอยู่ในกลุ่ม Bioflavonoids ประเภทต่างๆ เช่น โพรไซยานิดิกส์ คาเทซิน และกลุ่มกรดผลไม้ร่วมเสริมฤทธิ์กัน
– โดยมีประสิทธิภาพสูงกว่าวิตามิน C ถึง 20 เท่า และสูงกว่าวิตามิน E ถึง50 เท่า นอกจากนี้ยังช่วยเสริมฤทธิ์ของวิตามิน C และ E ซึ่งมีหน้าที่ช่วยป้องกันและลดการทำลายเซลล์จากสารอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นในร่างกายตลอดเวลา

ผลงานวิจัยที่พบคุณประโยชน์จากเปลือกต้นสนฝรั่งเศส มีดังนี้ 

  1. ส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกัน โดยกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ในร่างกาย ปรับปรุงคุณภาพของเซลล์ภูมิคุ้มกัน (T-cell,B-cell )
  2. รักษาอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง ไม่มีแรง ทำให้ทนทานต่อการออกกำลังกายมากขึ้น
  3. ปกป้องเซลล์ประสาทจากพิษของผงชูรส
  4. ลดการอักเสบในผู้ป่วยด้วยโรคข้ออักเสบ ในต้านฤทธิ์ของอนุมูลซูเปอร์ออกไซด์
  5. กระตุ้นระบบหมุนเวียนโลหิต ทำให้ผิวพรรณดูอ่อนเยาว์ นอกจากนี้ โพรไซยานิดิกส์ คาเทซิน ยังเข้ารวมตัวกับคอลลาเจนและอีลาสติน ซึ่งเป็น โครงสร้างของผิว ทำให้ผิวพรรณมีความกระชับ ไม่หย่อนยาน
  6. ช่วยผ่อนคลายการบีบเกร็งของหลอดเลือด เมื่อมีความเครียด ทำให้ลดอัตราเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดอุดตัน โรคหัวใจ และพบว่าในวารสารการวิจัย ทางการแพทย์ของ Thrombosis research พบว่ามีฤทธิ์การลดการเกาะตัวของเกร็ดเลือด ของสารสกัดจากเปลือกต้นสนฝรั่งเศส ใกล้เคียงกับ ยาแอสไพริน ทำให้ลดผลข้างเคียงด้านการใช้ยาแอสไพรินในแง่ ระคายเคืองต่อกระเพาะอาหารด้วย
  7. ช่วยป้องกันการตกตระกอนของโคเลสเตอรอลบนผนังหลอดเลือด โดยป้องกันการเกิดการ Oxidation ของ LDL-Cholesterols
  8. ป้องกันและบรรเทาอาการความดันโลหิตสูง โดยสกัดกั้นากรทำงานของเอนไซม์ ACE ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดความดันโลหิตสูง
  9. ทำให้อาการเส้นเลือดโป่ง ขอด ปวด บวม ชา ตามช่วงขา และอาการเรื้อรังของหลอดเลือดดำดีขึ้น
  10. เป็นสารต้านอนุมูลอิสระประสิทธิภาพสูง(Super Antioxidant) ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าวิตามิน C ถึง 20 เท่า และสูงกว่าวิตามิน E ถึง50 เท่า

สารสกัดจากเปลือกต้นสนฝรั่งเศส สามารถถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย โดยไม่มีผลข้างเคียง และมีความปลอดภัย ทางรัฐบาลอังกฤษ ได้อนุมัติให้ เป็นสารอาหารที่ใช้ได้ทั่วไป และทาง FDA สหรัฐอเมริกา ได้อนุมัติให้เป็นผลิตภัณฑ์ด้านอาหารเสริมมานานมากกว่า 10 ปี และในประเทศไทยได้นำมา ทำเป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ที่ท่านสามารถหาซื้อมาบริโภคได้ตามร้านขายอาหารเสริมทั่วๆ ไปแต่ สนนราคาก็แพงเอาการอยู่ ประมาณ เม็ดละ 38-40 บาทต่อแคปซูล 50 มก. คุณต้องรับประทานประมาณ 1-2 เม็ด ต่อมื้ออาหารทีเดียว

เอกสารอ้างอิง : Watson,R.reduction of Cardiovascular Disease Risk Factor By French Maritime Pine Bark Extracts. Cardiovascular Reviews and Reports.1999;326-329.

Posted on

ลิ้นแตกลาย คล้ายแผนที่ ( Geographic tongue) อาการแบบนี้ อันตรายหรือไม่ รักษาอย่างไรดี

ลิ้นแตกลาย คล้ายแผนที่ ( Geographic tongue) คืออะไร

คือ ภาวะที่ลิ้นจะมีลักษณะลายคล้ายแผนที่ ไม่เรียบ แดง สวย เหมือนลิ้นคนทั่วไป ขอบเขตชัด และไม่พบเกสร( papillae) ของลิ้น พบได้ประมาณ ร้อยละ 1-2 ของประชากรทั่วไป พบได้บ่อยในเด็กและวัยรุ่น ทำให้ผู้ป่วยอาจรู้สึกไม่สบายลิ้นและทำให้ลิ้นไวต่ออาหารที่มีรสเผ็ดหรืออาหารร้อน อย่างไรก็ตาม ลิ้นลายแผนที่ไม่ใช่ปัญหาสุขภาพที่อันตราย ไม่ทำให้เกิดการติดเชื้อหรือเป็นสัญญาณของโรคมะเร็งแต่อย่างใด และในปัจจุบันยังไม่พบสาเหตุที่แน่ชัดของภาวะนี้ิ
สาเหตุของลิ้นลายแผนที่
ยังไม่ทราบสาเหตุที่ทำให้เกิด Geographic Tongue อย่างแน่ชัด แต่ก็มีปัจจัยเสี่ยงที่อาจเกี่ยวข้อง เช่น

  • ภาวะลิ้นแตกเป็นร่อง เพราะผู้ป่วย Geographic Tongue มักมีภาวะลิ้นแตกเป็นร่องร่วมด้วย
  • โรคสะเก็ดเงิน เป็นโรคที่มักทำให้เซลล์ผิวหนังชั้นนอกแบ่งตัวมากผิดปกติจนเกิดแผ่นปื้นที่หนาและตกสะเก็ดตามร่างกาย จนส่งผลให้รู้สึกคันและไม่สบายตัว โดย Geographic Tongue เป็นอาการที่มักเกิดขึ้นในผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงิน
  • พันธุกรรม หากคนในครอบครัวเคยเป็น Geographic Tongue มาก่อนก็อาจเสี่ยงต่อการเกิดภาวะนี้ได้เช่นกัน

การรักษาลิ้นลายแผนที่

ผู้ป่วยมักไม่ต้องเข้ารับการรักษา เพราะภาวะ Geographic Tongue ไม่ได้ก่อให้เกิดปัญหาที่ร้ายแรง ไม่มีผลต่อการรับประทานอาหาร หรือ การรับรสอาหาร แม้จะทำให้รู้สึกไม่สบายลิ้นในบางครั้ง รวมทั้งอาการที่ปรากฏอาจหายไปได้เองภายใน 2-3 วัน หรืออาจนานหลายสัปดาห์ ไม่มีความจำเป็นต้องหายามาทา
-อาจจะมีอาการระคายเคืองหรืออาการไวต่อสิ่งกระตุ้นของลิ้นได้ เช่น หากรู้สึกระคายเคืองลิ้นเมื่อรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีรสจัด เผ็ดร้อน หรือมีกรด ก็ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารเหล่านั้น
-ตวรงดสูบบุหรี่ ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ หรือหลีกเลี่ยงการใช้ยาสีฟันที่มีรสเผ็ดร้อนด้วย เป็นต้น
ภาวะแทรกซ้อน
โดยปกติ ไม่ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพหรือภาวะแทรกซ้อนระยะยาวตามมา อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยบางรายก็อาจมีภาวะลิ้นแตกเป็นร่อง ซึ่งมักเกิดร่วมกับลิ้นแตกลาย คล้ายแผนที่ และอาจทำให้ระคายเคืองหรือรู้สึกเจ็บลิ้นในบางครั้ง
การป้องกันและรักษา
ยังไม่มีวิธีป้องกันภาวะนี้ แต่ผู้ป่วยอาจหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่ทำให้ลิ้นเกิดการระคายเคืองได้ เช่น งดรับประทานอาหารบางประเภท ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไม่ใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากบางชนิดที่อาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองลิ้น
– รายที่มีอาการรุนแรง อาจรับประทานยากลุ่มแก้อักเสบกลุ่ม NSAID เช่น Iprobufen หรือยาป้ายแผลในปาก เช่น Kenalog in oral base เพื่อบรรเทาอาการที่เกิดบนผิวลิ้น รวมถึงอาจใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมของยาต้านฮิสตามีนหรือ   เพื่อช่วยลดการอักเสบ การระคายเคือง และอาการเจ็บปวด  

Posted on

Collagen : คอลลาเจน แบบไหนให้ประโยชน์ และได้ผล ช่วยลดริ้วรอย ชะลอวัย ให้ดูอ่อนเยาว์

collagen เป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง คือ scleroprotein ที่เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน( connective tissue) โดยจะอยู่ในรูปของ fiber ที่ประกอบด้วย peptide chain( สายไขมัน) 3 สายที่เรียกว่า triple helix
คอลลาเจนสร้างโดย fibroblast ผลิตสารสำคัญ 3 ชนิดคือ
1.คอลลาเจน (Collagen) ช่วยให้ผิวตึง กระชับ
2.อิลาสติน (Elastin) ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น
3.กรดไฮยาลูโรนิค (Hyaluronic Acid) ช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้น
โดยรวมแล้วในชั้นผิวหนังแท้จะมีคอลลาเจนเป็นส่วนประกอบมากที่สุดถึง 75% เลยทีเดียว มีคุณสมบัติทำให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่นได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ประสิทธิภาพความยืดหยุ่นของคอลลเจนจะเสียไป โดย พบว่าคอลลาเจนจะเหนียวมากขึ้นและอุ้มน้ำได้น้อยลง ดังนั้นจึงทำให้ผิวหน้าแห้งได้ง่าย
จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการหย่อนยานของผิวหนัง และริ้วรอย ทำให้มีการหาหนทางแก้ไขและหาสารที่มีผลในการสร้างคอลลาเจน
แหล่งของคอลลาเจน
1. โปรตีนจากเนื้อสัตว์ ปลา หรือผลิตภัณฑ์จากนมทั้งหลายที่รับประทานเข้าไปถูกย่อยสลายจนแตกตัว และก่อตัวขึ้นใหม่เป็นโปรตีนในลักษณะอื่น ๆ เช่น โปรตีนที่ช่วยในกระบวนการรักษาแผล ซ่อมแซมกล้ามเนื้อ หรือคอลลาเจนนั่นเอง
2. ร่างกายจะมีการผลิตคอลลาเจนได้เอง แต่จะน้อยลงตามอายุที่เพิ่มมากขึ้น คนเราจะค่อย ๆ สูญเสียคอลลาเจนไปประมาณ ปีละ 1.5 เปอร์เซ็นต์ ส่งผลให้การเชื่อมต่อของเนื้อเยื่อในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายอ่อนแอลง เป็นสาเหตุให้ผิวหนังเหี่ยวย่น มีริ้วรอย ขาดความยืดหยุ่น และบริเวณข้อต่อเริ่มไม่แข็งแรงตามไปด้วย

การเพิ่มคอลลาเจน ทำได้กี่แบบ อะไรบ้าง ได้ผลแค่ไหน
1. คอลลาเจนแบบครีมบำรุงผิว : กลุ่มนี้ พบว่าให้ผลไม่แตกต่างกับ มอยซ์เจอร์ไรเซอร์ชนิดอื่น ๆ คือ ลดอัตราการสูญเสียน้ำของผิวหนัง ทำให้ผิวหนังอ่อนนุ่มขึ้นเท่านั้น ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นมอยเจอร์ไรเซอร์ที่มีคอลลาเจนหรือไม่มีคอลลาเจนต่างก็ไม่มีคุณสมบัติในการซึมผ่านและถูกดูดซึมไปสู่ผิวหนังชั้นลึก ครีมบำรุงผิวใด ๆ จึงไม่มีประสิทธิภาพลดการสูญเสียคอลลาเจนหรือลบเลือนริ้วรอยได้
2. คอลลาเจนแบบรับประทานบำรุงผิว : อาหารเสริมคอลลาเจนที่วางขายออนไลน์ ขณะนี้ ช่วยลดการเสื่อมของผิวหนังได้มั้ย งานวิจัยในปี 2014 พบว่าได้ผลเพียง 15 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น แต่ต้องรับประทานคอลลาเจนดังกล่าวนานกว่า 60 วัน
3. คอลลาเจนแบบฉีด : ที่เรียกว่าการฉีดแบบ Filler แทนคอลลาเจนส่วนที่สูญเสียไปของผิว ซึ่งสกัดจาก วัว
( Bovine collagen) แต่ พบว่ามีอัตราการแพ้สูง เพราะสกัดจากสัตว์ อย. ของไทยปัจจุบัน ไม่อนุญาตให้ใช้ฟิลเลอร์คอลลาเจนได้อย่างถูกกฎหมาย และปัจจุบัน ก็ไม่มีจำหน่ายแล้ว จึงมาใช้ฟิลเลอร์ ที่เป็น กรดไฮยาลูโรนิก แทน เพราะผ่าน อย.และปลอดภัยกว่า
จากที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่า การเพิ่มคอลลาเจน ให้ผิว ไม่ว่าวิธีใด ได้ผลน้อยมาก ปัจจุบันแพทย์จะเปลี่ยนมาใช้การฉีดฟิลเลอร์ชนิดไฮยา ทีผ่าน อย.ทดแทน คอลลาเจนที่สูญเสียไป เพราะได้ผลขัวร์ และอยู่ได้นานกว่า
ขอเตือน ว่าอย่าได้ตกเป็นเหยื่อของสื่อออนไลน์ต่างๆ ที่กล้าวอ้างสรรพคุณสินค้า ว่าทดแทนหรือเพิ่มคอลลาเจนได้ นอกจากจะเสียเงิน เสียเวลาแล้ว ยังเสียรู้ ด้วย

Posted on

X Wave therapy : แก้ไข เซลลูไลท์ ผิวเปลือกส้ม ขาใหญ่ เพราะไขมันสะสมเป็นก้อน ให้ดีขึ้นได้

Cellulite คืออะไร ?

โดยปกติแล้ว ร่างกายคนเรามีไขมันเพื่อช่วยป้องกันอวัยวะและให้ความอบอุ่น แต่ถ้ามีไขมันสะสมในร่างกายมากเกินไป เช่นบริเวณเอว หน้าท้อง สะโพก และต้นขา และเป็นเวลานานจะทำให้ระบบต่างๆในร่างกายทำงานผิดปกติ เช่น ทำให้การไหลเวียนโลหิตและของเหลวภายในร่างกายผิดปกติ
ก่อให้เกิดกรดที่เป็นพิษต่อร่างกาย อันเป็นสาเหตุที่มาของโรคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง นอกจากนี้สำหรับบางคน โรคอ้วนยังส่งผลต่อความเป็นอยู่ อาชีพการงาน และความมั่นใจในตัวเองอีกด้วย

Cellulite เป็นไขมันชนิดหนึ่ง มีความคงตัวและสลายตัวได้ยาก มักจะสะสมอยู่ในชั้นผิวหนังตามบริเวณต่างๆของร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณ ต้นแขน ต้นขา สะโพก และหน้าท้อง
ทำให้ผิวหนังมีลักษณะเหมือนเปลือกส้มหรือผิวมะกรูด หย่อนคล้อย และไม่กระชับ
ปัจจัยการเกิด เซลลูไลท์ ได้แก่
– กรรมพันธุ์
– เพศ : มักจะพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย
– อายุ: มักจะพบได้ตั้งแต่อายุ 20 ปีขึ้นไป พบได้บ่อยในคนอายุมากกว่า 40 ปี
– โฮร์โมนเพศหญิง (ช่วงวัยรุ่น, ตั้งครรภ์, ก่อนและหลังหมดประจำเดือน)
– จำนวนไขมันที่มีในร่างกาย
– ความหนาของผิวหนัง
– การใช้ชีวิตประจำวัน ( life style) เช่น การกินไขมันอิ่มตัวหรือน้ำตาลมากเกินไป หรือการดื่มน้ำน้อยเกินไป หรือขาดการออกกำลังกายที่เหมาะสม ทำให้ไม่มีกล้ามเนื้อ และก่อเกิดไขมันสะสมเฉพาะส่วน
– การสูบบุหรี่
– ภาวะเครียด
– ยาบางชนิด เช่น ยาคุมกำเนิด, ยานอนหลับ, ยาขับปัสสาวะ

X Wave therapy คืออะไร

X Wave therapy คือเทคโนโลยี่ใหม่ล่าสุดในการสลายเซลลูไลท์ โดยผลิตจากบริษัท  BTL  Medical Technology Ltd. ประเทศอังกฤษ โดยใช้คลื่นความสั่นสะเทือน Acoustic wave technology ในการไปสลายไขมันและเซลลูไลท์ โดยได้รับการรับรองผลจาก US FDA ว่าเป็นเครื่องมือที่สามารถลดและแก้ไขปัญหาเซลลูไลท์อย่างได้ผล โดยไม่ต้องเจาะหรือฉีดให้เจ็บตัว (new US FDA approved non-invasive aesthetic device for reduction of cellulite using acoustic wave technology)
หลักการทำงานของ X Wave therapy 
– เครื่องมือ  X Wave therapy จะมีการปล่อยคลื่นการสั่นสะเทือนแบบเฉพาะผ่านหัวคล้ายๆ กับการนวด(acoustic massage tip as a conductive electrode delivering electable electrical waveform pulses) ไปยังบริเวณที่ต้องการจะรักษา ตัวคลื่นจำเพาะนี้จะสามารถไปทำลายเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่ยึดติดกันเป็นก้อนเซลลูไลท์ให้แตกตัว และการนวดสั่นสะเทือนจะทำให้ก้อนไขมันแตกตัว และเพิ่มการหมุนเวียนของเลือดและระบบน้ำเหลืองให้ดีขึ้น เพื่อให้ไขมันที่แตกตัว ขับออกจากร่างกายทางระบบน้ำเหลือง และปัสสาวะ โดยในขณะที่ทำ จะรู้สึกสบายตัว ไม่เจ็บ ไม่มีบาดแผลฟกช้ำหลังทำ
– ส่วนระยะเวลาในการทำ อาจจะใช้เวลา 20-40 นาที แล้วแต่บริเวณที่ทำ โดยทำห่างกันทุก 1 สัปดาห์ ประมาณ 8-10 ครั้งก็จะเห็นผลได้ชัดเจน และถ้า

X Wave therapy สามารถจะทำบริเวณใดได้บ้าง ทำบ่อยแค่ไหน กี่ครั้งจึงจะเห็นผลชัดเจน

  1. ท้องแขน ( Upper arms)
  2. บั้นเอวสองข้าง (Love handles)
  3. หน้าท้อง (Abdomen)
  4. สะโพก (Buttocks)
  5. ต้นขา (Thighs)

ความแตกต่างระหว่างเซลลูไลท์กับไขมัน
-คนเราทุกคนมีชั้นไขมันใต้ผิวหนังที่เรียบโดยธรรมชาติอยู่แล้วซึ่งไขมันดังกล่าว จะทำหน้าที่เป็นฉนวนป้องกันความร้อน และป้องกันการกระแทกต่อกล้ามเนื้อ เส้นประสาทและอวัยวะภายใน ไขมันจะสัมพันธ์กับน้ำหนักตัว โดยน้ำหนักตัวมาก ก็จะมีไขมันมาก การแก้ไข ส่วนใหญ่ก็จะใช้วิธีลดน้ำหนัก สลายไขมัน หรือกำจัดไขมัน
– ส่วนเซลลูไลท์ เป็นไขมันที่มีลักษณะตะปุ่มตะป่ำ ไม่ได้ช่วยรับการกระแทกเหมือนไขมันปกติ และมักพบอยู่เฉพาะบางแห่งของร่างกายเท่านั้น เช่น สะโพก, ต้นขา, หน้าท้อง และ เต้านม เซลลูไลท์ ไม่จำเป็นต้องสัมพันธ์กับน้ำหนักตัวเสมอไป วิธีการตรวจสอบว่ามี เซลลูไลท์หรือไม่ สามารถตรวจสอบได้ง่าย ๆ ด้วยตัวเอง โดยการบีบผิวหนังบริเวณต้นขาขึ้นมา ถ้าพบว่า มีลักษณะ ตะปุ่มตะป่ำ ให้สงสัยว่าน่าจะมี เซลลูไลท์ ซึ่งเซลลูไลท์ มักพบมากในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย การแก้ไข ด้วยการลดน้ำหนักไม่ช่วยให้ เซลลูไลท์ ต้องทำการสลายหรือกำจัดด้วยเครื่องตีเซลลูไลท์ เช่น X-wave therapy หรือการผ่าตัดศัลยกรรมดูดไขมัน

ก่อนและหลังทำการสลายเซลลูไลท์ด้วย X Wave
ก่อนและหลังทำการสลายเซลลูไลท์ด้วย X Wave