Posted on

สิวเสี้ยน : สาเหตุที่เกิด ป้องกันและกำจัดอย่างไร ให้หน้าเรียบเนียนใส ไม่มีสะดุด

สิวเสี้ยนคืออะไร

สิวเสี้ยน (Small Pimple or Trichostasis Spinulosa) เป็นความผิดปกติของต่อมรูขุมขนโดยมีลักษณะคล้ายสิวอุดตันหัวดำ หรือเป็นจุดดำๆ หรือมีหนามแหลมๆยื่นออกมาทางรูขุมขน ซึ่งก็คือ เซลล์กระจุกขน เซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว หรือสิ่งสกปรก คราบเครื่องสำอางค์ อุดตันอยู่ในรูขุมขน และไม่ยอมผลัดร่วงไปตามปกติ พบได้บ่อย บริเวณจมูก หน้าผาก หรือข้างแก้ม และที่หลังบริเวณกระดูกสบัก

สาเหตุของสิวเสี้ยน ได้แก่

  • การทำงานที่มากผิดปกติของฮอร์โมนเพศชาย
  • ปริมาณกรดไขมัน Linoleic Acid ที่อยู่ในซีบัมซึ่งอยู่บนผิวหนังชั้นนอกลดลง ทำให้ผิวหนังได้รับการปกป้องลดลง
  • ระบบภูมิคุ้มกันสร้างสารไซโทไคน์ที่ก่อให้เกิดการอักเสบ (Pro-inflammatory Cytokines)
  • เชื้อแบคทีเรียสิว ( P. Acnes) ก่อให้เกิดสิวสร้างกรดไขมันอิสระมากเกินไป
  • การรบกวนผิวมากๆ เช่น การเช็ดถูหน้าแรงๆ, การขัดหรือนวดหน้า การบีบสิว ซึ่งการกระทำเช่นนี้จะทำให้รูขุมขนถูกทำลาย ทำให้รูขุมขน หรือรากขนนั้นแตก ขนจึงมีสิทธิ์ที่จะคุดอยู่ข้างในได้เพิ่มมากขึ้น กลายเป็นหนามแหลมๆทั้งใบหน้าได้
  • สัมผัสกับสารเคมี เช่น ผลิตภัณฑ์แต่งผม และผลิตภัณฑ์ย้อมสีบางชนิดที่กระตุ้นการก่อให้เกิดสิว
  • สูบบุหรี่
  • การรับประทานอาหารที่เป็นสาเหตุก่อให้เกิดสิว เช่น อาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูง เป็นต้น

การรักษาสิวเสี้ยน

1. ครีมลอกสิวเสี้ยน : โดยครีมจะไปละลายการอุดตันของต่อมไขมัน กับมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียสิว P.acne เช่น กรดวิตามินเอ(Retinoids) , กรดอะซีลาอิก (Azelaic Acid) ,เบนโซอิลเปอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide)
2. การลอกผิวด้วยกรดเข้มข้น (Chemical Peeling ) : เช่น TCA,AHA,BHA เพื่อลอกผิวหน้า เปิดรูขุมขนหรือรูสิวเสี้ยน เพื่อง่ายต่อการกดออก หรือดึงออกด้วยครีมคีบสิวเสี้ยน แต่ไม่ช่วยเรื่องสิวเสี้ยนที่เป็นขนๆ เหมือนหนาม
3. Scottape technique: โดยอาจจะอยู่ในรูปของแผ่นแปะจมูกที่เคลือบสารเคมีที่ทำให้ติดแน่น แปะที่จมูกและทิ้งไว้ระยะหนึ่ง แล้วค่อยดึงออก แต่ก็มีข้อจำกัด คืออาจจะกำจัดสิวเสี้ยนได้ไม่หมด และไม่สามารถกำจัดสิวเสี้ยนได้ทุกที่
4. Laser :  เลเซอร์ที่ใช้มีหลายตัว เช่น Q-Switch Nd:YaG ( Revlite ,Pico laser ), Long-pulsed diode laser (Zoprano) ใช้กำจัดรอยดำ ขนที่คล้ายหนามในรูขุมขน ,Fractional laser 1550 ใช้รักษาสิวเสี้ยนหัวขาว จากท่อไขมันผิดปกติ และกระชับรูขุมขน และป้องกันการเกิดสิวเสี้ยนได้อีก

Revlite กำจัดสิวเสี้ยนหัวดำ
Finescan กำจัดสิวเสี้ยนหัวขาว

Posted on

รองเท้าส้นสูง ( High Heels) ใส่อย่างไร ไม่ปวดขา ไม่เมื่อยล้า แก้ไขยังไง เมื่อเกิดการบาดเจ็บ

รองเท้าส้นสูง ( High Heels) คือสูงแค่ไหน
โดยทั่วไปรองเท้าที่จะเรียกได้ว่าเป็นรองเท้าส้นสูงนั้น จะต้องมีความสูงมากกว่า ๔ นิ้วครึ่ง สำหรับรองเท้าผู้หญิง และสูงมากกว่า ๓ นิ้วครึ่ง สำหรับรองเท้าผู้ชาย
มีน้อยคนนักที่จะรู้ว่าภายใต้ความเคยชินกับการสวมรองเท้าส้นสูงเป็นเวลานาน ๆ ส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างไรบ้าง อย่ามองข้ามความสำคัญเล็ก ๆ น้อย ๆ ในการดูแลสุขภาพเท้าของตัวเอง

การเปลี่ยนแปลงด้านสรีระขณะสวมใส่รองเท้าส้นสูง 

  1. ขณะสวมใส่รองเท้าส้นสูงทำให้เรามีรูปร่างสูงขึ้น แต่ขณะเดียวกันรอยเท้าจะสั้นกว่าปกติ ซึ่งตามหลักของ ชีวกลศาสตร์ ร่างกายจะรักษาสมดุลยากขึ้น กล้ามเนื้อฝ่าเท้าและขาจึงต้องทำงานมากกว่าเดิม เพื่อที่จะพยายามรักษา สมดุลของการทรงตัวให้ได้
  2. ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของจุดรับน้ำหนักของร่างกาย นั่นคือน้ำหนักจะตกที่ปลายเท้ามากกว่าปกติ ทำให้เกิด การเบี่ยงเบนของร่างกายไปจากเดิม กล้ามเนื้อขาและลำตัวต้องทำงานมากขึ้น ที่สำคัญบริเวณหลังจะเกิดการแอ่นมาก และเป็นสาเหตุของการปวดหลังในอนาคตได้
  3. กล้ามเนื้อน่องและเอ็นร้อยหวายจะหดสั้นตลอดเวลาที่ใส่รองเท้าส้นสูง ทำให้บริเวณน่องเกิดความตึงตัวการไหล เวียนของเลือดไม่ดี
  4. การเดินขณะใส่รองเท้าส้นสูง จะทำให้ความยาวของการก้าวเท้าสั้นกว่าเมื่อเดินเท้าเปล่า เนื่องจากกล้ามเนื้อน่องมี การหดตัวอยู่บ้างแล้วขณะที่ใส่รองเท้าส้นสูง ดังนั้นเมื่อกล้ามเนื้อต้องทำงานถึบปลายเท้าเพิ่มขึ้นอีก จึงเกิดแรงถีบเพียง เล็กน้อยเท่านั้น
  5. การขึ้นบันไดขณะสวมใส่รองเท้าส้นสูง จะทำให้ร่างกายขาดความมั่นคง เพราะต้องเกร็งและระวังว่าจะสะดุดบันได กลัวหกล้ม เลยทำให้กล้ามเนื้อขาต้องทำงานมากกว่าปกติ

รองเท้าสูงเท่าไร จึงจะก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ
เป็นเรื่องยากอยู่เหมือนกันที่จะชี้เฉพาะลงไปเลยว่ารองเท้าสูงเท่าไร จึงจะก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ เนื่องจากเหตุปัจจัยของแต่ละคนแตกต่างกัน เช่น รูปร่างอ้วนหรือผอม ความแข็งแรง ของกล้ามเนื้อเป็นอย่างไร ซึ่งคนที่มีกล้ามเนื้อแข็งแรงก็อาจจะเกิดอันตรายน้อยกว่าคนทั่วไป นอกจากนี้ ก็ยังขึ้นอยู่กับ ความเคยชินด้วยว่าใส่รองเท้าสูงมานานเท่าไร อย่างไรก็ตาม การใส่รองเท้าส้นสูงที่มีส้นรองเท้าแหลมและสูง ย่อมเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายได้มากกว่าการสวม รองเท้าส้นทึบและเตี้ยอย่างแน่นอน
การบาดเจ็บที่มักเกิดขึ้นสำหรับผู้ที่ใส่รองเท้าส้นสูงเป็นประจำ

  1. เกิดอาการปวดเมื่อย บริเวณฝ่าเท้า นิ้วเท้า และน่อง เพราะกล้ามเนื้อที่ไม่แข็งแรงต้องทำงานมาก เกินไป จึงทำให้เกิดการเมื่อยล้าได้ง่าย หรือเพราะกล้ามเนื้อบางมัดถูกยึดมากเกินไป หรือการไหลเวียนของเลือดบริเวณ นั้นไม่ดี เนื่องจากกล้ามเนื้อบางมัด เช่น กล้ามเนื้อน่องหดเกร็งอยู่เป็นเวลานาน ๆ
  2. เกิดการปวดบางตำแหน่ง เช่น ที่นิ้วเท้า ซึ่งเกิดจากการถูกบีบ การกดทับ และการเสียดสี จากรองเท้า ประเภทแฟชั่นที่อาจจะมีรูปลักษณะแปลก ๆ แต่สวมใส่แล้วไม่สบายเท้า
  3. เกิดอันตรายเนื่องจากอุบัติเหตุ เช่น เท้าแพลงเมื่อเกิดการเหยียบพลาด หกล้มทำให้กระดูกหัด หรือ ตกหลุม

การแก้ปัญหาเมื่อบาดเจ็บ 

– กรณีได้รับอุบัติเหตุ เช่น ข้อเท้าแพลง ในระยะ 1-2 วันแรกให้ใช้น้ำแข็งประคบนาน 5-10 นาที ทำวันละ ๒ ถึง ๓ ครั้ง เพื่อช่วยลดอาการปวด และพักการใช้ข้อเท้าชั่วคราวโดยการพันด้วยผ้าพันชนิดยืด ถ้าอาการยังไม่ดีขึ้น ควรรีบไปพบแพทย์
-กรณีปวดเมื่อยข้อเท้า เมื่อกลับถึงบ้าน ให้แช่เท้าด้วยน้ำร้อน (ที่พอทนได้) ดูให้ระดับน้ำสูงถึงครึ่งน่อง แช่นาน 10-15 นาที พร้อมกับออกกำลังเท้าและนิ้วเท้าไปด้วย โดยการกระดกปลายเท้าขึ้นถึบปลายเท้าลง งอนิ้วเท้า เหยียด นิ้วเท้า หันฝ่าเท้าเข้าด้านใน และหันฝ่าเท้าออกด้านนอก เพื่อเป็นการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ และถ้าเป็นไปได้ควรนวดเท้า บ่อย ๆ ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง อาทิ เหยียบกะลา คลึงเท้าด้วยลูกกอล์ฟ และนวดเท้า

แม้บางคนจะทราบดีว่าการสวมรองเท้าส้นสูงเป็นความสง่าที่มาพร้อมกับความปวดเมื่อย แต่หญิงสาวเป็นจำนวน มากไม่อาจตัดใจลาจากรองเท้าส้นสูงได้อย่างเด็ดขาด ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกัน จึงไม่ควรสวมรองเท้าส้นสูงเดินเป็นเวลานานในแต่ละวัน ควรปล่อยให้เท้าได้พักอยู่ใน ท่าสบายบ้าง หรือสลับกับการสวมรองเท้าที่มีความสูงน้อยลงบ้าง เพื่อช่วยให้เลือดบริเวณน่องและเท้าไหลเวียนเป็นปกติ เกิดเป็นหญิงยุคใหม่ จะสวยทั้งทีก็ต้องมีความรู้ที่ถูกต้องด้วย

Posted on

มาสก์หน้าอย่างไร ให้ตรงกับสภาพผิว ปรับหน้าให้ขาวใส ได้ด้วยตนเอง ด้วยวิธีง่ายๆ

ปัจจุบัน หน้าเนียนใส กำลังเป็นที่นิยมกันในคนที่รักสวยรักงามทั้งหลาย ทำให้ดูสะอาดตา และเป็นที่ดึงดูดใจกับผุ้พบเห็นทั้งหลาย ดังนั้นหลายท่านก็ได้ขวนขวายหาแนวทางที่จะบำรุงรักษาผิวพรรณให้เนียน ขาวใส ไร้ตำหนิ ไม่ว่าจะเป็นการสรรหาเลือกครีมสารพัดยี่ห้อมาลองใช้
แต่ในยุคนี้ อยากจะให้เราได้ประหยัดค่าใช้จ่ายกันบ้าง ดังนั้นผมจึงได้ลองค้นหาสูตรเคล็ดลับในการทำให้หน้าใสได้ด้วยตนเองมาฝาก โดยการพอกหน้าด้วยวิธีง่ายๆ ซึ่งเป็นการทำให้เซลล์ที่ตายแล้วหลุดออกไปจากผิวหน้า รวมไปถึงพวกสิวอุดตันต่างๆ ก็จะหลุดออกไปด้วยทำให้ผิวนุ่มเนียนขึ้น ปราศจากสิวฝ้า เลือดลมบนผิวหน้าหมุนเวียนดีขึ้น และเวลาทาครีมบำรุงจะช่วยให้ซึมเข้าผิวได้ดีกว่าเดิมด้วย ซึ่งอาจจะเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีเวลา และทรัพย์จางได้ลองทำดูนะครับ ดังนี้
Mask สำหรับผิวธรรมดา
ใช้โยเกิร์ต (รสธรรมดา) 1/4 ถ้วย ผสมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา คนให้เข้ากันแล้วทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที หรือจนรู้สึกว่าส่วนผสมที่ทาไว้แห้ง จึงล้างออกด้วยน้ำอุ่น สูตรนี้จะทำให้ผิวหน้าเราได้คุณค่าของนมมาช่วยบำรุงผิว และน้ำผึ้งที่กระชับรูขุมขน
Mask สำหรับผิวแห้ง
นำกล้วยหอมสุก 1/2 ลูก มาบดแล้วผสมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา คนให้เข้ากันแล้วทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำเย็น สูตรนี้ทำให้หน้านุ่มและตึงสวย

Mask สำหรับผิวมัน
นำมะเขือเทศสุก 1 ลูก มาบดหรือสับให้ละเอียด นำมาพอกที่หน้า ทิ้งไว้ 10-20 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำอุ่น ทำสัปดาห์ละครั้งจะช่วยลดความมันบนใบหน้าได้ วืตามินในมะเขือเทศจะช่วยบำรุงผิวและเซลล์ใต้ผิวได้เป็นอย่างดี
Mask สำหรับผิวอักเสบเป็นสิว
ใช้น้ำผึ้งทาที่หน้าทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น น้ำผึ้งมีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อและยังช่วยกระชับรูขุมขน มีค่า pH เป็นกลาง สูตรนี้รับรองไม่แพ้ครับ แถมหน้ายังเรียบเนียน และสิวก็จะยุบลงอีกต่างหาก
Whitening Mask
ใช้น้ำมะนาว 1 ลูก น้ำมะนาวฝรั่ง 1 ลูก น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ และโยเกิร์ตประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ นำทั้งหมดมาผสมให้เข้ากัน ทาถูนวดเบาๆ ที่หน้า ทำสัปดาห์ละ 1 ครั้ง จะทำให้หน้าขาวเป็นธรรมชาติ

เห็นมั้ยหละครับว่า กรรมวิธีหลากหลายนี้ ต่างก็ช่วยให้สีผิวหน้าขาวใส ได้ตามต้องการ ควรเลือกเปรียบเทียบให้เหมาะสมกับสภาพผิว ความต้องการ และความสะดวก กันนะครับ แต่อยากจะแนะนำว่า แม้ว่าผิวหน้าจะเนียนใสได้ตามต้องการแล้ว แต่ก็ไม่ได้คงอยู่อย่างถาวร เพราะมีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้หน้าหมองคล้ำกลับมาได้ใหม่ เช่น แสงแดด ความเครียด การพักผ่อนไม่เพียงพอ ดังนั้นก็ต้องหมั่นดูแล ทำทรีทเม้นต์ทั้งหลายอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ที่สำคัญ พยายามเลี่ยงแดด ทาครีมกันแดด อย่างสม่ำเสมอ

Posted on

วิธีเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เมื่อเริ่มสูงวัย จะปรับตัวอย่างไร ให้มีความสุขกาย สุขใจ ไร้โรคภัยคุกคาม

หน้าที่ของฮอร์โมน
ฮอร์โมนในร่างกายของคนเรา มีหน้าที่หลักในการทำงานคือ การควบคุมอวัยวะและระบบต่างๆ ให้ทำงานได้ตามปกติ ทั้งในแง่การดำรงชีวิตประจำวัน การเจริญเติบโต การนอนหลับพักผ่อน การเผาผลาญพลังงาน การสืบพันธุ์ การควบคุมอารมณ์ ฯลฯ
ซึ่งในร่างกายเราก็มีฮอร์โมนหลายชนิด และร่างกายก็ผลิตหรือหลั่งฮอรโมนจากอวัยวะต่างๆ หลากหลาย แต่เมื่อเราอายุมากขึ้น หรือแก่ขึ้น ก็มีการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนต่างๆ ในร่างกาย
ตามทฤษฎีว่าด้วยความแก่ (Theory of Aging) พบว่าทฤษฎีเกี่ยวกับฮอร์โมน (The Neuroendocrine Theory) ได้การอธิบายกลไกการเสื่อมของร่างกายเมื่ออายุมากขึ้น โดยพบว่า เมื่ออายุมากขึ้นฮอร์โมนต่างๆ จะลดระดับลง หรือการมีสร้างลดลง เมื่อมีระดับฮอร์โมนต่างๆ ลดลง สุขภาพของเราก็จะเสื่อมถอยลง เพราะขบวนการทำงานของระบบต่างๆ ของร่างกายลดลง ไม่ว่าจะเป็น การซ่อมแซมสิ่งทีสึกหรอ การเจริญเติบโต สมรรถภาพทางเพศ ผิวพรรณ ฯลฯ


การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนต่างๆ เริ่มต้นเมื่อไหร่
โดยตามทฤษฎีพบว่า เมื่อเราอายุย่างเข้า 30-40 ปี ฮอร์โมนต่างๆ ซึ่งเคยมีระดับสูงในวัยหนุ่มสาว ได้มีการ ลดปริมาณลงเรื่อยๆ มากน้อยแล้วแต่ชนิดของฮอร์โมน ทำให้บางคนเกิดมีภาวะพร่องฮอรโมน ( Hormonal Depletion) เป็นช่วงๆ อาการจะรุนแรงมากน้อย ก็แตกต่าง กันไปแล้วของแต่ละคน ฮอร์โมนหลักๆ ที่มีการลดลงให้เห็นได้อย่างชัดเจน ได้แก่
1. Growth Hormone: จัดเป็นฮอร์โมนที่ให้พลังงานแก่ร่างกาย (Anabolic Hormone) โดยมีบทบาทในการสร้างความเจริญเติบโตของสรีระของร่างกาย จากวัยทารก สู่วัยรุ่น สู่วัยหนุ่มสาว จนเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว การขาดฮอร์โมนนี้ในวัยเด็ก ก็จะทำให้เราเตี้ย แคระแกร็นได้ (Dwarfs) หรือถ้าเรามีระดับฮอรโมนนี้มากเกินไป ก็จะทำให้เรามี ร่างกายโตผิดปกติ (Giantism) แต่ถ้าภาวะปกติ เราก็จะสูงเตี้ย ตามกรรมพันธุ์และเชื้อชาติของเรา มากน้อยก็ขึ้นอยู่กับภาวะโภชนาการและการออกกำลังกายด้วย เมื่ออายุมากขึ้น การสร้าง Growth Hormone จะลดลง ทำให้เราเกิดมีอาการอ่อนเพลียได้ง่าย ผิวพรรณเหี่ยวย่น ลงพุง กล้ามเนื้อหย่อนคล้่อย และเกิดไขมันสะสมในร่างกายได้ง่ายขึ้น ขาดความกระฉับกระเฉงในการทำงาน
2. Melatonin: จัดเป็นฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการนอนหลับ ทำให้รู้สึกง่วงนอน อยากพักผ่อน และมีผลทำให้การนอนหลับได้สนิท นอกจากนี้ยังมีบทบาทหลายอย่าง อาทิ ช่วยสร้างเสริมภูมิคุ้มกันของร่างกาย มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ฯลฯ แต่เมื่ออายุมากขึ้น ระดับฮอรโมนนี้ก็จะลดลงเช่นกัน มีผลทำให้เรานอนหลับได้ยากขึ้น หลับไม่เต็มอิ่ม สะดุ้งตื่นได้ง่าย และนอนหลับต่อได้ยากขึ้น

3. Testosterone: จัดเป็นฮอรโมนเพศชาย ที่ทำให้ลักษณะเพศชายเด่นชัด เช่น มีหนวดเครา มีกล้ามเนื้อ ขนตามลำตัว อวัยวะเพศชาย ฯลฯ เสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง และมีความสำคัญเกี่ยวกับสมรรถภาพทางเพศ เมื่ออายุมากขึ้น ( ประมาณ 40 ปี) ระดับฮอรโมนนี้ก็จะลดลงเช่นกัน ทำให้มีผลต่อการแข็งตัวของอวัยวะเพศ สมรรถภาพทางเพศเสื่อมถอย อ่อนเพลียได้ง่าย อ้วนง่าย หงุดหงิดง่ายขึ้น ความจำช้าลง ฯลฯ
4. Estrogen: จัดเป็นฮอรโมนเพศหญิง ที่ทำให้ลักษณะเพศหญิงเด่นชัด เช่น มีหน้าอก สะโพกผาย ทำให้มดลูกมีสภาพพร้อมที่จะมีบุตร ผิวพรรณเนียนนุ่ม มีความต้องการทางเพศ ฯลฯ เมื่ออายุมากขึ้น ( ประมาณ 40-50 ปี) ระดับฮอรโมนนี้ก็จะลดลงเช่นกัน ทำให้มีผลต่อการเกิดริ้วรอยได้ง่าย อ้วนง่าย ความต้องการทางเพศลดลง รอบเดือนผิดปกติ เกิดอาการที่เรียกว่าวัยทอง (Perimenopausal syndromes) อาทิ วิงเวียนศีรษะ ร้อนวูบวาบตามลำตัว หงุดหงิดง่าย เครียดบ่อยๆ หดหู่ ซึมเศร้าได้ง่าย ความจำลดลง และทำให้เกิดภาวะกระดูกผุได้ง่าย (Osteoporosis)
5. Progesterone: จัดเป็นฮอรโมนเพศหญิงที่ช่วยปรับสมดุลย์ของฮอร์โมนเอสโตรเจน ทำให้มีรอบเดือน ช่วยสร้างเสริมสุขภาพของกระดูกและเต้านม เมื่ออายุมากขึ้น ( ประมาณ 40-50 ปี) ระดับฮอรโมนนี้ก็จะลดลง ถ้าขาด ก็จะทำให้มีอารมณ์ปรวนแปร ฉุนเฉียวได้ง่าย ก้าวร้าว กระวนกระวาย ขี้วิตกกังวล ปวดรอบเดือน ความรุ้สึกไวต่อการเจ็บปวดทั้งหลาย ไม่ค่อยถึงจุดสุดยอดในขณะที่มีเพศสัมพันธ์

6. Thyroid Hormone: จัดเป็นฮอรโมนที่เกี่ยวข้องกับระบบเผาผลาญและการใช้พลังงานของร่างกาย มีผลควบคุมระดับความดันโลหิต ชีพจร การคิด การพูด ระบบย่อยอาหาร ระบบปัสสาวะ ระดับไขมันในเลือด ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย เมื่ออายุมากขึ้น ในบางคนระดับฮอรโมนนี้ก็จะลดลงหรือพร่องไป ซึ่งจะมีผลทำให้น้ำหนักตัวเพิ่ม ท้องผูก นอนไม่หลับ อ่อนเพลีย ไวต่ออากาศเย็น มือเท้าเย็น ติดเชื้อง่าย ง่วงเหงาหาวนอนตลอดเวลา ความจำเสื่อม ความคิดอ่านช้าลง และอาจจะเกิดอาการซึมเศร้าได้ง่าย
7. DHEA: จัดเป็นฮอรโมนที่เกี่ยวข้องกับระบบไหลเวียนเลือด ระบบภูมิคุ้มกันและเมตาโบลิซึม จัดเป็นต้นกำเนิดของฮอร์โมนเพศ เทสโตเตอโรน และเอสโตรเจน เมื่ออายุมากขึ้น ในบางคนระดับฮอรโมนนี้ก็จะลดลงหรือพร่องไป ซึ่งจะมีผลทำให้ป่วยด้วยโรคหัวใจ เบาหวาน มะเร็ง และโรคซึมเศร้าได้ง่ายกว่าคนปกติ

การวินิจฉัยภาวะพร่องฮอร์โมน
1. การซักประวัติ
2. การตรวจร่างกาย
3. การตรวจระดับฮอร์โมน : ซึ่งมีการตรวจได้หลายทางแล้วแต่ชนิดของฮอร์โมน เช่น อาจจะวัดระดับฮอร์โมนจากเลือด น้ำลาย หรือปัสสาวะ

แนวทางแก้ไข
ในแนวทางเวชศาสตร์ชะลอวัย เราเชื่อว่า ฮอร์โมนที่ลดลง ก่อให้เกิดความเสื่อมต่อร่างกาย ถ้าเรามีวิธีหรือแนวทางใด ที่ทำให้ระดับฮอร์โมนต่างๆ กลับมาเพิ่มขึ้น ก็จะช่วยทำให้เราชะลอความเสือม หรือชะลอวัย ให้ช้าลง ทำให้เราลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคในวัยชราได้ ดังนี้
1. ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิต เช่น อาหาร การออกกำลังกาย การพักผ่อน ฯลฯ เพื่อเพิ่มระดับฮอรโมนต่างๆ ซึ่งแต่ละฮอร์โมน ก็มีแนวทางแตกต่างกัน
2. การให้วิตามิน อาหารเสริม ที่มีผลต่อการกระตุ้นระดับฮอร์โมน เช่น Arginine,leucine,Glutamine ซึ่งช่วยเพิ่มระดับ Growth Hormone
3. ให้ฮอร์โมนทดแทน Hormonal Replacement Therapy (HRT) : เป็นทางเลือกสุดท้าย ที่แพทย์จะเลือกทดแทนฮอร์โมนที่ลดลง หรือหลังจากปฏิบัติตามข้อ 1-2 แล้ว อาการและระดับฮอร์โมนไม่เพิ่มขึ้น แต่ทั้งนี้ก็ต้องคำนึงถึง ผลดี ผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นได้

Posted on

งานวิจัย : น้ำอัดลม ทำให้กรดยูริค สูงขึ้น เสี่ยงต่อการเกิดโรคเก๊าท์(Gout) ได้ จริงหรือไม่

โรคเก๊าท์ (Gout/ Gouty arthritis) เป็นภาวะของโรคที่เกิดจากการมีกรดยูริค (Uric acid) ในเลือดมีปริมาณสูงมากผิดปกติ( มากกว่า 7 Mg% ) จนไม่สามารถอยู่ในเลือดในรูปสารละลายได้ จึงเกิดการตกผลึกสะสมตามที่ต่าง ๆ เช่น ข้อ ทำให้ข้ออักเสบ หรือ ทำให้เกิดก้อนขึ้นตามร่างกาย
อาการของGout คือ ข้ออักเสบ ปวดข้อรุนแรงซึ่งเกิดขึ้นแบบเฉียบพลัน ไม่ทันข้ามคืน
อาหารที่มีกรดยูริคสูง มักจะมีอาการกำเริบขึ้น เช่น เครื่องในสัตว์ทุกชนิด กะปิ เนื้อสัตว์ปีก เครื่องในสัตว์ พืชผักยอดอ่อน เช่น หน่อไม้ ถั่วงอก สะเดา ยอดกระถิน ยอดผักอ่อน แตงกวา ชะอม น้ำหรือซุปที่สกัดจากเนื้อหรือน้ำต้มกระดูก กุ้ง หอย ปลาซาดีน เป็นต้น
งานวิจัยเครื่องดื่มน้ำอัดลมหรือฟรุคโตส จะมีผลต่อการเกิดโรคเก๊าท์
Choi HK และคณะวิจัย จากฮ่องกง พบว่า ฟรุคโตสในน้ำอัดลม ที่ทำให้กรดยูริคในเลือดสูงขึ้นได้ จากการเพิ่มการแปลงพลังงาน ATP ไปเป็น ADP ซึ่งเป็นตัวตั้งต้นของการเกิดกรดยูริคในร่างกาย
รายละเอียดทดลองวิจัย ได้นำบุคคลากรทางการแพทย์ เพศชาย จำนวน 46,393 คนมาสัมภาษณ์เกี่ยวกับความถี่ในการดื่มน้ำอัดลม ทั้งแบบผสมน้ำตาลแท้และน้ำตาลเทียม หรือน้ำผลไม้
ผลการศึกษา ในช่วง 12 ปี พบว่ามีอุบัติการณ์การเกิดโรคเก๊าท์จำนวน 755 ราย ยิ่งดื่มมากก็ยิ่งเสี่ยงต่อการเกิดโรคมากขึ้น อย่างมีนัยสำคัญ เช่น พบว่า ถ้าดื่มมากกว่าสัปดาห์ละ 5-6 ส่วน (serving) จะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 1.29 เท่า เมื่อเทียบกับคนที่ดื่มสัปดาห์ละ 1 ส่วน
เอกสารอ้างอิง..Chot HK,et all.soft drinks,fructost comsumtion,and the risk of gout in men:prospective cohort stusy.BMJ 2008;309-312

Posted on

ทฤษฎีว่าด้วยความชรา (Theory of Aging) : ทำไมเราถึงแก่ มีกลไกการเกิดอย่างไร ในระดับเซลล์

ทำไมเราถึงแก่

เมื่อคนเราอายุมากขึ้น สังขารของเราก็ย่อมมีการเปลี่ยนแปลง ตามวัฏสงสาร คือ เกิด แก่ เจ็บและตาย การเปลี่ยนแปลงทางสรีระวิทยา เช่น การเปลี่ยนแปลงด้านผิวพรรณ รูปลักษณ์ภายนอก อวัยวะต่างๆ ก็ย่อมเดินทางไปสู่ทางเสื่อมลงๆ ดังเช่น รถยนต์ ยิ่งนานวัน อายุการใช้งานที่มากขึ้น ก็ย่อมทำให้ประสิทธิภาพและ ศักยภาพต่างๆลดลง
นักวิทยาศาสตร์หลายกลุ่มหลายคน ที่พยายามจะอธิบายทฤษฎืความแก่ (Theory of Aging) ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ทำไมเมื่ออายุมากขึ้น จึงต้องแก่ จึงต้องมีโรคภัยหรือมีการเจ็บป่วย ที่ทำให้เราต้องสูญเสียการทำงานบางอย่าง หรือเกิดการตายในที่สุด โดยได้มีการสรุปออกมาได้ดังนี้
ทฤษฎืความแก่ (Theory of Aging)
ได้อธิบายออกมาในแง่ของโมเลกุลของเซลล์ที่เสื่อมออกมา เป็น 2 หัวข้อใหญ่ๆ คือ
1. เสื่อมตามโปรแกรมที่ตั้งไว้แล้ว (Biological Clock) หมายถึง ในวงจรชีวิตของคน หรือสัตว์ทั้งหลาย ได้มีการตั้งเวลาไว้ก่อนแล้วว่า อายุขัยของสิ่งมีชีวิตแต่ละประเภทนั้น ควรจะประมาณกี่ปี เช่น สุนัขก็จะประมาณ 10-15 ปี คนเราก็ประมาณ 70-80 ปี ยุงมีอายุขัยประมาณ 1-2 วัน เป็นต้น
2. เสื่อมจากอุบัติเหตุหรือปัจจัยภายนอก (Accidental or environment aging) ซึ่งหมายถึงการเสื่อมหรือการสิ้นอายุขัยที่เราทำขึ้นมาเอง เช่น จากอุบัติเหตุ สิ่งแวดล้อม การไม่ดูแลใส่ใจในสุขภาพตนเอง เป็นต้น

Life Style
hormone decline

จากทฤษฎืความแก่ (Theory of Aging) ใหญ่ๆ ข้างต้น ได้มีการพยายามศึกษา และหาเหตุผลในการอธิบายให้ละเอียดลึกซึ้ง มากขึ้น ทำให้เกิด ทฤษฎืความแก่ปลืกย่อยออกมาอีกมากมายที่พอจะเล่าให้ฟังคร่าวๆ ที่ได้รับการยอมรับกันอย่างแพร่หลายแล้ว ดังนี้

  1. The Wear and Tear Theory : โดยเชื่อว่าคนเราแก่จากการที่เซลล์ของเราถูกทำลาย จากการใช้งานมากเกินไป หรือใช้งานไม่ถูกต้อง ไม่รู้จักดูแลสุขภาพ
    – เช่นการพักผ่อนให้เพียงพอ การรับประทานไม่ถูกต้องตามหลักโภชนาการ เกิดสารพิษปนเปื้อน เกิดการติดเชื้อโรค เป็นต้น จึงทำให้เสื่อมลงๆ เปรียบเหมือนรถยนต์ที่ใช้งานหนักมานาน และไม่ทะนุถนอม ก็จะทำให้เครื่องพังได้เร็วขึ้น ดังนั้นอายุขัยแต่ละคน จะมีชีวิตยืนยาวที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตัวของเรานั่นเอง
  2. The Neuroendocrine Theory: เนื่องจากเมื่ออายุมากขึ้นฮอร์โมนต่างๆ จะลดระดับลง เช่น ในเพศหญิงจะมีระดับ Estrogen,Progesterone จะลดลง ส่วนเพศชายจะมีระดับฮอร์โมน Testosterone ลดลง
    – นอกจากนี้ยังมีฮอร์โมนตัวอื่นที่ลดลงเหมือนกันทั้งในเพศหญิงและชายคือ Growth Hormone,Cortisol, Melatonin ฯลฯ ซึ่งฮอร์โมนเหล่านี้ เป็นฮอร์โมนหลักๆ ที่มีผลต่อการทำงานของเซลล์ และอวัยวะต่างๆ เมื่อมีระดับฮอร์โมนลดลง สุขภาพของเราก็จะเสื่อมถอยลงเช่นกัน เพราะทำให้การซ่อมแซมสิ่งทีสึกหรอ หรือการทำงานต่างๆ ลดลง
  3. The Genetic Control Theory: เชื่อกันว่ายีนส์จากพันธุืกรรมของแต่ละคน ได้เป็นตัวกำหนดอายุขัยของแต่ละคนตามเชื้อชาติ เช่น การมีประวัติโรคภัยจากกรรมพันธุ์ ในการสืบทอดทางสายเลือด ทำให้คนเราอายุไม่เท่ากัน
    – เช่น คนที่มีประวัติเบาหวานในครอบครัว ก็จะมียีนส์ที่ด้อย และถ่ายทอดไปยังบุตรหลาน ทำให้มีโอกาสเกิดเบาหวานได้ง่ายกว่าคนที่ ไม่มีประวัติทางครอบครัว เป็นต้น ซึ่งทำให้มีการค้นคว้าวิจัยในอนาคต ที่จะทำการเปลี่ยนถ่ายยีนส์ที่ไม่ดีออกไป แล้วคัดสรรยีนส์ที่แข็งแรงทดแทน ที่บางคนอาจจะเคยได้ยินที่เค้าเรียกว่า Gene testing and Gene Therapy หมายถึงการคัดเลือกสายพันธุ์ที่ดี การ Screen ยีนส์ที่ไม่ดี ก่อนการสมรส หรือการคัดสรรสายพันธุ์ที่ดี เพื่อสืบทอดทายาท เป็นต้น

4. The Free-Radical Theory:  ทฤษฎืที่ว่าด้วยสารอนุมูลอิสระ โดยเชื่อว่าสารอนุมูลอิสระ(Free radicles) ซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่นจากแสงแดด สารเคมีบางอย่าง ฯลฯ เป็นตัวการในการทำลายเซลล์ ทำให้เซลล์เสื่อมสภาพ โดยไปทำลายและรบกวนการสร้าง DNA ซึ่งเป็นยีนส์ในการสังเคราะห์โปรตีน รบกวนการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ซึ่งสารต้านอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้น เปรียบเสมือนสนิมของรถยนต์ที่จะคอยกัดกร่อนร่างกายให้เสื่อมสภาพ
จึงได้มีการแก้ไขด้วยสารต้านอนุมูลอิสระมากมาย ที่เรียกว่า Anti-Oxidants เช่น วิตามินซี วิตามินเอ CoQ10 Idebenone ฯลฯ ออกมาป้องกันภาวะชราดังกล่าว
5. Telomerase Theory of Aging: พบว่าเมื่ออายุมากขึ้น เซลล์มีการแบ่งตัวตลอดเวลาเพื่อการเจริญเติบโต โดยมีโครโมโซมในยีนส์เป็นตัวที่มีบทบาทสำคัญ นักวิทยาศาสตร์พบว่าในโครโมโซม จะมี Telomeres เป็นตัวที่กำหนดบทบาทความแข็งแรงของโครโมโซม
โดยพบว่ายิ่งอายุมากขึ้น เซลล์ก็จะแบ่งตัวมากขึ้น ทำให้ความยาวของ Telomeres จะยิ่งสั้นลง ทำให้เซลล์ลดความแข็งแรง และเสื่อมตายในที่สุด ทั้งนี้ยังพบว่า ขบวนการดังกล่าวอาศัยเอนไซม์ Telomerase เป็นตัวนำพาการแบ่งตัว ในงานวิจัย พบว่าในเซลล์มะเร็งจะมีเอนไซม์ Telomerase มาก และทำให้เซลล์แบ่งตัวตลอดเวลาจนผิดปกติ เกิดเป็นเซลล์มะเร็ง ได้มีการทดลองนำสารที่ยับยั้งการทำงานของ เอนไซม์ Telomerase ทำให้พบว่าสามารถป้องกันและรักษามะเร็งได้ในอนาคต
ปัจจุบันศาสตร์ด้านเวชศาสตร์ชะลอวัย(Anti-Aging Medicine) ได้มีการศึกษา ทดลอง ค้นคว้า กันอย่างต่อเนื่อง และก็มี ทฤษฎืความแก่ (Theory of Aging) หลากหลาย บทความ งานวิจัย ออกมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น
Waste Accumulation Theory
– Mitochondrial Theory,Cross-Linkage Theory
-Autoimmune Theory
– Carorie Restriction Theory
– Gene Mutation and DNA Damage Theories,Rate of Living Theory,Order to Disorder Theory ฯลฯ
ซึ่งงานวิจัยหาสาเหตุของความชราหาความเป็นไปได้ในการป้องกัน รักษา เพื่อชีวิตที่ยืนยาว แข็งแรง ในอนาคต และเป็นการเอาชนะธรรมชาติที่มนุษย์ได้พยายามค้นคว้า ศึกษา ทดลอง อย่างไม่หยุดยั้งในการเรียนรู้นี่เอง นำมาซึ่งการพัฒนาองค์ความรู้มากมาย ก็คงต้องติดตามความก้าวหน้าด้านการแพทย์กันต่อไป

Free-Radical
Telomere
Posted on

ยกกระชับ ปรับรูปหน้า ให้กลับมาดูอ่อนเยาว์ มีได้หลายวิธี แบบไหนได้ผลดี Facelift -Update!

วิธียกกระชับ ปรับรูปหน้า

เมื่ออายุมากขึ้น ปัญหาหย่อนคล้อย ริ้วรอย เป็นปัญหากวนใจ ให้รำคาญ การยกกระชับผิวหน้า( Facelift) ก็จัดเป็นวิธีการหนึ่งที่เป็นที่นิยมในการทำให้ผิวหน้าดูอ่อนเยาว์วัย เต่งตึงขึ้นแล้ว ริ้วรอยต่างๆ ลดลงได้อีกด้วย เราแบ่งการยกกระชับผิวหน้า( Facelift) ออกได้เป็น 3 หลักการใหญ่ๆ ดังนี้
1. การยกกระชับผิวหน้าโดยการผ่าตัด(Surgical Facelift) – จัดเป็นการยกกระชับผิวหน้าที่ถือว่าเป็นที่นิยมมานานหลายทศวรรษ เพราะเปรียบเสมือนการยกเครื่อง ครั้งใหญ่ของใบหน้า โดยการกรีดผิวหนังบริเวณหนังศีรษะหรือขมับ แล้วตัดผิวหนังที่หย่อนคล้อยไม่ต้องการออกไป แล้วดึงรั้งผิวหน้าให้เต่งตึงขึ้น แน่นอน! ย่อมเป็นการยกกระชับผิวหน้าที่ได้ผลแน่นอน เห็นผลไว แต่ก็ทำให้ท่านต้องมีบาดแผลหลังผ่าตัด ต้องเจ็บตัว ต้องพักฟื้น และค่าใช้จ่ายก็สูงมาก ต้องอาศัยแพทย์ที่มีความชำนาญ ในการทำศัลยกรรมตกแต่งอย่างมาก ผลที่ได้จึงจะพอใจและมีผลข้างเคียงน้อยที่สุด ที่สำคัญไม่สามารถจะทำได้บ่อยๆ ดังนั้นการทำ การยกกระชับผิวหน้าโดยการผ่าตัด(Surgical Facelift) จึงมักจะเป็นทางเลือกสุดท้าย และมักจะนิยมทำกันในคนที่อายุมากๆ แล้วเท่านั้น ( ปัจจุบันแพทย์มักจะแนะนำให้ทำเมื่ออายุมากกว่า 60-70 ปี )

2. การยกกระชับผิวหน้ากึ่งผ่าตัด(Semi-Surgical Facelift) – จากผลไม่พึงประสงค์ของการยกกระชับผิวหน้าด้วยการผ่าตัด ทำให้ทางการแพทย์ได้มีการพัฒนาการยกกระชับผิวหน้าให้ง่ายขึ้นกว่าเดิม แต่ก็ได้ผลดีพอควร ผลข้างเคียงน้อยกว่าแบบแรก นั่นก็คือ การยกกระชับผิวหน้าด้วยไหมละลาย สอดไปในชั้นหนังแท้ หรือชั้นไขมัน เพื่อยกกระชับหน้า เห็นผลทันทีหลังทำ ใช้เวลาทำไม่นาน ไหมที่ใช้ เป็นไหมละลายได้ โอกาสแพ้น้อยมาก ไม่มีผลปฏิกิริยาต่อผิวหนัง ไหมที่ ผ่านอย. รับรองว่าปลอดภัย ปัจจุบัน มีเพียง 2 ยี่ห้อ เท่านั้น คือไหมอิตาลี ( Definisse ) ผสมผสานกันระหว่างวัสดุ PLLA และ PCL กับไหมเกาหลี ( Mint Thread) ซึ่งเป็นไหม PDO ไหมละลายที่นำมาร้อยกระชับ แบ่งได้เป็น 2 แบบ คือ
– ไหมละลายแบบมีเงี่ยง ซึ่งมีชื่อเรียกกันได้ หลายอย่าง เช่น ไหมกุหลาบ ไหมบาก ฯลฯ มักจะเหมาะกับการหย่อนคล้อยที่ไม่ต้องการจะผ่าตัด ไม่อยากพักฟื้น หลังทำยึดเกาะยกกระชับทันที หลังทำอาจจะต้องพักฟื้น 5-7 วัน มักต้องทำซ้ำทุก 12-18 เดือน
– ไหมละลายแบบไม่มีเงี่ยง ปัจจุบัน ที่ผ่าน อย. มีเฉพาะไหม Mint Mono ไหมแบบนี้ นิยมนำมาร้อยเสริมแบบมีเงี่ยง ให้เก็บรายละเอียด หรือใช้เพื่อกระตุ้นคอลลาเจน ซึ่งจะ ละลายไปภายใน 6-8 เดือน ไม่เหลือตกค้างให้เกิดผลข้างเคียงภายหลัง

3. การยกกระชับผิวหน้าแบบไม่ต้องผ่าตัด(Non-Surgical Facelift) -จัดเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการยกกระชับผิวหน้า ที่ถือว่าเจ็บตัวน้อยสุด ผลข้างเคียงน้อยสุด แต่ก็ได้ผลดีพอสมควร ซึ่งปัจจุบันมีหลากหลายวิธีในการยกกระชับผิวหน้า ซึ่งหลายท่านอาจจะเคยมีประสบการณ์กันมาแล้ว ซึ่งจะไล่เรียงดังนี้
3.1 การนวดหน้า ( Facial Massage) : จัดเป็นการยกกระชับผิวหน้าแบบอนุรักษ์นิยม คือมีมาแต่โบราณกาล เห็นได้บ่อยในร้านเสริมสวย สปา คลินิกความงามทั้งหลาย โดยการใช้มือคนเราในการนวดผิวหน้า อาจจะใช้ครีมหรือตัวยา สมุนไพรต่างๆ ร่วมด้วย การกดจุด จัดเป็นการยกกระชับผิวหน้าแบบอ่อนๆ ที่ได้ผลน้อยที่สุด ราคาถูก เหมาะกับผิว ที่ไม่ได้หย่อนคล้อยมากนัก (อายุน้อยกว่า 30 ปี) และก็ต้องทำต่อเนื่องไปเรื่อยๆ หยุดทำเมื่อไหร่ ผิวหน้าก็คืนสภาพกลับมาเหมือนเดิม
3.2 การยกกระชับผิวหน้าด้วยเลเซอร์ หรือ คลื่นแสง(IPL): ก็จัดเป็นการยกกระชับผิวหน้าชั้นตื้น โดยใช้พลังงานเลเซอร์ หรือคลื่นแสง IPL ไปกระตุ้นชั้นหนังแท้ให้มีการสร้างคอลลาเจนขึ้นมา จึงทำให้ผิวหน้าเต่งตึงกระชับ ได้ผลเร็วและพอควร ไม่เจ็บตัวมากนัก ไม่มีผลข้างเคียงใด แต่ก็ต้องทำหลายครั้ง และก็ได้ผลกับผิวที่ไม่ได้หย่อนคล้อยมากนักเช่นกัน (อายุน้อยกว่า 40 ปี)

3.3  การยกกระชับผิวหน้าด้วยการฉีด Botox : มีการค้นพบว่า คุณสมบัติของสาร Botulinum toxin tyoe A ถ้าฉีดตื้นไปในชั้นหนังแท้ จะทำให้กล้ามเนื้อเรียบหรือคอลลาเจนหดตัว เกิดการกระชับขึ้นในชั้นผิว แทนที่จะทำให้กล้ามเนื้อคลายตัวเหมือนการลึก ในการลดกรามหรือริ้วรอย เทคนิคนี้ เรียกว่า Dermalift มักจะนิยมนำมาฉีดยกกระชับ กรอบหน้า ขอบคางให้คมชัด ได้ผลทันทีหลังฉีด เหมาะกับผิวที่ไม่หย่อนคล้อยมากนัก
3.4  การยกกระชับผิวหน้าด้วยการฉีด Fillers : จะพบว่าเมื่ออายุมากขึ้น จะมีการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนคือจะมีการสูญเสีย คอลลาเจน มวลกล้ามเนื้อ หรือแม้แต่มวลกระดูก แล้วทำให้เกิดการหย่อนคล้อยขึ้น ดังนั้นถ้าเราสามารถที่จะเติมส่วนที่หายไป (Volumn loss) หน้าจะกระชับขึ้นได้ ผิวหน้าเต่งตึง และดูเป็นธรรมชาติ  แต่ก็อยู่ได้ประมาณ 8-12 เดือน ก็อาจจะต้องเติมซ้ำ (Touch up)

3.5 การยกกระชับผิวหน้าด้วยคลื่นวิทยุ (Radiofrequency: RF): เป็นการใช้คลื่นวิทยุความถี่สูงเป็นตัวควบคุมปริมาณของพลังงาน มีทั้งแบบยิงตื้นแค่ชั้นหนังแท้ (Bipolar RF) เช่น เครื่อง RF ทั่วๆ ไป และแบบยิงลงลึก (Monopolar RF) เช่น Thermage, Exillis Elite ฯลฯ ที่ลงลึก ถึงชั้นไขมัน เกิดความร้อน สร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวที่แข็งแรง กระชับ นุ่มนวล และดูอ่อนกว่าวัย และอยู่ได้นานมากกว่า10-12 เดือน
3.5 การยกกระชับผิวหน้าด้วยคลื่นเสียง : โดยใช้คลื่นเสียง ( Focused Ultrasound ) ยิงลงไปในชั้นไขมัน เช่น HIFU หรือยิงลงลึก ถึงชั้น SMAS เช่น Ulthera เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ด้วยความร้อนเฉพาะจุด โดยพบว่า Ulthera จะแตกต่างจาก HIFU ตรงทีลงลึกกว่ามาก และแพทย์สามารถเห็นสภาพผิวหนังที่กำลังรักษาผ่านหน้าจอเครื่องตลอดเวลา ผ่านหน้าจอของเครื่อง ( SEE and TREAT ) ทำให้การรักษาที่แม่นยำกว่าการยิง HIFU อยู่ได้นาน 3-18 เดือน แล้วแต่ชนิดหรือยี่ห้อของเครื่อง Ulthera คือ Gold Standard Treatment สำหรับการยกกระชับผิวหน้าที่ลงลึกสุดและถือว่า Ulthera คือเครื่องมือชนิดเดียวที่ US-FDA ให้การรับรองผลว่าได้ผลจริง


โบทอกวซ์ลิฟท์กรอบหน้า
Ulthera ยกกระชับทั่วหน้า
ฟิลเลอร์ยกกระชับร่องแก้ม