Posted on

7 ปัญหา ตาไม่สวย เราช่วยได้ เพื่อดวงตาในฝัน สวยก่อน ไม่รอแล้วนะ (Beauty tip for Idol Eyes )

ดวงตาในฝัน ให้คนอยากมองต้องทำไง

ดวงตาในฝัน หรือ Idol eyes คือดวงตากลมโต สดใส มีประกาย เวลายิ้มก็ปราศจากริ้วรอยเหี่ยวย่น ตีนกา ซึ่งจะทำให้คุณดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอ นอกจากนี้องค์ประกอบรอบๆ ดวงตาก็ส่งผลให้ดวงตากลมโตของเรา น่าชวนมองมากขึ้น ไม่ว่าจะมีชั้นตาที่ชัดเจน ขนตายาวงอน ขนคิ้วโก่งเรียงตัวเป็นระเบียบ ขอบตาไม่ดำคล้ำ ไม่มีถุงไขมันทั้งเปลือกตาบน และเปลือกตาล่าง
ปัจจุบัน นวัตกรรมด้านความงาม ได้มีการพัฒนาและแก้ไขปัญหาต่างๆ ของให้เรามีดวงตา และองค์ประกอบรอบดวงตา เป็นดวงตาในฝันได้ไม่ยาก และไม่ต้องเจ็บตัว ต้องผ่าตัดเมื่อเช่นสมัยก่อน ซึ่งผู้เขียนพอจะรวบรวมได้ดังนี้
7 เคล็บลับความงาม ตามนิยาม ทำให้ “ตาสวย”
1. ริ้วรอยรอบดวงตา : ริ้วรอย คือหลักฐานที่บ่งบอกถึงความชรา ซึ่งเราจำแนกออกเป็น 2 แบบ
1.1     ริ้วรอยขณะยิ้ม หรือตีนกา ( Dynamic wrinkle) : เกิดขึ้นเมื่อมีการขยับกล้ามเนื้อหรือยิ้ม เราก็แก้ไขได้ด้วยการฉีดสาร Botulinum toxin type A  เพื่อลดการทำงานของกล้ามเนื้อ แต่การฉีดBotulinum toxin type A  ก็ควรเลือกยี่ห้อที่ได้รับความนิยมสูงสุด เพราะจะอยู่ได้นานกว่ายี่ห้ออื่นๆ  และควรฉีดโดยแพทย์ที่มีความชำนาญ เพื่อให้ริ้วรอยนั้นลดลง ดูเป็นธรรมชาติ ไม่แข็งเกินไป
1.2      ริ้วรอยย่นเล็กๆ ขอบตาล่าง ( Static wrinkle) : ริ้วรอยแบบนี้ แม้จะหยุดยิ้ม อยู่เฉยๆ ก็ย่น ดูแก่ เราก็แก้ไขด้วยการทำ Plexr ที่ใช้พลังงานพลาสมาในการลดริ้วรอย หรืออาจจะใช้เลเซอร์กลุ่มกระตุ้นคอลลาเจน เช่น Fractional laser 1550 nm ซึ่งทั้งสองวิธีไม่ทำให้เกิดรอยแผลเป็น ระยะเวลาพักฟื้นไม่กี่วัน

2. หนังตาตก ไม่มีชั้นตา ช้นตาไม่เท่ากัน : กรณีที่เราอายุมากขึ้น ชั้นตาที่เคยเห็นชัด อาจจะโดนบดบังด้วยเปลือกตาบน หรือไขมันที่เปลือกตาบน ทำให้เห็นชั้นตาไม่ชัด หรือหนังตาตก การแก้ไข ถ้าหนังตาตกมาก จากอายุมาก หรือไม่มีชั้นตาเลย ส่วนใหญ่ เราก็แก้ไขด้วยการทำศัลยกรรมตาสองชั้น กรีดตา ยกหางตา ด้วยมีดหรือเลเซอร์
แต่ถ้าไม่อยากผ่าตัด หรือทำเลเซอร์ ให้ไม่อยากมีเกิดแผลเป็น ชั้นตาตกไม่มาก หรือชั้นตาไม่เท่ากัน การทำ Plexr ที่ใช้พลังงานพลาสมาในการตัดหนังส่วนเกินที่ห้อยลงมา หรือชั้นไขมันที่พอกพูนเปลือกตาบน จนบดบังชั้นตาให้ลดลงได้ ก็อาจจะเป็นอีกทางเลือกนึง

3. ขอบตาคล้ำ  : บางคนอาจจะมีปัญหาขอบตาคล้ำ จากพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือจากปัญหาภูมิแพ้ ขอบขยี้ตาบ่อยๆ จนทำให้เกิดตาอักเสบเกิดรอยดำ จากเม็ดสีเมลานินสะสม เราก็สามารถแก้ไขด้วยการลดจำนวนเม็ดสีเข้มให้จางลงด้วย การทำเลเซอร์เม็ดสีกลุ่ม Q-Swiched Nd:YAG 1064 nm เช่น Revlite laser หรือขอบตาคล้ำจากเส้นเลือดดำ ก็ลดการบวมแดงด้วย เลเซอร์ Long Pulsed Nd:YAG เช่น Gentle YaG

4.  เบ้าตาลึก : จากการลดลงของคอลลาเจน เมื่ออายุมากขึ้น เกิดร่องน้ำตา เราก็สามารถแก้ไขได้ด้วยการฉีดฟิลเลอร์ให้ดูตื้นขึ้น หรือเรียบเนียนได้ ซึ่งฟิลเลอร์ที่ใช้ปัจจุบันที่นิยมและปลอดภัย ก็คือกลุ่มสาร HA ( Hyaluronic acids ) ซึ่งปัจจุบันได้มีการพัฒนาขนาดโมเลกุลขนาดใหญ่ปานกลาง สำหรับฉีดในชั้นลึกหรือติดกระดูกเพื่อการค้ำยันหรือดันเบ้าตาให้ตื้น แถมยังทำให้ถุงไขมันเล็กลงได้ด้วย และยังได้มีการพัฒนาฟิลเลอร์แบบใหม่ ให้มีขนาดโมเลกุลของสาร HA ให้มีขนาดเล็กมากเป็นพิเศษที่เรียกว่า Vital light เพื่อฉีดผิวหนังชั้นตื้น ให้ดูเรียบเนียน ไม่เป็นก้อน ซึ่งแพทย์ที่มีความชำนาญจะสามารถเลือกชนิดของสาร HA ที่มีขนาดแตกต่างกัน ฉีดในหลายๆ ชั้น คล้ายขนมชั้น ที่เรียกว่า Multi-Layer filler injection technique

5. คิ้วตก หางตาตก ขอบตาล่างไม่กระชับ : เราก็สามารถแก้ไขให้ดีขึ้นด้วยการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน อีลาสติน เพื่อให้ผิวกระชับ ลดการหย่อนคล้อยด้วยการทำ Ulthera รอบดวงตา โดยใช้หลักการปล่อยพลังงาน Focused Ultrasound ไปยังชั้นผิวหลังล่างสุด ที่เรียกว่าชั้น SMAS ให้เกิดการตึงตัว และยกตัวสูงขึ้น หรืออาจจะใช้วิธีการฉีดฟิลเลอร์หรือโบทอกซ์ ยกคิ้ว ยกหางตา

6. ขนคิ้วบาง :  : ปกติเราก็มักจะใช้การเขียนคิ้ว ปัดขนตาด้วย อายไลเนอร์ แต่ถ้าเราอยากมีคิ้วดกดำ เป็นธรรมชาติ เราก็สามารถแก้ไขให้ดีขึ้นด้วยการกระตุ้นการสร้างขนคิ้ว ให้ดกดำ ยาวงอนตามต้องการได้ด้วยโลฃั่นปลูกคิ้ว หรือทำ Mesotherapy ปลูกคิ้ว เพือการหวังผลที่ดีขึ้น

7. ถุงไขมันที่เปลือกตาบน และเปลือกตาล่าง : ถ้าปกติการแก้ไข มี 2 แบบ คือการทำศัลยกรรมเปลือกตา โดยการเลาะถุงไขมันออก มักจะใช้ในกรณีที่เป็นมากแล้ว แต่ถ้าไม่มากนัก เราอาจจะลองทำแบบที่ไม่ต้องทำศัลยกรรม เช่น เราก็สามารถจะแก้ไขไขมันที่เปลือกตาบน ด้วยการฉีด Mesofat สลายไขมัน ส่วนถุงไขมันเปลือกตาล่าง กรณีเป็นไม่มาก มักจะเกิดจากเส้นเอ็นที่ยึดหย่อน เราอาจจะฉีดเติมฟิลเลอร์เข้าไปที่ฐานเส้นเอ็นให้ขึงตึงขึ้น เพื่อดันไขมันให้กลับเข้าไป
ดังนั้น การที่เราจะมีดวงตาในฝัน หรือ Idol eyes ในปัจจุบันไม่ใช่เรื่องที่ยุ่งยากและต้องใช้ความพยายามมากมาย แต่ควรที่จะเลือกการให้บริการโดยแพทย์ที่มีความชำนาญ เลือกเครื่องมือ ผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน ผ่าน อ.ย. และมีการยอมรับกันทั่วโลก เพราะปัจจุบันมีเครื่องมือที่ไม่ได้มาตรฐานออกมาในตลาดมากมาย การตัดสินใจเลือกสิ่งที่ดี มีคุณภาพ ย่อมเกิดประสิทธิผลในการรักษาได้ดี และปลอดภัย ปราศจากผลข้างเคียงตามมาภายหลัง

Posted on 68 Comments

กรีดตาสองชั้น แก้ชั้นตาไม่เท่ากัน หนังตาตก ด้วยพลังงานพลาสมา (Plexr) โดยไม่ต้องทำศัลยกรรมหรือเลเซอร์ ไม่มีแผลเป็น

ตาสวย ตาไม่หมวย ใครก็ชอบ

ดวงตา จัดเป็นส่วนหนึ่งของใบหน้าที่ดึงดูดใจใครต่อใครได้ดีที่สุด และเป็นอวัยวะหนึ่งที่ทำให้คนเราสวยขึ้นมากกว่าเดิม โดยพบว่าใครที่มีตาสวย ตาหวาน จะเป็นจุดเด่นที่ทุกคนต่างก็ต้องหันมามอง จะเห็นได้ว่า ดาราที่มีชื่อเสียง ต่างก็มีดวงตาที่กลมโต สดใส มีชั้นตา (ตา 2 ชั้น) และไม่มีรอยย่น หรือรอยพับที่เปลือกตา นอกจากนี้ดวงตายังเป็นตัวบ่งบอกได้ถึงอายุ ว่ายังอ่อนวัย หรือใกล้ร่วงโรย โดยเฉพาะถ้าหนังตาเริ่มตก ชั้นตาไม่เท่ากัน อยากคืนความเยาววัยกับดวงตา โดยไม่ต้องผ่าตัดหรือเลเซอร์ให้เกิดแผลเป็น พลังงานพลาสมาคือทางเลือกแรกที่ตอบโจทย์ได้

Plexr พลาสมา คืออะไร

Plexr จัดเป็นเครื่องมือที่ใช้กรีดผิวหนัง โดยไม่มีแผลเป็นหลังทำ เป็นนวัตกรรมใหม่ล่าสุด จากประเทศอิตาลี ที่ใช้พลังงานพลาสมา โดยเครื่องมือได้นิยมนำมา กรีดตาสองชั้น แก้ปัญหาเปลือกตาตกบดบังชั้นตา ชั้นตาไม่เท่ากัน หรือ ริ้วรอยรอบดวงตา ไม่ใช่พลังงานเลเซอร์ โดยพลังงาน Plasma เกิดจากการเปลี่ยนประจุแก๊สในอากาศ กับหัวของเครื่องมือ โดยพลังงาน Plasma นี้ให้ความร้อนสูงถึง 6,500 Kelvin และเกิดความร้อนที่ผิวหนังที่เพียงประมาณ 60 องศาเซลเซียส (ซึ่งแตกต่างจากเลเซอร์ที่ให้พลังงานสูงและลงลึก ทำลายชั้นผิวให้เกิดแผลเป็นได้มากกว่า) แต่ก็สามารถทำให้ผิวหนังระเหิดหายไป เกิดเป็นชั้นตา หรือทำให้หนังตาที่ตกหายไปในทันที โดยไม่ทำให้เกิดรอยดำ รอยด่าง หรือแผลเป็น เหมือนกับการทำศัลยกรรมด้วยการกรีด หรือ เจาะด้วยเลเซอร์ นอกจากนี้ เครื่อง Plexr พลาสมา ยังไม่มีผลหรือทำอันตรายกับเนื่อเยื่อหรือบริเวณข้างเคียง และยังสามารถทำได้กับทุกสภาพสีผิว ไม่เกิดรอยแผลเป็น หรือรอยเย็บ

พลังงานพลาสมา ทำอะไรได้บ้าง เจ็บมั้ย มีผลข้างเคียง?

1. กรีดตาสองชั้น แก้ไขตาสองชั้นที่ไม่เท่ากัน ทั้งจากของเดิม หรือจากการทำศัลยกรรมมาแล้วชั้นตาไม่เท่ากัน
2. แก้ปัญหาหนังตาตก บดบังชั้นตา
3. ลดไขมันที่เปลือกตา
4. แผลเป็น รอยหลุม รอยแตกลาย
5. รอยย่นที่เปลือกตา ริ้วรอยใต้ตา
6. ใช้แทนเลเซอร์ CO2 ในการตัดหูด ใฝ ขี้แมงวัน สิวหิน ก้อนไขมัน กระตื้น รอยสักทุกชนิด โดยไม่เกิดรอยดำ หรือแผลเป็น

ขั้นตอนในการทำการรักษาด้วย เครื่อง Plasma และการดูแลหลังทำ

1. ทายาชาทิ้งไว้ 30-45 นาที
2. อาจจะรู้สึกร้อนๆ บริเวณที่ทำ
3. เกิดสะเก็ดสีน้ำตาลบางๆตรงบริเวณที่ทำ
4. ล้างหน้าทุกวันแล้วซับให้แห้งด้วยผ้าสะอาด (ห้ามถู)
5. หลังล้างหน้า ทาครีมให้ความชุ่มชื้น และยาสมานแผลตามแพทย์สั่ง เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
6. อาจจะมีอาการปวดแสบร้อนหลังทำ 4-6 ชม
7. อาจจะมีอาการบวมหลังทำ หรือรู้สึกหนักๆ ที่เปลือกตา ประมาณ 1-3 วัน สามารถรับประทานยาลดบวมได้
8. สะเก็ดไม่ควรจะขัด แกะ หรือถู เพราะอาจจะทำให้เกิดการอักเสบเป็นรอยดำ ปล่อยให้หลุดเอง ใช้เวลา 4-7 วัน
9. ไม่ต้องพักฟื้นหลังทำ ไปทำงานได้ปกติ

Posted on

ฉีดโบ อย่างไร ให้ดูดี เป็นธรรมชาติ ไม่แข็ง ยิ้มได้ ยักคิ้วได้ -Botox Intradermal (Dermolift) injection

ทำไมฉีดโบ แล้วดูแข็ง แสดงสีหน้าไม่ได้

ก่อนอื่นต้องเข้าใจหลักการทำงานของโบทอกซ์ก่อนว่า ตัวยาจะไปยับยั้งการทำงานของกล้ามเนื้อ โดยในยุคแรกๆ ที่เราเริ่มเอาโบทอกซ์มาใช้ในแวดวงความงาม ประมาณ ปี ประมาณปีค.ศ 1999-2000 โดยนำมาฉีดลดริ้วรอยเหี่ยวย่น ตีนกา ก่อนเป็นอันดับแรก ต่อมาก็พัฒนามาฉีด รอยย่นหน้าผาก หัวคิ้ว ปรับรูปหน้า โดยมักจะฉีดในชั้นกล้ามเนื้อหรือ Intramuscular technique เพื่อให้กล้ามเนื้อทำงานลดลง กล้ามเนื้อคลายตัว( relaxations ) ที่เราเรียกว่าอ่อนแรงลงชั่วคราวนั่นเอง ซึ่งทำให้ ริ้วรอย ตีนกา รอยย่นจึงลดลง ไม่เกิดรอยย่นขณะยิ้ม หรือขมวดคิ้ว โดยมักจะฉีดในชั้นกล้ามเนื้อหรือ Intramuscular technique ส่วนการที่ฉีดแล้ว ดูแข็ง แสดงสีหน้าไม่ได้ มักจะขึ้นอยู่กับ
1. ปริมาณยูนิตที่ฉีดเยอะเกินไป จนทำให้กล้ามเนื้อแทบจะขยับไม่ได้ หรือเกือบเป็นอัมพาตชั่วคราว
2. ตำแหน่งที่ฉีดเยอะไป หรือเทคนิคที่ฉีดไม่ถูกต้อง
3. ฉีดไปโดนกล้ามเนื้อมัดอื่นที่ไม่ต้องการ ทำให้ยิ้มได้ลำบากหรือยิ้มไม่ได้

Intradermal (Dermolift) คือ เทคนิคที่ฉีดโบ แล้วหน้าไม่แข็ง เป็นธรรมชาติ

เทคนิคนี้ คือ การฉีดโบทอกซ์ในตื้น หรือ ชั้นหนังแท้ ( intradermal ) หรือชั้นคอลลาเจน ทีแทนที่จะฉีดในชั้นกล้าเนื้อแบบเดิม เพราะมีผลงานวิจัยออกมาแล้วว่า การฉีดโบทอกซ์ในชั้นนี้ จะทำให้คอลลาเจนหรือกล้ามเนื้อมัดเล็ก เกิดการหดตัว แทนที่จะคลายตัว ทำให้ริ้วรอย ลดลงได้ จากการยืดกล้ามเนื้อให้ตึง ริ้วรอยลึกเลยดูลดลง จึงดูสวยงามและดูธรรมชาติมากขึ้น สามารถจะยิ้ม ยักคิ้ว ขมวดคิ้วได้ ไม่แข็ง มีแพทย์เพียงไม่กี่คนที่สามารถจะฉีดเทคนิคนี้ได้ชำนาญ และได้ผลดี เนื่องจากต้องอาศัยประสบการณ์ การฝึกฝน ไม่ว่าจะเป็นการเลือกผสมตัวยาโบทอกซ์ที่ความเข้มข้นแตกต่างกันในแต่ละตำแหน่ง เทคนิคการปักเข็มลึกตื้นแค่ไหน ในแต่ละตำแหน่ง องศาการฉีด เวกเตอร์เส้นใยกล้ามเนื้อในแต่ละมัดแต่ละตำแหน่ง

ตำแหน่งไหนที่เหมาะกับการฉีดโบทอกซ์แบบ Intradermal technique : หลักๆ ก็คือตำแหน่งที่ที่เราหวังผลให้กล้ามเนื้อเกิดการหดตัว ให้เกิดการกระชับ  แต่ไม่ทำให้คลายตัวหรืออ่อนแรงจนขยับไม่ได้นั่นเอง เช่น

  1. รอยย่นบริเวณหน้าผาก โดยทำให้รอยย่นลดลง แต่ยังขยับหน้าผากได้ปกติ ไม่ดูแข็งหรือแสดงสีหน้าไม่ได้ หรือรอยย่นที่เกิดขึ้นใกล้แนวคิ้ว ทำให้ลดลงได้ โดยไม่ต้องกลัวเรื่องคิ้วตก หรือคิ้วไม่เท่ากัน
  2. รอยย่นใต้ตา ทำให้ยิ้มได้เป็นธรรมชาติไม่ดูแข็งเกินไป จึงแสดงสีหน้าได้ปกติ แต่รอยย่นจางลง ลดลง ไม่ถึงกับหมด เหมาะกับคนที่ต้องใช้สีหน้าในการแสดงความรู้สึก เช่น กลุ่มนักแสดง นักร้อง หรือที่ต้องใช้ใบหน้าในที่สาธารณะ
  3. การยกกระชับกรอบหน้า บนล่าง เสริมการฉีดลดกราม(ที่ยังนิยมฉีดในชั้นกล้ามเนื้อ) เพื่อให้กรอบหน้าไม่หย่อนคล้อย เสริมหน้าวีเชฟมากขึ้น
  4. ใช้ยกกระชับหนังตา หางคิ้ว หางตา  โดยไม่ต้องกลัวว่าจะทำให้คิ้วตก หรือหางตายกไม่เท่ากัน
  5. ฉีดพรมทั่วใบหน้า ให้ใบหน้าเต่งตึง กระชับมีน้ำมีนวล ไม่หย่อนคล้อย
  6. ฉีดรอยย่นที่คอ เหนียง ให้กระชับ ลดการหย่อนคล้อย
  7. ฉีดให้รูขุมขนเล็กลง
  8. ฉีดให้คางสั้นลง ได้รูปขึ้น
  9. ฉีดกรอบหน้าให้วีเชฟ เล็กลง
  10. ฉีดให้แนวคิ้วยกขึ้น ทำให้ตาโตขึ้น

บุคคลไหนเหมาะกับการฉีดโบทอกซ์แบบ Intradermal technique : ทุกกลุ่มอายุ ทุกเพศ ทุกวัย ที่หวังผลให้ตนเองเยาววัยขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ สามารถแสดงสีหน้า อารมณ์ได้อย่างปกติ โดยเฉพาะในเพศชาย ที่ไม่อยากให้ใครรู้ว่าไปทำอะไรมา หรือกลุ่มที่ต้องใช้หน้าตาในการแสดงอารมณ์ เช่น ดารา นักร้อง

Posted on

รักแร้ดำ ขาหนีบดำ รอยดำจากท่อไอเสีย ดำได้ ก็จางได้ ไม่กลับมาใหม่ ด้วย Revlite Laser

รักแร้ ขาหนีบดำ รอยด่างดำจากท่อไอเสีย รอยดำที่ใครก็ไม่อยากมี

แม้ว่าปัญหารักแร้ดำ ขาหนีบดำ ขาเป็นรอยด่างดำ จะดูเป็นเรื่องเล็ก ๆ ในที่ลับ ๆ ที่อาจจะดูเป็นตำแหน่งที่ไม่มีใครเห็นหรือสังเกตได้ง่าย แต่ก็ถือว่าเป็นตำแหน่งที่สร้างความไม่มั่นใจให้กับคุณได้ หากคุณต้องการจะอวดวงแขน หรือใส่ชุดว่ายน้ำหรือกางเกงขาสั้นขึ้นมา เพราะหากเกิดปัญหาขึ้นมาแล้ว มันอาจจะทำให้คุณสูญเสียความมั่นใจในการอยากจะอวดรูปร่างของคุณขึ้นมาได้ ดังนั้นจงอย่ามองข้ามจุดเล็กๆ นี้ เพราะอาจจะช่วยให้คุณดูดี มั่นใจ ในทุกช่วงเวลาก็เป็นได้

สาเหตุของการเกิดรอยดำ

  1.   เกิดจากการเสียดสี เป็นส่วนใหญ่ แล้วเกิดการอักเสบขึ้นมา เพราะเราทราบมาแล้วว่าเมื่อใดที่เกิดการอักเสบ โดยเฉพาะในผิวคนเอเชีย มักจะมีรอยด่างดำตามมาเสมอ และถ้าเกิดบ่อยๆ ก็จะยิ่งทำให้สีผิวดำคล้ำมากขึ้น การเกิดการเสียดสี จากต้นแขน ต้นขาใหญ่แล้วเบียดกันมากเกินไป และบ่อยๆ ซึ่งพบได้คนอ้วน หรือการใส่กางเกงในที่ขอบรัดเกินไป หรือเกิดจากการเคลื่อนไหวบ่อยๆ อย่างไม่ระวัง เช่นในกลุ่มนักกีฬา
  2. โรคเชื้อราที่ รักแร้ หรือขาหนีบ ซึ่งมักจะเกิดจากความอับชื้น โดยเฉพาะในวัยรุ่นหรือนักกีฬา โดยเมื่อเกิดการติดเชื้อรา มักจะมีอาการคัน ทำให้เกาแล้วเกิดการอักเสบ แล้วเกิดรอยดำตามมา ซึ่งถ้าไม่ทำการรักษาให้หายขาด และเกิดเรื้อรัง รอยดำก็จะยิ่งชัดและเข้มมากขึ้น
  3. โรคผื่นแพ้ผิวหนังอักเสบ (Seborrheic dermatitis) หรือผื่นแพ้สัมผัส (Contact dermatitis) จากการแพ้โรลออน ขอบกางเกงใน หรือสายรัดขอบยกทรง หรือขอบกางเกงในแน่นเกินไป  ทำให้เกิดอาการผื่นแดง คัน แล้วก็เกาแล้วเกิดการอักเสบ และรอยดำตามมาภายหลัง
  4. โรคติดเชื้อแบคทีเรีย มักจะพบในผู้ป่วยเบาหวาน ซึ่งมักจะอ้วน และภูมิต้านทานต่ำ จึงเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนได้ง่าย ทำให้คัน เกาและอักเสบ เกิดรอยดำเช่นกัน
  5. รอยดำจากความร้อน เช่นจากท่อไอเสีย จากการสัมผัสของร้อนแล้วไหม้ เกิดรอยดำ

ทำไงให้หายดำ เป็นปกติแบบไม่กลับมาใหม่

  1. หลีกเลี่ยงสาเหตุที่ทำให้เกิดข้างต้น คนที่มีน้ำหนักตัวมากๆ ก็ควรจะเริ่มหันมาลดน้ำหนักอย่างจริงจัง โดยให้เน้นท่าออกกำลังกาย เพื่อช่วยลดการเสียดสี หรือสลายไขมันส่วนเกินทีต้นแขน ต้นขา
  2. ไม่ควรใส่ยกทรง หรือ กางเกงในตอนนอน แต่หากจำเป็นต้องใส่ก็ให้เลือกใส่กางเกงในที่ไม่มีตะเข็ม ใส่แล้วไม่รัดติ้ว และไม่ใส่จนรัดเกินไป
  3. ควรเลี่ยงการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว และไม่ระวัง เพราะจะกระตุ้นให้เกิดการเสียดสีได้ง่าย หรืออุบัตเหตุได้ง่าย
  4. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ ได้แก่ วิตามินซี วิตามินอี โดยวิตามินอีสามารถพบได้มากในอาหารจำพวก นม ถั่ว ไข่ เนื้อสัตว์ ปลา ผัก ฯลฯ ส่วนวิตามินซีจะพบได้มากในผักและผลไม้ วิตามินทั้งสองชนิดนี้มีบทบาทที่เป็นประโยชน์ต่อผิว ทำให้ผิวแข็งแรงและลดการอักเสบได้ โดยเฉพาะวิตามินซี ทั้งแบบฉีดและรับประทานขนาดสูงๆ จะช่วยลดรอยด่างดำได้ดี
  5. ขัดผิว ให้ใช้ฟองน้ำหรือใยบวมขัดเบาๆ บริเวณรักแร้ ขาหนีบในขณะอาบน้ำ อาจขัดไปพร้อมๆ กับตอนถูสบู่เลยก็ได้ โดยให้ทำอาทิตย์ละ 1-2 ครั้งก็พอ รอยดำบนขาหนีบของคุณจะค่อยๆ จางลงอย่างแน่นอน แต่ขอย้ำนะครับว่าควรขัดถูแบบเบาๆ เพราะถ้ายิ่งลงแรงขัดมากเท่าไหร่ก็อาจทำให้เกิดการอักเสบบวมแดงมากขึ้นเท่านั้น พอแดงมากๆ ความดำจากการเสียดสีก็จะมาเยือน และเยอะขึ้นกว่าเดิมด้วย
  6. สครับผิวสูตรธรรมชาติ การขัดบำรุงผิวก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้ว แต่ย้ำนะครับ ว่าให้เลือกที่ไม่ระคายเคืองผิวมากนัก การสครับผิวควรให้ค่อยๆ ลอกออกช้าๆ เหมือนลอกขี้ไคล  ไม่ควรจะถูแรงๆ หรือไม่ใช่ลอกจนแดง เพราะจะทำให้เกิดการอักเสบ แล้วกลับมาดำคล้ำได้ใหม่
  7. ดูแลทำความสะอาดผิว มิให้เกิดการอับชื้นได้ง่าย อาจจะโรยแป้งป้องกันความชื้น หรือเมื่อเล่นกีฬาเสร็จก็ควรรีบอาบน้ำทันที ไม่ปล่อยหมักหมม
  8. ทาไวเทนนิ่งครีม เลือกชนิดที่มีสรรพคุณลดการจำนวนเม็ดสีเมลานิน เช่น วิตามินซีเข้มข้น Kojic acid,Albutin ฯลฯ ไม่ควรเลือกชนิดที่มีสรรพคุณลอกผิว เช่น AHA หรือกรดเข้มข้น เพราะอาจจะยิ่งช่วยเพิ่มการอักเสบให้มากขึ้น
  9. ส่วนการรักษาที่ได้ผลดี เร็ว ไม่มีผลข้างเคียงและไม่กลับมาดำคล้ำใหม่ แนะนำ เลเซอร์เม็ดสี : ได้แก่ เลเซอร์กลุ่ม Q-Swithced Nd:YAG laser เช่น Revlite laser , จัดเป็นการรักษาที่ได้ผลตามมาตรฐานสากลทางการแพทย์  เพราะจะแก้ไขปัญหารอยดำได้ทุกบริเวณ ไม่ว่าจะที่ไหน รอยดำตื้น หรือลึก โดยจำนวนครั้งในการรักษาอาจจะแตกต่างกันแล้วแต่สีผิว ความลึกตื่นของรอยดำ ปกติมักจะทำ 2-3 อาทิตย์ต่อครั้ง ประมาณ 5-10 ครั้งโดยเฉลี่ย โดยควรเลือกช่วงคลื่นที่มีสรรพคุณช่วยลดเลือนจำนวนเม็ดสี แม้จะต้องทำหลายครั้ง แต่ก็ดีกว่าการเลือกเลเซอร์ที่มีช่วงคลื่นที่มีสรรพคุณลอกผิว ซึ่งก็เหตุผลเดียวกันคือการลอกผิวบริเวณนี้ไม่ควรทำ เนื่องจากผิวมักจะบอบบางและอักเสบได้ง่ายอยู่แล้ว  เพราะถ้าเกิดการอักเสบขึ้นมา ก็จะทำให้รอยดำกลับมาใหม่ได้อีก และอาจจะมากกว่าเดิมเพราะผลของความร้อนจากเลเซอร์

Posted on

โรคออฟฟิศซินโดรม (Office syndrome) โรคเดิมที่เรื้อรัง หายยาก อยากหายไว ไม่อยากกินยา ฉีดโบช่วยได้ เห็นผลทันใจ อยู่ได้หลายเดือน

โรคออฟฟิศซินโดรม คืออะไร

ออฟฟิศซินโดรม คือ กลุ่มอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย ที่เกิดจากสาเหตุหลัก 3 ประการ คือ 1.กระดูกและข้อ 2.เส้นประสาท และ 3. กล้ามเนื้อ ซึ่งทำงานประสานกันอยู่ เป็นอาการของโรคที่พบบ่อยในคนที่ทำงานในออฟฟิศ คนที่ทำงานกับคอมพิวเตอร์ และกลุ่มคนไอทีทั้งหลาย ที่ต้องทำงานอยู่หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งวัน  คนรุ่นใหม่ที่ใช้สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตตลอดเวลา ซึ่งการทำงานติดต่อกันนานๆ แทบไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกายไปไหนมาไหน ทำให้กล้ามเนื้อเกิดการตึงเครียด หดเกร็ง เมื่อนาน ๆ เข้าจะก่อให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออักเสบ ปวดเมื่อยหลัง ไหล่ คอ บ่า แขน ข้อมือ บางรายปวดเกร็งอย่างรุนแรงจนหันคอ หรือก้มเงยไม่ได้เลย
อาการออฟฟิศซินโดรมที่พบได้บ่อยๆ มีดัง
1. อาการปวดตึงที่คอ บ่า และไหล่ :
หนุ่มสาวออฟฟิศที่ต้องนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ มักมีอาการปวด ตึง บริเวณคอ บ่า และไหล่ บางรายอาจมีอาการปวดเกร็งจนอาจหันคอ ก้ม หรือเงยไม่ได้เลย
2. อาการยกแขนไม่ขึ้น : อาการนี้เกี่ยวเนื่องมาจากข้อแรก ซึ่งจะมีอาการปวดตึงกล้ามเนื้อตั้งแต่คอ บ่า จนถึงไหล่ และร้าวลงไปที่แขน จนเป็นเหตุให้ยกแขนไม่ขึ้น เนื่องจากว่ามีพังผืดมาเกาะที่บริเวณสะบักและหัวไหล่นั่นเอง และบางรายอาจมีอาการชาไปที่มือหรือนิ้วมือด้วย
3. อาการปวดหลัง :เป็นอีกหนึ่งอาการที่พบได้บ่อยสุด  เกิดจากการที่เรานั่งทำงานติดต่อกันนานๆ หรืองานที่ต้องยืนนานๆ โดยเฉพาะคุณสาวๆ ที่ต้องใส่รองเท้าส้นสูงตลอดทั้งวันด้วยแล้ว ยิ่งเกิดอาการปวดหลังได้ง่าย การยกของหนักเป็นประจำหรือการออกกำลังกายหักโหมเกินไปก็เป็นสาเหตุให้ปวด หลังได้เช่นกัน โดยอาจเกิดอาการเคล็ด ขัด ยอก หรือปวด ตึง กล้ามเนื้อบริเวณหลัง จนบางรายอาจไม่สามารถเอี้ยวหรือบิดตัวได้
4. อาการปวดและตึงที่ขา: เกิดจากการนั่ง เดิน หรือยืนนานๆ จนทำให้ปวดตึงกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นทั่วทั้งขา บางรายปวดร้าวไปที่เข่าและข้อเท้าก็มี ซึ่งอาการเหล่านี้เกิดจากการใช้งานขาหนักทุกวันจนเกิดอาการล้าสะสม
5. อาการปวดศีรษะ: ในแต่ละวันคนทำงานออฟฟิศส่วนใหญ่จะเกิดความเครียดสะสมโดยไม่รู้ตัว จนทำให้เกิดอาการปวดศีรษะได้ อาจจะปวดข้างเดียวแบบไมเกรน หรือปวดร้าวไปทั้งศีรษะ ท้ายทอย จนทำงานไม่ได้ก็มี

ทำกายภาพบำบัด ฝังเข็ม
ฉีด-Botulinum toxin ลดอาการปวดเกร็ง

ฉีดโบ ช่วยให้หายไว ไม่ต้องทานยา

การรักษาโรค office syndrome มีดังนี้

1. รักษาด้วยวิธีทางเวชศาสตร์ฟื้นฟู และการทำกายภาพบำบัดเพื่อยืดกล้ามเนื้อ และปรับอิริยาบถให้ถูกต้อง
2. การรักษาด้วยการแพทย์ทางเลือก เช่น การฝังเข็ม และ การนวดแผนไทย
3. การรักษาด้วยยารับประทาน :การรักษาด้วยยา แบ่งออกเป็น 3 แบบ คือ
3.1 ยารับประทาน :โดยทั่วไปจะใช้เพื่อบรรเทาอาการ เช่น เมื่อมีอาการปวด หรืออักเสบมาก หรือในกรณีที่อาการที่เกิดขึ้นรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันและคุณภาพชีวิต ผู้มีอาการควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนรับประทานยา เพื่อเลือกยาที่เหมาะสมกับสาเหตุและอาการของตนเอง ยารับประทานที่ใช้บ่อย มี 4 กลุ่ม คือ ยาแก้ปวดและต้านการอักเสบ (NSAIDs) เช่น ไอบูโพรเฟน ,ยาคลายกล้ามเนื้อ (muscle relaxants),ยาแก้ปวดที่ไม่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ เช่น พาราเซตามอล,ยาคลายกังวล
3.2 ยาทาเฉพาะที่: มีหลากหลายรูปแบบ เช่น ครีม เจล น้ำมัน ซึ่งมีส่วนผสมและการออกฤทธิ์ต่างๆกันดังนี้ ยาทาที่ลดการระคายเคือง (Counter-Irritant),ทำให้เกิดความรู้สึกร้อน หรือเย็นเพื่อบรรเทาอาการปวด มักมีส่วนผสมของแคปไซซิน(พริก) และ เมนทอล เป็นต้น แต่หากการปวดนั้นมีการอักเสบด้วย การใช้ยาทาเฉพาะที่ที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบจะช่วยบรรเทาอาการฯได้ดีกว่า;ยาทาบรรเทาอาการปวด และอักเสบที่กล้ามเนื้อ (Topical NSAIDs)
  4 การรักษาด้วยการฉีด-Botulinum toxin  : เดิมใช้การฉีดยาชา หรือยาฉีดแก้ปวดข้อไปตรงตำแหน่งที่ปวด แต่พบว่า ได้ผลแค่ชั่งคราว เมื่อหมดฤทธิ์ยาก็กลับมาปวดได้อีก ปัจจุบัน หลายประเทศได้นำเอา Botulinum toxin มารักษาอาการปวดเมื่อยจากโรคออฟฟิศซินโดรม กันมากขึ้น โดยเฉพาะที่มีสาเหตุจากการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ (Muscle spasm) โดยอาศัยฤทธิ์ของBotulinum toxin ที่มีผลต่อการคลายกล้ามเนื้อเฉพาะจุดได้ดีและไวกว่าวิธีอื่นๆ ข้างบน เห็นผลทันทีหลังฉีด  และอยู่ได้นานถึง 4-6 เดือน ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายหรือหายขาดได้นานๆ และผลข้างเคียงจากการฉีดโบทอกซ์ในตำแหน่งกล้ามเนื้อเหล่านี้ก็น้อยมาก เมื่อเทียบกับการรักษาวิธีอื่นๆ
แต่ควรจะเลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์ในการฉีดโบทอกซ์รักษาโรคนี้นะครับ เพราะไม่อย่างนั้น ถ้าฉีดผิดตำแหน่งแม้เพียงนิดเดียว อาจจะทำให้เกิดผลข้างเคียงได้มาก เช่น ขยับคอไม่ได้ หรือคอเอียงไม่เท่ากัน

ป้องกันมิให้การเกิด office syndrome ทำอย่างไร

การรักษาที่กล่าวมาข้างต้น เป็นการรักษาที่ปลายเหตุ  ถ้าจะป้องกันและรักษาในระยะยาว ต้องแก้ไขที่สาเหตุ ซึ่งสาเหตุของ Office Syndrome นั้นเกิดขึ้นจากการนั่งทำงานในท่าที่ไม่เป็นธรรมชาติ มีการจัดโต๊ะทำงานและเก้าอี้นั่งอย่างไม่เหมาะสม การอยู่ในท่าเดียวนานๆ เป็นการใช้กล้ามเนื้อมัดเดียวต่อเนื่องเป็นเวลานาน ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณนั้นหดตัว ขมวดกัน เมื่อไม่ได้พักหรือออกกำลังกายให้กล้ามเนื้อยืดตัว และยังใช้งานต่อในท่าเดิมๆ กล้ามเนื้อยิ่งหดเข้าไปจนเกิดเป็นก้อนแข็ง ไม่มีความยืดหยุ่น ซึ่งเป็นการบาดเจ็บ และอักเสบของกล้ามเนื้อชนิดหนึ่งที่ไม่ควรละเลย ดังนั้นเมื่ออาการดีขึ้นจากการรักษาข้างต้นแล้ว ควรจะป้องกันการเกิดซ้ำอีกของโรคนี้ ดังนี้

หลักป้องกันการเกิด office syndrome ง่ายๆด้วยตัวเอง

  • การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่างๆ ในที่ทำงาน ที่ไม่เหมาะสม  มีความสำคัญมากในการป้องกันและบรรเทาอาการ office syndrome ที่แก้ไขได้ตรงสาเหตุ
  • ทุก 1-2 ช.ม. ควรพักจากการทำงาน 2-3 นาที อาจจะเดินไปดื่มน้ำ หรือออกกำลังกายยืดเส้น ยืดสาย ง่ายๆ ซัก 10-15 นาทีทำงานผสมหรือสลับ เช่น งานหน้าจอ งานจัดเอกสาร หรือ อื่นๆร่วมกัน
  • เหยียดกล้ามเนื้อในระหว่างวัน เช่น ก่อนเลิกงาน วิธีง่ายๆ ก็ คือการบีบนวดต้นคอ ยืดกล้ามเนื้อคอ หรือเอียงซ้าย-ขวา ก้มและเงยหน้า ฯลฯ แต่ละท่าควรทำค้างไว้สัก 10 วินาที เพื่อให้กล้ามเนื้อ หรือเส้นเอ็นยืดตัวได้
  • ควรนั่งเก้าอี้ให้เต็มเก้าอี้ ซึ่งสาวออฟฟิศส่วนใหญ่ชอบนั่งแค่ครึ่งหรือปลายเก้าอี้ใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสม อย่า กำ เกร็ง อุปกรณ์ต่างๆ
  • ฝึกการใช้งาน การพิมพ์ให้คล่อง ฝึกการใช้แป้นลัดในการเข้าถึงคำสั่ง
  • นอกจากนี้การจัดที่นั่งที่ดีจะช่วยป้องกันและบรรเทาอาการต่างๆได้มาก โดยจุดหลักของการจัดท่านั่งในการทำงานที่เหมาะสมคือ ต้องปรับระดับจอคอมพิวเตอร์ให้ขอบตามองแล้วได้ระดับเดียวกับขอบบนของจอ คอมพิวเตอร์ รวมถึงต้องมีที่รองรับแขนซึ่งจะเป็นการช่วยไปถึงไหล่ และต้องมีที่รองรับเท้าด้วย
Posted on

ซีลีเนียม(Selenium) แร่ธาตุที่น้อยคนจะรู้จักว่าดี มีคุณประโยชน์มากมายต่อร่างกาย

  • ซีลีเนียม เป็นแร่ธาตุที่เราอาจจะไม่ค่อยจะคุ้นหูกันมากนัก และน้อยคนที่พอจะรู้ถึงประโยชน์และความสำคัญของซีลีเนียมต่อร่างกาย
  • ซีลีเนียม มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการที่สำคัญต่างๆ ของร่างกาย เพราะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเอนไซม์ของระบบ glutathione perioxidase ซึ่งกระตุ้นการกำจัดไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ และออแกนิคเปอร์ออกไซด์ ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของกรดไขมันต่างๆ ระบบ glutathione perioxidase นี้เป็นระบบต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญที่สุดภายในเซลล์
  • ซีลีเนียม มีความสัมพันธ์กับการปฏิบัติหน้าที่ของวิตามินอี โดยวิตามินอีทำหน้าที่ป้องกันการเกิดสารเปอร์ออกไซด์ ในขณะที่ซีลีเนียม ทำหน้าที่กำจัดสารเปอร์ออกไซด์ที่เกิดขึ้นให้หมดไป และซีลีเนียมจะทำงานเสริมฤทธิ์ในการปฏิบัติงานของวิตามินอีในการรักษาเนื้อ เยื่อต่างๆ และชะลอการแก่ตายของเซลล์ตามธรรมชาติ ป้องกันการแก่ก่อนวัย

ประโยชน์ของซีลีเนียม ที่มีต่อร่างกาย

  • ช่วย ต้านอนุมูลอิสระ ที่เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้แก่และเซลล์เสื่อมสภาพ ปกป้อง DNA เซลล์ และเนื้อเยื่อต่างๆ มิให้ถูกทำลายโดยสารอนุมูลอิสระ(free radicles) จึงชะลอการแก่ตายของเซลล์ตามธรรมชาติ ป้องกันการแก่ก่อนวัย และช่วยชะลอวัย นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยบรรเทาโรคแห่งความเสื่อมเรื้อรังหลายชนิด โรคเฉพาะอย่างยิ่งโรคต้อกระจก และโรคข้อต่ออักเสบรูมาตอยด์
  • มีบทบาท เกี่ยวกับการหายใจของเนื้อเยื่อโดยทำหน้าที่ช่วยส่งอีเล็คตรอน ช่วยให้หัวใจทำงานดีขึ้น และส่งเสริมการสร้างกำลังของเซลล์โดยการนำออกซิเจนไปเลี้ยงให้เพียงพอ และสามารถทำงานร่วมกับ Q10 ในการลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจวาย และโรคลมปัจจุบัน โดยเฉพาะในรายที่มีการขาดสารอาหารชนิดนี้
  • ส่งเสริมการเจริญเติบโตของร่างกายให้เป็นไปตามปกติ และควบคุมสุขภาพของสายตา ผิวหนัง และเส้นผม
  • ส่งเสริมให้ประจำเดือนของเพศหญิงเป็นไปโดยสม่ำเสมอ และช่วยให้ไข่สุก และจะพบเกลือแร่ชนิดนี้สูงในน้ำเชื้อของผู้ชาย
  • ซีลีเนียม เป็นเกลือแร่ต้านพิษ หรือละลายพิษต่างๆ ในร่างกาย
  • รักษาความยืดหยุ่นของเนื้อหนัง
  • เพิ่มความต้านทานของร่างกาย หรือช่วยเพิ่มศักยภาพของระบบภูมิคุ้มกันหลายประเภท
  • ซีลีเนียม สามารถยับยั้งการเพิ่มจำนวนเชื้อเอชไอวี (HIV) และกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน(CD4) ในผู้ติดเชื้อเอชไอวี จึงช่วยยืดอายุผู้ป่วยในกลุ่มนี้ได้
  • ป้องกันความดันโลหิตสูง อัมพฤกษ์ หัวใจล้มเหลว เจ็บหน้าอก และไต ถูกทำลาย
  • ช่วยในการปฏิบัติหน้าที่ของตับ
  • ซีลีเนียม ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งต่อมลูกหมาก, มะเร็งลำไส้, มะเร็งปอด, มะเร็งหลอดอาหาร
  • ซีลีเนียมมีความสำคัญต่อการทำงานของไทรอยด์ ภาวะซีลีเนียมต่ำมีส่วนเกี่ยวข้องกับต่อมไทรอยด์ทำงานบกพร่อง

การขาด ซีลีเนียม จะส่งผลต่อร่างกายในด้านต่างๆ

  • Keshan’s disease เป็นโรคหัวใจที่พบในประเทศจีน บริเวณพื้นที่ที่มี ซีลีเนียม ในดินต่ำ เชื่อกันว่าเกิดจากไวรัส แต่การขาด ซีลีเนียม ทำให้อาการของโรคเป็นมากขึ้น นอกจากนั้นผู้ที่ได้รับอาหารทางหลอดเลือดดำ (Total parenteral nutrition) ก็มีสิทธิ์ขาด ซีลีเนียม ได้ คนไข้พวกนี้มักจะมี Erythocyte glutathione peroxidase activity ต่ำ และ ซีลีเนียม ในพลาสมาและเม็ดเลือดแดงต่ำด้วย
  • การขาด ซีลีเนียม จะนำไปสู่การแก่ก่อนวัย ทั้งนี้เพราะว่า ซีลีเนียม ช่วยรักษาความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ
  • ใน การศึกษาเกี่ยวกับโรคฟันผุในเด็ก จะสังเกตุเห็นว่าจำนวนฟันผุที่ต้องถอน และอุดมีจำนวนมากขึ้นในเด็กที่มีการขับถ่าย ซีลีเนียม ทางปัสสาวะมาก ซึ่งยังไม่มีทฤษฎีอะไรมาอธิบายการสังเกตุนี้ได้
  • ถ้าขาดในภาวะตั้งครรภ์จะทำให้เด็กที่เกิดมาเป็นปัญญาอ่อน
  • ถ้าขาด ซีลีเนียม ในตอนเด็ก อาจทำให้เด็กตายอย่างกระทันหันโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • ทำให้ประสาทผิดปกติ ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อไวต่อการสัมผัส หรือการถูกกด มีอาการไม่ปกติที่กล้ามเนื้อหัวใจ
  • ทำให้การมองเห็นไม่ชัด
  • ทำให้เม็ดเลือดแดงเปราะได้
  • ภาวะซีลีเนียมต่ำมีส่วนเกี่ยวข้องกับต่อมไทรอยด์ทำงานบกพร่อง

แหล่งที่พบซีลีเนียม ในธรรมชาติ

  • อาหาร ที่มี ซีลีเนียม มากที่สุดได้แก่ บริวเวอร์ยีสต์ เครื่องใน กล้ามเนื้อสัตว์ ปลา หอย ข้าวกล้อง แตงกวา อัลมานด์ ผลิตภัณฑ์จากนม กระเทียม เห็ดต่างๆ บลอคโคลี่ หัวหอม มะเขือเทศ สัตว์ปีก ไข่ และอาหารทะเลต่างๆ
  • ซีลีเนียม ถูกดูดซึมได้ดีที่ลำไส้เล็ก ร่างกายจะเก็บ ซีลีเนียม ไว้ในตับและไตมาก เป็น 4-5 เท่า ของ ซีลีเนียม ที่มีอยู่ในกล้ามเนื้อ และเนื้อเยื่ออื่น โดยปกติซีลีเนียม จะถูกขับออกทางปัสสาวะ ถ้าปรากฏว่ามีซีลีเนียมถูกขับออกมาทางอุจจาระแสดงว่าเกิดการดูดซึมที่ผิด ปกติ

คำแนะนำในการรับประทานซีลีเนียม

  • ปริมาณ แนะนำต่อวัน (RDA) อยู่ที่ 70-200 ไมโครกรัม สำหรับผู้หญิงเท่ากับ 50 ไมโครกรัม สำหรับผู้ชาย 70 ไมโครกรัม สำหรับหญิงตั้งครรภ์ 65 ไมโครกรัม และสำหรับหญิงผู้ให้นมบุตร 75 ไมโครกรัม และซีลีเนียนที่อยู่ในรูปสารเสริมอาหาร ควรอยู่ในรูป ของคีเลท (chelated form) หรือ L-selenomethionine form
  • ธาตุซีลีเนียมมักอยู่ในรูปแบบ ของอาหารเสริม ที่มีส่วนประกอบของ ซีลีเนียม สังกะสี วิตามินเอ วิตามินบี6 วิตามินซี และวิตามินอี โดยซีลีเนียมในรูปของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมีวางจำหน่ายจะมีปริมาณตั้งแต่ 25 – 200 ไมโครกรัมต่อเม็ด โดยมักจะอยู่ในรูป ซีลีโนเมไทโอนีน (Selenomehionine) ซึ่งจะรับประทานเพื่อป้องกันโรคต่างๆ ที่เกิดจากความเสื่อม ชะลอวัย เสริมสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย  และป้องกันโรคมะเร็งบางชนิด
  • แต่การที่จะรับประทานซีลีเนียม เป็นอาหารเสริม ควรจะได้รับคำแนะนำจากแพทย์ เพราะอย่างไรก็ตามการรับประทานซีลีเนียมมาก ๆ เกินกว่า 400 ไมโครกรัมต่อวัน จะทำให้เกิดพิษของ ซีลีเนียม (selenosis) ได้ โดยผู้ที่รับประทานซีลีเนียมเกินขนาดจะมีอาการหายใจเป็นกลิ่นคล้ายกระเทียม, คลื่นไส้, ผมร่วง และถ้าใช้เกินขนาดเป็นเวลานาน ๆ ก็อาจมีภาวะตับวายได้ ดังนั้น ขนาดที่แนะนำในปัจจุบันจึงไม่ควรเกิน 200 ไมโครกรัมต่อวัน และอาจใช้น้อยกว่านั้นในคนที่รับประทานสารต้านอนุมูลอิสระอื่น ๆ ร่วมด้วย
Posted on

ไวน์แดง(Red wine): ใช่แต่จะได้อรรถรส ยังช่วยลดโรค ลดวัย ทำให้อายุยืนยาว ได้ด้วย เพราะอะไร

Shot of a joyful family drinking red wine and celebrating dinner

ไวน์แดงมีประโยชน์ต่อสุขภาพได้อย่างไร
“ดื่มไวน์แดงทุกวัน อย่างน้อยวันละ 1 แก้ว นั้นมีประโยชน์ต่อสุขภาพ ช่วยชะลอวัย และจัดเป็นเครื่องดื่มอัลกอฮอล์ประเภทที่ทำให้อายุยืนยาว ”
คำถามนี้ถูกค้นหาคำตอบโดยนักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยจากทั่วโลก โดยมีการค้นพบว่าในไวน์แดงนั้นมีส่วนผสมที่ทรงคุณค่าอยู่ชนิดหนึ่ง นั่นก็คือ Resveratrol คณะนักวิจัยจากสถาบันสุขภาพแห่งชาติ (National Institutes of Health – NIH) ของประเทศสหรัฐอเมริกา บ่งชี้ว่า สาร resveratrol เป็นสารเคมีตามธรรมชาติ ซึ่งพบในปริมาณสูงในผิวองุ่นแดงที่นำมาทำไวน์แดง ถั่วลิสงต้ม บิลเบอรี่ บลูเบอรี่ และผลิตภัณฑ์จากพืชต่างๆ
       Resveratrol เริ่มเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายประมาณปี ค.ศ. 1990 เมื่อมีการศึกษาวิจัยพบว่าสาเหตุที่ชาวฝรั่งเศสประสบปัญหาเรื่องโรคหัวใจน้อยกว่า และมีอายุขัยที่ยืนยาวกว่าพลเมืองของประเทศอื่นๆ ในทวีปยุโรปกว่า 18 ประเทศที่บริโภคอาหารที่มีไขมันสูงในปริมาณมาก เพราะชาวฝรั่งเศสนั้นบริโภคไวน์แดง ซึ่งมี Resveratrol ในปริมาณมาก นั่นเอง
กลไลการออกฤทธิ์ของ Resveratrol มีฤทธิ์กระตุ้น SIRT1(sirtuin 1)ได้เป็นอย่างดี SIRT1 เป็นเอนไซม์ซึ่งเกี่ยวข้องกับการทำให้สิ่งมีชีวิตมีอายุที่ยืนยาวขึ้น) มีผลทำให้เกิดกระบวนการเผาผลาญอาหาร (metabolism) มากขึ้นกว่าปกติช่วยป้องกันการสะสมของไขมัน และการเป็นโรคเบาหวานที่ ทำให้ร่างกายมีระดับของน้ำตาลและระดับคอลเลสเตอรอลในเลือดลดลง เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวานและหัวใจหรือผู้ที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดโรค

Resveratrol  สารสกัดจากไวน์แดง

ประโยชน์ของ Resveratrol  สารสกัดจากไวน์แดง
1. เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูงมาก สามารถชะลอการเกิดริ้วรอยแห่งวัยและความชราได้อย่างยอดเยี่ยม
2. ช่วยให้มีสุขภาพที่ดีและยืดอายุให้ยืนยาวได้ถึงร้อยละ 40
3. มีประสิทธิภาพสูงในการยับยั้งการก่อตัวของเชื้อมะเร็งและการเกิดโรคมะเร็งทุกประเภท หากรับประทานเป็นประจำในผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะเริ่มต้น จะช่วยหยุดยั้งการกระจายตัวของเซลล์มะเร็งจนเซลล์มะเร็งร้ายตายไปในที่สุด
4. ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน
5. ช่วยควบคุมให้ระดับเมตาบอลิซึมในไขมันเป็นปกติ
6. ช่วยป้องกันและลดการเสื่อมของเส้นประสาทสมอง
7. ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคอัลไซเมอร์และโรคพาร์คินสัน
8. ช่วยบำรุงตับอ่อนให้แข็งแรง ป้องกันการเกิดโรคเกี่ยวกับตับทุกประเภท
9. ช่วยลดอาการอักเสบของเนื้อเยื้อภายในร่างกาย ช่วยให้อาการอักเสบหายไวมากยิ่งขึ้น
10. ช่วยลดระดับน้ำตาลและคอเลสเตอรอลในผู้ป่วยโรคเบาหวาน
ปริมาณสารสกัดจากไวน์แดง Resveratrol ที่ร่างกายต้องการในหนึ่งวัน
ในหนึ่งวันควรรับประทานสกัดจากไวน์แดง Resveratrol ไม่ต่ำกว่าวันละ 40 มิลลิกรัม เพื่อสุขภาพที่ดี แต่หากต้องการใช้เพื่อบำบัดรักษาโรคควรรับประทานวันละไม่เกิน 200 มิลลิกรัม ซึ่งหากมากกว่านี้อาจต้องอยู่ในดุลยพินิจของแพทย์เท่านั้น
อนึ่งการรับประทานสารสกัดจากไวน์แดง Resveratrol ในปัจจุบันอาจไม่ใช่เรื่องยาก ถึงแม้ว่าเราจะไม่สามารถรับประทานสารสกัดจากไวน์แดง Resveratrol ที่มีอยู่ในองุ่นแดงได้ในปริมาณที่มาก หรือบางคนไม่สามารถจะดื่มไวน์แดงได้ทุกวันๆ ปัจจุบันได้มีผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่สกัดจากไวน์แดง Resveratrol ในรูปแบบต่าง ๆ ที่ผลิตขึ้นมาเพื่อให้การดูแลสุขภาพของเรามีความง่ายดายมากยิ่งขึ้นแทนได้ ซึ่งท่านอาจจะหามารับประทานได้ตามร้านจำหน่ายอาหารเสริมที่วางจำหน่ายทั่วไปในขณะนี้