Posted on

รอยหลุมสิว ไม่ว่าแย่แค่ไหน ก็แก้ไข รักษาให้ตื้นขึ้นได้ด้วยการตัดพังผืด ด้วย Blunt Blade Subcision

พังผืด คือสาเหตุที่หลุมสิวไม่ยอมหายซักที

– หลุมสิวส่วนใหญ่เกิดจากการอักเสบของสิว การอักเสบนั้นอาจจะทำลายลึกลงไปถึงชั้นหนังแท้ทำให้คอลลาเจน (Collagen) ในส่วนนั้นถูกทำลาย แต่เมื่อการอักเสบหายไป บางครั้งอาจจะไม่มีการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาซ่อมแซม หรือการซ่อมแซมเป็นไปได้ช้าจน
– ในที่สุดก็กลายเป็นพังผืด แผลเป็นหลุมบนผิวหน้า ทำให้ผิวหน้าไม่เรียบเนียน แม้จะทำการรักษารอยหลุมหลายวิธี ไม่ว่าจะเลเซอร์ หรืออะไร ก็ยังมีรอยหลุมให้สังเกตได้อยู่ เหตุที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะมีพังผืดยึดเกาะหลุมสิวอย่างแน่นหนา ทำให้การสร้างเนื้อใหม่ให้หลุมสิวตื้นขึ้น ทำได้ยาก

Subcison คืออะไร

Subcision เป็นการรักษารอยหลุมวิธีหนึ่ง โดยทำให้หลุมสิวตื้นขึน จากการตัดเลาะพังผืดที่ยึดติดรอยหลุมออก โดยวิธีนี้จะเป็นการตัดพังผืดแล้วทำให้มีการแยกชั้นของผิวหนัง พังผืดที่ยึดเกาะรอยหลุมจากผิวปกติ โดยจะมีเเลือดมาสะสมที่ในรอยแยก พร้อมกับนำพา Fibroblast มาทำการซ่อมแซมส่วนที่บาดเจ็บ ให้มีการสร้างเนื้อเยื่อและคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ ปกติถ้าพังผืดไม่มาก เรามักจะใช้ เข็ม
Nokor Needle ซึ่งเป็นเข็มที่มีใบมีดอยู่ตรงปลายเข็ม ผลิตมาเพื่อใช้สำหรับทำ Subcision โดยเฉพาะ ขนาดของเข็มประมาณเบอร์ 18 โดยจะแทงเซาะบริเวณใต้ฐานหลุม ในแนวตามขวาง แต่การทำ Subcision ด้วย Nokor Needle ก็มีข้อจำกัด เพราะถ้าหากหลุมสิวที่อักเสบรุนแรง มีขนาดใหญ่ และมีจำนวนมากบนใบหน้า จะมีผลข้างเคียงคือเลือดจะออกมาก ผิวหน้าจะช้ำมาก และถ้าทำรุนแรง อาจจะมีแผลเป็นพังผืดจากการตัดของ Nokor Needle เองก็ได้ ทำให้แผลเป็นหลุมกลับมาใหม่ได้อีก และวิธีนี้ก็คาดผลการรักษาได้ค่อยข้างยาก โดยเฉพาะในบริเวณแผลเป็นที่ขมับ หรือแผลเป็นที่มีพังผืดหนาตัดยาก นอกจากนี้ยังต้องทำหลายครั้งกว่าจะได้ผลในการตัดพังผืดที่ยึดติดกับรอยหลุม และอัตราการได้ผลก็ยังประมาณ 30-40%

Blunt Blade Subcision คืออะไร

Blunt Blade Subcision จัดเป็นทางเลือกใหม่ในการทำ Subcision โดยแทนที่จะตัดพังผืดให้ขาดออกด้วยความคมของใบมีดเช่น Nokor Needle ซึ่งอาจจะมีแผลเป็นเล็กๆ จากความคมของใบมีดเอง เปลี่ยนมาเป็นใบมีดแบบทู่ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะในการทำให้พังผืดเกิดการฉีดขาดแทนการตัด โอกาสที่จะเกิดแผลเป็นก็จะน้อยกว่า โดยมีหลากหลายขนาดของเครื่องมือ สำหรับรอยหลุมบริเวณเล็กๆ หรือรอยหลุมใหญ่ทั่วใบหน้า

ขั้นตอนการทำ Blunt Blade Subcision

  1. ทำความสะอาดผิวหน้าให้ทั่วด้วย Betadine solution และ Alcohol เพื่อความสะอาด
  2. ฉีดยาชาปริมาณมากให้ทั่วบริเวณรอยหลุมที่จะทำ เพื่อให้เกิดรอยแยกระหว่างชั้นผิวหนังกับเนื้อเยื่อที่อยู่ด้านล่าง คล้ายๆ ขั้นตอนการดูดไขมัน
  3. เจาะรูบริเวณเหนือขมับเพียงรูเดียว หรือในบริเวณที่จะทำแล้วทำการสอด Blunt Subcision Blade ดังในภาพ ทำการแทงไปแทงมาให้พังผืดฉีดขาด แยกตัวออกมาจากเนื้อเยื่อด้านล่าง โดยมี Blunt Subcision Blade ทั้งแบบตัดตามขวาง ทางลึก หรือชั้นบนผิวหนัง เพียง 5-10 นาทีก็ถือว่าเสร็จสิ้น

ผลข้างเคียงที่พบได้ : เจ็บปานกลางพอทนได้ อาจจะมีอาการบวมหลังทำได้ จากยาชาที่ฉีดเข้าไป  หรือรอยฟกช้ำได้บ้าง แต่ก็จะหายได้เองภายในไม่เกิน 1 อาทิตย์ หลังทำ Blunt Blade Subcision อาจจะทำ Fractional RF microneedle ตามเลยเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน พบมีรายงาน
การทำ Blunt Blade Subcision เพียงครั้งเดียว จะทำให้พังผืดที่รอยหลุมหลุดออกได้ถึง 83.3 % และถ้าตามด้วย Fractional RF microneedle ต่ออีกประมาณ 4-5 ครั้ง รอยหลุมแทบจะเรียบเนียนได้มากกว่า 95%

Posted on

ไมเกรน (Migraine) ไม่หายขาด ไม่อยากกินยา กลัวผลข้างเคียง ฉีดโบ ช่วยได้ เห็นผลทันที อยู่ได้นานหลายเดือน

ปวดศีรษะไมเกรน (Migraine) คืออะไร

การปวดศีรษะแบบไมเกรน  เป็นอาการปวดศีรษะเรื้อรังชนิดหนึ่ง ที่เกิดขึ้นกับร่างกาย  มีการประมาณว่าใน 1 วัน ทั่วโลกจะมีผู้ป่วยที่มีอาการปวดศีรษะไมเกรน ประมาณ 3,000 คนต่อประชากร 1 ล้านคน โดยพบอัตราเป็นโรคนี้สูงสุดในคนอเมริกาเหนือ รองลงมาคือคนอเมริกากลาง อเมริกาใต้ ยุโรป เอเชีย และแอฟริกา และผู้หญิงมากกว่าผู้ชายในอัตราส่วน2:1  โดยพบมากในช่วงอายุ 30 -40 ปี แต่แทบจะไม่พบผู้ป่วยที่มีปวดศีรษะไมเกรนเป็นครั้งแรกเมื่ออายุเลย 50 ปีไปแล้ว การปวดศีรษะอาจจะไม่รุนแรง จนถึงรุนแรงมาก จนทำงานไม่ได้  ถ้าเป็นบ่อยๆ อาจจะส่งผลต่อปัญหาทางด้านจิตใจ ปัญหาครอบครัว ปัญหาสังคม และที่สำคัญก็คือ ปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ เพราะอาการปวดดังกล่าวมีผลต่อเนื่องไปถึงประสิทธิภาพในการทำงาน ทำให้ทำงานไม่ได้หรือไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร
สาเหตุ :
– การปวดศีรษะแบบไมเกรนนั้นเป็นโรคทางสมองชนิดหนึ่งซึ่งยังหาสาเหตุที่แน่ชัดไม่ได้ แต่น่าเชื่อได้ว่าอาจมีจุดกำเนิดจากก้านสมองที่ทำงานผิดปกติ หรือเกิดจากภาวะที่สารเคมีในสมองไม่สมดุล ส่งผลให้หลอดเลือดมีความไวต่อการกระตุ้นมากเป็นพิเศษกล่าวคือ มีการหด และขยายตัวของหลอดเลือดอย่างผิดปกติ ซึ่งอาจจะเกี่ยวกับกับพันธุกรรมที่ผิดปกติ

ลักษณะอาการ:
– การปวดศีรษะแบบไมเกรน  มีลักษณะค่อนข้างชัดเจน กล่าวคือ มักจะปวดบริเวณขมับโดยอาจจะปวดข้างเดียว หรือทั้งสองข้างก็ได้ บางกรณีอาจมีการปวดวนกันไป และมักจะปวดข้างเดิมอยู่ซ้ำ ๆ ส่วนอีกบริเวณหนึ่งที่พบมาก ได้แก่ บริเวณเบ้าตา ลักษณะของการปวด ก็มักจะปวดตุ้บๆ ตามจังหวะของชีพจร ในผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย ระยะเวลาของการปวดอาจแตกต่างกันออกไปในผู้ป่วยแต่ละราย บางรายอาจมีอาการยาวนานถึง 72 ชั่วโมง
ปัจจัยที่กระตุ้นการเกิดไมเกรนมีดังนี้

  • ความเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ช่วงมีประจำเดือน ระหว่างตั้งครรภ์ ช่วงหมดประจำเดือน หรือการรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด
  • อาหารบางชนิด เช่น ชีส ไวน์แดง ช็อคโกแล็ต น้ำตาลเทียม ผงชูรส ชา และกาแฟ
  • การกระตุ้นทางประสาทสัมผัส อาทิ แสงจ้า เสียงดัง กลิ่นฉุน กลิ่นบุหรี่
  • รูปแบบการนอนที่เปลี่ยนไป เช่น นอนดึก นอนไม่พอ หรือนอนมากเกินไป
  • สิ่งแวดล้อม เช่น อากาศร้อน ฝุ่นควัน
  • ยาบางชนิด
    วิธีการรักษา
  • การรักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคไมเกรน  ก็คือการบรรเทาอาการปวดศีรษะ   และการป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก หรือลดความถี่ของการเกิด และลดความรุนแรงของอาการปวดศีรษะ ซึ่งวิธีการรักษาแบ่งได้ดังนี้
  • 1. การรักษาด้วยการไม่ใช้ยา : มักจะใช้ในกรณีที่เป็นไม่รุนแรง ได้แก่   การนวด การกดจุด การประคบเย็น การประคบร้อน หรือการนอนหลับ
  • 2. การรักษาด้วยการใช้ยารับประทาน : มักจะใช้ในกรณีที่รุนแรง หรือใช้วิธีที่ 1 แล้วไม่ได้ผล การใช้ยาควรจะปรึกษาแพทย์ เพราะปัจจุบันมียาแก้ปวดที่ได้ผลดีหลายชนิด ยาแต่ละชนิดก็มีผลข้างเคียงต่าง ๆ กันไป ประกอบกับผู้ป่วยแต่ละรายก็ตอบสนองต่อยามาไม่เหมือนกัน จึงต้องเลือกให้เหมาะสมในแต่ละรายไป

การรักษานอกจากยาแล้วโบทอกซ์ก็ช่วยให้ไมเกรนหายได้ไวขึ้น และป้องกันได้หลายเดือน

เมื่อเดือน มิย. ปี ค.ศ .2010 ทาง US FDA ได้ออกมารับรองผลว่า การฉีด Botulinum toxin type A  สามารถลดอาการปวดศีรษะแบบไมเกรนแบบเรื่อรังลงได้
ทำไมฉีดโบ จึงแก้ไมเกรนให้หายได้
เพราะกลไกที่ไปรักษาพบว่า Botulinum toxin type A มีผลต่อสารสื่อประสาท ทำให้สามารถลดการรับรู้เกี่ยวกับความเจ็บปวดในระบบประสาท ที่เกี่ยวข้องกับการเกิดการปวดศีรษะไมเกรนได้และบางคนได้ผลทันทีหลังฉีด และยังสามารถช่วยลดความถี่ในการเกิดได้ยาวนานขึ้นถึง 3 -4 เดือน ( ( botulinum toxin inhibits pain in chronic migraine by reducing the expression of certain pain pathways involving nerve cells in the trigeminovascular system. The trigeminovascular system is a sensory pathway thought to play a key role in the headache phase of a migraine attack) .)

ดังนั้น การฉีด Botulinum toxin type A เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาปวดศีรษะไมเกรนเรื้อรัง รุนแรง และเป็นบ่อยๆ ที่ไม่ต้องการรับประทานยาต่อเนื่องทุกวัน เพื่อป้องกันและรักษา เพราะการฉีดโบทอกซ์จะทำทุก 3 เดือน ปริมาณยูนิตและบริเวณที่ฉีดจะแตกต่างกัน และควรจะได้รับการรักษาโดยแพทย์ที่ได้รับการฝึกฝนและมีประสบการณ์ในการฉีดโบทอกซ์รักษาไมเกรนด้วย เพราะถ้าฉีดผิดตำแหน่ง หรือปริมาณที่ไม่เหมาะสม อาการปวดศีรษะไมเกรนก็อาจจะไม่หายได้
สนใจสอบถามเพิ่มเติมกับสถานบริการที่มีให้บริการกันนะครับ

Posted on

ร่องแก้มลึก (Naso-labial fold) เติมฟิลเลอร์อย่างเดียวช่วยได้จริงหรือ แก้ไข อย่างไร ให้ดูดี อ่อนวัย อย่างมืออาชีพ

ร่องแก้มลึก เติมฟิลเลอร์แล้วไม่ดีขึ้น เพราะอะไร

ปัญหาร่องแก้มลึก ก็เป็นลักษณะอย่างหนึ่งที่บ่งบอกถึงภาวะร่วงโรยตามกาลเวลาที่มากขึ้น ดังนั้นการแก้ไขปัญหาร่องแก้มให้ตื้นขึ้น ก็จะช่วยให้เรายังแลดูอ่อนเยาว์ลงได้ แต่คนส่วนใหญ่มักคิดว่าถ้าจะให้ร่องแก้มตื้นขึ้น ก็ควรจะฉีดฟิลเลอร์หรือสารเติมเต็มก็จะแก้ไขปัญหานี้ให้ดีขึ้นได้ ซึ่งก็อาจจะถูกต้องเพียงส่วนหนึ่ง การแก้ไขปัญหาร่องแก้มลึกอย่างมืออาชีพ มีเทคนิคและการประเมินผลที่มากกว่าแค่การเติมสารเติมเต็มตรงร่องแก้ม ลองว่าดูว่าแพทย์มืออาชีพเค้ามีเทคนิคกันอย่างไร
สาเหตุของร่องแก้มลึก
– เนื่องจากอายุที่มากขึ้น การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นที่ทำให้ร่องแก้มลึกขึ้น แท้จริงแล้วมีสาเหตุได้หลายอย่าง แพทย์มืออาชีพและมีประสบการณ์ จะประเมินออกมาในมุมกว้างกว่า แก้ไขได้ถูกต้องกว่า และดูสวยงามและดูธรรมชาติกว่า มาดูกันว่าเทคนิคและการแก้ไขเค้าทำกันอย่างไร
1. ร่องแก้มลึกจากการสูญเสียคอลลาเจน (Volumn loss) :  เป็นสาเหตุแรกที่ทุกคนนึกถึง ทำให้คิดแต่ต้องเติมสารเติมเต็มตรงร่องแก้มที่ลึก แต่การเลือกสารเติมเต็มที่จะใช้ ถือว่าสำคัญมาก ไม่ใช่ยี่ห้อไหน แบบไหนก็ทำให้เติมเต็มได้ แพทย์จะเลือกชนิดของสารเติมเต็มที่เหมาะสมกับบริเวณร่องแก้ม ควรจะมีความหนืดหรือปริมาณ HA (Hyaluronic aicd ) ในความเข้มข้นที่เหมาะสม ไม่เหลวไปจนเติมไปแล้วไม่พบความเปลี่ยนแปลง หรือมากไปจนเติมแล้วเห็นเป็นก้อน ไม่สม่ำเสมอ ไม่ธรรมชาติ นอกจากนี้การเลือกเข็มที่จะใช้ ควรเลือกชนิดเข็มทู่ ที่เรียกว่า Canula ในการฉีด เพื่อป้องกันสารเติมเติมไปอุดตันเส้นเลือด  เพราะบริเวณนี้มีเส้นเลือดสำคัญที่มาหล่อเลี้ยงบริเวณนี้หลายเส้น และถ้าใช้เข็มแหลม อาจจะมีความเสี่ยงไปโดนเส้นเลือดเหล่านี้ได้

ตัวอย่างการเติมสารเติมเต็มที่ร่องแก้มโดยตรง ด้วยเข็มทู่ Canula
ตัวอย่างการแก้ไขร่องแก้มลึก จากการหย่อนคล้อยด้วยการยกกระชับด้วย Ulthera
ตัวอย่างการแก้ไขร่องแก้มลึกจากการหย่อนคล้อย โดยการเติมสารเติมเต็มด้วยเทคนิค Filler Lifting

2.  ร่องแก้มลึกจากการสูญเสียการหย่อนคล้อย (Skin sagging) : เป็นสาเหตุอีกสาเหตุที่บางคนไม่ค่อยนึกถึง เพราะจริงๆ แล้วการหย่อนคล้อยของใบหน้าบริเวณโหนกแก้มจากอายุมากขึ้น ก็ทำให้เกิดร่องแก้มดูลึกลงได้ โดยอาจจะมีสาเหตุนี้ร่วมกับการสูญเสียคอลลาเจน หรืออาจจะเกิดจากสาเหตุนี้อย่างเดียว ดังนั้นการเติมสารเติมเต็มที่ร่องแก้ม อาจจะไม่ได้ผลมากนัก แพทย์ชั้นเซียนเค้าจะแก้ไขด้วยการยกกระชับผิวหน้าแทน  โดยเปลี่ยนจากการเติมสารเติมเต็มที่ร่องแก้ม มาเปลี่ยนเป็นฉีดสารเติมเต็มหรือฟิลเลอร์ ด้วยเทคนิค Filler Lifting ซึ่งจะฉีดปริมาณเท่าไหร่ กี่จุด ก็ขึ้นอยู่กับว่าปัญหาหย่อนคล้อยเกิดในบริเวณไหนของใบหน้า ซึ่งแน่นอนการเลือกชนิดสารเติมเต็มในการฉีดก็อาจจะแตกต่างจากที่ใช้ฉีดเติมร่องแก้ม เพราะลักษณะผิวหนังแต่ละบริเวณของใบหน้า มีความหนาบางไม่เท่ากัน ตำแหน่งไหนใช้เข็มแหลมฉีดได้ ตำแหน่งไหนต้องใช้เข็มทู่หรือ Canula เหล่านี้คือเทคนิคที่ต้องอาศัยเวลาและประสบการณ์ นอกจากนี้การยกกระชับผิวหน้าโดยรวมด้วยการร้อยไหม การทำ HIFU หรือ Monopolar RF  ก็อาจจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่แพทย์อาจจะพิจารณาทำร่วมด้วย เพื่อให้ได้ผลที่ดีที่สุด สวยและดูธรรมชาติ

3. ร่องแก้มลึกจากการไขมันที่แก้มมากเกินไป : สาเหตุนี้มักจะเกิดในสาวๆ อายุน้อยที่ค่อนข้างเจ้าเนื้อ หรือมีไขมันสะสมที่ใบหน้า โดยที่ไม่ได้มีปัญหาหย่อนคล้อยหรือการสูญเสียคอลลาเจน การลดไขมันที่ใบหน้าด้วยการฉีดเมโสแฟตละลายไขมันอาจจะเป็นการแก้ไขปัญหาที่ดีกว่าวิธีข้างบน เพราะถ้ายิ่งเติมสารเติมเต็มไปที่ร่องแก้ม ก็ยิ่งทำให้ใบหน้ากลมมากขึ้น การเลือกส่วนผสมของตัวยาที่จะฉีดสลายไขมันก็ต้องเลือกแบบที่ได้ผลดี ผลข้างเคียงน้อย ซึ่งถือว่าสำคัญมากในการประเมินว่าจะทำให้ไขมันลดลงได้มากน้อยเท่าใด และใช้เวลาเท่าไหร่ด้วย

ตัวอย่างการแก้ไขร่องแก้มลึกจากไขมันที่แก้มเยอะ ด้วยการฉีด Mesofat

ก่อนฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม เช็คให้ดีก่อนว่าสาเหตุคืออะไร

การแก้ไขร่องแก้มลึก ดูเหมือนจะง่าย แต่จริงๆ แล้วการทำให้ได้ผลดี ต้องประเมินสาเหตุให้ครอบคลุม และแก้ไขแต่ละสาเหตุไปพร้อมๆ กัน ซึ่งต้องอาศัยแพทย์ที่มีประสบการณ์และความชำนาญ เพราะต้องแก้ไขให้ตรงจุด เทคนิคการฉีด ซึ่งอาจจะมีทั้งฉีดตื้น ฉีดลึก หรือฉีดแบบผสมผสาน ที่เรียกว่า Multi-Layer injections การเลือกสารเติมเต็มที่จะฉีดแต่ละบริเวณ การเลือกชนิดและขนาดของเข็มที่เหมาะสม ควบคู่กับการผสมผสานการรักษาแบบองค์รวม พร้อมๆ กับต้องคำนึงถึงผลข้างเคียงหรืออาการไม่พึงประสงค์ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ซึ่งจากบทความนี้น่าจะมีประโยชน์กับผู้อ่าน ได้ใช้พิจารณาในการเลือกการรักษาการแก้ไขปัญหาร่องแก้มลึก ไม่มากก็น้อย