Posted on

Glutathione : สารต้านอนุมูลอิสระ กำจัดสารพิษ ชะลอวัย แล้วยังช่วยให้สีผิวขาวขึ้น

Glutathione
สารต้านอนุมูลอิสระ( Antioxidant) ตัวหนึ่งที่ร่างกายสังเคราะห์ได้เองเรียกว่า Universal Antioxidant จากกระบวนปฏิกิริยา ชีวเคมีในเซลล์ทั่วไป
สร้างที่ไหนในร่างกาย
ที่ตับของเรา การสร้างสารนี้ต้องอาศัย เอนไซม์ อย่างน้อย 2 ชนิด ดังนั้น หากมียีนผิดปกติเกี่ยวกับเอนไซม์ ทั้ง2 ชนิดนี้ก็จะไม่สามารถสร้างสารตัวนี้ได้ ดังนั้นในผู้ป่วยบางรายที่ไม่สามารถสร้างสารตัวนี้ได้ จึงต้องมีการเสริมเพิ่มเติมทดแทน
ลักษณะทางเคมี
Glutathione เกิดจากการจับตัวกันในรูปแบบ Tri-peptides ของกรดอะมิโน3 ชนิด ได้แก่ Cysteine,Glycine และ Glutamic

บทบาทและหน้าที่ของสาร Glutathione

  1. การขจัดสารพิษ (Detoxification) กลูต้าไธโอน ช่วยสร้างเอ็นไซม์ ชนิดต่างๆ ในร่างกายโดยเปลี่ยนสารพิษชนิดไม่ละลายในน้ำ (ละลายในน้ำมัน) เช่นพวกโลหะหนัก สารระเหย ยาฆ่าแมลง แม้แต่ยาบางชนิดให้เป็นสารที่ละลายน้ำได้ดีขึ้นและง่ายต่อการกำจัดออกจากร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันตับ จากการถูกทำลายโดยแอลกอฮอล์(สุรา) สารพิษจากบุหรี่
  2. ต้านปฏิกริยาอ๊อกซิเดชั่น(Antioxidant) จึงช่วยป้องกัน ริ้วรอยเหี่ยวย่นจากวัยที่มากขึ้น และป้องกันภาวะเสื่อมของเซลล์ได้ โดยในบางประเทศ ได้นำมาใช้เป็นอาหารเสริมสำหรับคนชราที่มีปัญหาความจำเสื่อม หรือภาวะอัลไซเมอร์ และยังส่งเสริมให้วิตามินซี และวิตามินอี ดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย และทำงานได้เต็มที่มากขึ้น
  3. กระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกาย (Immune Enhancer) ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกาย โดยกระตุ้น การทำงานของเอ็นไซม์หลายชนิดเพื่อให้ร่างกายต่อต้านสิ่งแปลกปลอมรวมทั้งเชื้อแบคทีเรียและไวรัส นอกจากนี้ กลูต้าไธโอน ยังช่วยสร้างและซ่อมแซม DNA สร้างโปรตีน มีรายงานการวิจัยทางการแพทย์หลายที่ ได้นำสาร Glutathione มาฉีดให้กับคนไข้โรคเอดส์ เพื่อเพิ่มระดับ CD4 ให้สูงขึ้น ทำให้ร่างกายแข็งแรง และลดอุบัติการณ์การติดเชื้อแทรกซ้อน
  4. ทำให้สีผิวขาวขึ้นได้(skin whitening)โดยอาศัยกลไกการทำงานที่มีคุณสมบัติในการไปยับยั้งการทำงานของ Tyrosinase ทำให้ Tyrosine ไม่สามารถเปลี่ยนไปเป็น DOPAquinone เป็นสารต้นแบบของ Dopachrome, DHI….Pheomelanin,Eumelanin (ซึ่งกลุ่มนี้เป็นสารที่ทำสีผิวคล้ำ ผลลัพธ์ คือทำให้สีผิวขาวขึ้นได้ระดับหนึ่ง แต่ก็เกิดขึ้นไม่ถาวร

บทบาทของ Glutathione ในแวดวงความงาม
จากคุณสมบัติของการเป็น Whitening และ Anti-Oxidant ของสาร Gluthathione ทำให้ได้มีการทำการสังเคราะห์สารตัวนี้ขึ้นมาทางกรรมวิธีทางเคมี โดยอาจจะอยู่ในรูปของอาหารเสริม หรือ ผสมกับไวเทนนิ่งตัวอื่นๆ เป็นคอกเทล แล้วนำมาใฃ้ประโยชน์ด้านความงาม โดยแบ่งได้เป็น
1. ชนิดรับประทาน : มักจะผสมในรูปของอาหารเสริมที่ประกอบด้วยวิตามินซี และสารสกัดจากธรรมชาติหลายตัว เช่น เปลือกสน เพราะจะเสริมฤทธิ์กันทำให้ได้ผลมากขึ้น เนื่องจากตัวกลูต้าเอง ดูดซึมไม่ดีนัก
2. ยาฉีด ถือว่าดูดซึมและได้ผลที่สุด เพราะตัวยาไม่ต้องผ่านขบวนการดูดซึมในระบบทางเดินอาหาร ซึ่งปัจจุบันในต่างประเทศ บางประเทศ (ยกเว้นประเทศไทย ที่ยังไม่อนุญาตให้ฉีดได้ ) ได้มีการนำ Glutathione 600 มก. มาผสมกับวิตามินซี 2,000 มก. นำมาฉีดเข้าเส้นเลือดและเข้ากล้าม พบว่าจะทำให้ได้ผลในเรื่องสีผิวได้เร็วขึ้น ภายใน 1-2 เดือน
ผลข้างเคียงของการใช้สาร Glutathione 
– สีผิวขาวขึ้นโดยไปหยุดการสร้างเอ็นไซม์เม็ดสี ทำให้ผิวจะไวต่อรังสียูวีมากขึ้น และได้รับอันตรายมากขึ้นจากแสงแดด ทำให้เกิดฝ้า กระ หรือมะเร็งผิวหนังได้ง่ายขึ้น เหมือนคนผิวขาวทางตะวันตกที่มีอุบัติการณ์นี้ได้มากกว่าคนแถบตะวันออก
– กรณีที่ฉีดเข้าเส้นเลือด เพื่อหวังผลให้ได้มากขึ้น เร็วขึ้น อาจจะเกิดการแพ้ได้อย่างรุนแรง ถึงกับเสียชีวิตได้
– อาจจะทำให้จอประสาทตาไวต่อแสงมากขึ้น ทำให้การมองเห็นผิดปกติได้

Posted on

Idebenone : สุดยอดสารต้านอนุมูลอิสระ (Super -Antioxidants ) ชะลอวัย ที่ได้ผลดีกว่าทุกตัว

Idebenone คืออะไร

Idebenone คือ สารที่สังเคราะห์ที่พัฒนามาจาก สาร Co-enzyme Q10 ซึ่งเรารู้จักกันดี เป็นนวัตกรรมใหม่ของสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ทรงประสิทธิภาพจนได้รับการขนานนามว่าเป็น Super -Antioxidants Idebenone
Idebenone ดีกว่า Co-enzyme Q10 หรือสารต้านอนุมูลอิสสระตัวอื่น อย่างไร
Idebenone มีความแตกต่างจาก CoQ10 เนื่องจากการทำงานของ CoQ10 ใน mitochondria ค่อนข้างจำกัด และ Idebenone เป็นตัวช่วยให้การทำงานได้ดีขึ้น
และดีกว่า สาร Antioxidants ตัวอื่นๆ เช่น วิตามินซี วิตามินอี เพราะมีขนาดของโมเลกุลเล็กมาก และสามารถละลายได้ทั้งในน้ำและน้ำมัน อีดีบีโนนจึงสามารถซึมเข้าสู่ผิวได้ดีกว่าสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่น ทำให้เซลล์ทำงานได้ดีขึ้น ซึ่งการทำงานของเซลล์หมายถึง การสร้างคอลลาเจน และการทำหน้าที่ต้านอนุมูลอิสระด้วย
อีดีบีโนนมีประสิทธิภาพโดดเด่นกว่าสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่นๆ โดยใช้ค่า EPF (Environment Protection Factor) หรือ ค่าการปกป้องผิวจากสภาพแวดล้อม เป็นตัวเปรียบเทียบประสิทธิภาพของสาร Antioxidants ซึ่งได้ทำการทดสอบ 6 ตัว ดังตารางนี้ ซึ่งดูได้จากตารางการเปรียบเทียบข้างล่าง โดย พบว่า Idebenone เป็น Super -Antioxidants ที่ได้ผลดีกว่า และมากกว่า Coenzyme Q10 ถึง 40 เท่า

Test
Idebenone
CoQ10
Vitamin E
Vitamin C
Kinetin
Lipoic Acid
Sunburn Cell Assay
20
6
16
0
11
5
Photochemiluminescence
20
15
20
20
10
5
Primary Oxidative Products
16
5
10
3
20
4
Secondary Oxidative Products
19
12
17
12
10
 
UVB-Irradiated Keratinocytes
20
17
17
17
17
7
Total Points
95
55
80
52
68
41

ที่มา : Paper presented by DiNardo Joshep C., Lewis Joseph A. II, Neudecker , Birgit A. MD , Bekyarov Dimitar MD , Wieland Eberhard MD , Maibach Howard I. MD at Annual Meeting of the American Academy of Dermatology ; February 6-11 ,2004 ; Washington , DC.

บทบาทสำคัญของสาร Idebenone

  1. ใช้รักษาภาวะ ความผิดปกติของสมองจากระบบหลอดเลือด ( vascular cerebral pathology )
  2. ภาวะสมองเสื่อมตามอายุ ( degenerative cerebral pathology ) ได้แก่ ภาวะความจำเสื่อม การรับรู้ที่ผิดปกติ การพูด ความสนใจผิดปกติ หรือ ความผิดปกติทางสมองที่แสดงออกทางการเคลื่อนไหวของร่างกาย ( psycho-motor activity disorders ) รวมถึง ความผิดปกติด้านอารมณ์
  3. สารต้านอนุมูลอิสระและอาหารเสริมสำหรับภาวะชะลอวัย ( Anti-Aging Products) เพื่อป้องกันและลดปัญหาริ้วรอย และภาวะเสื่อมตามวัย
  4. ภาวะหลอดเลือดในสมองผิดปกติ ( Cerebral arteriosclerosis)
  5. เส้นเลือดในสมองแตกหรือตีบ (Consequences arising from cerebral infarction or cerebral haemorrhage.)
  6. ความจดจำรับรู้เสื่อม ตามอายุ (Cognitive senile deficit) หรือ กลุ่มโรคสมองเสื่อม ( Multi-coronary dementia)
  7. โรคของหลอดเลือดสมองผิดปกติชนิดเรื้อรัง( Chronic cerebral-vascular disease)
  8. ความจำเสื่อมจากโรคอัลไซม์เมอร์ ( Slight or moderate Alzheimer’s-type dementia)

ผลข้างเคียงของยา 

พบว่าอัตราการเกิดผลข้างเคียง พบได้น้อยมาก โดยทั่วไปก็คล้ายๆ ยารับประทานตัวอื่นๆ ทั่วไป อาทิ การแพ้ยา ระบบอาหาร เช่น คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ท้องเสีย ระบบประสาท เช่น ปวดหัว เวียนหัว นอนไม่หลับ ซึม ระบบเลือด เช่น เม็ดเลือดขาวบางตัวต่ำ ค่าการทำงานของตับสูงขึ้น เป็นต้น ดังนั้นการใช้ยาจึงต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์

Posted on

ผมร่วง-ผมบาง-หัวล้าน หลายคนไม่ต้องการ หยุดยั้ง สาเหตุ ป้องกัน รักษาได้ ไม่ต้องกังวล

สาเหตุของผมร่วง

ผมร่วง-ผมบาง-หัวล้าน : เป็นปัญหาที่พบได้ 10 % ของคนเอเซีย และ 50% ในคนยุโรป อเมริกา โดยพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ผมร่วงถ้าเกิน 100 เส้นต่อวัน ถือว่าผิดปกติ ต้องรีบหาสาเหตุแก้ไข ก่อนจะหัวล้าน
สาเหตุของผมร่วง
1. ผมร่วงแบบมีแผลเป็น: มักเกิดจากการมีบาดแผล หรืออุบัติเหตุ เป็นส่วนใหญ่ บางครั้ง อาจเกิดจากการติดเชื้อเช่น งูสวัด โรคSLE ซึ่งมักแก้ไข หรือทำให้เกิดผมใหม่ได้ยาก แบบนี้อาจจะต้องใช้วิธีผ่าตัดปลูกย้ายรากผม ( Hair Transplantation)

2. ผมร่วงแบบไม่มีแผลเป็น: 90% ของผมร่วง จะเป็นแบบไม่มีแผลเป็น พอจะมีทางแก้ไขให้มีผมงอกขึ้นมาใหม่ได้ โดยสาเหตุของผมร่วงชนิดนี้ แบ่งย่อยได้เป็น
2.1 กรรมพันธุ์ พบได้ 30% ของคนที่มีปัญหาผมร่วงแบบไม่มีแผลเป็น มักเกิดได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง บางคนอาจพบว่าผมเริ่มร่วงและบาง ตั้งแต่วัยรุ่นและศีรษะล้าน-บาง ก่อนวัยกลางคนเสียอีก ลักษณะผมบางจากกรรมพันธ์ุ มักจะพบค่อยๆ เถิกไปทางด้านหน้า หรือแง่งผม คล้าย M-Shaped
2.2 ฮอรโมนเพศชาย DHT สูงกว่าปกติ : พบได้ 30% โดยฮอร์โมน ทำให้อายุขัยของเส้นผมสั้นกว่าปกติ ทำให้ผมงอกใหม่ทดแทนไม่ทัน ลักษณะผมบางจาก DHT สูงมักจะพบค่อยๆ ผมร่วงบางบริเวณกระหม่อม หรือกลางศีรษะ ในผู้ชาย หรือบางทั่วๆ ไป ในผู้หญิง

2.3 ความเครียด(Stress) พบว่าความผิดปกติทางอารมณ์ จะทำให้หลอดเลือด ที่มาเลี้ยงบริเวณหนังศีรษะหดตัว ทำให้เซลล์ผมขาดสารอาหาร จึงทำให้ผมแฟบเล็กลงและร่วงในที่สุด ผมร่วงจากความเครียด มักจะร่วงทั่วไปทั้งศีรษะ บางเท่าๆ กัน
2.4 โรคผมร่วงหย่อม (Alopecia Areata -AA ) ปัจจุบันยังไม่สามารถหาสาเหตุที่แท้จริงได้ แต่มีปัจจัยหลายอย่างที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรรมพันธุ์ ปฎิกิริยาออโตอิมมูนในร่างกาย ความเครียด ลักษณะผมร่วงประเภทนี้ จะร่วงแหว่งเป็นวงๆ อาจจะวงเดียวหรือหลายวง ได้เขียนบทความไว้แล้วที่นี่
2.5 การติดเชื้อที่หนังศีรษะ( Infection) จาก เชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา บนหนังศีรษะ ซึ่งจะทำให้หนังศีรษะอักเสบเกิดอาการคัน มีรังแค จึงเกิดการเกาและดึงรั้งเส้นผม ทำให้ผมร่วง ลักษระผมร่วงแบบนี้ มักจะร่วงทั่วๆ ไป หรือบางหย่อมได้

2.6 โรคประจำตัวบางอย่าง(Chronic Disease) เช่น มะเร็ง โรคต่อมทัยรอยด์ผิดปกติ ซิฟิลิส หรือ ได้รับสารหรือแพ้ยาบางตัว เช่น ยาต้านมะเร็ง ยาในกลุ่มรักษาโรคไทรอยด์ หรือจากผลของยาบางตัว เช่น
– ยาในกลุ่มรักษาโรคหัวใจหรือใจสั่น
– ยาในกลุ่มป้องกันการแข็งตัวของเลือด
– ยารักษาโรคเก๊าท์ วิตามินA
– ยาเคมีบำบัดการฉายรังสี
2.7 ผลจากการกระทำของตนเอง( Trichotillomania) ซึ่งเกิดจากอุปนิสัยของเราเอง เช่น การชอบถอนผม การแกะเกา ดึงทึ้งผม การถอนผมคัน เวลาเผลอ ที่เวลาใช้ความคิด
– หรือคนไข้ที่มีปัญหาทางสภาพจิตใจ เครียด แล้วดึงทึ้งผม มักจะทำซ้ำๆ โดยมักจะเกิดบริเวณเดิม ๆ และมีรูปแบบของการบางไม่ชัดเจนเหมือนแบบอื่นๆ

การป้องกันและรักษา

1. การรักษาโดยไม่ต้องผ่าตัดปลูกผม
     1.1 หาสาเหตุ   โดยการซักประวัติ ตรวจร่างกาย หรือาอาจจะตรวจเลือด ถ้าพบสาเหตุก็จะรักษาที่สาเหตุที่ทำให้ร่วงก่อ  เช่น รักษาภาวะอักเสบของหนังศีรษะ การติดเชื้อ ลดภาวะเครียด  แก้ไขพฤติกรรมในบางอย่างในผู้ป่วยที่ชอบดึงทึ้งผม แก้ไขโรคประจำตัวที่มีปัญหาเกี่ยวข้องกับผมร่วง
1.2. กรณีที่ผมร่วงจากพันธุกรรม หรือ ฮอร์โมน DHT พบได้บ่อยสุดถึง 60-70 %  สามารถทำการรักษาได้่ง่ายๆ 3 วิธีดังนี้
1.2.1 การเลือกใช้แชมพู โลชั่น ยารับประทาน ควรรับประทานยาลดระดับฮอร์โมน DHT และทาโลชั่นปลูกผม และ/หรือร่วมกับการรับประทานวิตามินสำหรับเส้นผม
1.2.2 Laser Hair : ใช้เลเซอร์ ชนิด Diode Laser ทำการปล่อยแสงเลเซอร์พลังงานต่ำ หรือเรียกว่า เลเซอร์เย็น(Cold beam) ไปที่หนังศีรษะ โดยไปออกฤทธิ์กระตุ้นที่เซลล์เส้นผม เพื่อให้เส้นผมเพิ่มจำนวนมากขึ้น เส้นผมแข็งแรงขึ้น ขนาดโตขึ้น ทางวิทยาศาสตร์ที่เรียกว่า Photo-Biostimulation ซึ่งกล่าวถึง “แสงคือพลังงานอย่างหนึ่ง สิ่งมีชีวิตทุกชนิด สามารถอยู่รอดได้ด้วยแสง และเซลล์เส้นผมก็คือสิ่งมีชีวิตอย่างหนึ่ง จึงเข้าข่ายในทฤษฎีนี้ด้วย”

  1.2.3 Meso-hair : เป็นการฉีดสูตรยา หรือคอกเทลยา กับวิตามินสำหรับเส้นผม หรือบางคนใช้ PRP ที่เป็นเลือดปั่นเอาพลาสมา ที่เชื่อว่ามี Stem cell สร้างเส้นผมใหม่ ฉีดด้วยปืนดิจิตอลเข้าไปที่หนังศีรษะที่บาง ลึกลงไปถึงเซลล์ผม ซึ่งเป็นการรักษาที่นำมาเสริมการรับประทานยาและยาทา โดยมีรายงานจากฝรั่งเศสว่า ช่วยทำให้เส้นผมงอกได้เร็วขึ้นและเพิ่มขึ้น กว่าเดิมถึง 2-3 เท่า
2. การทำศัลยกรรมปลูกย้ายรากผม :
การปลูกย้ายเซลรากผม ( Hair transplantation) เป็นการแก้ปัญหาผมบาง ศีรษะล้านโดยการทำศัลยกรรมตกแต่ง โดยการปลูกผมทดแทน คือ การย้ายหนังศีรษะรวมทั้งตุ่มผม( hair follicles) จากบริเวณที่มีผมดกไปทำการปลูกทดแทนในบริเวษหนังศีรษะที่ไม่มีผม ผมบาง หรือตุ่มผมไม่ทำงาน มักจะใช้ในกรณีที่ศีรษะล้านมาก หรือใช้การรักษาด้วยวิธีที่ 1 แล้วได้ผลไม่เต็มที่ โดยอาจจะใช้การผ่าตัดด้วยศัลยแพทย์เฉพาะทางเส้นผม หรือใช้หุ่นยนต์ปลูกย้ายรากผม  ระยะเวลาและจำนวนครั้งในการทำผ่าตัดขึ้นอยู่กับขนาดของบริเวษศีรษะที่ไม่มีผม โดยเซลล์ผมที่ย้ายมาปลูก จะมีลักษณะเหมือนกับเส้นผมที่ท้ายทอย ซึ่งทนทานไม่ร่วงหลุดได้ ได้ผลไว แต่หลังทำ ก็ต้องป้องกันด้วยการรับประทานยา ป้องกันผมร่วงกลับมาใหม่

Posted on

หวีเลเซอร์เย็น (Cool Laser Hair Treatment ) ลดผมร่วง สร้างผมใหม่ ให้ดกดำได้ ไม่ต้องเจ็บตัว

เลเซอร์เย็น คืออะไร

คือ เลเซอร์ชนิด Diode Laser ที่มีการปล่อยแสงเลเซอร์สีแดง ความยาวช่วงคลื่น ประมาณ 600 nm โดยพลังงานเลเซอร์จะออกมาจากซี่แปรงของหวี โดยใช้หลักการ Low Level Laser Therapy (LLLT) หรือ แสงเลเซอร์พลังงานต่ำ หรือเรียกว่า Cold beam ไปที่หนังศีรษะ โดยไปออกฤทธิ์กระตุ้นที่เซลล์เส้นผม
โดยพบว่าจะไปออกฤทธิ์ที่ Mitochondria ของเซลล์เส้นผมให้มีการสร้างพลังงาน ATP มากขึ้น จึงช่วยทำให้เกิดนำออกซิเจน มาเลี้ยงเส้นผมมากขึ้น จึงทำให้เส้นผมเพิ่มจำนวนมากขึ้น เส้นผมแข็งแรงขึ้น ขนาดโตขึ้น และมีความเงางามมากขึ้น

หวีเลเซอร์ รักษาเส้นผมบาง

Laser -comb ( Hairmax) จัดเป็นเครื่องมือเลเซอร์พลังงานต่ำ (Low Level Laser therapy) ชนิดแรกของโลก ที่นำมารักษาปัญหาเส้นผม โดยได้รับการรับรองจาก FDA ของประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อประมาณ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 และผ่าน อย. ของประเทศไทยแล้ว ว่าเป็นเครื่องมือที่ปลอดภัยได้มาตรฐาน และช่วยทำให้สุขภาพเส้นผมดีขึ้นได้ นอกจากนี้ยังได้รับการตีพิมพ์ในนิตยสารของ TIME ว่าเป็นสิ่งประดิษฐ์แห่งปี 2000 (Invention of the year) นอกจากนี้ Barbara walters ยังยกย่องให้เป็น Hot New Product และลงข่าวในรายการของ ABC,CBS,FOX และ NBC เผยแพร่ทั่วโลกด้วย
Lasercomb( Hairmax) เมื่อทำการฉายไปบนหนังศีรษะในพลังงานและระยะเวลาที่เหมาะสม พบว่าพลังงานแสงที่ปล่อยออกให้นอกจากจะช่วยเพิ่มพลังงานและนำออกซิเจนให้แก่เส้นผมแล้ว ยังสามารถ จะช่วยนำพาซึ่งสารอาหาร วิตามิน ยา (ที่รักษาเส้นผม) มาสู่เซลล์ผมได้มากขึ้น จังนิยมนำมาฉายแสงเลเซอร์ ก่อนการทำ Mesohair จะช่วยให้ได้ผลมากขึ้น

หลังจากหวีเลเซอร์ (Hairmax) ออกสู่ท้องตลาดได้ ไม่นาน ก็มีหวีเลเซอร์ยี่ห้ออื่นๆ ออกมาในตลาดมากมาย หลายยี่ห้อ แต่ไม่ได้รับการรับรองว่าได้ผลดี เหมือนกับ ของ Hairmax ต่อมาHairMax ได้มีการพัฒนาให้มีหลากหลายแบบมากขึ้น ทั้งแบบคาดผม สวมทิ้งไว้ และด้วยหลักการที่ บางที่ได้มีการพัฒนาแบบครอบทั้งศีรษะ ให้นั่งทำการฉายแสงเลเซอร์เย็น
มีการทดลองและงานวิจัยมากกว่า 3,500 ชิ้น ที่พบว่า หลักการดังกล่าวได้ผลดี โดยพบว่า 93% ของผู้รับบริการ พึงพอใจต่อผลการรักษา โดยพบว่า 45 % ของผู้ใช้ สังเกตความเปลี่ยนแปลงได้ภายใน 6 อาทิตย์ และพบว่า 45% พึงพอใจหลังการใช้ในอาทิตย์ที่ 6-12 และพบว่า 10% ของผู้ใช้ พึงพอใจหลังใช้แล้ว มากกว่า 12 อาทิตย์

การรักษาด้วยเลเซอร์เย็นอย่างเดียว

การรักษาด้วยเลเซอร์เย็นอย่างเดียว
Posted on

วัยรุ่น ควรเลือกรับประทานอาหารอย่างไร เพื่อให้ร่างกายเติบโตได้อย่างเต็มที่

วัยรุ่น ตามความหมายขององค์การอนามัยโลก( WHO 1986a) คือ วัยที่มีการเปลี่ยนแปลงทางสรีระร่างกายในลักษณะที่พร้อมจะมีเพศสัมพันธ์ได้ เป็นช่วงที่มีการพัฒนาด้านจิตใจจากเด็กไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่ เปลี่ยนแปลงจากภาวะพึ่งพาพ่อแม่หรือผู้ปกครอง ไปสู่การพึ่งพาตนเอง และต้องรับผิดชอบ ส่วนใหญ่คนเราจะก้าวสู่วัยรุ่น เมื่ออายุได้ประมาณ 10-13 ปี และสิ้นสุดอายุวัยรุ่นเมื่ออายุ 19 ปี แล้วก็ก้าวเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ตอนต้น ในอายุครบ 20 ปี

การเปลี่ยนแปลงในวัยรุ่น มีดังนี้

  1. มีการขนาดของสรีระ ทั้งส่วนสูงและน้ำหนัก อย่างรวดเร็ว เป็นช่วงที่ร่างกายสร้างเนื้อกระดูก และความแข็งแกร่งของกระดูก นับเป็นช่วงสุดท้ายของ ชีวิตเด็กที่จะสามารถเจริญเติบโตและพัฒนาการได้เต็มศักยภาพตามพันธุกรรม
  2. ในผู้หญิงมีการขนาดของหน้าอก ตั้งแต่อายุ 8 ปี และจะขยายจนเต็มที่สมบูรณ์เมื่ออายุ 12-18 ปี
  3. เริ่มมีพัฒนาการของขนตามส่วนต่างๆ ที่แสดงลักษณะทางเพศ เมื่ออายุ 9-12 ปี และมีการขยายขนาดของอวัยเพศเมื่ออายุประมาณ 12 ปี
  4. เสียงเริ่มแตกพร่า และห้าวขึ้นเมื่ออายุประมาณ 14 ปี และเป็นอยู่ประมาณ 1-2 ปี จึงจะบังคับเสียงได้ปกติ
  5. ในผู้หญิงจะเริ่มมีรอบเดือนในช่วงอายุ 10 -15 ปี
  6. มีการเปลี่ยนแปลงด้านอารมณ์ จิตใจ และการเข้าสังคม
    จากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมากมายเช่นนี้ ทำให้ช่วงวัยรุ่น เป็นช่วงที่มีความต้องการพลังงานและสารอาหารต่างๆ ในปริมาณสูง
    ถ้ามีรูปแบบการบริโภค ที่ไม่เหมาะสมและถูกต้อง มีค่านิยมที่ผิด เช่น กลัวจะอ้วน รูปร่างไม่สมส่วน ทำให้มีการจำกัดอาหาร และขาดการออกกำลังกาย จะทำให้การเจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เกิดภาวะชะงักงัน ภาวะทุพโภชนาการ ทำให้เกิดภาวะแคระเกร็น ตัวเตี้ย สมองไม่พัฒนาทำให้การเรียนรู้ลดลง จนอาจจะทำให้ เกิดโรคภัยประจำตัวในอนาคตได้

แนวทางโภชนาการที่ดี สำหรับวัยรุ่น กรมอนามัยแนะนำให้วัยรุ่นไทยอายุระหว่าง 13-18 ปี ปฏิบัติตนดังนี้

  1. ควรรับประทานโปรตีน ร้อยละ 10-15 ของปริมาณอาหารที่รับประทานต่อวัน
  2. ควรรับประทานคาร์โบไฮเดรต ร้อยละ 45-65 ของปริมาณอาหารที่รับประทานต่อวัน
  3. ควรรับประทานไขมัน และน้ำมัน ร้อยละ 20-30 ของปริมาณอาหารที่รับประทานต่อวัน โดยเป็นไขมันอิ่มตัวไม่เกินร้อยละ10
  4. ควรรับประทานผัก ปริมาณ 2-4 ส่วนต่อวัน หรือประมาณ 4-6 ทัพพี ของปริมาณอาหารที่รับประทานต่อวัน
  5. ควรรับประทานผลไม้ ให้ได้วิตามินและเกลือแร่ ปริมาณ 3-5 ส่วนต่อวัน
  6. ควรรับประทานผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากนม วันละ 1-2 แก้ว
  7. ควรรับประทานแคลเซี่ยม เพื่อการพัฒนาการของกระดูกที่ดี โดยควรได้รับปริมาณ 1,200-1,500 มก.ต่อวัน หรือรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่นผักใบเขียว ก้านผัก ปริมาณ 2-3 ส่วนต่อวัน
  8. ควรรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็ก เช่น ตับ เครื่องในสัตว์ เพื่อการพัฒนาที่ดีของกล้ามเนื้อ และระบบเลือด ในปริมาณ 12-15 มก.ต่อวัน
  9. ลดปริมาณการบริโภคอาหารที่มีรสหวานจัด หรือเค็มจัด ควรรับประทานในปริมาณที่เล็กน้อย
  10. ในวัยรุ่นที่เล่นกีฬา ควรรับประทานอาหารที่มีพลังงานสูงกว่าปกติ เน้นอาหารกลุ่มคาร์โบไฮเดรต กลุ่มที่มีแร่ธาตุแคลเซี่ยม และธาตุเหล็ก ดื่มน้ำใน ปริมาณที่เพียงพอในช่วงที่เล่นกีฬา และอาหารว่างควรจะเป็นอาหารที่ย่อยง่าย ดูดซึมเร็ว ควรปรึกษานักโภชนาการเป็นพิเศษ สำหรับการเลือกรับประทาน
  11. ไม่แนะนำให้วัยรุ่นทานอาหารกลุ่มมังสวิรัติ เพราะส่วนใหญ่จะเลือกรับประทานไม่ครบถ้วนทุกหมวดหมู่ มักจะเกิดภาวะขาดอาหาร หรือวิตามินได้

ตัวอย่างรายการอาหารสำหรับวัยรุ่น

วัยรุ่นชาย : มื้อเช้า – ข้าวสวย 4 ทัพพี ต้มเลือดหมูตำลึง 1 ถ้วย ส้มเขียวหวาน 1 ผล , มื้อเที่ยง: ก๋วยเตี๋ยวหมูต้มยำ 1 ชาม นม 1 กล่อง ผลไม้ เช่น สับปะรด 8 คำ หรือฝรั่ง 1 ผลขนาดกลาง , มื้อเย็น : ข้าวสวย 4 ทัพพี ปลาทูทอด 1 ตัวเล็ก ต้มยำไก่ใส่เห็ด 1 ถ้วย และส้มโอ 2 กลีบ , มื้อก่อนนอน : กล้วยน้ำว้า 1 ผล

วัยรุ่นหญิง : มื้อเช้า – ข้าวต้มทะเล 1 ถ้วย มะละกอ 8 ชิ้นคำ , มื้อเที่ยง: ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นหมู 1 ชาม นม 1 กล่อง , มื้อเย็น : ข้าวสวย 3 ทัพพี ปลาทูทอด 1 ตัวเล็ก แกงจืดเต้าหู้สาหร่าย 1 ถ้วย มะม่วงสุก 1/2 ผล

ดังนั้นสรุปแนวทางในการปฏิบัติและแก้ไขด้านโภชนาการสำหรับวัยรุ่นให้มีสุขภาพที่ดีนั้น จึงควรส่งเสริมให้รับประทานอาหารอย่างน้อยวันละ 3 มื้อ และ ควรให้ครบทั้ง 5 หมวดอาหาร คือ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน เกลือแร่ -วิตามิน และน้ำ โดยมีความหลากหลายในปริมาณที่เพียงพอกับความต้องการ ร่วมกับการมีการออกกำลังกายอย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ในระดับปานกลางถึงค่อนข้างสูง โดยออกกำลังกายในแง่เพิ่มมวลกล้ามเนื้อและเพิ่มความยืดหยุ่น กล้ามเนื้อร่วมด้วย ส่วนอาหารประเภทฟาสต์ฟูด ซึ่งเป็นอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวส่วนใหญ่ จะทำให้เกิดภาวะอ้วน และไม่แข็งแรง ในระยะยาวอาจจะก่อให้เกิด โรคเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง โรคกระดูกพรุน ในวัยผู้ใหญ่ได้ จึงควรเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารมาเป็นกลุ่มสร้างเสริมแคลเซียม และธาตุเหล็ก จะได้ประโยชน์สำหรับอายุในช่วงนี้มากกว่า

Posted on

งานวิจัย : “การเดิน” ช่วยป้องกันสมองเสื่อม อัลไซเมอร์ได้ เดินไกลแค่ไหน จึงจะได้ผล

ปัญหาโรคสมองเสื่อม (อัลไซเมอร์)
เป็นปัญหาที่พบได้มากขึ้น โดยเฉพาะในผู้ที่สูงอายุทั้งเพศชายและเพศหญิง การรักษาในปัจจุบันยังได้ผลไม่ค่อยดีนัก แม้จะมียาป้องกันและรักษามากมาย กลุ่มแพทย์ที่รับผิดชอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้พยายามหาทางป้องกันและรักษาด้วยวิธีอื่นๆ ร่วมด้วย
การเดินช่วยป้องกันสมองเสื่อมได้อย่างไร
โดยพบว่าการออกกำลังกาย การเคลื่อนไหวร่างกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยป้องกันอาการสมองเสื่อมได้อย่างมีนัยสำคัญ
– ได้มีการทดลองโดย Abbott RD และคณะ จากสหรัฐอเมริกา ได้ทำการทดลองและวิจัยกลุ่มคนสูงอายุ จำนวน 2,257 ราย ในกลุ่มอายุ 71-93 ปี โดยแบ่งกลุ่มทดลองออกเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่ใช้การเดินแบบไม่หักโหม กับอีกกลุ่มที่ไม่ได้ออกกำลังกาย โดยใช้ระยะเวลาในการศึกษาระหว่างปี 2534-2536 โดยเลือกกลุ่มที่มีสมรรถภาพ ทางกายอยู่ในเกณฑ์ดี และติดตามผลการตรวจร่างกายทางระบบประสาท 2 ช่วงเวลา คือ ระหว่างปี 2537-2539 และระหว่างปี 2540-2542 แล้วใช้แบบทดสอบ ที่ได้มาตรฐานเป็นเกณฑ์วัด

ผลการศึกษ
พบว่า ในจำนวน 2,257 รายนี้ พบว่าเกิดโรคสมองเสื่อมขึ้นในระหว่างที่ศึกษา จำนวน 158 ราย (คิดเป็น 15.6 คน/1000 คน/ปี) ในจำนวนนี้พบว่า
– 101 คน เป็นโรคอัลไซเมอร์อย่างเดียว แบบไม่ทราบสาเหตุ
– 30 คน เป็นอัลไซเมอร์จากหลอดเลือดผิดปกติ
– ที่เหลืออีก 27 คน เป็นทั้ง 2 แบบ ร่วมกับภาวะอื่นๆ เช่น พาร์กินสัน
แบ่งกลุ่มตามลักษณะการเดินพบ
ผลการทดลองดังนี้
– คนที่เดิมมากกว่า 2 ไมล์/วัน มีอุบัติการณ์การเกิดภาวะสมองเสื่อม 10.3 คน/1000 คน/ปี
– คนที่เดิมระหว่าง 1-2 ไมล์/วัน มีอุบัติการณ์การเกิดภาวะสมองเสื่อม 14.1 คน/1000 คน/ปี
– คนที่เดิมระหว่าง 0.25-1 ไมล์/วัน มีอุบัติการณ์การเกิดภาวะสมองเสื่อม 17.6 คน/1000 คน/ปี
– คนที่เดิมน้อยกว่า 0.25 ไมล์/วัน มีอุบัติการณ์การเกิดภาวะสมองเสื่อม 17.8 คน/1000 คน/ปี

ผลสรุป
พบว่า คนที่ออกกำลังกายโดยการเดินน้อยกว่า 0.25 ไมล์/วัน จะมีโอกาสเกิดภาวะสมองเสื่อมมากกว่าคนที่เดินมากกว่า 2 ไมล์/วัน ถึง 1.9 เท่า ดังนั้นผู้วิจัยจึงได้ให้ความเห็นว่า การเดินช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะสมองเสื่อมในคนสูงอายุได้ผลอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในผู้ชาย ส่วนในผู้หญิง ที่ออกแรงเคลื่อนไหวร่างกายอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งการเดินอย่างสม่ำเสมอ มีความสามารถทางสมอง สติปัญญา และความคิด ความจำได้ดีกว่ากลุ่มที่ออกแรง กายน้อยกว่าเช่นกัน

Posted on

เส้นเลือดขอด(Varicose Vein) รักษาได้ ถ้าแก้ไขที่สาเหตุของปัญหา อวดขาได้ไม่อายใคร

เส้นเลือดขอดคืออะไร

คือ ภาวะหรืออาการของผนังเส้นเลือดดำเสียความยืดหยุ่น ทำให้เกิดการยืดขยายของเส้นเลือดอย่างไม่เป็นระเบียบ เกิดการพองขยายตัวเป็นแนวคดเคี้ยว มักจะพบในชั้น ผิวหนังชั้นผิว ( Superficial areas) ในบริเวณขา โดยเฉพาะที่น่องและต้นขา ส่วนบริเวณอื่นๆ พบได้น้อย เช่น ที่ข้อเท้า หลังเท้า
สาเหตุของการเกิดเส้นเลือดขอด
1. พันธุกรรม : กรณีที่มีประวัติครอบครัว ญาติพี่น้องเป็นเส้นเลือดขอด จะทำให้มีโอกาสเป็นเส้นเลือดขอดได้มากกว่าคนปกติ
2. หญิงตั้งครรภ์ : จะเกิดการอุดตัน การปรับของเส้นเลือดดำ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและมดลูกที่โตขึ้น นอกจากนั้นยังเกิดจากน้ำหนักที่เพิ่มมากขึ้นในขณะตั้งครรภ์ ความดันภายในทำให้เลือดไหลกลับไปช้าลง ซึ่งอาการเส้นเลือดขอดนี้ ปกติหายได้เองภายใน 3 เดือน แต่บางคนก็ยังคงมีอาการอยู่
3. อาชีพที่ต้องยืนนานๆ เช่น พนักงานขาย พยาบาล ครู ช่างผม ช่างแต่งหน้า ฯลฯ
4. น้ำหนักที่มากเกินไป ทำให้เกิดแรงดันที่สูงขึ้นภายในหลอดเลือดบริเวณขา เป็นสาเหตุให้เกิดเส้นเลือดขอดที่ขาได้
5. ผู้ที่ขาดการออกกำลังกาย ไม่ค่อยได้เคลื่อนไหวร่างกาย อาจทำให้กล้ามเนื้อและหลอดเลือดบริเวณที่ขา เกิดการเสื่อมประสิทธิภาพขึ้นมาได้ ก็จะทำให้การไหลเวียนของเลือดติดขัดไปด้วย

อาการ ข้อสังเกตเบื้องต้น และการป้องกัน

1. ถ้าเดินหรือยืนนานๆ แล้วมีอาการเป็นตะคริว ปวดเมื่อยบริเวณขา ปวดตึงบริเวณน่อง หรือมีอาการขาบวมร่วมด้วย ก็มีแนวโน้มว่าโรคเส้นเลือดขอดได้มาเยือนเราแล้ว
2. ถ้าเป็นมากขึ้น จะสังเกตเห็นเส้นเลือดในบริเวณขา ชัดขึ้น ผนังมักจะมีคล้ำ และคดเคี้ยวไปมา
3. อาชีพที่มีความเสี่ยง ควรจะการป้องกัน เฝ้าระวังอาการมิให้เป็นมากขึ้น โดยการใส่ ถุงน่องเส้นเลือดขอด จะทำหน้าที่ในการบีบรัดบริเวณขาเวลาที่เราเดินหรือยืน ระดับแรงดันที่แนะนำคือ Class 2 (20-35 mmHg) ซึ่งเป็นระดับที่แพทย์ แนะนำให้ใช้และควรใส่ตลอดเวลา ทั้งเวลาทำงานหรือทำกิจกรรมต่างๆ ยกเว้นขณะที่นอนไม่ต้องใส่ แต่ให้ยกปลายเท้าให้สูงประมาณ 30 องศา เพื่อเพิ่มการไหลเวียนของเลือดให้สะดวกขึ้น
4. ควรหลีกเลี่ยงการยืนหรือนั่งห้องเท้านานๆ
5. อาการเจ็บปวดป็นมากขึ้น เมื่อเราต้องยืนเป็นเวลานานๆ หรือมีภาวะแทรกซ้อนที เช่น แผลเรื้อรัง การอักเสบของเส้นเลือดขอด ขาบวม ปวดขา แนะนำว่าควรไปพบแพทย์

การรักษาเส้นเลือดขอด

1. การฉีดสารทำให้เส้นเลือดขอดยุบตัว (Sclerotherapy) : มักจะใช้ในกรณีที่มีปัญหาเส้นเลือดขอด ที่มีเส้นผ่าศูนต์กลางไม่เกิน 1-3 มม. โดยทำการฉีดสารที่มีคุณสมบัติในการทำลายผนังเส้นเลือด เช่น Aethoxysclerol,3% Nacl วิธีนี้สามารถทำได้ทั้งที่คลินิก และรพ. เพราะไม่ต้องนอนพักฟื้นรักษาตัว แต่หลังฉีดยาควรจะพันด้วย ผ้า Elastic Bandage ไว้ประมาณ 2-3 สัปดาห์ เพื่อทำให้เส้นเลือดยุบตัวได้ดีขึ้น แต่การรักษาแบบนี้ก็ไม่หายขาด อาจจะมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้ นอกจากนี้อาจจะมีผลข้างเคียงตามมาได้เช่น ผิวหนังบริเวณที่ฉีดมีรอยดำคล้ำตามแนวที่ฉีดยา ผิวหนังอาจจะมีเนื้อตาย( Skin Necrosis) มีอาการปวดบริเวณที่ฉีด หรือเกิดการแพ้ยา
2. เลเซอร์ คือการใช้เลเซอร์ ความยาวคลื่น 1,064 นาโนเมตร   ถ้าเส้นผ่าศูนต์กลางไม่เกิน 3 มม. แล้วปล่อยพลังงานเลเซอร์ไปทำลายเส้นเลือด หลังทำไม่ต้องนอน รพ.วิธีนี้เป็นการรักษาที่ไม่เกิดบาดแผล มีความปลอดภัยและรวดเร็ว และเจ็บตัวน้อยที่สุด คนที่มีเส้นเลือดขอด แต่วิธีนี้จำเป็นต้องทำหลายครั้ง ในทุกๆ 6-12 สัปดาห์ และต้องทำต่อเนื่องไปนานหลายปี จนเส้นเลือดขอดหายไปจริงๆ

3. การผ่าตัด: มักจะใช้ในกรณีที่มีปัญหาเส้นเลือดขอด ที่มีเส้นผ่าศูนต์กลางประมาณ 4-6 มม. โดยศัลยแพทย์ระบบหลอดเลือด จะทำการตัดเส้นเลือดขอดที่มีปัญหา ออกไป มักจะทำกรณีเป็นรุนแรง ขนาดใหญ่ เช่น บริเวณ ช่วงขาพับ ขาหนีบ วิธีนี้มักจะหายขาด หลังผ่าตัดควรใส่ถุงน่องสำหรับโรคนี้โดยเฉพาะ และควรใส่ตลอดเวลา เป็นเวลาติตต่อกันไม่น้อยกว่า 4-6 สัปดาห์ ผลข้างเคียงจากการผ่าตัดพบได้น้อย โดยอาจจะมีจ้ำเลือดใต้ผิวหนังได้ในบริเวณที่ผ่าตัด แต่จะหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์
4. การรักษาเส้นเลือดขอดโดยคลื่นความถี่วิทยุ วิธีนี้จะใช้การเจาะผ่านรูเข็มขนาดเล็ก แล้วใส่ไปในขดลวดขนาดเล็ก โดยคลื่นตัวนี้จะไปทำให้ผนังเส้นเลือดดำฝ่อลง แต่หลังจากทำไปแล้ว ก็ต้องคอยสังเกตอาการอีกที เพราะอาจจะกลับมาเป็นซ้ำได้อีก การรักษาด้วยคลื่นความถี่วิทยุนี้ ไม่ทำให้เจ็บปวด ใช้เวลาไม่นาน
5. การทานยาเพื่อบรรเทาอาการเส้นเลือดขอด เป็นยาในกลุ่มไดออสมินและเฮสเพอริดิน เป็นตัวยาที่จะยับยั้งกระบวนการอักเสบให้ลดลง และช่วยให้ลิ้นในหลอดเลือดดำ กลับมาเป็นปกติ

Posted on

เซลลูไลท์ (Cellulite) ศัตรูตัวร้าย ที่ทำลาย ความมั่นใจ กำจัดออกไปได้ ไม่เจ็บตัว

เซลลูไลท์ (Cellulite) คืออะไร

คือ ก้อนไขมันใต้ผิวหนังที่ทำให้ผิวหนังแลดูตะปุ่มตะป่ำเหมือนเปลือกผิวมะกรูด เชื่อว่าเกิดจากการที่ไขมันเคลื่อนตัวสูงขึ้นมาอยู่ในชั้นของผิวหนัง หรือเกิดจากการที่มีการไหลเวียน ของระบบเลือดในบริเวณนั้นลดลง การคั่งของน้ำเหลือง และฮอร์โมนที่ไม่สมดุล
– เหตุผลที่ไขมันส่วนนี้ดูเป็นก้อนตะปุ่มตะป่ำ เพราะไขมันใต้ผิวหนังบางครั้งมีจำนวนมากจนกลายเป็นก้อนไขมัน ซึ่งแต่ละก้อนจะมีเปลือกเหนียวๆ หุ้ม ทำให้แลดูภายนอกเห็นเป็นลอนๆ ของก้อนไขมัน
– บริเวณที่มีการสะสมของเซลลูไลท์มากก็คือ บริเวณต้นขา ต้นแขน หน้าท้อง รอบเอว และสะโพก เราสามารถตรวจสอบเซลลูไลท์ด้วยตัวเองโดยใช้วิธีง่ายๆ คือ ถ้าลองใช้สองมือบีบตรงต้นขา ถ้าพบกับผิวหนังที่มีลักษณะขรุขระเป็นก้อนคล้ายผิวส้ม นั่นคือเซลลูไลท์

การรักษาเซลลูไลท์

1. ควบคุมอาหาร และป้องกันมิให้อ้วนเพิ่มขึ้น : จะช่วยป้องกันการสะสมของไขมันเพิ่มขึ้น เลือกรับประทานอาหารที่ต้านเซลลูไลท์ เช่น พืชผักผลไม้ให้มากขึ้น เพราะวิตามินอีและซีจะช่วยให้ผิวหนังกระชับขึ้น และอาหารกลุ่มที่มีกรดไขมัน ถั่ว น้ำมันปลา เมล็ดพืช จะช่วยการไหลเวียนของโลหิตให้มากขึ้น นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงกลุ่มอาหารคาร์โบไฮเดรต ไขมันสูง ของหวาน อาหารรสเค็ม ไขมันสัตว์ กาแฟ แอลกอฮอล์ เพราะสิ่งเหล่านี้ยากที่จะขจัดออกจากร่างกาย
2. การออกกำลังกาย : พบว่าการออกกำลังกายอาจทำให้ผิวที่ตะปุ่มตะป่ำดูดีขึ้น เพราะการออกกำลังกายทำให้เกิดการเผาผลาญ ไขมันเป็นพลังงานทำให้ก้อนไขมันมีขนาดเล็กลง นอกจากนั้น การออกกำลังกายยังทำให้กล้ามเนื้อมีขนาดโตขึ้น ซึ่งกล้ามเนื้อที่โตขึ้นมักมีขนาดสม่ำเสมอ (ไม่เหมือนก้อนไขมันที่เวลาโตมักแลดูตะปุ่มตะป่ำ) จึงทำให้แลดูว่าผิวเรียบขึ้น
3. การนวด : โดยใช้ฝ่ามือนวดไปมาลงน้ำหนักที่ละน้อย เริ่มจากหัวไหล่เพื่อลดบริเวณแขน ส่วนบริเวณหน้าท้อง ก็ใช้ฝ่ามือทั้งสองนวดสลับกันจากหน้าท้องถึง หน้าอก บริเวณสะโพกนั้นลูบขึ้นในลักษณะเดียวกัน และบริเวณเรียวขา เริ่มตั้งแต่ข้อเท้าไล่ขึ้นมาจนถึงบริเวณขาอ่อน นวดให้ทั่วทั้งด้านหน้าและด้านหลังของเรียวขา ซึ่งอาจจะ ใช้ควบคู่กับครีมลดไขมันเฉพาะส่วน หรือใช้เครื่องนวดที่จะไปกระตุ้นการไหลเวียนเลือดและทำให้เซลลูไลท์แตกตัว แต่ได้ผลไม่ค่อยดีนัก ช่วยในเรื่องของการกระชับชั่วคราวมากกว่า

4. X Wave therapy คือเทคโนโลยี่ในการสลายเซลลูไลท์ โดยใช้คลื่นความสั่นสะเทือน ( Acoustic wave technology ) แบบเฉพาะผ่านหัวคล้ายๆ กับการนวด ไปยังบริเวณที่ต้องการจะรักษา ตัวคลื่นจำเพาะนี้จะสามารถไปทำลายเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่ยึดติดกันเป็นก้อนเซลลูไลท์ให้แตกตัว และเพิ่มการหมุนเวียนของเลือดและระบบน้ำเหลืองให้ดีขึ้น เพื่อให้ไขมันที่แตกตัว ขับออกจากร่างกายทางระบบน้ำเหลือง และปัสสาวะ โดยในขณะที่ทำ จะรู้สึกสบายตัว ไม่เจ็บ ไม่มีบาดแผลฟกช้ำหลังทำ โดยได้รับการรับรองผลจาก US FDA ว่าเป็นเครื่องมือที่สามารถลดและแก้ไขปัญหาเซลลูไลท์อย่างได้ผล โดยไม่ต้องเจาะหรือฉีดให้เจ็บตัว
5. การสลายไขมันส่วนเกิน อาจจะทำได้ทั้งแบบศัลยกรรม เช่น การผ่าตัดดูดไขมัน (Liposuctions) ทั้งด้วยเครื่องอัลตราซาวน์ (VASER) หรือใช้เลเซอร์ในการดูดไขมัน หรือ อาจจะใช้เครื่องมือที่ไม่ต้องทำศัลยกรรม เช่น การสลายไขมันด้วยความเย็น (Coolsculpting )หรือด้วยความเลเซอร์ร้อน (Sculture)

Posted on

คาร์บ็อกซี่ (Carboxytherapy): รักษารอยแตกลาย ได้ผลดี และสลายไขมันส่วนเกินเฉพาะที่

คาร์บ็อกซี่ (Carboxytherapy) คืออะไร

คือ เครื่องมือที่นำมาทำการรักษารอยแตกลาย สลายไขมันส่วนเกิน หรือเซลลูไลท์ โดยการฉีดก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ เข้าไปที่ชั้นผิวหนังที่แตกลาย หรือชั้นไขมัน
หลักการทำงานของ Carboxytherapy :
1. รอยแตกลาย : การฉีดก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ ในรอยแตกลาย ด้วยความดันสูง จะทำให้ผิวแตกลายที่เป็นพังผืด ฉีกขาด เกิดจากซ่อมแซม สร้างเซลล์ผิวใหม่ สีผิวที่ซีดจาง จะกลับมาเกือบเป็นสีผิวปกติ รอยแตกลายจึงดูจางลง
2. การสลายไขมัน : ก๊าซที่ฉีดเข้าชั้นไขมัน จะละลายกับน้ำอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดเป็นกรดคาร์บอนิค กรดคาร์บอนิค ทำให้เกิดการขยายตัวของหลอดเลือด แล้วเข้าไปทำลายเซลล์ไขมันให้แตกออก จึงกระตุ้นการเผาผลาญไขมัน และเกิดเส้นเลือดใหม่ขึ้นมา ก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ จะทำงานแบ่งเป็น 2 ส่วน ดังนี้
2.1 ก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ จะทำหน้าที่กำจัดและทำลายเซลล์ไขมัน
2.2 ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จะทำหน้าที่เพิ่มการไหลเวียนของเลือดได้ดียิ่งขึ้น จึงทำให้เกิดการขับของเสีย หรือไขมันออกจากร่างกายได้เร็วขึ้น


ตอนนี้ใช้รักษาอะไร

คาร์บ๊อกซี่เธอราปี ได้มีการนำเข้ามาใช้แล้วในวงการความงาม เมื่อประมาณปี พ.ศ . 2548  ตอนนั้นถือเป็นเครื่องสลายไขมัน ยุคแรกๆ เป็นทางเลือกแรกในการสลายไขมันเฉพาะที่ ที่สนนราคาไม่แพง  และสะดวก ได้ผลดีในระดับหนึ่ง แต่หลังจากที่มีเครื่องมือและวิธีใหม่ๆ ในการสลายไขมันออกมาสู่ท้องคลาด เช่น การฉีดเมโสแฟต การสลายไขมันด้วยความเย็น(Coolsculpting) การสลายไขมันและกระชับสัดส่วนในเครื่องเดียว เช่น Exilis Elite จึงทำให้การสลายไขมันด้วยเครื่องคาร์บอกซี่ ลดความนิยมลง เพราะช่วงทำ จะค่อนข้างเจ็บมาก ใช้เวลาทำแต่ละครั้งนาน และต้องทำหลายๆ ครั้ง จึงจะเห็นผลขัดเจน
ปัจจุบัน เครื่องคาร์บอกซี่ จึงยังนิยมใช้เฉพาะกับการรักษายังใช้ในการรักษารอยแตกลาย เพราะได้ผลดี และไม่มีผลข้างเคียง ไม่เกิดรอยดำหลังทำเหมือนกับการยิงเลเซอร์รักษารอยแตกลาย

Carboxy รักษารอยแตกลายต้นขา
Carboxy รักษารอยแตกลายหลังคลอด