Posted on 4 Comments

“สวยเป๊ะปัง อลังค์เว่อร์ ” ทุกมุมมอง ด้วยดีไซน์รูปหน้า ให้ได้ครบทั้ง 3 มิติความงาม ตามหลัก Golden Ratio

Golden Ratio คืออะไร

Golden ratio (ทฤษฎีสัดส่วนทองคำ) เป็นหลักการที่มีการยอมรับกันทั่วโลก เป็นสัดส่วนที่ทางนักคณิตศาสตร์ชาวอิตาลีชื่อว่าลีโอนาโด ฟีโบนัชชี เป็นคนออกแบบ โดยเชื่อว่า Golden Ratio เป็นสิ่งที่ช่วยให้สิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรูปวาด ภาพถ่าย โลโก้ หรือแม้กระทั่งใบหน้านั้น ดูสมส่วนสวยงามที่สุด ซึ่ง Golden Ratio นั้น ก็ได้รับการยอมรับจากผู้คนมากมายว่าสามารถใช้วัดสัดส่วนความสวยได้จริง แพทย์ดีไซน์ใบหน้า ก็ใช้ Golden Ratio มาวัดสัดส่วนใบหน้า เพื่อความเพอร์เฟคของใบหน้าก็ทำให้รู้แล้วว่าใบหน้าของเราสวยเพอร์เฟคทุกมุมมองหรือยัง
ถ้ายัง แพทย์ก็จะมีการวัดสัดส่วนบนใบหน้า โดยยึดหลัก Golden Ratio เหมือนกันโดยใช้รูปหน้าตรง ดีไซน์หรือแก้ปัญหาที่ด้อยของเรา แบบ 2 มิติก่อน คือ แนวยาว และแนววขวางก่อน ว่าดูดีขึ้นได้หรือยัง ถ้ายังไม่เป๊ะปัง ก็จะพิจารณามิติที่ 3 แนวลึกด้วย ดังนี้

1.ด้านแนวขวางหรือแนวยาว: จะขีดเส้นเป็นแนวขวาง จัดแบ่งรูปหน้าออกเป็น 3 ส่วน ดังนี้

1.1.โครงหน้าส่วนบน (Upper Part) : จะนับจากแนวเส้นผมด้านหน้า ถึงกึ่งกลางตา
1.2.โครงหน้าส่วนกลาง (Middle Part) : จะนับจากแนวกึ่งกลางตา ถึงฐานจมูก
1.3.โครงหน้าส่วนล่าง (Lower  Part) : จะนับจากฐานจมูก ถึงปลายคาง (ดูภาพประกอบด้านล่าง)

      ซึ่งการแบ่งแบบนี้ จะบ่งบอกว่าสัดส่วนของใบหน้าคนไข้ มีความเหมาะสมเพียงใด โดยพบว่าสัดส่วนใบหน้าที่เหมาะสม ควรจะมีสัดส่วนใกล้เคียงกัน คือ ประมาณ 33.33 %  หรือเท่าๆ กันทั้ง 3 ส่วน ด้วยอัตราส่วน 1:1:1 ซึ่งปัญหาที่พบบ่อยๆ คือ คนไข้อยากจะเสริมคาง ถ้าเราวัดสัดส่วนพบว่าโครงหน้าส่วนล่างสั้นกว่าส่วนอื่นๆ แพทย์จึงจะพิจารณาเสริมคางให้ยาวขึ้น อาจจะด้วยการผ่าตัดใส่แท่งซิลิโคน หรือฉีดเสริมด้วยฟิลเลอร์ นอกจากนี้อาจจะใช้ประเมินภาวะหางคิ้วตก หางตาตก หนังตาตก ด้วยหรือไม่ จะแก้ไขด้วยการร้อยไหมละลาย หรือทำ Ulthera ก็ต้องดูตามความเหมาะสม

2. ด้านแนวดิ่งหรือด้านกว้าง : :จะขีดเส้นในแนวดิ่ง จัดแบ่งรูปหน้าออกเป็น 5 ส่วน เท่าๆ กัน  เพราะจะประเมินว่า องค์ประกอบของใบหน้า ไม่ว่าจะสัดส่วนคิ้ว ตา จมูก ปีกจมูก หรือโหนกแก้ม ได้สัดส่วนหรือไม่ มีรูปหน้าที่กลมเกินไป หรือหน้าเรียวเล็กเกินไป แล้วจะแก้ไขอย่างไร อาทิเช่น
2.1 ถ้าปีกจมูกโตเกินไป อาจจะฉีดโบทอกซ์ลดปีกจมูก
2.2 ถ้ารูปหน้าที่กลมเกินไปมีสาเหตุจากอะไร
– ถ้าจากกล้ามเนื้อก็ต้องฉีดโบทอกซ์ลดกรามให้เล็กลง
– ถ้าจากไขมันที่แก้มมากก็อาจจะฉีดสลายไขมันที่แก้มให้ลดลงด้วยตัวยาสลายไขมัน
– ถ้าจากการหย่อนคล้อย ก็ต้องดูว่าเกิดหย่อนคล้อยในชั้นไหน ก็อาจจะยกกระชับปรับรูปหน้า ซึ่งก็มีหลายวิธี ตั้งแต่ โบทอกซฺ์ยกกระชับ ลิฟท์กรอบหน้า ฟิลเลอร์ยกกระชับ หรืออาจจะรร้อยไหมยกกระชับ หรือ ทำ RF, Thermage ,Ulthera เป็นต้น
2.3 ถ้ารูปหน้าสองข้างไม่เท่ากัน จะปรับอย่างไร ให้เท่ากัน โดยอาจจะใช้การฉีดโบทอกซ์ปรับรูปหน้า หรือเติมด้วยฟิลเลอร์เพิ่มส่วนที่พร่องให้สมมาตรมากขึ้น

3.    ด้านลึก: ในที่นี้ หมายถึงการประเมินสภาพใบหน้าทุกชั้นผิว ซึ่งแบ่งได้คร่าวๆ ดังนี้
3.1.ผิวหนังชั้นนอก(Epidermis): เป็นชั้นของเซลล์บุผิวของกล้ามเนื้อลาย ผิวหนังชั้นนี้ไม่มีเลือด ส่วนใหญ่จะบาง ยกเว้นที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ส่วนใหญ่จะเกิดปัญหาเรื่องรอยดำ รอยแดง สิว ที่ไม่รุนแรง ปัญหาไม่มาก ก็อาจจะแค่ทาครีมรักษา แต่ถ้าไม่ดีขึ้น ก็อาจจะช่วยด้วยการทำทรีทเม้นต์ต่างๆ หรือเลเซอร์
3.2.ผิวหนังชั้นลึกหรือชั้นหนังแท้( Dermis): ผิวหนังชั้นนี้ จัดเป็นชั้นที่ซับซ้อน ประกอบด้วยเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ของคอลลาเจน อีลาสติน และเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน เรียงโยงใยเป็นร่างแห มีหลอดเลือด ท่อน้ำเหลือง เส้นประสาท ต่อมไขมัน ท่อต่อมเหงื่อ ฯลฯ เป็นชั้นที่เกิดปัญหาด้านผิวพรรณได้มากมาย เช่น ถ้าเกิดรอยหลุม ฝ้าลึก กระลึก สิวเรื้อรังอักเสบรุนแรง รอยแดงเส้นเลือด แพทย์ก็จะพิจารณาว่าควรจะรักษาด้วยการทำเลเซอร์ที่จำเพาะต่อปัญหา หรือถ้าเกิดการพร่องไปของปริมาณเนื้อที่ลดลง จากการลดลงของคอลลาเจน เช่น ร่องแก้มลึก ร่องตาลึก ก็อาจจะฉีดฟิลเลอร์เติมเต็ม หรือฉีดเสริมจมูกกรณีที่ต้องการให้จมูกโด่งขึ้น
3.3.ชั้นไขมัน ( Subcutaneous Fat): ชั้นนี้ส่วนใหญ่ปัญหาที่พบ มักจะเกิดจากไขมันมากเกินไป หรือน้อยเกินไป ถ้าไขมันมาก เราก็จะฉีดสลายไขมันให้เล็กลงด้วยยาที่เรียกว่า Mesofat แต่ถ้าไขมันน้อยเกินไป จากอายุมากขึ้น ก็อาจจะฉีดเติมไขมันหรือฟิลเลอร์
3.4.ชั้นกล้ามเนื้อ (Muscles): ชั้นนี้ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องริ้วรอยเหี่ยวย่น หน้าไม่กระชับ หน้าบานจากกล้ามเนื้อโตเกินไป ตรงนี้ส่วนใหญ่จะแก้ไขด้วยการฉีดโบทอกซ์เป็นหลัก

Posted on

4 เคล็ดลับ 4 ขั้นตอน กับการล้างหน้าอย่างไรให้ถูกวิธี ไม่มีผลข้างเคียง หน้าเกลี้ยงใส ไร้สิ่งอุดตัน

การที่มีสุขภาพผิวหน้าที่ดี สะอาด เรียบเนียนใส จึงเป็นความประทับใจต่อผู้พบเห็น ดังนั้นจึงมีคำถามบ่อยๆ ว่าการทำความสะอาดผิวหน้าที่ดีและถูกวิธีนั้นเป็นอย่างไร

4 เคล็กลับกับการทำความสะอาดผิวหน้า

  1. การทำความสะอาดด้วยน้ำ: ถือว่าเป็นการทำความสะอาดที่ง่ายที่สุด และไม่มีโอกาสแพ้ได้เลย แพทย์มักจะแนะนำให้ล้างได้บ่อยๆ สำหรับคนที่ผิวมัน และผิวแพ้ง่าย เนื่องจากไม่มีสารระคายเคืองต่อผิวหน้า
    แต่น้ำก็มีข้อเสียคือจะชะล้างสิ่งสกปรก แบคทีเรีย ไขมันส่วนเกินได้หมดจดได้ยาก หรือต้องล้างหลายๆ ครั้ง
  2. ารทำความสะอาดด้วยน้ำมัน: เป็นการทำความสะอาดและชะล้างไขมัน ฝุ่นละอองที่ไม่ละลายในน้ำ รวมทั้งเครื่องสำอางแต่งหน้าทั้งหลาย ซึ่งได้แก่ ครีมล้างหน้า (cleansing creams) นอกจากนี้ยังช่วยลดแรงตึงผิวระหว่างน้ำกับผิวหน้า ทำให้ผิวหน้าไม่แห้งตึงมากหลังล้างหน้า
    ที่นิยมใช้กันก็ได้แก่ mineral oil,olive oil แต่น้ำมันก็มีข้อเสียคือ ถ้าน้ำมันบริสุทธิ์ก็จะมีราคาแพง และล้างหรือเช็ดออกได้ยาก เนื่องจากมีความหนืดสูง จึงทำให้มีความรู้สึก เหนอะหนะ และสิ่งสกปรกที่ละลายน้ำได้ (water soluble) ก็ล้างออกได้ยาก ดังนั้นจึงมักจะแนะนำให้ใช้ทั้งวิธีที่ 1 และ 2 ควบคู่กัน
  3. การทำความสะอาดด้วยของแข็งดูดซับสิ่งสกปรกไว้: มักไม่นิยมใช้สำหรับคนทั่วไป แต่จะเหมาะกับคนไข้ที่ลุกจากเตียงมาล้างหน้าไม่ได้ โดยการใช้สารที่มีคุณสมบัติในการดูดซับสิ่งสกปรก ซึ่งได้แก่ silica,talcum,starch,fuller’s earth ทั้งหลาย ทาทั่วใบหน้าแล้วเช็ดออก แต่ก็มักจะไม่สะอาดเท่ากับวิธีที่ 1-2
  4. การทำความสะอาดด้วยการขัดถู: มักไม่นิยมใช้ในการล้างหน้าในชีวิตประจำกัน ถือเป็นกรรมวิธีที่ทำกันในคลินิกผิวหนังหรือสถานเสริมความงาม เช่น การทำการลอกผิวหน้าด้วยการทำ peeling ด้วยกรดผลไม้ ,TCA การกรอผิวหน้าด้วยเกร็ดอัญมณี

4  ขั้นตอนการล้างหน้าที่ถูกวิธี

ขั้นตอนที่ 1.ครีมล้างหน้า 
ควรจะทำการกำจัดฝุ่นละออง คราบเหงื่อใคลและเครื่องสำอางที่ตกแต่งผิวหน้าให้ออกให้หมดจดก่อน โดยเฉพาะในคนที่ต้องแต่งหน้า เป็นประจำโดยอาจจะต้องใช้ครีมล้างหน้า เพื่อขจัดสิ่งสกปรกที่ละลายได้ในไขมัน
ขั้นตอนที่ 2. แล้วตามด้วยผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่ผสมสารลดแรงตึงผิว 
– ใช้ สบู่ เจล โฟม เพื่อชะล้างสิ่งสกปรกที่ละลายได้ในน้ำ โดยเลือกสารลดแรงตึงผิวที่เป็นอันตรายต่อผิวน้อยที่สุดและมีอำนาจในการชำระล้างได้ดี
ขั้นตอนที่ 3. หลังจากนั้นก็ล้างออกด้วยน้ำ 
เพื่อขจัดคราบสบู่ โฟม หรือเจลที่หลงเหลืออยู่ที่ผิวหน้า แล้วตามด้วยโลชั่นปรับสภาพผิวที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ที่ไม่ระคายผิว และสารฝาดสมาน (astringent)ที่ทำหน้าที่ปิดรูขุมขน
ขั้นตอนที่ 4. ทา Moiturizer creams บางๆ
เพิ่มความชุ่มชื้นและนุ่มนวล เพื่อป้องกันผิวหนังแห้งตึงจากการสูญเสียน้ำจากความชื้นในบรรยากาศ โดยเลือกครีมบำรุงให้เหมาะกับสภาพผิวแต่ละคน เช่น ถ้าผิวมัน ก็ควรเลือกครีมบำรุงประเภท oil free หรือความเข้มข้นไม่มากนัก เพื่อป้องกันผิวหน้ามันมากเกินไป หรือ ในคนที่ผิวแพ้ง่ายก็ไม่ควรเลือกครีมบำรุงที่ผสมน้ำหอม หรือ AHA

Posted on

สลายไขมัน หลากหลายวิธี ให้หุ่นดี ไม่มีพุง เลือกแบบไหนได้ผลไว ไม่รอชาติหน้า

ไขมัน ส่วนเกิน ที่ไม่ต้องการ

ไขมันส่วนเกิน คือ การสะสมของไขมัน ในจุดที่ไม่พึงประสงค์ เช่น แก้ม คาง ต้นแขน ต้นขา หน้าท้อง เอว สะโพก พุง ฯลฯ ย่อมทำให้ขาดความมั่นใจ ในการที่จะโชว์สรีระต่อหน้าคนอื่นๆ แล้วยังพบว่า ถ้ามากเกินไป ก็ทำให้อ้วน ซึ่งอาจจะทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ ภายหลังได้
– การสลายไขมันส่วนเกิน ด้วยการคุมอาหาร ลดน้ำหนัก ออกกำลังกาย อาจจะเป็นเรื่องยาก สำหรับบางคน และอาจจะต้องใช้เวลานาน จนตบะแตกได้ ดังนั้น จึงหาตัวช่วยอื่นๆ มาสลายไขมันให้ออกไปก่อนแล้ว พอให้มีกำลังใจ ในการควบคุมและป้องกันไขมันมิให้กลับมาใหม่ มาดูการสลายไขมันในปัจจุบัน มีวิธีไหนบ้าง

สลายไขมันด้วยการทำศัลยกรรม

ดูดไขมัน (Liposuction ): เป็น การกำจัดไขมันออกจากร่างกายที่ได้ผลดีทีสุด เร็วสุด แต่ก็มีผลข้างเคียงมากสุด ที่ทำให้คนจำนวนมากยังขยาดไม่อยากทำ อันแรก ก็คือเจ็บ มีแผลใหญ่ต้องเปิดผิวหนัง หลังทำต้องพักฟื้น ต้องใช้ยาชาหรือวางยาสลบ และนอกจากนั้น ทำเสร็จแล้วก็ยังทิ้งริ้วรอยไขมันเป็นคลื่นๆไว้เต็มไปหมด ดูไม่สวยงาม จะใส่บิกีนี่โชว์หุ่นก็ยังไม่ได้ แล้วก็ยังเสี่ยงต่ออันตราย หรือผลข้างเคียงหลังการผ่าตัด ที่มีข่าวให้ปรากฏกันบ่อยๆ
สลายไขมันด้วยเลเซอร์ (Laser Lipolysis) : หลักการ ก็โดยสอดท่อเข้าไปที่ผิวหนัง ปลายท่อจะปล่อยแสงเลเซอร์ยิงใส่เซลล์ไขมันที่ต้องการสลาย โดนผ่านสายนำเลเซอร์เส้นเล็กๆประมาณ 1 มิลลิเมตร เพื่อให้เซลล์ไขมันที่ต้องการรักษา ถูกสลายจนกลายเป็นน้ำมันทันที ไขมันที่สลายแล้วส่วนหนึ่งจะไหลออกมาทางรูเข็มที่เป็นทางเข้าของสายเลเซอร์ ส่วนที่เหลือจะค่อยๆถูกขับออกจากร่างกายทางระบบน้ำเหลือง เป็นวิธีที่ได้ผลรองจากการทำ Liposuction แต่ก็มีผลลัพธ์หลายอย่างที่ทำให้คนจำนวนมากยังขยาดไม่อยากทำซ้ำเช่นกัน เพราะหลังทำก็เจ็บปวด ต้องพันสายรัดแน่น มีน้ำเหลืองซึมตามรูเข็ม เกิดรอยช้ำระบม อาจจะเกิดรอยไหม้จากเลเซอร์ และยังทำให้ไขมันที่หลงเหลือมีลักษณะเป็นก้อนๆ ไม่สม่ำเสมอ
สลายไขมันด้วยอัลตราซาวด์ ( VASER) โดยแพทย์จะสอดท่อเข้าไปผิวหนังตรงไขมันเฉพาะจุด แล้วจะปล่อยพลังงาน Ultrasound ในระดับความถี่ที่จะไปทำลายเฉพาะเจาะจงแต่กับเซลล์ไขมันเท่านั้น ซึ่งจะทำให้ก้อนไขมันก็จะกลายเป็นของเหลว วิธีนี้ค่อนข้างเป็นที่นิยม เพราะทำให้เนื้อเยื่อข้างเคียงโดยเฉพาะเส้นเลือดและเซลล์ประสาทบริเวณรอบๆก้อนไขมัน เสียหายหรือถ้าจะถูกกระทบกระเทือนบ้างก็น้อยกว่า Liposuction , Laser Lipolysis ทำให้ช่วยลดการเกิดรอยบวมช้ำหลังการผ่าตัด และผลการรักษาได้ผลดีกว่า คนไข้ฟื้นตัวได้เร็วกว่าการกำจัดไขมันทั่วไป แต่หลังทำก็ยังเจ็บปวด ต้องพันสายรัด และยังทำให้ไขมันที่หลงเหลือมีลักษณะเป็นก้อนๆ ไม่สม่ำเสมอ เช่นกัน
สลายไขมันด้วยการฉีด Mesofat : วิธีการกำจัดไขมันส่วนเกินด้วยการฉีด แพทย์จะใช้เข็มฉีดยา ฉีดส่งยา ซึ่งมีสรรพคุณสลายไขมันที่สะสมในชั้นไขมัน โดยใช้กลุ่มยาหลายๆ ตัว เช่น Phosphatidylcholine,Deoxycholate,L-carnitine, Vitamin B complex ,Amino acids,Minerals ฯลฯ โดยปริมาณที่ฉีด ก็แล้วแต่บริเวณที่ต้องการ เหมาะกับการทำในบริเวณที่เล็กๆ จะได้ผลดี เช่น แก้ม คาง ต้นแขน โดยไขมันจะค่อยๆ สลาย แม้จะมีผลข้างเคียงน้อยสุด แต่ก็ได้ผลช้าและต้องทำหลายครั้ง กรณีที่ต้องการกำจัดไขมันในบริเวณกว้างๆ เช่น พุง ต้นขา อาจจะต้องแทงเข็มหลายครั้งด้วยยาปริมาณมาก ทำให้คนไข้บางคน ยอมแพ้ หรือไม่มีเวลา

สลายไขมัน แบบไม่ต้องศัลยกรรม ให้เจ็บตัว

  1. สลายไขมันด้วยความเย็น ( Coolsculpting) : จัดเป็นเครื่องมือสลายไขมันความเย็น แบรนด์อเมริกา โดยไม่ต้องทำศัลยกรรม เครื่องแรก ที่เป็น Non-Invasive Lipolysis และได้รับการรับรองว่าได้ผลจริง (Subcutaneous Fat Reduction) FDA USA เมื่อมี ค.ศ. 2010 จากด้วยการสลายไขมันโดยเทคนิคทำให้เซลล์ไขมันตาย (fat apoptosis )โดยเครื่องมือจะส่ง พลังงานคลื่นความเย็น – 11 องศาเซลเซียส เข้าสู่ชั้นไขมันโดยไม่ทำลายเซลล์และเนื้อเยื่อส่วนอื่นๆ ซึ่งเป็นที่ฮือฮากันในหมู่ดาราฮอลลีวู้ด และโด่งดังอย่างมากในยุโรป และอเมริกา เมื่อมี ค.ศ 2000 เพียง 35 นาทีต่อจุดหรือต่อการหนีบ ชั้นไขมันจะยุบตัวลง 1-2 นิ้ว หรือ 20-25% ใน  2-3 เดือน ซึ่งได้ผลพอๆ กับการทำ VASER เพียงแต่ต้องรอเวลานานกว่าเท่านั้น สามารถจะทำซ้ำได้อีก ทุก 2-3 เดือน เพื่อการหวังผลที่พอใจ เป็นเครื่องมือสลายไขมันที่ได้รับความนิยมอันดับ 1 สูงสุดทั่วโลก และมีผลงานวิจัยตีพิมพ์สูงสุด มากกว่า 6 ล้านคนทั่วโลก ส่วนเครื่องสลายไขมันด้วยความเย็นยี่ห้ออื่นๆ ที่เลียนแบบ ไม่ว่าจะเกาหลี หรือประเทศทางยุโรป ยังไม่มีรายงานรับรองผลชัดเจนทั่วโลก
    2.  การสลายไขมันด้วยความร้อน (  Sculpture ) เป็นเครื่องสลายไขมัน แบบไม่ต้องศัลยกรรมตัวที่ 2 ที่ได้รับการรับรองผลจากอเมริกา FDA USA เมื่อ ปี ค.ศ 2017 โดยใช้ลำแสงเลเซอร์ ที่มีความยาวคลื่นช่วง 1060nm ซึ่งทำให้เกิดความร้อนที่อุณหภูมิ42-47 องศาเซลเซียล บริเวณที่มีเซลล์ไขมัน จึงส่งผลให้เซลล์ไขมันช็อก และค่อยๆตายไปโดยไม่ทำลายอวัยวะข้างเคียง โดยเซลล์ไขมันที่ถูกทำลายนี้จะถูกขับออกจากร่างกายตามช่องทางการขับของเสียต่างๆ ซึ่งร่างกายจะค่อยๆสลายไขมันที่โดนทำลายออก ซึ่งหลังจากทำการสลายไขมันโดย SculpSure แล้ว จะเห็นผลครั้งแรกในระยะเวลา 6 สัปดาห์และจะเห็นผลชัดเจนเมื่อเวลาผ่านไป 12 สัปดาห์ ซึ่งแต่ละครั้งที่ทำการสลายไขมันโดย SculpSure จะสามารถกำจัดเซลล์ไขมันได้ถึง 24%” ตัวนี้ไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนัก อาจจะเพราะมีผลงานวิจัยน้อย และพลังงานความร้อนจากเลเซอร์ ทำให้คนไม่ค่อยนิยมอยู่กับความร้อนได้ในเวลานาน ๆ
    ส่วนตัวอื่นๆ ที่มีในท้องตลาด ไม่ว่าจะเป็น Velashape ,Exilis Elite, Thermage body,Ulthera กลุ่มนี้ไม่มีรายงานรับรองผลจาก US FDA ว่าสลายไขมันได้ แต่รับรองผลว่าช่วยเรื่องกระชับสัดส่วนได้ ( Circumference Reduction not Fat Reduction )
อ้วน ลงพุง ลดพุง ลดโรค ได้ผล ปลอดภัย ไม่เจ็บตัว
Posted on

รอยหลุมสิว ริ้วรอย รูขุมขนกว้าง อยากหายไว หน้าใส หน้าไม่แดงหลังทำ ไม่ต้องพักฟื้น Fractional RF ช่วยได้

Fractional RF คืออะไร

Fractional RF  เป็นเครื่องมือที่พัฒนามาเพื่อใช้ในการรักษารอยหลุมสิว ริ้วรอย รูขุมขนกว้าง เป็นอีกวิวัฒนาการด้านความงาม ที่ใช้เทคโนโลยี่ ของการใช้พลังงานคลื่นวิทยุ RF ( Radio Frequency) มาใช้ในการรักษาผิวพรรณ ตัวคลื่น RF จะปล่อยพลังงานออกมา เพื่อกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ ให้กลับมา โดยพลังงานตัวนี้จะไปกระตุ้นองค์ประกอบสำคัญของผิวทั้ง 3 ชนิด ในคราวเดียวกัน คือ กระตุ้นการสร้าง Collagen,Elastin และ Hyaluronic acid  ไปพร้อมๆกัน  ซึ่งทั้งสามตัว เป็นโปรตีนซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของชั้นผิวหนัง เมื่อคอลลาเจน ฟื้นฟู ริ้วรอยก็จะลดน้อยลง ผิวมีความตึงกระชับมากขึ้น ผิวจึงเต่งตึง ฟูขึ้น และอีลาสตินที่มากขึ้นก็ไปทำให้ผิวมีความยืดหยุ่นเหมือนผิวเด็ก หรือที่เรียกว่าผิวเด้ง และที่ขาดไม่ได้เลยก็คือสารอุ้มน้ำ (Hyaluronic acid  ) จะคอยพยุงคอลลาเจนและอีลาสติน ให้โดดเด่นเห็นชัดเจนบนผิวภายนอก  ดังนั้น การทำ Fractional RF Needle (FRM) จึงเป็นวิธีการที่ช่วยกระตุ้น และฟื้นฟู ใหม่ แบบ เทคโนโลยี รีมิกซ์ใหม่ 3 in 1  คือทำครั้งเดียว ได้ทั้งรอยหลุมตื้นขึ้น รูขุมขนกระชับขึ้น ริ้วรอยลดลง หน้ากระชับ เต่งตึง  อวบอิ่ม มีน้ำมีนวล ในขณะที่เลเซอร์จะสามารถแก้ปัญหาได้เป็นอย่างๆ ไม่สามารถจะทำการแก้ไขไปพร้อมๆ กันได้

เปรียบเทียบแท่งพลังงานระหว่าง Fractional laser -Fraxel ,Fine Scan (ขวา) กับ Fractional RF ( ซ้าย)

Fractional RF ต่างจาก Fractional Laser อย่างไร

Fractional RF  เป็นการนำเอา  พลังงานคลื่นวิทยุ RF เป็นแหล่งพลังงานในการกระตุ้นคอลลาเจน สร้างเซลล์ผิวใหม่ โดยตัดแบ่งพลังงานให้เป็นแบบชิ้นเล็กๆ ที่เรียกว่า Fractional ในขณะที่ Fractional Laser (  Fraxel,Fine scan ) จะใช้พลังงานเลเซอร์ ช่วงคลื่น 1550 nm มาตัดแบ่งพลังงาน ง   โดยมีข้อแตกต่างกันตรงที่ Fractional Laser  ลักษณะพลังงานจะเป็นรูปปิรามิดคว่ำ  (Traditional fractional resurfacing )  แต่ Fractional RF  ลักษณะพลังงานจะเป็นรูปปิรามิดตั้ง (Subablative Rejuvenation ) ซึ่งข้อแตกต่างนี้ อธิบาย
1. รอยดำ : Fractional Laser มีโอกาส เกิดรอยดำ และทำให้ผิวบาง หลังทำมากกว่า Fractional RF  เพราะฐานจะกว้างด้านบน ตามรูป และ มีความร้อนตั้งแต่ปล่อยพลังงานออกมา ผ่านทะลุทะลวงเข้าไปทุกชั้นผิว จนถึงบริเวณรอยหลุม ขณะที่ Fractional RF ฐานด้านบนจะแคบ และพลังงานจะกระจายลงชั้นลึกมากกว่า โอกาสรเกิดรอยดำหลังทำไม่มี
2. การกระตุ้นคอลลาเจน : Fractional RF สามารถกระตุ้นเซลล์ผิวใหม่ ให้รอยหลุมกลับมาเต็มได้ดีกว่า เร็วกว่า Fractional laser เนื่องจากฐานปิรามิดคว่ำ ฐานกว้างกว่า จึงทำให้ปล่อยพลังงานได้กว้างกว่า และมากกว่า Fractional laser

Fractional RF มี 2 แบบ ทำงานแตกต่างกันอย่างไร

  1. Fractional RF Micro Needling  Technology ( F.R.M)  – – เป็น Fractional RF แบบที่ใช้เข็ม นาโนขนาดเล็กมาก  แทงทะลุผ่านชั้นผิวหนังกำพร้า เข้าไปที่ชั้นหนังแท้  ตัวเข็มนาโน จะทำหน้าที่คล้ายๆ Dermaroller ในสมัยเมื่อหลายปีก่อน โดยทำให้เกิด Stamping effect ไปกระตุ้น Growth facter และยังทำลายพังผืดที่ยึดเกาะรอยหลุม หรือรูขุมขนกว้างหลังจากเข็มผ่านเข้าไปยังบริเวณที่ต้องการแล้ว จะมีการปลดปล่อยคลื่น  RF แบบ Monopolar RF   ที่ระดับ 2MHz เป็นระยะๆ ในอุณหภูมิคงที่  โดยพลังงานตัวนี้จะไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ข้อดีก็คือ หลังทำ หน้าจะเป็นสีชมพูนิดๆ วันรุ่งขึ้นก็หาย สามารถไปทำงาานได้ปกติ และ การที่หน้าใส ริ้วรอยลดลง เกิดรอยเข็มที่แทงผ่านทะลุผิวหนัง จะทำให้ผิวหนังเกิดการบาดเจ็บเล็กๆ ( mild inflammation ) หลังจากนั้นจะเกิดขบวนการซ่อมแซมผิว มีเม็ดเลือดขาวมาซ่อมแซม จึงทำให้เม็ดสี ริ้วรอย เลือนหายได้

2. Fractional RF Non- Needle Technology (E-Matrix) –  เป็น Fractional RF แบบไม่มีเข็ม โดยจะมีหัวที่วางนาบไปกับผิวหน้า แล้วทำการปล่อยพลังงาน RF  ชนิด Bipolar RF   กระแส RF จะลงไปทำให้เกิดความร้อนใต้ผิวที่ลึกลงไป โดยที่บริเวณผิวชั้นบน จะทำให้เกิดการลอกผิวด้านบนออก ในขณะที่ความร้อนบางส่วนจะลงไปบริเวณชั้นล่าง เพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง หลังทำ ผลลัพธ์จะพบว่าไม่ลอกผิว (Non-Ablative effects ) 30%  และลอกผิว (Ablative effects  ) 70%  จึงทำให้เม็ดสีจางลง  ดังนั้นจึงเหมาะกับคนที่กลัวเข็ม ผิวหน้ามีรอยด่างดำ หลุมสิวไม่มากนัก ผิวหน้าหย่อนคล้อยบ้าง ไม่มากนัก รูขุมขนกว้าง หลังทำ หน้าจะแดง และเป็นตาข่าย คล้ายๆ กับการทำ Fraxel ต้องพักฟื้น 3-5 วัน รอให้รอยดำลอกออก ผิวหน้าจะกระจ่างใส ไร้ริ้วรอย รอยหลุมตื้นขึ้น รูขุมขนกระชับขึ้น แต่วิธีนี้ไม่เหมาะกับคนทีมีผิวคล้ำ เกิดรอยดำได้ง่าย เพราะอาจจะทำให้เกิดรอยดำจางลงได้ช้ากว่าคนผิวขาว

ขั้นตอนในการทำ Fractional RF  
1. ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดจัดก่อนมาทำการรักษาอย่างน้อย 1 สัปดาห์ เพราะหน้าที่โดนยูวี ผิวหน้าจะอ่อนแอจะไวต่อหัตถการที่มีความร้อนทุกอย่าง
2. ทายาชาก่อนทำการรักษาทุกราย ประมาณ 45-60 นาที หลังเช็ดยาชาออก เช็ดด้วยอัลกอฮอล์ให้ผิวหน้าแห้ง หรืออาจจะเป่าลมเย็นให้แห้ง ในขณะที่ทำ อาจจะรู้สึกเจ็บได้บ้างบางจุด
3. หลังการรักษาอาจเกิดอาการบวมหรือแดง เจ็บเล็กน้อย อาจจะมีตุ่มน้ำหรือสะเก็ดหลังทำ (มักจะเกิดจากการทำ E-matrix) อาจมีการเปลี่ยนแปลงของเม็ดสี จะเกิดรอยแดงและรู้สึกร้อนผ่าวได้ประมาณ 1-2 ชั่วโมง และ 1-2 วันหลังทำ อาจเกิดสะเก็ดบาง ๆ แล้วลอกออกไปเอง หรือบางคนอาจจะมีสิวเห่อได้บ้าง แต่จะหายไปเองในเวลา 4-5 วัน
ข้อควรปฎิบัติหลังทำ Fractional RF
1.ควรประคบเย็นหลังทำทันที เพื่อลดปริมาณความร้อนที่เข้าสู่ผิว
2.ในช่วง 24 ชั่วโมงแรกหลังทำควรทาด้วยวาสลีนเพื่อให้ผิวชุ่มชื่นตลอดเวลา
3. สามารถล้างหน้าด้วยสบู่อ่อน
4. เมื่อผิวเริ่มหลุดลอก ปล่อยให้ลอกเองตามธรรมชาติ ไม่ควรขัดถูแรงๆ หรือทำการลอกผิวด้วยวิธีต่างๆ
5. หลังจาก 24 ชั่วโมงแรก จึงสามารถแต่งหน้าได้ตามปกติ ควรหลักเลี่ยงแสงแดดจัด ความร้อน อย่างน้อย 2 สัปดาห์ หลังการรักษาควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปเป็นประจำ
6.หลีกเลี่ยงการออกกำลังกาย หรืออบซาวน่า ที่ทำให้เกิดเหงื่อมากกว่าปกติ
7.งดหรือเลี่ยงอาหารที่มีรสจัดประมาณ 1 สัปดาห์
8.หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีอัลกอฮอล์ประมาณ 1 สัปดาห์ เพื่อมิให้ผิวหน้าแดงมากขึ้น และเพื่อให้ผิวได้ฟื้นฟูอย่างเต็มที่
จำนวนครั้งในการรักษ
ควรห่างกัน 3-4 สัปดาห์ จำนวนครั้งในการทำ ขึ้นอยู่กับชนิดของรอยหลุม ความรุนแรง ปกติจะประมาณ 5-10 ครั้ง รอยหลุมจะดีขึนได้มากกว่า 70%
ข้อห้ามในการทำ Fractional RF  
1. ผู้ที่ใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ
2.ผู้ที่ใส่เหล็กดามกระดูก
3. มะเร็งที่ผิวหนัง
4. ผู้ที่ตั้งครรภ์ และอยู่ในระหว่างการให้นมบุตร
5. โรคภูมิคุ้มกันปกพร่อง โรคติดเชื้อ โรคเบาหวานที่ควบคุมอาการไม่ได้
6. มีแผลเปิดที่ผิวหนัง ผิวแห้งแตก
7. ความผิดปกติในการแข็งตัวของเลือด ได้รับยาละลายลิ่มเลือด
8. ผู้ที่ผ่าตัดดึงหน้า หรือทำตามาไม่น้อยกว่า 1 ปี
9. ผู้ทีทำการกรอผิวด้วยเกร็ดอัญมณี ลอกหน้าด้วยสารเคมี หรือลอกหน้าด้วยวิธีอื่น ๆ มาน้อยกว่า 3 เดือน

ในความเห็นของผู้เขียน Fractional RF   จัดเป็นอีกแนวทางหนึ่งในการแก้ปัญหาผิวพรรณ ได้อย่างเบ็ดเสร็จ ในครั้งเดียว ไม่ว่าจะเรื่องผิวหน้าไม่เรียบเนียน รุขุมขนกว้าง รอยด่างดำ หน้าหย่อนคล้อยไม่กระชับ แถมไม่มีผลข้างเคียงหลังทำเหมือนการทำเลเซอร์แบบเดิมๆ ในอนาคตมีแพทย์หลายท่านคาดว่า Fractional RF น่าจะเป็นเครื่องมือชั้นเยี่ยม หรือเรียกว่าGold Standard ในการรักษาปัญหาผิวพรรณได้ดีเครื่องหนึ่งทีเดียว โดยเฉพาะเรื่องรอยหลุมสิว และรูขุมขนกว้าง

Posted on 2 Comments

รูขุมขนกว้าง (Large Pores) ทำอย่างไร ให้รูขุมขนกระชับ ปรับผิวให้เรียบเนียน

สาเหตุของรูขุมขนกว้าง

รูขุมขน คือรูของผิวหนังที่ให้ขนงอกออกมา ปกติท่อที่เปิดตามผิวพรรณทั่วไป จะมี 2 ประเภทใหญ่ๆ ก็คือ ท่อเปิดต่อมเหงื่อ และท่อเปิดรูขุมขน
รูขุมขนกว้าง จะถือว่าเป็นปัญหาหรือไม่ใช่ปัญหาก็ได้ เนื่องจากไม่ใช่โรคทางผิวหนังและก่อให้เกิดอันตรายแต่อย่างใด ยกเว้นเรื่องความสวยงาม เพราะคนที่มีรูขุมขนกว้าง มักจะมีหน้ามัน และมีโอกาสมีสิวเสี้ยนได้ง่ายกว่าคนที่ไม่มีปัญหาดังกล่าว ซึ่งรูขุมขน จะมีขนาดโตมากน้อยแตกต่างกันในแต่ละคน ขึ้นอยู่กับ
1. อายุ เมื่ออายุเกิน 20 ปีขึ้นไปรูขุมขนมีโอกาสจะโตมากขึ้นตามธรรมชาติ
2. ลักษณะผิว ในกรณีที่มีผิวหน้ามันมาก โอกาสจะมีรูขุมขนกว้างมากขึ้น จะเกิดขึ้นเร็วและโตกว่าคนที่มีผิวธรรมดาหรือผิวแห้ง
แนวทางการป้องกันรูขุมขนกว้าง
พยายามลดความมันบนใบหน้า เพื่อเป็นการป้องกัน มีได้หลายๆ วิธีดังนี้
1. การล้างหน้าบ่อยๆ
2 เลือกผลิตภัณฑ์ล้างหน้าสำหรับผิวมัน ซึ่งมักจะได้แก่ สบู่ล้างหน้า หรือโฟมล้างหน้า
3 . การทาโลชั่นลดความมัน หรือเจลควบคุมความมัน
4. การรับประทานยากลุ่มเรตินอยด์ กรณีที่ผิวหน้ามันมากๆ และได้ปฏิบัติในข้อ 1.1-1.3 แล้วไม่ดีขึ้น ได้แก่ยา roaccutane,Isotretinoin แต่ปัจจุบันไม่ค่อยแนะนำเพราะมีผลต่อตับ ระดับไขมันในเลือด และทารกในครรภ์ได้

การรักษารูขุมขนกว้าง

1 การทำไอออนโต โดยใช้ยากลุ่มวิตามินเอ,hyaluronic acid,aloe vera
2 การทาครีมที่ผสมด้วยกรดผลไม้อ่อนๆ เช่น AHA,BHA เป็นประจำ
3 การกรอผิวหน้าด้วยเกร็ดอัญมณี (Microdermabrasion)
4 การกรอผิวหน้าด้วย Laser ( Laser Resufacement)
5 การทำ Photorejuvenation ด้วยเครื่อง IPL (Intense Pulse Light)
6 การทำ Skin Needling: จัดเป็นอีกเทคนิคในการรักษารูขุมขนกว้าง โดยเริ่มมีการนำมารักษาในเมืองไทย ประมาณ ค.ศ.2006 โดยพบได้ผลดีมากกว่าแบบเดิมๆ หลักการทำโดยการใช้ลูกกลิ้งที่มีเข็มเล็กๆ ติดที่ปลาย กลิ้งไปบนใบหน้า ทำให้เกิดรูเล็กๆ จำนวนมากในชั้นหนังแท้ แล้วให้ร่างกายทำการซ่อมแซมเนื้อเยื่อเอง ทั้งการสร้างคอลลาเจนใหม่ และการเรียงตัวของเซลล์ จึงทำให้ผิวหน้ากลับมาเรียบเนียนดีขึ้นได้ เพียงแต่ปัจจุบัน ไม่ค่อยมีให้บริการ เนื่องจากอย. ไม่อนุญาตให้ดำเนินการได้
การรักษารูขุมขนกว้าง ตั้งแต่วิธีที่ 1-6  ปัจจุบัน ถือว่าได้ผลน้อย และต้องทำหลายครั้ง ยังไม่ถือว่าเป็นการรักษาที่ได้มาตรฐานสากล

7 Fractional Laser : ถือเป็นการรักษารูขุมขนกว้าง ด้วยเลเซอร์ กลุ่ม Non-ablative Laser โดยเริ่มมีการนำมารักษาปัญหาเรื่องรูขุมขนกว้าง ในปี ค.ศ. 2004 และได้การรับรองจาก FDA จากอเมริกา ในปี ค.ศ. 2006 ว่านอกจากจะสามารถแก้ไขปัญหาริ้วรอย ฝ้า กระ ตลอดจนรอยหลุมสิว ผิวหน้าไม่เรียบ ให้มีสภาพกลับมาดีขึ้น อย่างได้ผลชัดเจน แล้ว ยังใช้รักษารูขุมขนกว้าง ให้กระชับได้อีก โดยใช้หลักการรักษาแบบนี้ จะลอกผิวด้วยเลเซอร์ด้วยเทคนิค Micro-Laser Peel จึงเลือกระดับความลึกของการลอกหน้าได้ตามสภาพผิวหน้าและสีผิวของคนไข้ ตั้งแต่ 1/10มิลลิเมตร –2 มิลลิเมตร :ซึ่งถ้าใช้พลังงานต่ำ ก็ได้ผลน้อยและช้า จึงมักจะใช้พลังงานสูง เพราะได้ผลดีและเร็วแต่ผลข้างเคียง เช่น รอยดำ รอยแดง ซึ่งคนไข้ต้องยอมรับ และต้องมีการพักหน้าหลังทำ 4-5 วันและต้องเลี่ยงแดดหลังทำประมาณ 2 อาทิตย์
ส่วนเลเซอร์ที่ใช้หลักการรักษาแบบนี้ ก็ได้แก่ Fraxel,Fine Scan 1550 ซึ่งเลเซอร์ทั้งสองตัวนี้ ปัจจุบันถือว่าเป็น เลเซอร์ที่นิยมนำมารักษาเรื่องรูขุมขนกว้างมากที่สุด เพราะได้ผลดีมากกว่า 60-80% โดยเฉพาะ Fine Scan 1550 จัดเป็นเลเซอร์สำหรับผิวคนไทย หรือคนเอเซีย โดยเฉพาะ อ่านบทความเรื่อง Fine Scan 1550
8  Frctional RF-non needle(E-Matrix)   : จัด เป็นนวัตกรรมล่าสุดของปี 2012 ในการแก้ไขปัญหารูขุมขนกว้าง  เพราะถือว่าได้ผลไม่แพ้ Fractional laser  Fractional Laser เพราะนอกจากจะทำให้รูขุมขนกระชับแลัว ยังลอกผิวด้านบน จากรอยด่างดำให้เนียนใส ขึ้นได้ด้วย  แต่มีข้อจะผลข้างเคียงหลังทำมากกว่า Fractional Laser ตรงที่หลังทำ ผิวหน้าอาจจะมีรอยดำเป็นตารางๆ และต้องพักฟื้นหลังทำ 5-7 วัน เพื่อให้รอยดำลอกออก จัดเป็นการแก้ปัญหารูขุมขนกว้างที่ได้ผลไว แต่ไม่เหมาะกับคนสีผิวคล้ำ หรือต้องออกแดดบ่อยๆ