Posted on

เล็บ (Nails): เล็บนั้นสำคัญอย่างไร อาการแบบไหนที่เล็บผิดปกติ หรือบ่งบอกโรคบางอย่างได้

เล็บ เป็นสิ่งหนึ่งในร่างกายที่สำคัญ สามารถมองเห็นได้ชัดเจนจากภายนอก ถือว่าเล็บเป็นอวัยวะที่บ่งบอกความสวยงามอย่างหนึ่ง ทุกคนต้องการให้เล็บมีสุขภาพดี ดูสวยและดูดี
อัตราการงอกของเล็บ
อัตราการงอกของเล็บจะมีประมาณ 0.1-0.2 มม.ต่อวัน อาจจะงอกได้ช้าหรือเร็วกว่านี้ได้บ้าง โดยพบว่าอายุประมาณ 15-30 ปี จะเป็นช่วงที่เล็บยาวเร็วที่สุด โดยจะพบว่าอัตราการงอกของเล็บมือจะยาวเร็วกว่าเล็บเท้าประมาณ 2 เท่า เราจึงต้องตัดเล็บมือบ่อยกว่าเล็บเท้า และ ปกติคนเราจะนิยมตัดเล็บกัน 1-2 อาทิตย์ต่อครั้ง ลักษณะเล็บปกติ
จะมีสีชมพูอ่อนๆ เรียบเสมอกัน ไม่มีรอยหยัก หรือโค้งงอ

หน้าที่และความสำคัญของเล็บ 

  1. ไว้หยิบจับสิ่งของที่มีขนาดเล็ก ชิ้นเล็กๆ
  2. ไว้เกา เวลาคัน เพราะถ้าไม่มีเล็บ คุณก็จะเกาได้ไม่สะดวก คงหงุดหงิดพอสมควร
  3. ไว้ฉีกอาหาร หรือสิ่งของบางอย่างให้เป็นชิ้นเล็กๆ
  4. ไว้ป้องกันตัว เช่น ขูด ขีด ข่วน ใบหน้า ( ใช้กรณีจำเป็นจริงๆ นะครับ)
  5. ไว้เกาศีรษะ เวลาสระผม
  6. ช่วยในการเดินหรือวิ่งอย่างมีประสิทธิภาพ บางท่านที่เคยโดนถอดเล็บเท้า จะพบว่าเดินไม่ถนัด
  7. เพื่อความสวยงาม บ่งบอกลักษณะ สุขภาพ รสนิยม บุคลิก ของผู้ที่เป็นเจ้าของเล็บที่สวยงามนั้นได้
  8. ใช้บอกโรคบางชนิดของอวัยวะภายในต่างๆ ได้
เล็บปกติ

ปัญหาความผิดปกติของเล็บที่พบบ่อย 

  1. จมูกเล็บอักเสบ หรือ เล็บขบ (Paronychiae) มักพบได้บ่อยที่สุด โดยพบในกลุ่มผู้หญิงแม่บ้านที่มือเปียกน้ำบ่อยๆ และกลุ่มที่ชอบทำเล็บตามร้านเสริมสวย มีการตัดเล็มจมูกเล็บทำให้เกิดช่องว่างในซอกเล็บ แล้วน้ำเข้าไปเซาะขังอยู่ ทำให้เกิดการอักเสบภายหลัง
    ลักษณะของเล็บจะบวมแดงนูนออกมา มีอาการเจ็บปวดอักเสบบางครั้งร่วมกับอาการคัน เล็บมักจะปกติดี จมูกเล็บอักเสบเมื่อเกิดแล้ว ไม่ค่อยหายขาด เนื่องจากช่องว่างระหว่างขอบเล็บไม่ปิดสนิทแล้ว ส่วนใหญ่มักจะเข้าใจว่าตนเองเป็นเชื้อราที่เล็บ
    2. เล็บเป็นเชื้อรา (Tinea Unguium) พบไม่บ่อยนัก และมักพบในผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำ เช่น โรคเบาหวาน โรคเอดส์ ฯลฯ
    ลักษณะเล็บจะเปลี่ยนสีไป เช่น อาจจะดำคล้ำขึ้น สีเขียวหรือเหลือง ลักษณะเล็บเปลี่ยนรูปร่าง บิดเบี้ยว โค้งงอ แตกเปราะ หรือเป็นขุย 
    3. เล็บกร่อน (Onycholysis) ลักษณะเล็บจะผุ กร่อน แตกหัก เปราะง่าย เล็บขยุกขยุย เสียรูปทรง เป็นลูกคลื่นบ้าง บุ๋มบ้าง โค้งงอ หนาขึ้นบ้าง ฯลฯ สีเล็บจะต่างจากเดิมไปบ้างเล็กน้อย ภาวะนี้เกิดขึ้นเองไม่ทราบสาเหตุชัดเจน รักษาแก้ไขได้ยาก การทานวิตามินบำรุงเล็บ เช่น ไบโอติน จะช่วยได้บ้าง

4.สะเก็ดเงินที่เล็บ (Psoriasis) โรคสะเก็ดเงิน นอกจากจะมีผื่นสะเก็ดหนาที่ศีรษะ ตัวศอก เข่าแล้ว ยังเกิดความผิดปกติที่เล็บได้ด้วย
ลักษณะเล็บหนาขึ้นที่ปลายเล็บมองเห็นได้ (Subungual hyperkeratosis) เล็บบุ๋ม (Pitting) เล็บเป็นลูกคลื่น (Ridging) รักษาค่อนข้างยาก ไม่หายขาด

อาการของเล็บ บ่งบอกลักษณะโรคบางโรคได้  

  1. โรคหัวใจและโรคปอดเรื้อรัง อาจจะพบลักษณะของเล็บปุ้ม เล็บงุ้มมากผิดปกติ (clubbing finger) เล็บซีดเขียว
  2. โรคไต อาจจะพบลักษณะของเล็บมีสีแตกต่างกัน (half and half nail) คือ ส่วนที่อยู่ชิดโพรงจมูกเล็บจะมีสีขาว ส่วนอีกครึ่งหนึ่งส่วนปลายเล็บเป็นสีปกติ เกิดจากบริเวณใต้ฐานเล็บมีการบวม
  3. โรคมะเร็งผิวหนังชนิดเมลาโนมา (melanoma) อาจจะทำให้ เล็บเปลี่ยนสี มีจุด สีดำ หรือแถบสีดำเกิดขึ้นได้ที่บริเวณเล็บ เป็นต้น ฯลฯ

วิธีดูแลปกป้องรักษาทะนุถนอมเล็บ 

  1. อย่าล้างมือบ่อยเกินไป หลังล้างมือแล้ว เช็ดให้แห้ง เป่าลมร้อนช่วยด้วยจะยิ่งทำให้เล็บแห้งได้สนิท
  2. ถ้าจำเป็นต้องล้างจาน ซักผ้า ถูบ้าน ควรใส่ถุงมือเป็นประจำให้เป็นนิสัย
  3. ทาโลชั่นที่บำรุงมือและเล็บโดยเฉพาะ (Hand and nail) อย่างสม่ำเสมอ
  4. พยายามทาสีเล็บให้น้อยลงเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้เล็บได้พักผ่อน หลีกเลี่ยงการเพ้นท์สีเล็บที่อาจจะมีสารเคมีทำลายเนื้อเล็บได้
  5. หลีกเลี่ยงทำเล็บบ่อยๆ ที่ร้านเสริมสวย เพราะช่างมักจะแคะเล็ม ตัดจมูกเล็บให้เสียหาย
  6. ตัดเล็บให้มีขนาดสั้นพอประมาณ เพราะการไว้เล็บยาวเกินไปอาจทำให้เล็บเกิดฉีกขาดได้ง่าย
Posted on

10 วิธี ดูแลสุขภาพเส้นผมง่ายๆ รับรองว่าผมจะสวย เงางาม นุ่มสลวย สุขภาพผมดี

10 การดูแลและหลีกเลี่ยงการกระทำที่ทำร้ายเส้นผม

1. หลีกเลี่ยงการรัดหรือเกล้าผมแน่นจนเกินไป
2. หลีกเลี่ยงการเป่าผมด้วยความร้อนมากจนเกินไป
3 หลีกเลี่ยงการดัดหรือกัดสีผมบ่อยจนเกินไป หากต้องการทำควรเลือกช่างผมที่มีความรู้ด้านเส้นผม และมีความชำนาญ
4 ควรหวีหรือแปรงผมให้น้อยลง ไม่ควรหวีผมขณะผมเปียก หรือใช้หวี ที่มีซี่แปรงคม หรือถี่จนเกินไป
5 ให้แชมพูและครีมนวดให้เหมาะสมกับสภาพเส้นผม และหนังศีรษะ เช่น ในกรณีผมมันก็ไม่ควรใช้ครีมนวดผมมากจนเกินไป หรือไม่ควรใช้แชมพูที่ผสมครีมนวดผม และเลือกแชมพูสำหรับคนผมมันโดยเฉพาะ ส่วนกรณีที่ผมแห้งแตกปลาย ก็ควรใช้แชมพูสำหรับผมแห้ง และใช้ครีมนวดผม เป็นประจำ
6 การสระผมควรสระบ่อยแค่ไหนนั้น ขึ้นอยู่กับความสกปรก และความมันของเส้นผม เช่น ในคนที่ผมมัน อาจจะต้องสระผมทุกวัน ส่วนในคนที่ผมแห้ง อาจจะสระผมเมื่อสกปรก หรือรู้สึกเหนอะหนะหนังศีรษะ ซึ่งก็จะประมาณอาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง

7 สำหรับผู้ที่มีผมเสียไม่ว่าจากสารเคมี, แสงแดด, การกัดสีผม, การดัดผมบ่อย ๆ จนผมแห้ง และแตกปลาย ควรใช้กรรไกรเล็มปลายผมที่แตกออก และใช้ครีมนวดผมที่มีคุณภาพ เป็นประจำ และควรหมักผมด้วยครีม หรือโคลนหมักผม ทุกสัปดาห์ แล้วหมั่นดูแลเส้นผมใหม่ โดยไม่ไปทำขบวนการดังกล่าวซ้ำอีกบ่อยๆ
8 กรณีที่ชอบว่ายน้ำ แนะนำให้ก่อนลงสระว่ายน้ำควรชโลมผลิตภัณฑ์เคลือบเส้นผมป้องกันคลอรีน หรือครีมปรับสภาพเส้นผม หรือน้ำมันมะกอก น้ำมันโฮโฮบา ลูบไล้ให้ทั่วเส้นผม ผมจะนุ่มลื่น และป้องกันการสูญเสียน้ำจากเส้นผมอีกวิธีหนึ่ง และควรสวมหมวกคลุมศีรษะ เพื่อป้องกันอันตรายจากคลอรีนในสระว่ายน้ำ และหลังว่ายน้ำ ควรรีบสระผมทันที
9 กรณีที่ผมเปียกจากการตากฝน ควรรีบสระผมทันทีเช่นกัน เพื่อป้องกันเชื้อโรคที่มากับอากาศที่ทำให้เป็นไข้หวัดได้
10 เลือกแชมพูสระผมที่ผสมสารป้องกันรังสียูวีจากแสงแดดเป็นประจำ ซึ่งจากการทดสอบมากมาย ได้มีการค้นพบว่าสาร Octyl-dimethyl PABA ซึ่งเป็นสารกันแดดตัวหนึ่ง มีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุดในการนำมาใช้กับเส้นผม

Posted on

Hair and Nail Vitamins : เลือกวิตามินตัวไหน ให้เส้นผมแข็งแรง เล็บไม่เปราะหักง่าย

อาหารเสริมสำหรับเส้นผมและเล็บ

เส้นผมและเล็บ เป็นอวัยวะส่วนหนึ่งที่ทำหน้าที่ปกคลุมร่างกาย เช่นเดียวกับผิวหนัง อาหารที่หล่อเลี้ยงผิวพรรณหลายๆ ชนิด ก็มีความจำเป็นต่อสุขภาพเส้นผมและเล็บเช่นกัน ดังนั้นการขาดสารอาหารบางชนิด ก็มีส่วนทำให้เส้นผมร่วง เปราะหักง่าย และทำให้เส้นผมงอกได้ช้า ส่วนเล็บ ก็อาจจะแตกหักง่าย เล็บอ่อน เล็บงอกช้า เป็นต้น
อาหารเสริมสร้างสุขภาพเส้นผมและเล็บ จึงถือว่าเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยทำให้เส้นผมและเล็บมีสุขภาพที่ดี สารอาหารที่สำคัญและควรใส่ใจในการเลือกบริโภคที่สำคัญ มีดังนี้
1. Vitamin A มีความจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของเซลล์ เนื้อเยื่อ เส้นผม และหนังศีรษะ อาหารที่มีวิตามินเอสูง ได้แก่ อาหารจากผลิตภัณฑ์สัตว์ ตับ น้ำมันตับปลา ไข่ นม ผักผลไม้ที่มีสีเหลือง เช่น ฟักทอง แครอท ผักบุ้ง คะน้า ตำลึง มะละกอสุก มะม่วงสุก แคนตาลูป กล้วยไข่ ลูกท้อแห้ง เป็นต้น
2. วิตามินบี 6  ทำให้เซลล์สร้างเส้นผมได้รับออกซิเจนมากขึ้น อาหารที่มีวิตามินบี 6 สูง ได้แก่ นม โยเกิร์ติ บริวเออร์ยีสต์ ตับ เนื้อสัตว์ นม ถั่ว ข้าวซ้อมมือ กล้วย มะเขือเทศ
3. วิตามินบี 12 มีบทบาทในการเจริญและการแบ่งตัวของเส้นใยประสาท หากร่างกายขาด จะทำให้เกิดโลหิตจาง ซึ่งทำให้เส้นผมและเล็บไม่แข็งแรง แหล่งของวิตามิน บี 12 อยู่ในตับ ไต รองลงมาได้แก่ เนื้อสัตว์ ไข่แดง และอาหารหมักดอง เช่น กะปิ น้ำปลา เต้าเจี้ยว

4. โฟลิค แอซิค (folic acid) การขาดวิตามินนี้ จะทำให้ผิวแห้ง เบื่ออาหาร เส้นผมและเล็บเปราะหักง่าย ผมงอกช้า อาหารที่มีไบโอตินสูง ได้แก่ ขนมปัง ธัญพืชไม่ขัดสีต่างๆ อาหารโปรตีนสูง ไข่แดง ตับ บรูเวอร์ยีสต์ ข้าวกล้อง ถั่วชนิดต่างๆ ถั่วแดง ถั่วลิสง รวมทั้งผลิตภัณฑ์จากถั่ว เช่น เต้าหู้ เต้าเจี้ยว เต้าฮวย เป็นต้น
5. วิตามินซี  มีความจำเป็นต่อการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ซึ่งเป็นโครงสร้างองค์ประกอบที่สำคัญของเส้นผมและเล็บ อาหารที่มีวิตามินซีสูง ได้แก่ ผลไม้ตระกูลส้ม มะนาว ฝรั่ง มะขาม มะละกอสุก แคนตาลูป มะเขือเทศ กะหล่ำปลี ดอกกระหล่ำ
6. ทองแดง การขาดธาตุเหล็กทำให้เกิดภาวะโลหิตจาง ทำให้ออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงเส้นผมและเล็บได้ลดลง จึงอาจจะทำให้ผมร่วง เปราะหักง่าย เล็บอ่อน หักง่ายได้เช่นกัน แหล่งอาหารที่มีธาตุเหล็กได้แก่ ตับ เครื่องใน เนื้อสัตว์ ไข่แดง ผักใบเขียว พริกแห้ง ถั่ว เป็นต้น
7. สังกะสี  การขาดสังกะสีจะมีส่วนทำให้ภูมิต้านทานของร่างกายลดลง ทำให้เส้นผมไม่แข็งแรง ร่วงง่าย และมีรังแค อาหารที่มีสังกะสีสูง ได้แก่ หอยนางรม อาหารทะเล ตับ ชีส เนื้อสัตว์ เป็ด ไก่ ไข่ นม รวมทั้งธัญพืชที่ไม่ได้ขัด ถั่วเหลือง ถั่วเมล็ดแห้ง และถั่วเปลือกแข็ง
8. Protein ถือว่าจำเป็นต่อเซลล์ทุกๆ ส่วนในร่างกาย รวมทั้งเซลล์ที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของเส้นผม
อาหารที่มีโปรตีนสูงได้แก่ เนื้อสัตว์ทุกชนิด เช่น หมู วัว เป็ด ไก่ ปลา กุ้ง หอย นม ไข่ ถั่วเมล็ดแห้ง เช่น ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วดำ
9. น้ำ การได้รับน้ำที่เพียงพอจึงจำเป็นต่อสุขภาพเส้นผมและผิวพรรณ การได้รับน้ำที่เพียงพอ คือประมาณ 2 ลิตรทุกๆ วัน จะทำให้ร่างกายนำวิตามิน แร่ธาตุ กรดอะมิโน และสารสำคัญต่างๆ ให้แก่ร่างกาย
ปัจจุบันมีอาหารเสริมที่รวบรวมวิตามินหลายๆ ตัว ไว้ในเม็ดเดียว ผลิตออกมาจำหน่ายมากมาย ก่อนตัดสินใจ ควรดูส่วนประกอบว่าได้ครบ ตามที่แจ้งไว้ข้างบนนี้หรือไม่

Posted on

งานวิจัย : 6 สมุนไพรไทย(Thai Herbs) ที่ได้ผลในการรักษาโรคทางผิวหนัง

ปัจจุบันนี้ การแพทย์แผนไทย ได้มีบทบาทในการรักษาโรคมากขึ้น แม้แต่การรักษาทางด้านผิวหนัง ซึ่งตามภูมิปัญญาชาวบ้านแต่ดั้งเดิม มีสมุนไพรมากมาย และ หลากหลาย
แต่ในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะสมุนไพรแผนปัจจุบัน ที่ได้มีการพิสูจน์ทางคลินิกแล้วว่าได้ผลในการรักษาปัญหาทางผิวหนัง
1. กระเทียมในการรักษาเชื้อราที่เท้า : ได้มีรายงานการทดลองในปี 2539 พบว่า ได้ใช้สารสกัดจากกระเทียม ที่ประกอบด้วย 0.4% ajoene Gel ทารักษาเชื้อราที่เท้าในกลุ่มคนไข้ทดลอง 34 ราย พบว่าคนไข้ 27 ราย หายภายใน 1 สัปดาห์ (ร้อยละ 79) และอีก 7 ราย (ร้อยละ 21) หายภายใน 2 สัปดาห์
2. ผักบุ้งทะเลกับการรักษาอาการแพ้พิษแมงกระพรุน: ได้มีการทดลองสกัดครีมจากใบผักบุ้งทะเล 1% นำมารักษาอาการผื่นแพ้พุพองจากแมงกระพรุนไฟว่าในสารผักบุ้งทะเล มีฤทธิ์ยับยั้งการทำลายโปรตีนและเม็ดเลือกจากพิษแมงกระพรุน ทำให้แผลหายเร็วขึ้นภายใน 2 วัน หรือในรายที่เป็นพิษแผลเรื้อรัง แผลจะแห้งใน 2 สัปดาห์ และหายสนิทใน 1 เดือน

3. พญายอรักษาโรคเริมที่เป็นซ้ำในบริเวณอวัยวะเพศ: โดยการคัดเลือกผู้ป่วยที่มีตุ่มแผลจากเริมภายใน 48 ชั่วโมง จำนวน 163 ราย แล้วจัดแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่
– กลุ่มที่ทายาสกัดจากใบพญายอ
– กลุ่มที่ทายาจากเมืองนอก คือ Acyclovir
– และกลุ่มที่ทายาหลอก โดยการให้ผู้ป่วยทุกกลุ่มทายาวันละ 4 ครั้ง เป็นเวลา 6 วัน
ผลการทดลองพบว่า ผู้ป่วยในกลุ่มที่ทายาสกัดจากใบพญายอ และกลุ่มที่ทายาจากเมืองนอก คือ Acyclovir ได้ผลพอๆ กัน โดยทำให้ตุ่มแผล ตก สะเก็ดภายใน 3 วันและแผลหายภายใน 7 วัน แตกต่างกับกลุ่มที่ทายาหลอก อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ ยังมีการทดลองใช้ยาครีมที่มีสารสกัดจากพญายอในการรักษาผู้ป่วยงูสวัด ก็ได้ผลดีและแตกต่างจากการใช้ยาหลอกเช่นกัน
4. ว่านหางจระเข้กับการรักษาแผลไฟใหม้: มีการทดลองพบว่าน้ำเมือกของว่านหางจระเข้ จะมีสาร Glycoprotein fractions ซึ่งเมื่อทาหรือทำเป็นขี้ผึ้งทาภายนอกที่แผลพุพอง หรือแผลไหม้จากความร้อน รังสียูวีจากแสงแดด หรือรังสีจากกัมมันตรังสีอื่นๆ สารตัวนี้จะทำให้มีเกิดจากแบ่งตัวของเซลล์ผิวหนังชั้น Keratinocyte เร็วขึ้น ทำให้แผลสมานกันได้ดีและเร็วขึ้นด้วย

5. ตะไคร้หอมป้องกันยุง : ได้มีการทดลองนำครีมที่มีส่วนผสมของน้ำมันหอมระเหย 14% ของครีมตะไคร้หอม ทาไล่ยุงในอาสาสมัคร 20 ราย พบว่า สามารถป้องกันและไล่ยุงได้ผลถึง 13 ราย ( ร้อยละ 65 ) โดยมีฤทธิ์ได้นานประมาณ 2 ชั่วโมง
6. น้อยหน่ารักษาเหาที่ศีรษะ: มีการทดลองใช้น้ำยาที่คั้นจากเมล็ดน้อยหน่าบดกับน้ำมะพร้าวในอัตราส่วน 1:2 สามารถฆ่าเหาได้ร้อยละ 90-98 ซึ่งพบว่าได้ผล กว่าน้ำยาฆ่าเหาแผนปัจจุบัน ( 25% Benzyl benzoate) ที่ได้ผลเพียงแค่ร้อยละ 60

อนึ่งยังมีสมุนไพรภูมิปัญญาชาวบ้านอีกหลายชนิดที่ยังอยู่ในระหว่างศึกษาและทดลอง เช่น การใช้ขมิ้นชันในการรักษาแผลแมลงกัดต่อย เปลือกมังคุด กับการรักษาแผลพุพอง เน่าเปื่อย ข่าและชุมเห็ด กับการรักษากลากเกลื้อน ซึ่งเราคงต้องติดตามกันต่อไป

ท้ายสุดนี้ ในความเห็นของผู้เขียน แม้ว่าสมุนไพรจะเป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ ซึ่งคนทั่วไปเข้าใจว่าไม่มีผลข้างเคียง หรือผลข้างเคียงน้อย แต่ก็มี รายงานการแพ้ให้เห็นบ่อยๆ ตั้งแต่ผื่นแพ้เล็กน้อย จนถึงผื่นแพ้รุนแรง โดยเฉพาะการนำสมุนไพรมาทำการรักษาปัญหาผิวพรรณบนใบหน้า ซึ่งยังไม่มีรายงานการแพทย์หรือรายงานทางคลินิกว่าได้ผลมากน้อยเพียงใด ดังนั้นท่านที่นำมารักษาผิวพรรณที่ใบหน้าด้วยตนเอง หรือจากสถานเสริมความงามต่างๆ ที่ไม่มีแพทย์ดูแล จึงต้องระวังและสังวรณ์ไว้ด้วย เพราะเมื่อเกิดปัญหาขึ้นมา ย่อมต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายที่มากกว่ามากนัก

Posted on

ขี้แมลงวัน ( Lentigines ) กับ ไฝ (Moles) สังเกตอย่างไร ว่าอาจจะกลายเป็นมะเร็งผิวหนัง

ไฝ และขี้แมลงวัน เกิดจากอะไร

ไฝ และขี้แมลงวัน มีสาเหตุมาจากความผิดปกติของ เซลล์เมลาโนไซท์ (Melanocytes ) มีหน้าที่ใน การสร้างเม็ดสีเมลานิน ซึ่งปริมาณและขนาดของเมลานิน แล้วเกิดเป็นเนื้องอกจากการเพิ่มจำนวนของเซลล์เมลาโนไซท์ โดยไฝจะมีลักษณะเป็นตุ่มนูน ส่วนขี้แมลงวันจะเป็นตุ่มราบสีดำ และอยู่ตื้นกว่าไฝ
โดยทั่วๆ ไป ไฝ และขี้แมลงวัน จะมีการเพิ่มขึ้นตามอายุอย่างช้าๆ ซึ่งมักจะสังเกตได้ในช่วงวัยรุ่น หรือตั้งครรภ์ โดยการเปลี่ยนแปลงที่ เกิดขึ้นจะเกิดขึ้นในบริเวณทั่วตัวพร้อมๆ กัน
ไฝ และขี้แมลงวัน จะมีโอกาสเกิดมะเร็งผิวหนังได้ ที่เรียกว่า Melanoma ซึ่งมีอันตรายร้ายแรงและเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ จึงมีความจำเป็นที่ต้องสังเกตให้ได้ และแก้ไขได้ทันท่วงที

ไฝ และขี้แมลงวัน แบบไหน ต้องไปพบแพทย์

1. ไฝ และขี้แมลงวัน ที่ได้รับการระคายเคืองบ่อยๆ
2. ไฝ และขี้แมลงวัน ในบริเวณที่สังเกตได้ยาก เช่น บนหนังศีรษะ หรืออวัยวะเพศ
3. ไฝ และขี้แมลงวัน ที่มีมาแต่กำเนิดและขนาดใหญ่ เช่น ไฝยักษ์ ( Giant congenital melanoma
4. ไฝ หรือขี้แมลงวัน ที่มีลักษณะผิดปกติ ได้แก่
4.1 สีดำเข้มผิดปกติกว่าที่อื่นๆ
4.2 สีที่ไม่สม่ำเสมอ หรือสีเปลี่ยนอย่างกะทันหัน
4.3 ขอบเขตไม่เรียบ
4.4 ขนาดใหญ่เกิน 5 มม.
4.5 โตเร็วผิดปกติ

สงสัยมะเร็งผิวหนัง แพทย์จะทำอย่างไร

  1. ตัดไฝ และขี้แมลงวันออกทั้งหมด (Excisional Biopsy) ซึ่งถือว่าเป็นเป็นวิธีการรักษาที่ดีที่สุด แต่มักใช้ได้กับไฝที่ไม่โตมากนัก แล้วส่งชิ้นเนื้อของไฝ และขี้แมลงวัน ส่งตรวจพยาธิสภาพ ถ้าบ่งว่าเป็นมะเร็ง ก็ทำการรักษาที่ถูกต้องต่อไป
  2. ตัด ไฝ และขี้แมลงวันออกบางส่วน ( Incisonal Biopsy) มักจะใช้ในกรณีที่ไฝที่มีขนาดใหญ่ ถ้าตัดออกหมด อาจจะทำให้สูญเสียความสวยงาม หรือ อาจจะทำให้มีผลต่อการใช้งานได้ แล้วส่งชิ้นเนื้อของไฝ และขี้แมลงวัน ส่งตรวจพยาธิสภาพ ถ้าบ่งว่าเป็นมะเร็ง ก็ทำการรักษาที่ถูกต้องต่อไปเช่นกัน
  3. หมั่นตรวจ ติดตามผล โดยอาจจะต้องถ่ายรูปผิวหนังบริเวณดังกล่าวเป็นระยะๆ และพบแพทย์อย่างต่อเนื่อง
  4. ไม่แนะนำให้ทำการจี้ หรือกำจัดออกด้วยการไฟฟ้า หรือเลเซอร์ สำหรับกรณีไฝที่ผิดปกติ หรือสงสัยเนื้อร้าย เพราะอาจจะทำให้ไม่สามารถส่งชิ้นเนื้อ ไปตรวจพยาธิสภาพได้ และอาจจะทำให้การแปรผลผิดพลาดได้เช่นกัน

ได้เคยมีการศึกษา ถึงอัตราการเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง จากการปัจจัยต่างๆดังนี้ ว่าจะมีโอกาสเกิดได้สูงกี่เท่า ดังตารางต่อไปนี้

ลักษณะของไฝอัตราเสี่ยง (เท่า)
มีไฝ ขนาด หรือรูปร่างเปลี่ยนแปลงสูงมาก
อายุมากกว่า 15 ปี เมื่อเทียบกับอายุน้อยกว่า 15 ปี88
ผิวขาว เมื่อเปรียบเทียบกับคนผิวดำ20
มีไฝขนาดใหญ่ตั้งแต่ 2 มม. ขึ้นไป 50 เม็ด4-54
มีไฝขนาดใหญ่ตั้งแต่ 5มม. ขึ้นไป 5 เม็ด7-10
มีไฝขนาดใหญ่ตั้งแต่ 5มม. ขึ้นไป 12 เม็ด41
เคยเป็น มะเร็งผิวหนัง Melanoma มาก่อน9
มีญาติสายตรงเป็น มะเร็งผิวหนัง Melanoma8
มีภาวะถูมิคุ้มกันบกพร่อง4
มีไฝ เป็นมาแต่กำเนิด2-21
Posted on

อาการสะอึก ( Hiccup) : สาเหตุที่ธรรมดา หรือไม่ธรรมดา สามารถจะแก้ไขอย่างไร ให้หาย

สะอึก เป็นอาการที่พบได้บ่อย เกิดจากกล้ามเนื้อหายใจ ส่วนกระบังลมและกล้ามเนื้อซี่โครงเกิดการหดตัวอย่างรุนแรง ทำให้เกิดการหายใจเข้าอย่างแรง แต่ถูกหยุดชะงักด้วยการปิดของช่องสายเสียง ทำให้เกิดเสียงดังขึ้น
กลไกการเกิดการสะอึก
ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่าอาการนี้อาจจะเป็นการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติชนิดหนึ่ง โดยศูนย์กลางของการสะอึก (Hiccup Center) จะอยู่บริเวณก้านสมองบริเวณ Medulla oblongata แล้วเชื่อมระบบประสาทต่อกับระบบทางเดินอาหารส่วนต้น ด้วยเส้นประสาท Vagus nerve และ Phrenic nerve
การสะอึกที่เกิดขึ้นปกติ
มักจะมีสาเหตุจากการกระตุ้นหลอดอาหารส่วนบนขณะกลืนอาหาร โดยมากแล้วอาการสะอึกมักเกิดขึ้นไม่นาน ประมาณ 2 – 3 นาทีก็จะหายไป แต่ถ้าคุณสะอึกนานกว่านั้น เช่นเป็นชั่วโมงๆ หรือครึ่งค่อนวัน โดยเฉพาะเกิดร่วมกับอาการเหล่านี้ เช่น สะอึกร่วมกับอาการปวดท้องอย่างรุนแรงหรือถ่ายเป็นเลือด หรือ สะอึกนานมากกว่า 8 ชั่วโมงในผู้ใหญ่ และมากกว่า 3 ชั่วโมงในเด็ก สะอึกทุกครั้งหลังจากรับประทานยาบางชนิด คงต้องปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุอย่างอื่น
สาเหตุของอาการสะอึกที่ไม่ธรรมดา อาจจะเกิดจากโรคทางกายอย่างอื่นๆ ดังนี้ 
1. โรคทางเดินอาหาร กระบังลม และช่องท้อง เช่น กระเพาะลำไส้อุดตัน ลำไส้โป่งพอง เยื่อบุช่องท้องอักเสบ
2. โรคในช่องอกที่รบกวนต่อเส้นประสาท Vagus nerve,Phrenic nerve หรือกระบังลม เช่น การกลืนอาหารอย่างรีบร้อน อาหารติดคอ ปอดอักเสบ
3. โรคทางระบบประสาทที่มีรอยโรคบริเวณก้านสมอง เช่น หลอดเลือดสมองตีบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ พิษสุราเรื้อรัง
4. จากยาบางชนิด เช่น ยาปฏิชีวนะกลุ่ม Beta-lactans,macrolides,Fluoroquinolone หรืออัลกอฮอล์
5. ภาวะทางจิตใจ เช่น เครียด หรืออาการแสร้งทำ (ซึ่งพบบ่อยในผู้หญิง จากสาเหตุทางจิตใจมากกว่าร้อยละ 90)
6. ภาวะภายหลังการผ่าตัดบางอย่าง เช่น ผ่าตัดช่องท้อง หรือผ่าตัดช่องอก
แนวทางการแก้ไข 
1. แต่ถ้าเป็นการสะอึกทั่วๆไป เราสามารถจัดการกับตัวเองได้ง่ายๆดังนี้
1.1 ใช้นิ้วโป้งและนิ้วชี้จับลิ้นเอาไว้แล้วดึงออกมาข้างหน้าแรงๆ เพื่อช่วยเปิดหลอดลมที่ปิดอยู่
1.2 กลั้นหายใจเอาไว้โดยการนับ 1 – 10 แล้วหายใจออก จากนั้นดื่มน้ำตามทันที
1.3 ดื่มน้ำเย็นจัดช้าๆ โดยดื่มตลอดเวลา และกลืนติดๆ กัน ไปเรื่อยๆ จนกว่าอาการสะอึกหาย หรือจนกลั้นหายใจไม่ได้
1.4 เขี่ยภายในรูจมูกให้จาม
1.5 ให้พยายามกลืนน้ำตาลทรายขาวประมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะ โดยไม่ต้องใช้น้ำ
1.6 ทำให้เกิดอารมณ์รุนแรง เช่น โกรธ ตื่นเต้น หรือกลัว
1.7 ถ้าทำดังกล่าวแล้วไม่ดีขึ้น อาจจะต้องพบแพทย์เพื่อใช้ยาบางตัวช่วย เช่น Lagactil,Baclofen หรือกลุ่มยาช่วยย่อย เช่น Cisapride,Omperazole เป็นต้น
2. ถ้าดำเนินการในข้อ 1 แล้วไม่ดีขึ้น อาจจะต้องพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุโรคอย่างอื่นร่วมด้วย แล้วแก้ไขตามสาเหตุ หรือทำการผ่าตัดทางศัลยกรรมประสาท

Posted on

10 วิธีหลีกหนีริ้วรอยของผู้หญิง ทำอย่างไร ไม่ต้องพบแพทย์ แบบง่ายๆ

ริ้วรอย เป็นสิ่งที่หลายคนไม่ปรารถณา ไม่ว่าท่านจะอายุซักเท่าไหร่ ทุกคนอาจจะหยุดเวลาไว้ ณ วัยอันเปล่งปลั่งสดใส แต่คงไม่มีใครหยุดยั้ง เวลาที่ผ่านไปแต่ละวัน แต่ละนาทีได้ บทความนี้จะนำเสนอแนวทางเคล็ดลับง่ายๆ 10 วิธีที่ท่านจะหลีกเลี่ยงภาวะชราตามวัย หรือเกินวัย ด้วยตัวท่านเอง ดังนี้

  1. ปกป้องผิวจากแสงแดด : ได้มีการพิสูจน์ยืนยันกันหลายต่อหลายครั้งในรายงานทางการแพทย์ว่า รังสียูวีเอ ยูวีบี และรังสีอินฟราเรด เป้นตัวการ สำคัญมากที่ทำให้เกิดริ้วรอยแห่งวัย ดังนั้นการเลี่ยงการโดนแดด หรือทาครีมกันแดดทุกวัน จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะป้องกัน อาการไหม้เกรียมแดด ริ้วรอยแล้ว ยังป้องกันมะเร็งผิวหนังในอนาคตด้วย
  2. หยุดสูบบุหรี่ : การสูบบุหรี่ทำให้ออกซิเจนไม่สามารถหล่อเลี้ยงผิวพรรณได้เต็มที่และเพียงพอ ทำให้เซลล์ผิวหนังไม่สดใส และส่งผลให้เกิดเซลล์ ใหม่ล่าช้า และยังเร่งให้เกิดริ้วรอยบนใบหน้าให้เร็วขึ้น และเกิดรอยย่นเล็กๆ ที่บริเวณริมฝีปาก และปากดำคล้ำไม่สวยงาม
  3. การทำความสะอาด: หลังจากเสร็จภารกิจจากการงาน ควรล้างหน้าให้สะอาดหมดจด ปราศจากคราบเครื่องสำอาง สิ่งสกปรกหรือเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ด้วยครีมเช็ดคราบเครื่องสำอาง แล้วล้างทำความสะอาดอีกครั้งด้วยครีมล้างหน้า แต่ถ้าสภาพผิวแห้ง ควรใช้ชนิดออยล์สำหรับล้างหน้า นวดวนเบาๆ แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น
  4. บำรุงให้ล้ำลึก: เพื่อชดเชยความชุ่มชื้นคืนให้แก่ผิวหน้า อาจจะโดยการพอกหน้าด้วยผลิตภัณฑ์สำหรับพอกหน้าเฉพาะ หรือทา Night Creams หนาๆ ทิ้งไว้ประมาณ 5-10 นาที แล้วใช้กระดาษเนื้อนุ่มเช็ดออกเบาๆ
  5. กระตุ้นการหมุนเวียนของโลหิต : ด้วยการขัด นวด และปรับสภาพผิว เพื่อให้เซลล์ผิวกลับคืนสู่ความสดใส มีชีวิตชีวา อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นการหมุนเวียน ของระบบโลหิตให้แข็งแรงกระฉับกระเฉง

6. การปกปิดริ้วรอย : คือ การเลือกใช้ครีมรองพื้น คอลซีลเลอร์และแป้งทาให้ทั่วใบหน้า เพราะนอกจากจะช่วยปกปิดริ้วรอยแล้ว ยังลดความหมองคล้ำ รอยดำ และจุดบกพร่องที่ไม่พึงปรารถณา ทั้งยังมีส่วนผสมของสารกระจายแสงให้ผิวหน้าดูสว่างไสวขึ้นได้ด้วย
7. ปรนนิบัติบำรุงผิวพรรณเป็นประจำ ด้วยผลิตภัณฑ์ที่เปี่ยมคุณค่า อาทิ เซรุ่มบำรุงผิว หรือครีมเข้มข้นที่พลิกฟื้นความสดชื่น ให้แก่ผิวพรรณ
8. สภาพอากาศ : ในแต่ละฤดูกาลทำให้ความชุ่มชื้นของผิวพรรณเปลี่ยนแปลง ควรเลือกครีมบำรุงตามสภาพอากาศ เช่นเดียวกับในภาวะน้ำร้อน หรือน้ำเย็น ที่มีผลต่อการสูญเสียน้ำของผิวหนัง อาหารบำรุงผิว
9.  เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะผัก ผลไม้ เป็นประจำเพื่อให้อาหารแก่ผิวพรรณสม่ำเสมอ
10. แต่งหน้าอย่างชาญฉลาด โดยเลือกเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของสารสกัดธรรมชาติ วิตามิน และสารกรองแสง แต่งหน้าเพราะนอกจากจะได้เรื่อง ความสวยงามแล้วยังมีคุณค่าต่อผิวอีกด้วย

Posted on

สิวผด (Acne Estivalis) กดแล้วก็ไม่หาย สาเหตุจากอะไร อยากรักษาให้หายขาด

สิวผด คืออะไร

สิวผด (Acne Estivalis) เป็นสิวประเภทหนึ่ง พบได้บ่อย มีลักษณะคล้ายกับผดผื่นเม็ดเล็ก ๆ สีแดงและอาจมีอาการคันร่วมด้วย มักเกิดขึ้นบริเวณใบหน้า โดยเฉพาะหน้าผากและขมับ ปกติมักจะไม่อักเสบ ยกเว้นจะมีการติดเชื้อแบคทีเรียสิวร่วมด้วย
สาเหตุ : มีได้หลายสาเหตุ ที่พบบ่อย มีได้ดังนี้
1. สาเหตุจากความร้อน และแสงแดด แล้วเกิดจากอาการแพ้ โดนเมื่อผิวหนังโดนแสงแดดและความร้อน ทำให้ผิวหนังต้องเร่งการขับเหงื่อ แต่เมื่อต่อมเหงื่อไม่สามารถระบายเหงื่อออกได้หมด ก็จะทำให้เกิดการอุดตัน กลายเป็นตุ่มน้ำเล็ก ๆ คล้ายกับผดผื่น ถ้าอากาศร้อนขึ้น สิวผดก็จะเห่อขึ้น และอาการจะลดลงไปเองในตอนเย็นหรือตอนเช้า
2. การเช็ดถูหน้าบ่อยๆ หรือ การเช็ดถูหน้าแรงๆ
3. เครื่องสำอางบางประเภท
4. เชื้อราบางชนิด เช่น P.Ovale
5. พักผ่อนน้อยเกินไป
6. ภูมิคุ้มกันในร่างกายอ่อนแอหรือร่างกายไม่แข็งแรง

การป้องกันและรักษาสิวผด

  1. ลดการรบกวนต่อผิวหน้าให้น้อยที่สุด (Mechanical Irritation) เช่น การนวดหน้า, การขัดหน้า, หรือเช็ดถูหน้าบ่อยๆ
  2. ล้างหน้าเฉพาะที่จำเป็น หรือบริเวณที่ผิวมัน เพราะ การล้างหน้าบ่อยๆ จะทำให้สิวผด รุนแรงมากขึ้นได้
  3. ลด หรือหลีกเลี่ยง การใช้ครีมหรือยาที่ทำให้ผิวหน้าระคายเคืองมากขึ้น (Chemical Irritation) เช่น การใช้ยารักษาสิวประเภท Retinoic Acid, Benzoyel Peroxide AHA, BHA เป็นต้น
  4. ควรล้างหน้าด้วยน้ำเปล่า, หลีกเลี่ยงการใช้สบู่ และไม่ควรใช้น้ำอุ่นล้างหน้า และควรล้างหน้าไม่เกิน 2-3 ครั้งต่อวัน
  5. ควรหลีกเลี่ยงแสงแดด และใช้ครีมกันแดดทุกครั้งที่ต้องออกนอกบ้าน ควรเลือกกันแดดที่มี SPF >15-30 และมีค่า PA++ เป็นอย่างน้อย
  6. ไม่ควรซื้อยามารักษาผื่นเอง เพราะมักทำให้เป็นมากขึ้น และยาที่หาซื้อได้จากร้านขายยา มักเป็น STEROID ซึ่งมีผลข้างเคียงมาก
  7. เลเซอร์วีบีม ช่วยลดรอยแดง การอักเสบของสิวผด ให้หายเร็วขึ้น

สิวผดเมื่อไหร่จะหาย :
สิวผดเป็นสิวที่ขึ้นง่าย หายเร็ว มักไม่อักเสบเป็นหัวหนอง หรือสิวอุดตัน แต่มักจะเกิดขึ้นบ่อยๆ จนเป็นที่รำคาญ การได้รับคำปรึกษาจากแพทย์ผิวหนัง จะทำให้สิวผดหายเร็ว และสามารถป้องกันไม่ให้ขึ้นมาอีกได้ ในระยะยาว

Posted on

บิลเบอร์รี่ (Bilberry): ผลไม้ที่มีสรรพคุณทางยาช่วยบำรุงสายตา และลดอาการได้หลายโรค

บิลเบอร์รี่(Bilberry) เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก ที่เริ่มฮิตติดอันดับเครื่องดื่มสุขภาพหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จากการที่นักบินในหน่วยทหารอากาศของประเทศอังกฤษ นำผลบิลเบอร์รี่สุกมารับประทาน แล้วพบว่าทำให้ความสามารถในการมองเห็นตอนกลางคืนดีขึ้น และทำให้อาการเมื่อยล้าของดวงตาเมื่อใช้สายตานานๆ น้อยลง หลังจากนั้น อีกถึง 20 ปี จึงได้มีการค้นคว้าวิจัยทางวิทยาศาสตร์กันอย่างจริงจัง ว่าทำให้บิลเบอรี่จึงให้ผลดีต่อสุขภาพของดวงตาอีกครั้งหนึ่ง

สารที่สำคัญในบิลเบอร์รี่

  1. แอนโธไซยาโนไซด์ (Anthocyanosides) สามารถจับกับเซลล์บุผิว( pigmented epithelium) ที่จอภาพเรตินาได้ดี โดยมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระที่ดีเลิศ (Anti-oxidant) ช่วยลดความเสื่อมของเซลล์ และคืนสภาพสาร rhodopsin ได้หลังจากถูกแสง จึงช่วยทำให้การมองเห็นในที่มืดได้ดี
  2. แทนนิน(Tannins) )มีฤทธิ์ในการสมานแผล(Astingent) และให้ผลในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรค เช่น พวกแบคทีเรียบางชนิด
  3. ฟลาโวนอยด์(Flavonoid) ซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ (Anti-oxidant) เช่นกัน และยังเป็นสารตั้งต้นของฮอร์โมนหลายชนิดที่สำคัญต่อมนุษย์
  4. กลูโคควินิน(Glucoquinine) เป็นสารที่มีฤทธิ์กระตุ้นให้การทำงานของอินซูลิน ทำให้การควบคุมน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้น

ประโยชน์ขบิลเบอร์รี่ต่อสุขภาพดวงตา 

  1. ช่วยถนอมดวงตา ทำให้การมองเห็นในที่มืดดีขึ้น
  2. ช่วยรักษาอาการตาบอดกลางคืน ( Night blindness)
  3. ช่วยลดอาการเมื่อยล้าของดวงตา เมื่อใช้สายตานานๆ
  4. ช่วยป้องกันเลนส์ตาและช่วยให้คอลลาเจนในตาในส่วน cornea และหลอดเลือดฝอยแข็งแรงขึ้น
  5. ช่วยลดอนุมูลอิสระในจอตา ทำให้ป้องกันอาการเสื่อมที่มักจะเกิดกับดวงตาให้น้อยลงได้ เช่น ต้อกระจก ต้อหิน ต้อเนื้อ ตาเสื่อมในคนสูงอายุ(สายตายาว)

สรรพคุณอื่นๆ

  1. พบว่าสารแทนนิน ในผลบิลเบอร์รี่ สามารถบรรเทาอาการท้องเสีย อาการคลื่นไส้ และภาวะอาหารไม่ย่อยได้
  2. สามารถลดอาการปวดเจ็บจากภาวะเส้นเลือดขอด (Varicose vein) ได้ เนื่องจากภาวะดงกล่าวเกิดจาก ความเสื่อมของเซลล์เช่นกัน
  3. สามารถใช้ลดอาการอักสเบในช่องปาก และเยื่อบุช่องปากได้
  4. ช่วยลดอาการเสื่อมของเซลล์ผิวหนัง ที่ทให้เกิดจุดด่างดำของผิวพรรณได้

    ปัจจุบันจึงได้มีการจดบันทึกว่า บิลเบอร์รี่เป็นสมุนไพรที่มีความปลอดภัยและไม่มีผลข้างเคียง จึงมักนิยมนำมาเป็นอาหารเสริม และได้รับความสนใจ ในการนำมาใช้ในการรักษาสุขภาพในปัจจุบัน สำหรับคนสุงอายุ หรือคนที่ต้องการถนอมดวงตาให้มีประสิทธิภาพดีขึ้นและนานๆ
Posted on

อยากเปลี่ยนสีผม แต่จะทำยังไง ไม่ให้ทำร้ายเส้นผม ผมยังดูเงางาม มีน้ำหนัก สุขภาพผมดี

4 วิธีดูแลเส้นผม หลังทำสีผม ป้องกันผมเสีย

  1. หมักและพอกผมภายหลังการสระ โดยใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับการหมักผมหรือพอกผม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสารบำรุงประเภททรีทเม้นต์ หรือคอนดิชั่นเนอร์ ที่ให้การบำรุงที่ล้ำลึกกว่าคอนดิชั่นเนอร์ปกติ ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายและสะดวก และสามารถทำเองได้ที่บ้าน โดยนำมาหมักหรือพอกหลังการสระผม ทิ้งไว้ประมาณ 5-10 นาที จากนั้นจึงล้างออกให้สะอาด
  2. ใส่สารบำรุงหลังการสระผม ซึ่งมีทั้งในรูปของแคปซูล ในหลอด หรือในขวดเพื่อหยด เช่น เซรุ่ม สารบำรุงและวิตามินบำรุง จะช่วยให้สีผมไม่ซีดจาง หรือกระเทาะออกไว ทำให้ผมมีชีวิตชีวามีประกาย
  3. อบไอน้ำ โดยแบ่งผมเป็นช่อๆ แล้วพอกด้วยสารบำรุงในรูปของโปรตีนสำหรับเส้นผม จากนั้นจึงเข้าเครื่องอบไอน้ำ โดยสำหรับผมสั้นประมาณ10 นาที และผมยาว ควรอบประมาณ 15 นาที สารบำรุงเหล่านี้จะซึมเข้าสู่แกนเส้นผมได้ลึกขึ้นถึงชั้นเนื้อผม จึงทำให้ผมมีความชุ่มชื้นมีน้ำหนัก
  4. การแว็กซ์ผม คือการทรีทเม้นต์อย่างหนึ่งซึ่งเป็นที่นิยม และมีประโยชน์ต่อสุขภาพของเส้นผม แต่มักจะอยู่ได้ไม่นาน ประมาณ 10 -15 ครั้งของการสระผมแวกซ์ก็จะหลุดหมด เพราะสารบำรุงประเภทนี้จะทำงานบริเวณเปลือกผมด้านนอกเท่านั้น บางครั้งจึงต้องใช้อุปกรณ์หรือเครื่องมือเพื่อช่วยนำพาตัวแว๊กซ์ให้ซึมลึกมากยิ่งขึ้น
Posted on

เพชรสังฆาต : พืชเศรษฐกิจ ในการนำมาเป็นยารับประทานสำหรับรักษาโรคริดสีดวงทวารหนัก

เพชรสังฆาต เป็นสมุนไพรไทยที่หลายคนอาจจะรู้จักกันบ้างแล้ว เพราะถือว่าเป็นตำรับยาแพทย์แผนไทยที่นิยมใช้กันมานาน
สรรพคุณ 
1.ราก: สามารถใช้รักษากระดูกแตก หรือหักได้
2. ต้น: นำมาแก้หูน้ำหนวก แก้เลือดกำเดาไหล แก้ประจำเดือนไม่ปกติ
3. ใบ: สามารถเร่งการเชื่อมต่อของกระดูกที่หัก รักษาโรคทางระบบทางเดินอาหาร เช่น อาการจุกเสียดแน่นท้อง แก้ปวดท้องบิด ขับลม และที่สำคัญ และนิยมนำมารักษาเป็นอย่างมากก็คือ รักษาโรคริดสีดวงทวารหนัก ซึ่งจะพบว่าอาการเลือดออกทางอุจจาระ หรืออาการปวดเบ่ง หรือก้อนยื่น ดีขึ้น ได้ชัดเจน เทียบเท่ากับยาแผนปัจจุบัน และไม่พบว่ามีผลข้างเคียงใดๆ
4.เถา: รสร้อนขมคัน คั้นเอาน้ำดื่ม แก้โรคลักปิดลักเปิด แก้ประจำเดือนไม่ปกติ แก้ริดสีดวงทวาร แก้กระดูกแตกหัก ซ้น ขับลมในลำไส้ แก้ริดสีดวงทวารหนัก ทั้งชนิดกลีบมะไฟ และเดือยไก่
ข้อควรระวัง
เพชรสังฆาต จัดว่าเป็นพืชที่มีผลึกของแคลเซียมออกซาเลต ซึ่งเป็นผลึกรูปเข็มจำนวนมาก หากเราเผลอเคี้ยวส่วนใดส่วนหนึ่งของเพชรสังฆาต ไม่ว่าจะเป็นใบ เถา หรือรากเข้าไปในปาก ผลึกที่ออกมาจะทิ่มชำแรกเข้าไปในเนื้อเยื่อของปาก และลำคอ ทำให้เกิดอาการปวดแสบปวดร้อน หรือบวมได้
งานวิจัยที่รับรองผล
มีการศึกษาและวิจัยยืนยันกันอย่างชัดเจนว่ามีสรรพคุณเทียบเท่ากับยาแผนปัจจุบันจาก เมืองนอก และได้ผลเป็นที่น่าพอใจ
โดยนำใบมาบดเป็นผงอัดเม็ด บรรจุเป็นแคบซูล ออกมาจำหน่าย และในบางรพ. เช่น รพ. พระยาอภัยภูเบศน์ จังหวัดปราจีนบุรี ได้นำมาเป็นยาตำรับหลวงของรพ. แทนยาแผนปัจจุบันในบัญชียาหลัก ดังนั้นจึงถือเป็นแพทย์ทางเลือกที่ได้เป็นนิยมกันอย่างมาก ในปัจจุบัน


อ้างอิงจากเอกสารตีพิมพ์ของพญ. เพ็ญนภา ทรัพยเจริญ นายกสมาคมแพทย์แผนไทยแห่งประเทศไทย ลงตีพิมพ์ในหัวข้อ ‘ เพชรสังฆาต สมุนไพรไทยกับการรักษาริดสีดวง ‘ ในวารสารวงการแพทย์ประจำเดือน มีนาคม 2546

Posted on

คะน้า: ผักใบเขียวที่สำคัญ ปัองกันมะเร็ง พร้อมคุณค่า บำรุงสายตา รักษาได้หลายโรค

คะน้า จัดเป็นพืชผักที่แทบจะเป็นเครื่องเคียงประจำโต๊ะอาหารของบ้านเรา เนื่องจากหาง่าย ราคาไม่แพง และรสชาดที่ไม่ขมมากนัก และเป็นผักแกล้มชั้นยอด ที่ควบคู่กับอาหารรสจัด หรือนำมาผัดใส่น้ำมันหอยราดข้าว หอมกรุ่นทีเดียว ลองมาทำความรู้จักกับผักชนิดนี้กันหน่อยนะครับ

คุณประโยชน์และส่วนประกอบ ของคะน้า 

  1. สารเบตาแคโรทีน ในปริมาณที่สูง ซึ่งสารนี้จะแปรเปลี่ยนเป็นวิตามินเอได้ ซึ่งวิตามินเอนี้ มีประโยชน์ต่อผิวพรรณ ใช้ป้องกันรักษาสิว มีฤทธิ์ต้านทานการติดเชื้อ และเป็นวิตามินบำรุงสายตา ทำให้มองเห็นได้ดีในตอนกลางคืน อนึ่งคุณประโยชน์อย่างละเอียดของวิตามินเอ ได้เขียนบทความไว้ให้แล้ว
  2. วิตามินซี โดยพบว่า คะน้า 100 กรัมจะมีปริมาณวิตามินซีสูงเป็น 2 เท่าที่ร่างกายต้องการต่อวัน ซึ่งวิตามินซีนี้ มีบทบาทและคุณประโยชน์ อย่างมากในการป้องกันโรคหวัด ทำให้เชื้ออสุจิแข็งแรง เป็นสารไวเทนนิ่งทำให้ผิวหน้าไม่หมองคล้ำ ลดรอยด่างดำ และเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ฯลฯ ซึ่ง คุณประโยชน์อย่างละเอียดของวิตามินซี ได้เขียนบทความไว้ให้แล้ว
  3. ธาตุเหล็ก ซึ่งจำเป็นต่อการสร้างเม็ดเลือดแดง บำรุงเลือด ป้องกันโลหิตจาง และจะทำหน้าที่ในการพาออกซิเจน ไปยังเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ ทำให้เซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ ทำงานมีประสิทธิภาพดีขึ้นและนานขึ้น
  4. โฟเลต เป็นสารที่สำคัญในกระบวนการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง ช่วยในการเจริญเติบโตของเซลล์และกล้ามเนื้อ และช่วยเสริมการทำงาน ของระบบประสาท ช่วยลดอาการอ่อนล้าของกล้ามเนื้อได้ โดยทำงานร่วมกับวิตามินบี 12
  5. แคลเซียม ซึ่งจะพบว่าแคมเซียมนี้ ก็จะเป็นแร่ธาตุที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตของกระดูก ทำให้กระดูกแข็งแรง ไม่เปราะหักง่าย
  6. สารต้านมะเร็ง โดย ดร. วอลเตอร์ วิลเลตต์ แห่งคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลับฮาร์วาร์ด ซึ่งเป็นหน่วยงานชั้นนำทางด้านโภชนการและโรคมะเร็ง ได้รายงานผลการศึกษาเกี่ยวกับคะน้า ว่ามีสาร Carotenoids สูง ซึ่งสารนี้เป็นสารสีธรรมชาติในผักและผลไม้ มีฤทธิ์ป้องกันและต้านมะเร็งได้

ดังนั้นการรับประทานคะน้าเป็นประจำและในปริมาณที่พอเพียง จึงก่อให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกาย ทั้งในด้านผิวพรรณ สายตา ระบบหมุนเวียนโลหิต และป้องกันมะเร็ง นอกจากนี้ยังพบว่าคะน้าเป็นพืชเส้นใย ที่ช่วยควบคุมและลดน้ำหนักได้ในคนที่ต้องการควบคุมอาหารอีกด้วย

Posted on

6 เหตุผล ที่ต้องออกกำลังกาย ช่วงลดน้ำหนัก และ 7 แนวทางง่ายๆ ที่ไม่ยาก ถ้าอยากผอม

6 เหตุผลที่ต้องออกกำลังกาย ช่วงอยากลดน้ำหนัก

  1. การออกกำลังกายจะช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงานมากขึ้น และจะช่วยทำให้โลหิตหมุนเวียนดีขึ้น ซึ่งจะทำให้คุณรุ้สึกดีขึ้น
  2. การออกกำลังกายจะช่วยควบคุมความอยากอาหาร และทำให้ความหิวน้อยลง
  3. การออกกำลังกายเป็นประจำ จะช่วยลดการชดเชยพลังงานที่เกิดขึ้น ในขณะที่น้ำหนักลดลง เพราะโดยทั่วไปอัตราการเผาผลาญจะลดลงเมื่อน้ำหนักลด ดังนั้นการออกกำลังกายจึงชดเชยผลการตอบสนองของร่างกายดังกล่าว น้ำหนักจึงได้ลดลงมากขึ้น
  4. ถ้าลดน้ำหนัก โดยวิธีอื่นๆ เช่น ยา หรือ การควบคุมอาหาร จะทำให้กล้ามเนื้อลดลงด้วย จึงต้องออกกำลังกายเพือช่วยป้องกันมวลกล้ามเนื้อดังกล่าว
  5. การออกกำลังกายทำให้คลายเครียด ซึ่งพบเสมอว่า ในบางคนที่มีอารมณ์เครียด โกรธ จะหาทางออกด้วยการกินๆๆๆๆๆๆ ซึ่งการออกกำลังกาย จะช่วยลดสถานการณ์ดังกล่าวได้
  6. การออกกำลังกายทำให้คุณมีความเชื่อมั่นในตนเองมากขึ้น ทำให้สามารถบรรลุความสำเร็จได้ในหลายสิ่งที่ต้องการ และรู้สึกดีต่อตนเอง

7 แนวทางการออกกำลังกายง่ายๆ ในชีวิตประจำวัน

  1. ใช้บันไดแทนการใช้ลิฟต์ ในการทำงานแต่ละวัน
    2.เมื่อเครียด หรือว่างจากการทำงาน ควรออกไปเดินเล่น หรือเลือกรับประทานอาหารกลางวันที่ต้องเดินไปกลับ อย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 30 นาที
  2. ขี่จักรยานไปทำงาน ถ้าที่พักและที่ทำงานไม่ไกลนัก หรือเลือกเดินไกลๆ จากที่ทำงาน ไปยังลานจอดรถ หรือป้ายรถเมล์
  3. มีโอกาสไปท่องเที่ยวกับเพื่อนฝูง เพราะนอกจากจะสนุกแล้ว จะยังช่วยลดน้ำหนักได้ โดยเฉพาะโปรแกรมการท่องไพร เดินป่า เที่ยวน้ำตก
  4. เข้าร่วมทำกิจกรรมกับชมรมกีฬาต่างๆ เช่น ชมรมลีลาศ ชมรมเดินหรือวิ่งเพื่อสุขภาพ
  5. ดินเล่นก่อนรับประทานอาหารเย็น พาสมาชิกในครอบครัวเดินเล่น หรือพาสุนับวิ่งออกกำลังกาย ( สำหรับท่านที่รักสุนัข อาจจะเลือกสุนัขพันธุ์ใหญ่ ที่ต้องการการออกกำลังกาย ซึ่งจะได้ประโยชน์ทั้งตัวท่านและลูกสุนัขของท่านเอง)
  6. อย่าพยายามออกกำลังกายอย่างหักโหมในครั้งเดียว ควรจะค่อยๆ เพิ่มเวลาและเปลี่ยนชนิดของกีฬาที่เหมาะสมกับตนเอง ไม่ทำให้เกิดแรงตึงกับข้อ หรือทำให้กล้ามเนื้ออ่อนล้าเกินไป ซึ่งจะทำให้ท่านท้อใจในการออกกำลังกายครั้งต่อๆ ไปได้

ขอยกหัวข้อบรรยาย ของ พ.อ.หญิง รศ.พ.ญ.พรฑิตา ชัยอำนวย ผู้อำนวยการเวชศาสตร์ฟื้นฟู โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ในการบรรยายครั้งหนึ่งว่า
– ‘ การลดน้ำหนักแค่ 1 กิโลกรัม ความดันโลหิตจะลดลงไป 2.5 กับ 1.7 mmHg. เพราะ ทำให้หัวใจบีบตัวด้วยแรงต่อต้านที่น้อยลง หัวใจทำงานเบาลง
– ถ้าลดน้ำหนักเป็นปกติ ในคนไข้ที่มีปัญหาโรคความดันโลหิตสูง อาจลดยาความดันหรือเลิกกินยาลดความดันซึ่งเป็นผลดีต่อการรักษาโรค โดยพบว่า ลดน้ำหนัก 1 กิโลกรัม อายุยืน 3-4 เดือน ถ้าลด 10 กิโลกรัม อายุขัยจะยาวขึ้น ร้อยละ 35
– คนที่เป็นเบาหวาน ลดน้ำหนักแค่ 5 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัว การคุมน้ำตาลจะดีขึ้นมาก
– ถ้ามีไขมันในเลือดสูง ลด 1 กิโลกรัม คอเลสเตอรอลลด 2 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ไตรกลีเซอร์ไรด์ลด 1.7 คอเลสเตอรอลตัวร้ายลด 0.77 ก่อให้เกิดผลดีต่อร่างกายอย่างเห็นได้ชัด’

ดังนั้นถ้าไม่อยากพึ่งยาลดน้ำหนัก เราควรจะควบคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ที่สำคัญ พยายามอย่าขี้เกียจ แล้วอ้างคำว่า ‘ ไม่มีเวลา’ สำหรับสุขภาพทีดีของเราเลยนะครับ 

Posted on

5 เคล็บลับในการรับประทานอาหารอย่างไร เพื่อลดน้ำหนักให้ได้ผล และไม่กลับมาอ้วนอีก

กินอย่างไร ไม่ให้อ้วน

ควรรับประทานอาหาร อย่างมีสติ 

  1. ระลึกและมีสติกับสิ่งที่คุณกำลังรับประทาน โดยพยายามเลือกที่จะรับประทาน และทำอะไรทีละอย่าง ไม่ใช่ทำพร้อมกัน
    เช่น รับประทานอาหาร ขณะดูทีวี หรือคุยกัน เพราะจะทำให้ไม่ทราบปริมาณอาหารที่รับประทานเข้าไปมากน้อยเพียงใด และที่สำคัญอย่ารับประทานอาหารโดยไม่ตั้งใจ หรือไม่หิว
  2. ควรรับประทานอาหารเมื่อ หิว ไม่ใช่ ความหยากอาหารดังนั้นควรจะถามตนเองว่า ‘ นี่ฉันหิวจริงๆ หรือ?’ หรือเพียงเพราะว่า ‘ มันถึงเวลารับประทานแล้ว หรือ อยากรับประทานอะไรซักอย่าง ‘
    และเมื่อแยกความรู้สึกได้ หรือหิวจริงๆ ก็ควรจะรับประทานอาหาร และต้องเอาใจใส่กับอาหาร ‘ อะไร ‘ และ ‘ เท่าไหร่จึงพออิ่ม’
  3. รับประทานอย่างช้าๆ เพราะถ้ายิ่งรับประทานอาหารเร็วเท่าไรก็จะยิ่งรับประทานมากขึ้นเท่านั้น ก่อนที่ร่างกายจะบอกว่าพอแล้ว ปริมาณอาหารที่ได้รับเข้าไปก็เกินกว่าที่ร่างกายต้องการจริงๆ จึงเหลือสะสมเป็นไขมันส่วนเกินในร่างกาย

5 เคล็ดกับกับการกินไม่ให้อ้วน

เคล็ดลับที่ 1. รับประทานอาหารด้วยปริมาณที่น้อยลง โดยการเลือกจานใบเล็กแทนใบใหญ่ หรือแบ่งมื้ออาหารเป็น 5 มื้อย่อยจานเล็กๆ ดีกว่ารับประทานอาหาร 3 มื้อด้วยจานใบใหญ่
หลังรับประทานอาหารเสร็จแล้ว รอซัก 30 นาทีเพื่อถามตัวเองว่ายังรู้สึกหิวอยู่จริงๆ จึงค่อยเพิ่มปริมาณอาหารอีกทีละน้อย
เคล็ดลับที่ 2. เลือกอาหารที่รับประทานโดยยึดตามคำแนะนำ ‘ ปิรามิดแนะแนวอาหาร’ โดยมีสัดส่วนของ แป้งและคาร์โบไฮเดรต 40%:ผักผลไม้ 35%:โปรตีน ( เนื้อแดงไม่ติดมัน ปลา) 20%: ไขมัน 5%
เคล็ดลับที่ 3. หลีกเลี่ยงน้ำตาล โดยเฉพาะเกี่ยวกับ ขนมขบเคี้ยว เค้ก ขนมหวาน ลูกอม ลูกกวาด ไอสครีม ช็อกโกแลต เพราะจะมีไขมันและแคลอรี่สูงมาก และจะยับยั้งความหิวของคุณได้เพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น
แต่ถ้าหิวควรทดแทนด้วยผลไม้สดที่ไม่หวานจัด และไม่ควรเก็บของว่างหรืออาหารไว้ในตู้เย็น หรือครัว
เคล็ดลับที่ 4.  ยึดมั่นในทัศนคติของคุณในการตั้งใจลดน้ำหนัก แม้จะมีน้ำหนักหวนกลับมาเพิ่มขึ้นอีก แต่มันจะเพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น อย่าพูดว่า ‘ ไม่เป็นไร’ หรือ ‘ ฉันคงทำใหม่อีกไม่ได้ ‘
เคล็ดลับที่ 5. จำกัดหรืองดเครื่องดื่มอัลกอฮอล์ เพราะมีแคลอรี่สูงพอๆ กับไขมัน ควรจะดับกระหายด้วยน้ำเปล่า
คงแนะนำให้คุณปฏิบัติง่ายๆ แค่นี้ดูก่อนนะครับ ซึ่งไม่ยากและไม่ง่ายเกินไป และเชื่อมั่นได้ว่า น้ำหนักของคุณจะค่อยๆ ควบคุมได้ และลดลงอย่าง แน่นอนและปลอดภัย ซึ่งจะได้ผลดีขึ้น

Posted on

3 ขั้นตอน ของการออกกำลังกายในผู้สูงอายุ อย่างง่ายๆ ไม่ต้องออกแรงให้เหนื่อยเกินไป

โดยปกติผู้สูงอายุ ( อายุมากกว่า 60 ปี> เป็นวัยที่มีการเปลี่ยนแปลงทางร่ายกายและจิตใจ เข้าสู่ภาวะถดถอยของสังขาร แม้จะต้องการการพักผ่อน ให้มากกว่าคนในวัยทำงาน แต่การออกกำลังกายเป็นประจำก็ถือว่าสำคัญ เพราะจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพโดยรวม

ประโยชน์การออกกำลังกายในวัยสูงอายุ

  1. หัวใจแข็งแรงขึ้น โดยทำให้หัวใจบีบตัวแต่ละครั้งแล้วส่งเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายได้มากขึ้น เพราะหลอดเลือดในคนสูงอายุ มักจะมีความยืดหยุ่นไม่ดี อาจจะมีผนังหลอดเลือดแข็งจากไขมันเกาะติด
  2. ความดันโลหิตลดลงได้ เพราะในวัยสูงอายุจะมีแนวโน้มที่ความดันโลหิตจะเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะความดัน Systolic pressure
  3. ลดไขมันชนิดเลว ( LDL) ที่จะจับที่ผนังเส้นเลือด ทำให้ลดภาวะหลอดเลือดแข็งได้
  4. สมรรถภาพปอดแข็งแรงขึ้น เพราะมีการรับออกซิเจนเพิ่มขึ้น และขับคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้น
  5. น้ำหนักลดลง
  6. น้ำตาลในเลือดลดลง ในคนไข้ที่มีปัญหาเบาหวาน การออกกำลังกายทำให้ร่างกายใช้น้ำตาลให้เปลี่ยนเป็นพลังงานมากขึ้น
  7. กระดูกแข็งแรงขึ้น ลดอัตราหรือโอกาสเสี่ยงต่อภาวะกระดูกพรุน
  8. ระบบขับถ่ายทำงานดีขึ้น จึงลดอัตราการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ นอกจากนี้ในสตรีจะช่วยลดอัตราการเกิดมะเร็งเต้านม และมะเร็งมดลูก เพราะการออกำลังกายทำให้ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง
  9. สุขภาพจิตดีขึ้น อารมณ์แจ่มใส เพราะการออกกำลังกายทำให้มีการหลั่งของ Endorphin และ serotonin ในสมอง

ขั้นตอนการออกกำลังกายที่ดีในวัยสูงอายุ
ขั้นตอนที่ 1. การอบอุ่นร่างกาย ( warm up): โดยก่อนจะออกกำลังกายทุกครั้ง ควรจะทำให้ร่างกายอบอุ่นก่อน โดยการเดินหรือวิ่งเหยาะๆ ประมาณ 5-10 นาที หรือจนกระทั่งเหงื่อเริ่มออก จึงเริ่มขั้นตอนต่อไป
ขั้นตอนที่ 2. การยืดเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อ: เพื่อป้องกันการออกกำลังกายหักโหมที่มีอันตรายต่อกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น โดยมีวิธีง่ายๆ 3 วิธี ดังนี้
2.1 ยืนห่างกำแพงประมาณ 1-1.5 ฟุต ส้นเท้าติดพื้น และโน้มตัวมือยันกำแพง นับ 1-20 ทำประมาณ 1-2 ครั้ง
2.2 ยืนแยกเท้า ย่อเข่าเล็กน้อย ก้มลงเอาฝ่ามือแตะพื้น นับ 1-20 ทำ 1-2 ครั้ง
2.3 เท้าขวาวางบนบันได เท้าซ้ายวางบนพื้น แล้วงอเท้าซ้ายเล็กน้อย ก้มลงเอามือขวาแตะนิ้วหัวแม่เท้าขวา นับ 1-20 ทำ 1-2 ครั้ง

ขั้นตอนที่ 3. การออกกำลังกาย: จัดแบ่งได้ 2 แบบ ดังนี้
3.1 การยืดหยุ่น (Flexibility): เพื่อช่วยให้การเคลื่อนไหวของข้อต่างๆ ดีขึ้น เนื่องจากว่าเมื่ออายุมากขึ้น กล้ามเนื้อจะฝ่อลงและทำให้เกิดข้อเสื่อม และข้ออักเสบได้ง่าย โดยมีขั้นตอนดังนี้
3.1.1 Finger streching: การยืดกล้ามเนื้อนิ้วมือ โดยการคว่ำมือขวา แล้ววางมือซ้ายไว้บนปลายนิ้วมือขวา แล้วให้นิ้วมือขวาขยับขึ้น ขณะที่นิ้วมือซ้าย กดลงออกแรงต้านกัน แล้วทำสลับกัน ข้างละ 5 ครั้ง
3.1.2 Hand rotation: การบริหารท่านี้จะทำให้การเคลื่อนไหวข้อมือและนิ้วดีขึ้น ให้ใช้มือซ้ายจับข้อมือขวา แล้วให้หมุนข้อมือขวาอย่างช้าๆ 5 รอบ และให้หมุนกลับทิศอีก 5 รอบ แล้วก็สลับข้อมือซ้ายทำเช่นกัน
3.1.3 Ankle and foot circling: เป็นการบริหารข้อเข่าและข้อเท้า โดยการนั่งไขว้เข่าและให้หมุนข้อเท้าเป็นวงใหญ่ 10 รอบ และค่อยสลับข้าง
3.1.4 Neck extension: การบริหารข้อคอ โดยการนั่งบนเก้าอี้ ก้มหน้าเอาคางจรดอก แล้วเงยหน้ากลับสู่ท่าตรง หันหน้าไปทางซ้ายแล้วกลับท่าตรง แล้วหันหน้าไปทางขวา ให้ทำซ้ำกัน 5 ครั้ง
3.1.5 Single knee pull: การยืดกล้ามเนื้อหลังและต้นขา โดยการให้นอนหงาย ใช้มือดึงหน้าแข้งให้จรดหน้าอก นับ 1-5 ทำข้างละ 3-5 ครั้ง
3.1.6 การแกว่งแขน: ให้ยืนกางเท้าแกว่งแขนไปข้างหน้า และแกว่งไปข้างหลัง และยกมือขึ้นเหนือศีรษะ แกว่ง 6-8 ครั้ง
3.1.7 การยกมือขึ้น : นั่งบนเก้าอี้แล้วหายใจเข้าช้าๆ พร้อมกับยกมือขึ้น-ลง พร้อมกับการหายใจออกช้าๆ ทำซ้ำกัน 6-8 ครั้ง
3.1.8 การยืดกล้ามเนื้อหลัง: โดยการนั่งเก้านี้ ก้มหลังให้ชิดเข่า มือจับบนเข่าขวาแล้วเอี้ยวตัวเล็กน้อย แล้วก็ทำซ้ำบนขาอีกข้างหนึ่ง
3.1.9 การยืดกล้ามเนื้ออก: ยืนบนพื้น เท้าแยกออกจากัน แล้วเกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้องและเท้า ยกมือขึ้นระดับอก หายใจเข้าพร้อมกับดึงมือออกด้านข้าง หายใจออก พร้อมกับดึงมือกลับท่าเดิม

3.2 ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ( Strength) เป็นขึ้นตอนการออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อ ช่วยสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแร ป้องกันและลดอาการปวดหลังในอนาคตได้
โดยมีขั้นตอนการปฏิบัติดังนี้
3.2.1 ให้กำนิ้วมือ นั่งหลังตรง แขนเหยียดตรง คว่ำมือ แล้วกำนิ้วมือช้าๆ และคลายออก ทำซ้ำ 5 ครั้ง แล้วต่อจากนั้น ทำการหงายมือ กำนิ้วมือช้าๆ และคลายออก ทำซ้ำ 5 ครั้ง หนังจากนั้นให้เหยียดแขน คว่ำมือ สั่นนิ้วมือ 5 ครั้ง
3.2.2 ให้นั่งหลังตรง มือซ้ายแตะไหล่ขวา แล้วเหยียดแขนขวาออกไปในระดับไหล่ จากนั้นงอแขนขวาให้ฝ่ามือมาแตะกับมือซ็ายที่แตะไหล่ไว้ แล้วเหยียดออกที่เดิม ทำซ้ำกัน 10-15 ครั้ง แล้วสลับข้างทำเช่นกันกับที่ไหล่ซ้าย
3.2.3 ให้นั่งหลังตรงท่าเดิม แล้วเหยียดเท้าทั้งสองข้าง แล้วเกร็งไว้ประมาณ 5-10 วินาที แล้วปล่อยเท้ากลับท่าปกติ ทำซ้ำ 10-15 ครั้ง ท่านี้ถือว่าเป็นท่า การบริหารที่สำคัญในคนที่มีปัญหาข้อเข่าเริ่มเสื่อม เพราะจะช่วยได้มากทีเดียวในอนาคต
3.2.4 ยืนตรงมือเกาะเก้าอี้ แล้วแกว่งเท้าทีละข้างไปข้างหลัง โดยเข่าตรง เกร็งกล้ามเนื้อก้นและขาไว้ นานประมาณ 5-10 วินาที แล้วกลับสู่ท่าปกติ ทำซ้ำ 10-15 ครั้ง แล้วก็สลับกันกับเท้าอีกข้าง
3.2.5 ย่อตัว ยืนหลังตรง โดยมือยังจับที่เก้าอี้ ย่อตัวลงโดยการงอเข่าแต่ไม่เกินนิ้วเท้าถึงกับนั่ง แล้วกลับสู่ท่ายืน ทำซ้ำ 8-12 ครั้ง
3.2.6 ยืนตรง แล้วเขย่งข้อเท้าทั้งสอง โดยมือจับที่เก้าอี้ แล้วกลับสู่ท่าปกติ ทำซ้ำ 10 ครั้ง
3.2.7 ยืนตรง โดยมือจับที่เก้าอี้เช่นเดิม แล้วยกข้อเข่าข้างขวาขึ้นมาชิดหน้าอกให้มากที่สุด ทำซ้ำ 5 ครั้งแล้วย้ายไปทำกับข้อเข่าซ้าย
3.2.8 การบริหารหน้าท้อง โดยการนอนราบ แล้วชันเข่าตั้งไว้ แขนแนบลำตัว แล้วยกแขนและศีรษะให้มือจับเข่าได้ ค้างไว้ 5 วินาที แล้วทำซ้ำ 10 ครั้ง

Posted on

การคุมกำเนิดสำหรับผู้ชาย : ทางเลือกใหม่ สำหรับภรรยาที่ไม่พร้อมหรือไม่ต้องการคุมกำเนิด

การคุมกำเนิด ปกติส่วนใหญ่ล้วนเป็นความรับผิดชอบของฝ่ายหญิง ไม่ว่าจะเป็นชนิดชั่วคราวหรือถาวร แต่ถ้าบังเอิญฝ่ายหญิงมีปัญหาด้านสุขภาพ หรือไม่พร้อมหรือไม่ต้องการจะคุมกำเนิด ปัจจุบันมีแนวทางเลือกให้ให้ผู้ชายคุมกำเนิดแทน

การคุมกำเนิดชั่วคราวสมัยใหม่ (Modern methods) ได้แก่

  1. ฉีดสารอุดตันท่ออสุจิ (Vas occlusion) ใช้สารโพลีเมอร์ พลาสติก หรือสารอื่นๆ ฉีดผ่านผิวหนังอัณฑะไปอุดตันท่ออสุจิ ประสิทธิภาพไม่เทียบเท่าการทำหมันชาย ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการพัฒนา
  2. อบลูกอัณฑะ (Heating) เป็นที่ทราบกันว่า ความร้อนช่วยลดการสร้างและทำลายอสุจิได้ เช่น ชายที่เป็นหมันเพราะลูกอัณฑะไม่ลงถุงอัณฑะ หรือแช่น้ำร้อนเป็นประจำ วิธีนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนพัฒนา แต่อบลูกอัณฑะฟังแล้วอาจน่ากลัวไปหน่อย
  3. ใช้วัคซีนอสุจิ มีการค้นพบมาเป็นเวลานานแล้วว่า ชายที่มีภูมิต้านทานอสุจิมักมีลูกยากหรือเป็นหมัน จึงมีการคิดค้นวัคซีน แต่อาจก่อให้เกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ต่อลูกอัณฑะหรือระบบการสร้างอสุจิ ปัจจุบันวัคซีนอสุจิใช้ในการทดลองกับสัตว์
  4. ใช้สารเคมีที่ไม่ใช่ฮอร์โมน สารเคมีจากพืชหลายชนิด ทำให้มีลูกยากเป็นหมัน เช่น น้ำมันเมล็ดฝ้าย (Gossypol) คื่นช่าย กระเทียม ใบผักชี หรือสารเคมีอื่นๆ ทั้งจากธรรมชาติและการประดิษฐ์ แต่ยังอยู่ในระยะเริ่มต้น ต้องระมัดระวังผลข้างเคียง เช่น เป็นพิษต่อระบบประสาท ตับ ไต เป็นต้น
  5. ยาคุมกำเนิดแบบฉีด วิธีนี้เป็นการคุมกำเนิดชั่วคราวแบบสมัยใหม่ที่ผ่านการวิจัย สามารถคุมกำเนิดได้ร้อยละ 98 ไม่มีผลข้างเคียง นอกจากในบางรายที่ส่งผลให้ผิวหน้ามัน เป็นสิว หนวดเคราดกเพิ่มขึ้นจากฤทธิ์ของฮอร์โมนเพศชาย นอกจากนั้นหลังจากหยุดฉีดแล้วอสุจิจะกลับมาปกติภายใน 2-3 เดือน ประเทศอินเดียจึงเป็นประเทศแรกที่ประกาศใช้ยาคุมกำเนิดเพศชายฮอร์โมนรวมชนิดฉีด ภายในกลางปี 2563 นี้

Posted on

whitening creams : ครีมทาฝ้า ครีมหน้าขาว หรือสารไวเทนนิ่ง ทำงานอย่างไร ตัวไหนดี ในกระบวนการหยุดยั้งการสร้างเม็ดสีผิวผิดปกติ

สารไวเทนนิ่งคืออะไร

คือ สารที่มีองค์ประกอบที่ออกฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเม็ดสีให้กับผิวหนัง วัตถุประสงค์ของสารไวเทนนิ่ง คือ ช่วยบำรุงผิวหน้าให้ผิวหน้าขาวกระจ่างใส ลดรอยหมองคล้ำ ฝ้า กระ ทั้งในรูปของครีมทาผิวและยารับประทานออกมามากมาย หลากหลายชนิด และนำมาผสมกัน
ดังนั้นก่อนที่เราจะเลือกครีมทาหน้าขาว หรือทำให้ผิวขาวกระจ่างใส ถ้าเราได้ทราบว่าแต่ละตัวออกฤทธิ์ที่ไหน ตัวไหนดีที่สุด ก็จะช่วยให้เราเลือกซื้อและพิจารณาว่าส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ด้านหลังมีอะไรบ้าง ดีจริงอย่างที่เค้าโฆษณาหรือเปล่า คุ้มค่ากับเงินที่ต้องใช้จ่ายไปหรือไม่

กลไกการออกฤทธิ์ของสารไวเทนนิ่ง

  1. กลุ่มที่ออกฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเอนไซม์ Tyrosinasesได้แก่ สารพวก Lactic acid,รกแกะ(Placenta Extracts),Azelaic acid,Lactate
  2. กลุ่มที่ออกฤทธิ์ยับยั้งการพัฒนา(Maturation) ของเอนไซม์ Tyrosinases ได้แก่ สารพวก Glutathione or cysteine (ซึ่งพบในน้ำผึ้ง ) ,Calcium D pantethine S sulphate
  3. กลุ่มที่ออกฤทธิ์เพิ่มการสลายตัวของเอนไซม์ Tyrosinases ได้แก่สารพวก Alpha linoleic acid
  4. กลุ่มที่ออกฤทธิ์การทำงานของเอนไซม์ D.tautomerase ,Dpolymerase ที่ทำหน้าที่เปลี่ยนสารต้นแบบของเม็ดสี Pheomelanin ได้แก่สารกลุ่ม Albutin,Alpha-tocophernyl ferulate(วิตามินE),Kogic acid,Licorice extracts

5. กลุ่มที่ออกฤทธิ์ยับยั้งหรือรบกวนการทำงาน (Activities) ของเอนไซม์ Tyrosinases  กลุ่มนี้มีมากมายหลายตัว และมักจะนำมาผสมในเครื่องสำอางที่วางขายในปัจจุบัน ได้แก่
– Hydroquinone (ซึ่งเคยเป็นส่วนผสมครีมทาฝ้าในสมัยก่อนที่ฮิตมาก แต่ปัจจุบันห้ามผสมลงไป เพราะทำให้เกิดผลข้างเคียงมาก)
– Kogic acid
– สารสกัดจากชะเอม(Licorice)
-,Albutin
– Vitamin C
– สารสกัดจากชาเขียว(Green tea extracts)
– สารสกัดจากธรรมชาติต่างๆ เช่น แอ็ปเปิล( Applephenon extracts) สารสกัดจากเปลือกมะหาด(Mahad),สารสกัดจากบอระเพ็ด,สารสกัดจากสาเก,สารสกัดจาก สมุนไพรอื่นๆ,สารสกัดจากเปลือกสนมาริไทม์ (Pynocare)
– ยารับประทานรักษาฝ้า Tranxemic acid

เลือกไวเทนนิ่งตัวไหนดี

เลือกตัวที่ออกฤทธิ์ได้ดีที่สุด และทำงานยับยั่งการสร้างเม็ดสี ได้หลายที่ในกลไกการสร้างเม็ดสี ได้มีการเปรียบเทียบผลที่ได้ในสารกลุ่มนี้ จากดีสุด จะพบว่า
 Alpha Alpha-tocophernyl ferulate(1) >Ellaic acid(2) > Albutin(3)>Licorice(4)>Kogic(5)>VitC(6)>Paper mulbery(7) 
นี่คือตัวเด่นๆ ที่นำมาผสมในผลิตภัณฑ์ที่ทำให้หน้าขาว หรืออาจจะนำมาผสมในครีมกันแดด นอกจากนี้ยังมีการศึกษาสารกลุ่มอื่นที่มีผลทำให้แสงแดดมีผลต่อผิวลดลง แล้วนำมาผสมในครีมกันแดดด้วย เช่น กลุ่ม Antixidants เช่น Betacarotene ซึ่งมีผลต่อ UVA ,กลุ่ม EPO ที่มีผลต่อ UVB,กลุ่มสารสกัดจากชาเขียว และ beta glucan

Posted on

โรคเรื้อน(Leprosy) สาเหตุ อาการ การป้องกันและรักษา

โรคเรื้อน(Leprosy) คืออะไร

คือ โรคติดต่อเรื้อรังที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ชื่อ Mycobacterium leprae( M.leprae) ที่ทำให้เกิดอาการทางผิวหนัง เยื่อบุจมูก และเส้นประสาทส่วนปลาย
พบบ่อยแค่ไหน จากรายงานของกองโรคเรื้อน เมื่อปี 2562 พบผู้ป่วย เพียง 269 ราย อัตราการชุกของโรคประมาณ 0.04 รายต่อประชากร 10,000 คน ซึ่งถือว่าเป็นอัตราที่ลดลงมาก เมื่อเทียบกับ 40-50 ปีก่อน
อาการเป็นอย่างไร
1.มีลักษณะผื่นระยะต่างๆ ที่เหมือนหรือคล้าย รอยโรคระยะต่างๆ
2..มีอาการชาที่บริเวณรอยโรค ตั้งแต่สูญเสียความรู้สึกสัมผัสเบาๆ จนถึงเสียความรู้สึกร้อนเย็น หรือความรู้สึกเจ็บ
3. มีเส้นประสาทที่โตกว่าปกติ
4. ขูดหรือกรีดบริเวณรอยโรค แล้วนำไปย้อมน้ำยา acid fast strain แล้วส่งด้วยกล้องจุลทรรศน์ แล้วพบเชื้อ M.laprae ติดสีแดง
แพทย์จะพิจารณาจากอาการแสดงข้างบน เพื่อการวินิจฉัย จะต้องมีอาการแสดงอย่างน้อย 2 ข้อใน 3 ข้อแรกข้างบน และ/หรือ ตรวจพบเชื้อโรคนี้จากกล้องจุลทรรศน์

ติดต่อทางไหน รักษาอย่างไร

การติดต่อ เดิมเชื่อว่าเกิดจากการสัมผัสโดยตรงกับผู้ป่วยโรคเรื้อน แต่ในปัจจุบัน และหลักฐานหลายอย่าง ทำให้เชื่อว่า การติดเชื้อ ได้โดยการหายใจ ซึ่งพบเชื้อโรคเรื้อนในอากาศ หรือชุมชนที่มีผู้ป่วยอาศัยอยู่ และมีระยะฟักตัว ตั้งแต่ 3-10 ปี ขึ้นกับชนิดของเชื้อโรคเรื้อน
ทำไมต้องกักตัว สิ่งที่ทำให้โรคเรื้อนเป็นที่รังเกียจของสังคม คือ ความพิการที่ตรวจพบ ซึ่งเกิดจากเชื้อโรคได้ทำลายเส้นประสาท ทำให้เสียหน้าที่ในการควบคุมกล้ามเนื้อ ทำให้อ่อนกำลัง หรือ ลีบ หรือหงิกงอ และระยะที่มีการเห่อ หรือโรครุนแรงขึ้น เช่น มีการกระจายของผื่นอย่างรวดเร็ว ผิวหนังเป็นมันและชุ่ม
แนวทางการรักษา ตั้งแต่ปี 2525 จนถึงปัจจุบัน องค์การอนามัยโลกได้แนะนำให้ใช้การรักษาด้วยยาผสมหลายตัวในระยะเวลาสั้น เพื่อป้องกันภาวะพิการ ทำลายแหล่งและตัดวงจรการระบาดของโรค เรียกว่า MDT ( multi-drug therpy) ซึ่งจะใช้ตัวยาหลายตัวร่วมกัน เช่น Dapsone,Rifampicin,Clofazimine,Ethionamide ,Fluoroquinolone,Macrolides antibiotics ,Minocycline และอาจใช้ยากลุ่มเสตียรอยด์บ้าง ทั้งในรูปของการทา และรับประทาน กรณีที่โรคเห่อมาก หรือเส้นประสาทอักเสบ มีตุ่มอักเสบรุนแรง
ระยะเวลาในการรักษา ได้มีการกำหนดแน่นอน และเมื่อผู้ป่วยได้รับการรักษาครบถ้วนตามระยะเวลาที่กำหนด ให้หยุดยาได้เลย และได้แบ่งระยะเวลาในการรักษา ตามความรุนแรงดังนี้
1.ประเภทผู้ป่วยเชื้อน้อย ใช้เวลาในการรักษา 6 เดือน โดยรับยาประจำเดือนครบ 6 ครั้ง ในระยะเวลา 9 เดือน
2.ประเภทผู้ป่วยเชื้อมาก ใช้เวลาในการรักษา 24 เดือน โดยรับยาประจำเดือนครบ 24 ครั้ง ในระยะเวลา 36 เดือน
ผู้ป่วยโรคเรื้อน ควรต้องเข้าใจในภาวะและระยะของโรค ตลอดจนผลข้างเคียงที่อาจเกิดได้ ทั้งจากการดำเนินของโรคเอง ผลข้างเคียงของยาที่ใช้ การรักษาแนะนำให้รักษาในรพ.ที่รักษาโรคนี้โดยเฉพาะ สถาบันโรคผิวหนัง หรือรพ.ของรัฐที่มีศักยภาพ เพราะจำนวนผู้ป่วยทั่วประเทศไทยไม่มากนัก ตามคลินิกผิวหนังและรพ.บางแห่ง อาจไม่มียาไว้ในคลังยา

Posted on

ปานแดง (Vascular Birthmarks) : ความผิดปกติแต่กำเนิด ที่ไม่ควรมองข้าม

ปานแดง คืออะไร

ปานแดง  (Vascular Birthmarks) คือสีผิวที่เปลี่ยนไป ซึ่งเกิดจากลักษณะของหลอดเลือดที่ผิดปกติ มักปรากฏบนผิวหนังของเด็กแรกคลอด หรือปรากฏขึ้นหลังจากที่เด็กคลอดออกมาได้ไม่นาน มักมีสีชมพู ม่วง หรือแดง สามารถแบ่งออกเป็น 3 ชนิดหลักๆ ได้แก่
1. แซลมอน แพตช์ (Salmon Patch) หรือปานเส้นเลือดแดง (Stork Bites) คือปานที่มีสีออกแดงหรือชมพู มีลักษณะเรียบ พบได้ทั่วไป และพบได้บ่อยถึง 1 ใน 3 ของเด็กแรกเกิด มักปรากฏบริเวณท้ายทอย เปลือกตา หรือหน้าผากบริเวณหว่างคิ้ว
การรักษา ปานจะหายไปเองภายในไม่กี่เดือน แต่ปานที่เกิดขึ้นบนหน้าผากนั้นอาจจะใช้เวลา 4 ปีจึงจะหายไป ส่วนปานที่อยู่บนท้ายทอยจะไม่หายไป อาจจะรักษาด้วยเลเซอร์ ที่มีความจำเพาะ V-beam (Pulsed-dye laser)
2. ปานสตรอว์เบอร์รี่ (Strawberry Hemangioma) คือจุดสีแดงนูน เล็ก นุ่ม และบีบได้ ส่วนใหญ่จะขึ้นบนใบหน้า หนังศีรษะ หน้าอก หรือหลัง ทารกแรกเกิดอาจมีปานแดงชนิดนี้ได้ แต่ส่วนมากมักปรากฏขึ้นเมื่อเด็กอายุได้ 1-2 เดือน นอกจากนี้ ปานสตรอว์เบอร์รี่มักฝังลึกอยู่ในผิวหนัง ทำให้เห็นเป็นสีน้ำเงินหรือม่วง ขนาดของปานขยายเร็วในช่วง 6 เดือนแรก ก่อนที่จะค่อย ๆ หดเล็กลงและหายไปเมื่ออายุประมาณ 7 ปี
อันตรายของปานแดงชนิดเนื้องอกหลอดเลือด
-ปานแดงชนิดนี้ ถ้ามีมากกว่า 5 ตำแหน่ง ต้องรับการตรวจเพิ่มเติม เพราะมีความเสี่ยงที่จะมีปานเนื้องอกหลอดเลือดเกิดขึ้นที่อวัยวะอื่นภายในร่างกาย นอกเหนือจากที่ผิวหนังด้วย
– หรือถ้ามีปานชนิดนี้ขึ้นบริเวณใบหน้าขนาดใหญ่กว่า 5 เซนติเมตร อาจพบร่วมกับกลุ่มอาการทางระบบประสาทที่เรียกว่า PHACE syndrome ซึ่งผู้ป่วยโรคนี้จะมีความผิดปกติของ ตา หัวใจ และหลอดเลือดอื่นๆในร่างกาย
แนวทางการรักษา ปกติมักจะหายได้เอง ภายใน 1ปี ถ้าไม่หาย ควรทำการรักษาดังนี้

  • รักษาด้วยยากิน เช่น ยาสเตียรอยด์ ยาโพรพาโนลอล
  • รักษาด้วยยาทา เช่น ยากลุ่มเบต้าบล็อกเกอร์
  • รักษาด้วยเลเซอร์ที่มีความจำเพาะ V-beam (Pulsed-dye laser)
  • รักษาด้วยการผ่าตัด

3. ปานแดงเส้นเลือดฝอย (Port-wine Stain) ปานแดงชนิดนี้เกิดจากเส้นเลือดใต้ผิวหนังเรียงตัวผิดปกติ มักจะมีลักษณะเป็นผื่นแดงราบ บริเวณใบหน้า โดยพบบ่อยในซีกใบหน้าด้านขวามากกว่า ด้านซ้าย มักกระจายตามเส้นประสาทสมองเส้นที่ 5 (Trigerminal nerve branch) ในระยะแรกจะจางลงเมื่อกด แต่เมื่ออายุมากขึ้น ปานแดงจะสีเข้มขึ้นจนเกือบเป็นสีม่วง และลักษณะผิวที่เคยราบเรียบ อาจมีลักษณะเป็นตะปุ่มตะป่ำได้ ปานชนิดนี้จะนูนหนาขึ้นตามอายุที่เพิ่มขึ้น สามารถขึ้นได้ทุกตำแหน่งของร่างกาย
อันตรายของปานแดงชนิดพอร์ตไวน์สเตน
-ถ้าพบปานแดงชนิดพอร์ตไวน์สเตนตามริมฝีปาก รอบรูจมูก อาจบดบังทางดินหายใจได้ อาจพบปานชนิดนี้ร่วมกับความผิดปกติอื่นๆ เช่น
ความผิดปกติของกระดูก ถ้ามีปานแดงชนิดนี้ขึ้นที่บริเวณแขน ขา อาจพบความผิดปกติของกระดูกร่วมด้วยในข้างเดียวกัน ผู้ป่วยมักจะมีแขนขาโต เท้าโตผิดรูป มีปัญหาด้านการเดิน บางรายอาจพบปานชนิดอื่นๆ เช่น ปานดำ ปานสีน้ำตาล ปนมาด้วย
อาการทางระบบประสาท ผู้ป่วยที่มีปานแดงชนิดนี้ขึ้นที่บริเวณซีกนึงของใบหน้า อาจพบอาการทางระบบประสาทร่วมด้วย เช่น ลมชัก สติปัญญาต่ำ
อาการทางสายตา ในผู้ป่วยที่มีผื่นบริเวณรอบตา เปลือกตา นอกจากปานนี้จะนูนหนาบดบังการมองเห็นแล้ว ยังสามารถมีอาการร่วมที่เป็นปัญหาจากกระบอกตา จอประสาทตา ทำให้มีต้อหิน หรือรุนแรงถึงขั้นมองไม่เห็นได้
แนวทางการรักษา เนื่องจากโรคนี้ไม่สามารถยุบตัวเองได้ ปล่อยไว้นานมีแต่จะขยายขนาด สีเข้มชัด และนูนหนามากขึ้น เด็กที่มีปัญหาปานแดง มักจะมีปัญหาทางจิตใจทีผุ้ปกครองไม่ควรละเลย เนื่องจากทำให้ขาดความมั่นใจในตนเอง มีผลต่อบุคลิกภาพ และการเข้าสังคม นอกจากนี้ อาจพบความผิดปกติอย่างอื่นร่วมด้วย เช่น อาการชัก ปัญญาอ่อน และยังถือว่าเป็นอาการแสดงหนึ่งของกลุ่มโรคหลายอย่าง จึงควร แนะนำให้เข้ารับการรักษาตั้งแต่ก่อนวัยเรียน ด้วยเลเซอร์ V-beam (Pulsed-dye laser)

Posted on

โรคกลาก ( Ringworm ) ไม่อยากเป็น ต้องรู้สาเหตุและการรักษา

โรคกลาก คือ อะไร

โรคกลาก (Dermatophytosis or Ringworm ) เป็นภาวะการติดเชื้อราในกลุ่ม Dermatophyte ได้แก่เชื้อราใน genus Trichophyton,Epidermphyton, และ Microsporum เชื้อรานี้จะเจริญเติบโตในผิวหนังชั้นตื้น ได้แก่ด้านนอกของผิวหนัง ผม ขน เล็บ ซึ่งมีเคอราตินเป็นแหล่งอาหารของเชื้อรา
มักจะพบได้ในเด็ก หรือคนที่มีสุขอนามัยไม่ดี หรือมีภูมิคุ้มกันบกพร้อง โดยมีปัจจัยที่ส่งเสริมให้มีอาการมากน้อย ขึ้นอยู่กับ ความชื้นในอากาศ ความสกปรก ความรุนแรงของเชื้อรา ติดต่อโดยทางการสัมผัสจากดิน สัตว์เลี้ยง หรือคนที่มีการติดเชื้อ
อาการทางคลินิก: แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ
1. ชนิดเฉียบพลัน: มักพบในกรณีที่ร่างกายมีการตอบสนองต่อการติดเชื้อ และสร้างภูมิคุ้มกันได้ดี ทำให้มีลักษณะผื่น เป็นลักษณะอักเสบที่ผิวหนัง จึงมีลักษณะบวม มีรอยแดงนูนทันที ซึ่งมักจะมีโอกาสหายขาดได้สูง
2. ชนิดเรื้อรัง: มักพบผื่นลักษณะแบนราบ(macule) มีอาการคัน ต่อมาจะค่อยๆ ลามขยายออกเป็นวงที่มีขอบเขตชัดเจน โดยที่ตรงกลางจะหาย (central clearing) บริเวณขอบที่ลามออกมาอาจมีตุ่มแดงหรือตุ่มใสร่วมกับขุย(active border) มีรูปร่างเป็นวงกลม หรือวงแหวน หรือหลายวง รวมกัน ( ดังภาพประกอบที่2)

ชนิดของกลาก

เนื่องจากโรคกลากที่ตำแหน่งต่างๆ ของร่างกาย จะมีลักษณะผื่นที่ไม่เหมือนกัน และมีลักษะจำเพาะแต่ละที่ ทำให้เรียกชนิดต่างๆ กัน อาทิเช่น
1. กลากที่หนังศีรษะ (Tinea capitis) มักพบในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ ติดต่อโดยใช้สิ่งของร่วมกัน มักระบาดในโรงเรียน วัด สถานรับเลี้ยงเด็ก
2. กลากบริเวณใบหน้า (Tinea faciei)
3. กลากที่ขาหนีบ( Tinea cruris) หรือสังคัง มักพบบริเวณขาหนีบ ต้นขา หรือสะโพก มีอาการคันมาก
4. กลากที่มือ (Tinea manumm) มักพบที่ฝ่ามือ นิ้วมือ ง่ามนิ้วมือ
5. กลากที่เท้า (Tinea pedis) มักพบตามง่ามนิ้วเท้า ที่เรียกว่า ฮ่องกงฟุต
6. กลากที่เล็บ(Tinea unguium) ซึ่งมักพบที่เล็บเท้ามากกว่าเล็บมือ และมีข้อสังเกตว่า ถ้าพบเชื้อราที่เล็บมือ และเล็บเท้าพร้อมๆ กันหลายๆ ที่ ควรตรวจภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือไม่ หรือตรวจหาเชื้อ HIV
7. กลากหนุมาน (Tinea incognito) มักพบกรณีที่ผู้ป่วยไปรักษาเองตามร้านขายยา และได้ทาเสตียรอยด์ครีม ทำให้ผื่นมีลักษณะแตกต่างจากเดิม โดยมัจะพบเป็นลักษณะผื่นคล้ายผื่นแพ้ มีตุ่มน้ำ ตุ่มนูนหรือมีขุยแดงๆ ทั่วๆ ไป

การวินิจฉัยและการรักษา

การวินิจฉัย: แพทย์จะดูลักษณะและตำแหน่งของผื่น ถ้าไม่แน่ใจมักจะขูดเอาเชื้อที่ขอบของรอยโรคมาตรวจด้วยน้ำยา KOH แล้วนำมาส่องดูด้วย กล้องจุลทรรศน์ ซึ่งจะพบสายใยใสที่มีผนังกั้นและปล้องของเชื้อรา-hyaline septate hyphae and andthrospore
แนวทางการรักษาและป้องกัน:
1. ครีมทาเชื้อรา ถ้ารอยโรคไม่มาก การทายารักษากลุ่ม Tolnaftae หรือ Imidazole( clotrimazole cream,canesten cream) ก็ทำให้หายได้
2. ยารับประทานฆ่าเชื้อรา แต่ถ้าเป็นมากหรือโรคกลากบางชนิด เช่น เชื้อราที่เล็บ มักจะให้ยารับประทานร่วมด้วย เช่น
– Itraconazole(Spiral) 100 มก.ต่อวัน นาน 30 วัน
– Terbinafine(Lamisil) 250 มก.ต่อวัน นาน 14 วัน
– Griseofulvin(Fulvin) 500-1,000 มก.ต่อวันนาน 4-6 สัปดาห์

Posted on

ไข้อีสุกอีใส( Chicken pox) : ใครไม่อยากเป็น มีวัคซีนป้องกัน

โรคไข้อีสุกอีใส คืออะไร

โรคไข้อีสุกอีใส เป็นโรคตุ่มน้ำใส พบได้บ่อยในเด็กอายุระหว่าง 2-12 ปี แต่ก็พบได้ทุกช่วงอายุ ความรุนแรงของโรค ขึ้นอยู่กับภาวะภูมิต้านทานของร่างกาย จำนวนเชื้อที่ได้รับ เกิดจากเชื้อไวรัส Varicella Zoster
อาการ เริ่มต้น ด้วยการมีไข้ ปวดเมื่อยตามร่างกาย แล้วเกิดตุ่มน้ำขึ้นบริเวณร่างกาย โดยมักเกิดที่ใบหน้า ตามลำตัว ทรวงอก และแพร่กระจายไปตามร่างกาย
โดยภายใน 2-3 วันหลังมีไข้ต่ำๆ ตุ่มน้ำใสระยะแรก จะเริ่มเกิดขึ้น ผนังจะบาง ตุ่มจะใสและมีรอยแดงตรงกลาง หลังจากนั้นตุ่มจะโตขึ้น เป็นตุ่มสีขาวขุ่น หรือเป็นหนอง มักมีรอยบุ๋มตรงกลาง และหลังจากนั้นจะเริ่มแห้งเป็นสะเก็ด และหายได้เอง ภายใน 7-10 วัน
– หลังจากเริ่มมีตุ่มน้ำ มีระยะติดต่อตั้งแต่วันแรก จนถึงวันที่สะเก็ดหลุด เชื้อก็ยังอยู่ในร่างกายได้อีก 2 อาทิตย์และยังสามารถติดต่อได้โดยการสัมผัส ดังนั้นคนที่เป็นไข้อีสุกอีใส ควรกักตัว ไม่พบปะผู้คนอย่างน้อย 1 เดือน เพื่อลดการติดต่อไปยังบุคคลอื่น

วัคซีนป้องกันอีสุกอีใส

ปัจจุบันนิยมฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันไข้อีสุกอีใส เพราะถ้าเป็นแล้ว ต้องหยุดเรียนหรือหยุดทำงานเกือบเดือน และพบว่าการเป็นโรคไข้อีสุกอีใสในวัยผู้ใหญ่ จะมีความรุนแรงมากกว่าเป็นตอนวัยเด็ก คือ ตุ่มน้ำพองใสจะมากกว่า รุนแรงกว่า และเกิดร่องรอยแผลเป็นได้มากกว่า
ในประเทศไทย ได้มีการนำวัคซีนนี้เข้ามาฉีดเพื่อป้องกัน ในปี 2538 แต่ไม่ได้ถือเป็นวัคซีนที่ต้องฉีดทุกคน ขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละคน และสามารถให้แพทย์ตามรพ.และคลินิกจัดฉีดให้ได้

ข้อควรรู้ในการฉีดวัคซีน 

  1. เด็กอายุตั้งแต่ 12-18 เดือน จนถึงอายุ 13 ปี แนะนำให้ฉีด 1 เข็ม ขนาด 0.5 ซีซี โดยอาจให้ร่วมกับวัคซีนป้องกันโรคหัด หัดเยอรมัน คางทูม ( MMR) หรือสามารถจะฉีดวัคซีนในช่วงใดก็ได้ ถ้ายังไม่เคยเป็นไข้อีสุกอีใสมาก่อน
  2. เด็กที่มีอายุมากกว่า 13 ปี หรือผู้ใหญ่ที่ไม่เคยเป็นโรคนี้ แนะนำให้ฉีด 2 ครั้ง ห่างกัน 4-8 สัปดาห์
  3. หลังฉีดวัคซีน สามารถป้องกันโรคนี้ ได้ถึง ร้อยละ 94-100 ในเด็กปกติ และในผู้ใหญ่ จะป้องกันโรคนี้ได้ถึงร้อยละ 80
  4. ค่าใช้จ่ายในการฉีดต่อครั้ง ประมาณ 1,250 บาทต่อเข็ม ( ราคาทุน ของวัคซีนประมาณ 800 กว่าบาท )
  5. ไม่แนะนำ หรือห้ามฉีดในคนที่มีประวัติแพ้ยา neomycin หญิงมีครรภ์ และให้นมบุตร ผู้ป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่อง เพราะอาจทำให้เกิดโรคนี้ได้ แทนที่จะป้องกันโรค