Posted on

ฉีดโบ ลิฟท์กรอบหน้า ให้กระชับ ปรับรูปหน้า ด้วยเทคนิค Crown Lifting

ฉีดโบ ลิฟท์กรอบหน้า คืออะไร

คือ การฉีดสารโบทอกซ์ เพื่อให้ ด้วยการใช้เทคนิคพิเศษที่ฉีดเฉพาะบริเวณกรอบหน้า เพื่อให้ผิวหน้าเกิดการยกกระชับ ช่วยเพิ่มมิติให้แก่ใบหน้า ให้ได้รูปหน้าที่สวย คมชัดได้สัดส่วน ไม่ว่ามองมุมไหน ก็เป๊ะปัง ดังใจ
แถมทำให้ดูอ่อนวัย ไม่หย่อนคล้อย คิ้วโก่ง ตาคมเฉี่ยว สวยสง่า อ่อนวัย และดูโฉบเฉี่ยว ดังนางพญา หรือนางงามที่ชนะเลิศได้ครองมงกุฎ หลังฉีดประมาณ 2 สัปดาห์จะสามารถเห็นผลได้อย่างชัดเจน

เทคนิค Crown Lifting คืออะไร

คือ เทคนิคการฉีดโบทอกซ์ ( Botulinum toxin type A) ยกกระชับกรอบหน้า ที่แตกต่างจากการฉีดโบทอกซ์ทั่วๆ ไป โดยเราจะเน้นฉีดตามแนวที่สวมมงกุฏ หรือชฎา ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ช่วยทำให้กรอบหน้าดูคมชัด เป็น L-Shaped
เพราะตำแหน่งนี้ จะช่วยยกกระชับกรอบหน้าให้คมชัด และเห็นผลดีที่สุด และควรฉีดเข้าไปในชั้นคอลลาเจน ที่เรียกว่า Intradermal (Dermolift) technique จะทำให้กล้ามเนื้อเกิดการหดตัวหรือ Contractions จึงทำให้รอยย่นหน้าผากลดลง คิ้วดูโก่งขึ้น หางตาไม่ตก ตาจะดูโฉบเฉี่ยว ตีนกาจะลดลง แต่ยังแสดงสีหน้าได้ตามปกติ ดูเป็นธรรมชาติ ไม่แข็งตึง ขยับไม่ได้ เหมือนกับการฉีดลดรอยย่นทั่วๆ ไป
เหมาะทุกเพศ ทุกวัย สามารถฉีดยกกระชับกรอบหน้า Crown Lfiting ได้ โดยแพทย์จะทำการประเมินตำแหน่ง และปริมาณยุนิตที่ใช้ให้เหมาะสม ในแต่ละคน เพื่อจะได้ดีไซน์รูปหน้าท่านให้ดูดีขึ้น อย่างเป็นธรรมชาติ ด้วยการแพทย์แบบมีศิลปะ

Posted on

แก้โหงวเฮ้ง คางสั้น คางเบี้ยว คางตัด คางบุ๋ม ไม่สวยได้รูป ทำอย่างไร

คางสั้น หรือไม่ ดูอย่างไร

หลายคนบอกว่าหน้าบาน คางสั้น ถ้าเสริมคางจะทำให้หน้าหายบานมั้ย ขอตอบว่าก่อนจะเสริมคาง ต้องดูก่อนว่า โครงหน้าเราเป็นอย่างไร
การที่คนเรา จะมีโครงหน้าที่สวยงาม ได้สัดส่วน จะต้องมีความสมดุลกันตั้งแต่หน้าผาก จมูกและคางโดยต้องมีสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งแพทย์จะตรวจสภาพโครงหน้าคนไข้ ที่เรียกว่า Gloden Ratio โดยจะทำการแบ่งพื้นที่บนโครงหน้าอย่างง่ายๆ เป็น 3 ส่วน
– ส่วนที่ 1 เริ่มจากหน้าผาก ถึงกึ่งกลางตา เป็นส่วนที่ 1
– ส่วนที่ 2 เริ่ม จากกึ่งกลางดวงตาถึงขอบปีกจมูก
– ส่วนที่ 3 เริ่มจากขอบปีกจมูกด้านล่างถึงขอบคาง
ซึ่งทั้งสามส่วนนี้จะต้องมีความยาวใกล้เคียงกัน คือ 1:1:1 หากมีอย่างใดอย่างหนึ่งที่น้อยเกินไปจะทำให้ขาดความสมดุล โดยถ้าส่วนที่ 3 ส้้นกว่าส่วนอื่น แบบนี้เรียกว่า คางสั้น
ถ้าเสริมคาง แล้วส่วนที่ 3 มากกว่า 33% ถือว่าคางยาวไป เหมือนแม่มด นอกจากนี้ 
นอกจากนี้ ปลายคางถ้ามองด้านข้าง เส้น E-Plan ควรลากจากปลายจมูก มาที่ริมฝีผากและเนื้อคาง ได้รูปเป็นเส้นตรง ถ้ามากไปจะดูคางยื่น ถ้าน้อยไปจะดูคางหุบสั้น
ถ้ากรณีที่พบว่าคางสั้นเกินไป ไม่ได้สัดส่วน สามารถทำให้คางสวยได้รูปขึ้นได้
การแก้ไข
1. ผ่าตัดเสริมซิลิโคลน คนนิยม เพราะเจ็บตัวครั้งเดียว อยู่ได้นานตลอดไป แต่ก็เสี่ยงต่อการเบี้ยวเอียง
2. ฉีดเสริมคางด้วยฟิลเลอร์ สำหรับคนไม่ชอบศัลยกรรม แถมการฉีดสามารถปั้นได้ตามที่ต้องการ ยิ่งถ้าฟิลเลอร์ที่ใช้เป็นสาร hyaluronic acid (HA) ไม่พอใจก็สามารถฉีดสลายออกไปได้ เห็นผลทันที ไม่ต้องผ่าตัดเอาออกเหมือนการทำศํลยกรรม
แต่ไม่ว่าจะเสริมด้วยวิธีไหน ต้องให้สัดส่วนของคาง ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป ทั้งสามส่วนนี้จะต้องมีความยาวใกล้เคียงกัน คือ 1:1:1

คางเบี้ยว คางตัด

คางเบี้ยว คางตัด : อันนี้ดูไม่ยาก ถ้าถ่ายรูปหน้าตรงแล้วสัดส่วนคางซ้ายขวา ไม่เท่ากัน หรือขอบคางไม่มนได้รูป ตัดเป็นคางเหลี่ยม อย่างนี้ก็ดูไม่ยาก ว่าคางตัด
การแก้ไข : ส่วนใหญ่ถ้าสัดส่วนคางยาวได้สัดส่วนแล้ว คือ Golden ratio ได้ สัดส่วน 1:1:1 แล้วแต่คางสองข้าง ซ้ายขวาไม่เท่ากัน มักจะใช้การเติมฟิลเลอร์ จะตอบโจทย์ได้ดีกว่าการทำศํลยกรรม

คางบุ๋ม คางไม่เรียบ

คางบุ๋ม ( cobblestone chin หรือ dimple chin) จะพบว่าคาง มีลักษณะเป็นร่องตรงกลางระหว่างคางทั้งสองข้าง หรือคางมีผิวเป็นคลื่น หรือเป็นก้อน ขรุขระ ไม่เรียบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เวลาที่แสดงสีหน้าที่ใช้กล้ามเนื้อบริเวณคางร่วมกับริมฝีปากล่าง จะทำให้เห็นรอยบุ๋ม หรือ คลื่นที่คางชัดมากขึ้น
เกิดจากการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ Mentalis บริเวณคาง ทำให้กล้ามเนื้อแข็งตัวและหดเกร็งมากขึ้้น จนเกิดเป็นก้อนแข็ง 2 ข้างบริเวณคาง หรือในบางกรณี จะให้ผิวด้านบนของกล้ามเนื้อ Mentalis ย่นเป็นคลื่น ไม่เรียบเนียน จะเห็นชัดเจนมากขึ้นเมื่อมีการแสดงสีหน้าจากการใช้กล้ามเนื้อ
การแก้ไข : ไม่อยาก ง่ายมาก แค่ฉีดโบท็อกซ์ เพื่อคลายการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ เมื่อกล้ามเนื้อคลายตัวลง ก็จะทำให้แก้ไขปัญหาคางเป็นคลื่น ทำให้ผิวที่คางเรียบเนียนขึ้น ร่องบริเวณคางบุ๋มลดลง เห็นผลหลังทำใน 1 อาทิตย์ และจะอยู่ได้ระยะเวลา 4-6 เดือน
แต่ต้องระวังเพราะถ้าแพทย์ที่ฉีดไม่ชำนาญ อาจจะทำให้ยิ้มแล้วริมฝีปากล่างเบี้ยวได้ เพราะอาจจะฉีดไปโดนกล้ามเนื้อ depressor labii inferioris ที่อยู่ใกล้เคียงได้

Posted on

ฉีดฟิลเลอร์ไป แล้วเป็นก้อน ไม่พอใจ อยากสลายออก ต้องทำอย่างไร

กลุ้มใจ ไม่พอใจ ไม่สวยฟิลเลอร์ที่ฉีดไป เป็นก้อน

– เนื่องด้วยคนสนใจเรื่องความสวยความงาม กันมากในปัจจุบัน ทำให้ตลาดด้านนี้ มีคนเข้ามาทำธุรกิจกันเยอะ ทั้งจากแพทย์เอง หรือนักธุรกิจ เกิดสภาวะแข่งขันกันอย่างรุนแรง โดยเฉพาะด้านราคา โปร ! ถูกกันแล้ว ถูกกันได้อีก
– ของถูก คงไม่ต้องพูดถึงต้นทุน ที่ต้องบีบให้ต่ำ เพื่อให้ได้กำไร เลยทำให้ คุณภาพของฟิลเลอร์ และคุณภาพของคนฉีดต้องลดสเปกลงเช่นกัน
– จึงมีคนไข้มากมายหลังฉีดฟิลเลอร์ไปแล้ว เกิดเป็นก้อน ไม่พอใจ และต้องการแก้ไข อยากเอาออก หรือฉีดสลายออก

ฟิลเลอร์ที่ฉีด จะสลายได้เองหรือไม่ หรือต้องฉีดสลาย

ถ้าอยากสลายฟิลเลอร์ มีข้อควรรู้ที่ต้องแจ้งให้ทราบดังนี้
แพทย์ต้องทราบว่าฟิลเลอร์ที่ฉีดคือสารอะไร เพราะปัจจุบันมีมากมาย หลายชนิด หลายยี่ห้อ หลายแบบ มีทั้งแบบถาวร กึ่งถาวร หรือชั่วคราว และมีทั้งแบบผ่าน อย. ไม่ผ่าน อย. ราคาก็แตกต่างกันไป ดังนั้นก่อนจะทำการฉีดฟิลเลอร์ นอกจากจะต้องเลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์แล้ว ควรจะสอบถามแพทย์ผู้ฉีดให้ชัดเจน ว่าใช้ฟิลเลอร์ชนิดไหน ยี่ห้ออะไร ถ้าเป็นไปได้ ควรขอผลิตภัณฑ์ที่ฉีด , กล่องรวมทั้งผลิตภัณฑ์ ฉลากเก็บไว้ หรือ ถ้าไม่ได้ ก็ควรจะถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐานไว้
เหตุผลที่ให้ถ่ายรูปยี่ห้อ หรือกล่องฟิลเลอร์ไว้เป็นหลักฐานก็เนื่องจากว่า ในกรณีที่เราฉีดฟิลเลอร์ไปแล้ว เกิดผลข้างเคียง หรือได้ผลลัพธ์ที่เราไม่พอใจ ต้องการแก้ไข แพทย์ที่ทำการแก้ไขให้จะได้ทราบว่าใช้สารตัวไหนในการฉีด เพื่อการแก้ไขให้ถูกต้อง เพราะฟิลเลอร์บางตัวก็ฉีดสลายได้ บางตัวก็ฉีดสลายไม่ได้ ต้องรอเวลาให้หมดไปเอง หรือบางตัวต้องผ่าตัดขูดออก ซึ่งอาจจะเกิดผลข้างเคียงตามมาได้

ฟิลเลอร์แบบไหนที่ฉีดสลายได้

ฟิลเลอร์ที่ฉีดสลายได้ จะเป็นสารกลุ่มฟิลเลอร์ที่ประกอบด้วยสารไฮยา (Hyaluronic acid-HA ) โดยมีขั้นตอนคือ โดยแพทย์จะทำการซักประวัติและตรวจผิวบริเวณที่ฉีด ยี่ห้อและรุ่นของฟิลเลอร์ รวมถึงปริมาณที่ฉีดมา โดย จะสามารถฉีดสลายออกได้ด้วย ไฮยาลูโรนิเดส (Hyarulonidase : HYAL)
กลไกการฉีดสลายฟิลเลอร์เป็นอย่างไร
เอนไซม์ Hyaluronidase (HYAL) จะย่อยสลายฟิลเลอร์ โดยจะไปทำลายการยึดเกาะของสาร HA ซึ่งเป็นส่วนประกอบของโมเลกุลน้ำตาลเชิงซ้อน ที่เรียงจับตัวกันเป็นกลุ่มก้อน ให้คลายตัวออก เห็นผลทันทีหลังฉีด ซึ่งปกติจะใช้ปริมาณที่จะฉีดสลายมากกว่าปริมาณฟิลเลอร์ที่ฉีดเข้าไป 3-5 เท่า
ในผู้ที่ไม่เคยฉีดสารฟิลเลอร์ และอยากจะลองฉีด  ควรเลือกสารกลุ่มฟิลเลอร์ที่ประกอบด้วยสารไฮยา (Hyaluronic acid ) เพราะถ้าไม่พอใจยังสามารถที่จะฉีดสลายไปหมดได้ ไม่เหลือตกค้าง และควรให้ แพทย์เท่านั้นที่จะเป็นผู้ฉีดสลายฟิลเลอร์ให้

Posted on

นอนนิ่งๆ ก็ปิ๊งได้ ไม่เจ็บตัว หน้าใส ไร้สิว ริ้วรอย ด้วยแสง Opera LED Mask

Opera LED Mask คืออะไร

  คือ หน้ากากมาสค์หน้าไฮเทค ที่ได้รับความนิยมในหมู่ดารา Hollywood โดยมีหลักการดูแล รักษาผิวหน้าด้วยแสง LED หรือ ลำแสง Diode  ที่เรียกว่า  low-level light therapy (LLLT)  ไม่เจ็บตัว นอนนิ่งๆ ก็สวยได้ โดย ลำแสงนี้สามารถจะปล่อยแสงออกมาได้หลายๆ สีพร้อมๆ กัน ด้วยพลังงานที่สูงมากพอ จนสามารถจะมาทำปฏิกิริยากับเซลล์ผิวของเรา  แสงเหล่านี้จะจะช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิตและออกซิเจนให้แก่ผิวซึ่งมีส่วนช่วยกระตุ้นกลไกให้ผิวของเราฟื้นฟูตัวเอง โดยแสงแต่ละสีก็จะมีคุณสมบัติแตกต่างกัน ดังนี้
1. Blue Light (แสงน้ำเงิน)  จะมีความยาวช่วงคลื่น 415 nm และจะมีคุณสมบัติ ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเขิ้อสิว P.acne และป้องกันการติดเชื้อสิวใหม่ ลดความมันบนใบหน้า
2. Yellow Light (แสงสีเหลือง) จะมีความยาวช่วงคลื่น 580 nm  ช่วยรักษารอยดำ กระ ฝ้า เม็ดสีที่เข้มให้จางลงตาม ธรรมชาติ และกระตุ้นระบบน้ำเหลือง รวมถึงระบบการไหลเวียนโลหิตด้วย
3.  Red Light (แสงสีแดง) จะมีความยาวช่วงคลื่น 630 nm ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ปรับสภาพผิวให้เรียบเนียน ซ่อมแซมผิวหน้าเกรียมแดด  และลดเรือนริ้วรอย ให้ความชุ่มชิ้นผิว
4.   Green Light (แสงสีเขียว) จะมีความยาวช่วงคลื่น 525  nm ช่วยลดรอยแดง หรือเส้นเลือดฝอยที่เกาะตัวอยู่ใต้ผิวหนัง
5. Near Infrared Light (แสงใกล้อินฟราเรด) เป็นลำแสงที่มองไม่เห็น แต่จะมีความยาวช่วงคลื่นที่ 830 nm มีคุณสมบัติสูงในการช่วยลดการอักเสบได้ดี  สมานแผลป้องกันการเกิดแผลเป็น ลดการบวมแดงหลังทำเลเซอร์ และกระชับรูขุมขน

Opera LED Mask สร้างความแตกต่างจากการรักษาด้วยแสง LED แบบเดิมๆ ด้วยการออกแบบหน้ากากคลุมเฉพาะผิวหน้า โดยป้องกันการกระจายของลำแสงไปยังบริเวณอื่นๆ จึงได้ผลได้เต็มที่ และออกแบบให้ไม่มีอันตรายต่อสายตา ไม่ร้อน นอกจากนี้ Opera LED Mask ยังดูเท่ห์ เก๋ไก๋ไฮโซอย่างยิ่ง
การฉายแสง LED เหมาะกับใคร

  • ผู้ที่มีสิวอักเสบจำนวนมากและไม่ต้องการรักษาสิวอักเสบ ใช้ยาแบบรับประทาน หรือ ผู้ที่สิวหายยากเนื่องจากมีการดื้อยา
  • ผู้ที่มีปัญหารอยแดง
  • ผู้ที่มีปัญหาสิวกลับมาเป็นซ้ำ
  • ผู้ที่มีรอยดำ ฝ้า กระ
  • ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูสภาพผิวพรรณให้ดูอ่อนเยาว์ขึ้น กระตุ้นต่อมน้ำเหลืองและการไหลเวียนโลหิต


ระยะเวลาการรักษา

การฉายแสง LED จะใช้เวลาในการรักษาครั้งละ 20-30 นาที และควรทำสัปดาห์ละครั้งติดต่อกันเป็นระยะเวลา 4-8 สัปดาห์ขึ้นไป ซึ่งการรักษาจะทำมากน้อยเพียงใดนั้น แพทย์จะเป็นผู้พิจารณาโดยดูจากวัย สภาพผิวและปัญหาสิวอักเสบที่เป็นอยู่ ส่วนผลการรักษาจะเห็นผลขึ้นกับระยะเวลา และความสม่ำเสมอในการรักษา ส่วนใหญ่แล้วจะเห็นผลเมื่อรับการรักษาต่อเนื่องอย่างน้อย 3 ครั้งขึ้นไป จะพบว่าสิวอักเสบ ค่อยๆ ยุบตัวลง ใบหน้ามีความมันน้อยลง สิวเริ่มลดปริมาณลง รอยสิวจางลง
นอกจากนี้เรายังมีการใช้แสง LED ความยาวช่วงคลื่นที่ 830 nm มีคุณสมบัติสูงในการช่วยลดการอักเสบได้ดี  สมานแผลป้องกันการเกิดแผลเป็น ลดการบวมแดงหลังทำเลเซอร์ และกระชับรูขุมขน หรือผ่าตัดทำศัลยกรรม เพื่อช่วยการฟื้นฟูผิว ป้องกันแผลเป็น ลดอาการบวมแดง อักเสบ หรือรอยแดงให้หายเป็นปกติ

Posted on

วีเชฟ คงไม่พอ ถ้าจะสวย เฉี่ยว อินเทรนด์ กรอบหน้าต้องชัดด้วย ( V-Shaped and L-Shaped Strong Jawline )

L-Shaped Strong Jawline คืออะไร

แฟชั่นเทรนรูปหน้าในแต่ละยุคสมัย มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ตั้งแต่อดีตมาจนปัจจุบัน ซึ่งความชอบหรือค่านิยม ในแต่ละยุคก็ไม่เหมือนกัน เหล่ากูรูด้านความงามทั้งหลาย ต้องปรับตามให้ทัน เพื่อให้ลุคเราดูทันสมัยและดูไม่ล้าหลัง โดยเฉพาะแพทย์ที่ดูแลด้านการดีไซน์รูปหน้าของคนไข้ ยิ่งต้องนำหน้าเทรนไปล่วงหน้าก่อน การมีวิสัยทัศน์ ติดตามข่าวสาร และประสบการณ์ที่สั่งสมมานานหลายสิบปี จะทำให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้รับบริการได้ L-Shaped Strong Jawline คือ การที่มีกรอบหน้าชัด เรียวเล็ก ขอบคางคม มี Jaw line ซึ่งเป็นเทรนด์รูปหน้าใหม่ ที่เป็นที่นิยม ซึ่งถ้ามีหน้าวีเชฟด้วยแล้ว ยิ่งทำให้หน้าอ่อนเยาว์ ถ่ายรูป ไม่ว่ามุมไหน ก็เป๊ะปัง อลังเว่อร์ เห็นได้ชัด ว่าผู้ชนะการประกวดไม่ว่าเวทีหญิงหรือชาย ใบหน้าแบบนี้ มักจะได้เข้ารอบลึกๆ หรือชนะการประกวด

เทรนด์หน้าสวย-หล่อในแต่ละยุค เป็นอย่างไร

ยุคปีค.ศ 1900 เป็นยุคของการมีรูปหน้าแบบกลม ดูอิ่มเอิบ มีน้ำมีนวล ที่เรียกว่า Beautiful round or U shaped ใครมีรูปหน้าแบบนี้ก็จะเป็นที่ชื่นชอบของคนทั่วไปในยุคนั้น แก้มอิ่ม จมูกโด่ง คิ้วตาคม เป็นที่นิยมอยู่หลายสิบปีทีเดียว โดยเฉพาะท่านที่อยู่ในวัยคุณลุง คุณป้า ทั้งหลาย จะนิยมชมชอบให้ลูกหลานมีรูปหน้าแบบนี้

ยุคปีค.ศ 2000 เป็นยุคของการเปลี่ยนแปลงหลายๆ อย่าง เพื่อต้อนรับศตวรรตที่ 20 โลกได้มีการเปลี่ยนแปลงไปทุกด้าน ตามการเติบโตของยุค IT นวัตกรรมใหม่ๆ ได้เกิดขึ้นทุกๆ ด้าน ไหนเลย เทรนหน้าก็เริ่มปรับกับอีกรอบ คราวนี้ หน้า V Shaped มาแรงแซงทุกรูปแบบหน้าที่เคยมีมา ไม่ว่าทางโลกตะวันออกหรือตะวันตก ต่างต้องการหน้าวีเชฟ กันทั้งนั้น การปั้นหน้าวีเชฟ หลายท่านคงได้อ่านบทความกันมาบ้างแล้ว ไ่ม่ว่าจะปรับรูปหน้าวีเชฟ ด้วยการฉีดโบทอกซ์ การร้อยไหม การฉีดเมโสแฟตสลายไขมันทีแก้ม การผ่าตัดกราม เพื่อให้หน้าเรียวเล็ก จึงเกิดขึ้นอย่างมากมาย

ยุคปีค.ศ 2020 ยุคนี้ ทุกอย่างเทรนด์หน้าเปลี่ยนไปเยอะ เห็นได้ชัดๆ จากการทำจมูกในวงการสัลยกรรม คนเริ่มไม่ชอบจมูกแบบเดิมๆ ที่โด่ง ตรงทั้งสัน เริ่มมีหลายทรงมากขึ้น เช่น สโลปปลายงอน ทรงบาร์บี้ ฯลฯ รูปหน้าก็เช่นกัน เริ่มมีกระแสในบางกลุ่มที่นอกจากจะทำให้หน้าวีเชฟ ที่เกร่อกันทั่วบ้านทั่วเมืองแล้ว หน้าที่มีขอบคางชัด โหนกแก้มชัด องค์ประกอบหน้าคมชัด ที่เรียกว่า V-Shaped and L-Shaped Strong Jawline กำลังจะเป็นที่ดึงดูดสายตาของคนทั่วไปมากขึ้น ทั้งในวงการนางแบบ นายแบบ หรือ นางงาม ถ้าใครมีรูปหน้าแบบนี้ โอกาสจะรุ่งจะมีมาก

V-Shaped and L-Shaped Strong Jawline ทำอย่างไร

ขั้นตอนการทำรูปหน้าเทรนด์ 2020 มีขั้นตอนดังนี้
1. แพทย์จะตรวจและประเมินใบหน้าเดิมของเรา ทั้งด้านตรงและด้านข้าง จากนั้นจะดีไซน์ใบหน้าใหม่ ตามหลัก Golden ratio
2. ปรับรูปหน้า V-Shaped ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแพทย์ ดังนี้
2.1 ปรับรูปหน้าด้วยโบทอกซ์
2.2 ปรับลดแก้มด้วยการฉีดเมโสแฟต
2.3 ลิฟท์กรอบหน้าด้วยโบทอกซ์
2.4 ยกกระชับหน้าด้วยการทำ HIFU,Ulthera,Thermage
3. ปรับหน้า L-Shaped Strong Jawline ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแพทย์ ดังนี้
3.1 ลิฟท์กรอบหน้าด้วยโบทอกซ์
3.2 ฉีดฟิลเลอร์ตามแนวกรอบกรามให้คมชัด
3.3 ปรับเหนียง ขอบคางให้คมด้วย HIFU,Ulthera,Thermage

Posted on

Filler Lifting : ฟิลเลอร์ ยกกระชับ ปรับรูปหน้า บอกลาความชรา แทนการฉีดโบ ได้นะ รู้ยัง

ฉีดฟิลเลอร์เพื่อที่จะทดแทนการ ฉีดโบ ทำได้อย่างไ

ทุกคนคงจะสงสัยว่าทำได้ด้วยหรือ เพราะสารฟิลเลอร์เป็นสารเติมเต็ม จะมาทดแทนการฉีด Botulinum toxin type A เป็นไปไม่ได้ เพราะกลไกการทำงานต่างกัน ในเมื่อ Botulinum toxin type A เป็นสารลดการทำงานของกล้ามเนื้อทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงหรือทำงานลดลง แล้วฟิลเลอร์จะมีคุณสมบัติแบบนีได้ด้วยหรือ
ก่อนหน้านี้แพทย์ด้านความงามก็เข้าใจอย่างนั้น แต่เมื่อแพทย์มีประสบการณ์มากขึ้น และเทคนิคการฉีดก็พัฒนาหลากหลายมากขึ้น ประกอบกับสารฟิลเลอร์เองก็ได้มีการพัฒนาออกมาหลากหลายรุ่นมากขึ้น เช่นมีทั้งความหนืดมากขึ้น ความหนืดน้อยลง เทคนิคการฉีดก็ซับซ้อนมากขึ้น ไม่ว่าจะฉีดด้วยเข็มปลายแหลม เข็มปลายทู่ หลากหลายขนาด ฉีดลึกตื้นต่างกัน ตั้งแต่ชั้นหนังแท้ ชั้นไขมัน จนลึกวางบนกระดูก ทำให้วัตถุประสงค์ในการฉีดฟิลเลอร์จึงมีอย่างหลากหลายมากขึ้น จนแทบจะมาทดแทนการฉีดโบทอกซ์

ฟิลเลอร์ทำได้มากกว่าฉีดเติมเต็มแล้วนะ จะบอกให้

เมื่อฟิลเลอร์เริ่มเป็นที่นิยมมากขั้น การนำมาปั้นเสริม เติมแต่ง ได้หลายอย่างมากขึ้น ดังนี้
1. สารเติมเต็ม : ข้อนี้เราทราบกันมานานแล้ว ตั้งแต่เริ่มมีการฉีดฟิลเลอร์ เช่น นำมาฉีดเติมร่องแก้มให้ตื้นขึ้น ฉีดเสริมคางให้ยาวขึ้น ฉีดเสริมขมับ ฉีดเสริมจมูกให้โด่ง เติมปาก ฯลฯ
2. ยกกระชับ ลดการหย่อนคล้อย : การสูญเสียคอลลาเจน หรือไขมัน เมื่ออายุมากขึ้น เป็นเหตุให้เกิดความหย่อนคล้อย ทำให้หน้าดูบานขึ้น การฉีดฟิลเลอร์ทดแทนชั้นไขมันหรือคอลลาเจน จะช่วยให้ผิวหน้ากลับมาแต่งตึง กระชับขึ้น โดยแพทย์จะเลือกฟิลเลอร์ที่มีคุณสมบัติยกกระชับได้ ฉีดลึกวางบนกระดูก หรือใต้บริเวณเส้นเอ็นที่หย่อนคล้อย (retaining ligaments )เพื่อดันถุงไขมันใต้ตาให้กลับเข้าที่ หรือการฉีดกระชับขึ้น ริ้วรอยต่างๆ ก็จะตื้นขึ้นได้ บางคนร่องแก้มลึก แทนที่จะเติมฟิลเลอร์ตรงร่องแก้ม แพทย์ใช้เทคนิคฉีดฟิลเลอร์ยกกระชับกรอบหน้าให้ตึงขึ้น ร่องแก้มก็จะตื้นขึ้นได้โดยไม่ได้เติมฟิลเลอร์ตรงร่องแก้มเลย

3. เพื่อคุณสมบัติลดการทำงานของกล้ามเนื้อ : ปัจจุบันวิธีนี้แหล่ะที่นำมาทดแทนโบทอกซ์ โดยการฉีดวางบนขั้นกล้ามเนื้อ ในบางตำแหน่ง โดยอาศัยกลไกที่ฟิลเลอร์กดทับการทำงานของกล้ามเนื้อให้ลดลง(Compression effect)  ดังนั้นเมื่อกล้ามเนื้อทำงานลดลง ซึ่งคล้ายกับการฉีดโบทอกซ์ที่ลดการทำงานของกล้ามเนื้อ เช่นการฉีดฟิลเลอร์บริเวณร่องแก้ม เพื่อทำให้การยิ้มเห็นเหงือก ที่เรียกว่า Gummy smile ทำงานลดลง เวลายิ้มก็จะดูธรรมชาติขึ้น หรือฉีดเติมหน้าผากให้เต็ม จะทำให้หน้าผากขยับได้ลดลง ริ้วรอยย่นบริเวณหน้าผากก็จะลดลงด้วย  การเติมฟิลเลอร์บริเวณตีนกาก็ช่วยลดรอยตีนกาเวลายิ้มลงได้เช่นกัน

4. เพื่อคุณสมบัติปรับรูปหน้าให้ดูเรียวขึ้นได้: เราทราบว่าโบทอกซ์ปรับหน้าวีเชฟได้ ฟิลเลอร์ก็ทำให้หน้าเล็กลงเป็นวีเชฟได้เช่นกัน ถ้าจัดวางฟิลเลอร์ในตำแหน่งที่เหมาะสม เช่นเติมบริเวณโหนกแก้มให้มีมิติขึ้น หรือฉีดให้โหนกแก้มลดลง จากมุมกระทบที่เปลี่ยนไป หรือ ฉีดกรอบหน้าให้ยกกระชับขึ้น รูปหน้าก็เปลี่ยนให้ดูเล็กลงได้เช่นกัน

5. เพื่อคุณสมบัติให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวหนัง: ด้วยคุณสมบัติของฟิลเลอร์กลุ่ม Hyaluronic acid มีคุณสมบัติอุ้มน้ำ ที่เรียกว่า high water–binding ( hydrophilic ) capacity  การเลือกฟิลเลอร์ที่มีความหนืดน้อยๆ และนำมาฉีดในชั้นหนังแท้กระจายทั่วหน้า ที่เรียกว่า Skin Booster with fillers  จากผิวหน้าแห้งและมีริ้วรอยเล็กๆ ก็จะชุ่มชื้นขึ้น เนียนนุ่มขึ้น ริ้วรอยเล็กๆ ก็จะเลือนหายไป ดังภาพด้านล่างนี้

Hyaluronic-acid

Posted on

Dermolift : ฉีดโบ ยกกระชับ ปรับหน้าวี ด้วยวิธี Vector Lifting ตามองศาที่ใช่ ไม่ต้องใช้ฟิลเลอร์

ฉีดโบ ยุคแรก เน้นปักลึก เข้ากล้ามเนื้อ ให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง ใช้ในการปรับรูปหน้า ลดริ้วรอย แต่อาจจะดูแข็ง

– ก่อนที่จะกล่าวเกี่ยวกับการฉีดโบทอกซ์อย่างไร จึงยกกระชับได้ และใช้ทดแทนการฉีดฟิลเลอร์ได้ ต้องขอกล่าวความเป็นมาคร่าวๆ ก่อนนะครับ เพื่อความเข้าใจ ดังนี้
– ในยุคแรกๆ ของการฉีดสาร Botulinum toxin Type A เพื่อลดริ้วรอย เรามักจะฉีดในชั้นกล้ามเนื้อ(Intramuscular :IM) โดยปักเข็มลงตรงๆ เป็นมุมฉาก ไปที่กล้่ามเนื้อที่ต้องการ จะ ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงชั่วคราว ถ้าฉีดลดริ้วรอยที่เกิดการหดตัวของกล้ามเนื้อ เช่นริ้วรอยจากการยิ้ม การขมวดคิ้ว การเลิกคิ้ว เมื่อฉีดแล้วก็ไม่เกิดการหดตัวของกล้ามเนื้อ ริ้วรอยก็จะไม่เกิดขึ้น หรือนำมาฉีดลดกราม ให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง ทำงานลดลง กล้ามเนื้อก็จะมีขนาดเล็กลง รูปหน้าก็จะเล็กลง

ฉีดชั้นกล้ามเนื้อ IM ทำให้กล้ามเนืออ่อนแรง
ฉีดชั้นใต้ผิวหนัง ID ทำให้กล้ามเนือ คอลลาเจนหดตัว

ฉีดชั้นผิวหนังหรือคอลลาเจน เน้นลดริ้วรอย ยกกระชับ ปรับรูปหน้า ให้ดูธรรมชาติ

เมื่อมีการฉีดโบทอกซ์ด้วยเทคนิคเดิม มาประมาณ 10 ปี ต่อมาจึงได้มีการพัฒนาให้มีการฉีดลดริ้วรอย ในชั้นผิวหนัง หรือ Intradermal technique -ID หรือบางคนเรียกว่า Dermolift ซึ่งจะให้ผลแตกต่างจากการฉีดในชั้นกล้ามเนื้อ โดยพบว่า Intradermal technique จะทำให้กล้ามเนื้อเกิดการหดตัวหรือ Contractions จึงช่วยดึงรั้งผิวหนังให้ตึงขึ้น ริ้วรอยก็จะลดลงได้ แต่กล้ามเนื้อจะยังขยับได้ ทำให้ดูธรรมชาติขึ้น ไม่ตึงเกินไป ปัจจุบันแพทย์หลายๆ ท่าน ที่มีประสบการณ์กับการฉีด สาร Botulinum toxin Type A มานานหลายสิบปี มักจะนิยมฉีดลดริ้วรอยด้วยวิธีนี้ เพราะสร้างความต่างอย่างมืออาชีพ เพราะริ้วรอยจะลดลงอย่างดูธรรมชาติ ดูไม่ออกว่าไปฉีดโบทอกซ์มานั่นเอง

Vector Lifting คืออะไร

เวกเตอร์ลิฟท์ติ้ง คือ การฉีดโบทอกซ์ ไปตามแนวของกล้ามเนื้อบนใบหน้า ที่มีการหย่อนคล้อย โดยแบ่งการหย่อยคล้อยเป็นส่วนๆ เช่น กรอบหน้าส่วนบน ส่วนกลาง ส่วนก่อน โดยก่อนจะทำการฉีดแพทย์จะตรวจแนวยกระชับด้วยมือดึงเป็น Vector lifting แล้วค่อยฉีดสารBotulinum toxin Type A เข้าใต้ผิวหนัง ซึ่งจะ ทำให้กล้ามเนื้อชั้นคอลลาเจน เกิดการหดตัว ทำให้ผิวหน้ากระชับขึ้น
การฉีดสาร Botulinum toxin Type A กระจายเป็นส่วนๆ ตามการหย่อนคล้อย แบบ Vector Lifting จะตอบโจทย์ปัญหา หรือการดีไซน์ใบหน้า โดยอยากจะยกตรงไหน อยากจะปรับเปลี่ยน รูปหน้าอย่างไร ยกคิ้ว ยกหางตา ปรับสันจมูก ลดร่องแก้ม ลดเหนียงยาน ทำให้ขอบคางคมชัด ปรับหน้าวีเชฟ ให้มากขึ้น กระชับขึ้น
Vextor lifting with Dermolift สามารถจะนำมาตอบโจทย์แทนการฉีดฟิลเลอร์ ได้แทบทุกองศาที่ต้องการ

ลดริ้วรอย ยกคิ้วได้ไม่เข็ง ยกหางคิ้ว หางตา
Posted on

เคล็ดลับในการฉีดฟิลเลอร์อย่างไร ให้เห็นความแตกต่าง อย่างมืออาชีพ

เทคนิคการฉีดฟิลเลอร์ มีหลายอย่าง อยู่ที่จะใช้เพื่อแก้ปัญหาอะไร

การเติมฟิลเลอร์มีจุดประสงค์หลายอย่าง ดังนี้
1. เพื่อเติมเต็มส่วนที่พร่องไป ( Volumn loss )
2. ฉีดเพื่อยกกระชับ ( Filler Lifting ) 
3. ฉีดเพื่อยกให้สูงหรือเด่นขึ้น ( Projections)
4. ฉีดเพื่อให้ความชุ่มชื้นกับผิว (Skin booster)
ดังนั้นเทคนิคการฉีดฟิลเลอร์ ย่อมแตกต่างกัน ตั้งแต่การเลือกยี่ห้อ หรือ ชนิดของฟิลเลอร์ ปริมาณความเข้มข้น ( % HA) ความหนืด (Viscosity ) ความสามารถในการอุ้มน้ำ ระยะเวลาของฟิลเลอร์ว่าแต่ละที่ควรจะอยู่นานแค่ไหน ซึ่งแต่ละยี่ห้อ แต่ละรุ่น จะแตกต่างกัน แพทย์ที่มีประสบการณ์และมืออาชีพ จะทราบแลเลือกฟิลเลอร์ที่เหมาะสม กับปัญหานั้นๆ

ตำแหน่ง ความลึกตื้นการในฉีดฟิลเลอร์ ( Injection Plan or Depth of designed injection )

A. ฉีดชั้นหนังแท้ชั้นบน(Intra-dermal Augmentation) เหมาะกับการฉีดเพื่อให้ความชุ่มชื้นกับผิว หรือปรับสภาพผิวให้เต่งตึง หรือริ้วรอยเหี่ยวย่นเล็กๆ เช่นรอบดวงตา โดยจะเลือกชนิดของฟิลเลอร์ ที่มีความเข้มข้นของ HA ต่ำ ที่มีความหนืดเบาบาง กระจายตัวได้ง่าย ไม่จับตัวเป็นก้อน เช่น restylane vital light,juvederm vobella ,perfectha derm
B. ฉีดชั้นหนังแท้ชั้นล่าง หรือไขมันส่วนบน (Sub-dermal Augmentation ) เป็นการฉีดเพื่อปรับแต่งโครงหน้า หรือ remodelling เติมริมฝีผากให้อิ่ม ริ้วรอยเล็กๆ เพื่อเพิ่อให้เกิดการ Projections ให้ดูเด่นขึ้น แต่ไม่มากนัก โดยจะเลือกชนิดของฟิลเลอร์ที่หนืดมากขึ้นกว่าในแบบ A หรือใช้แบบชนิดเดียวกันก็ได้ แต่ฉีดลึกขึ้น restylane vital ,juvederm ultra ,perfectha deep
C. ฉีดชั้นไขมัน (Sub-cutaneous Augmentation) เป็นการฉีดแบบสารเติมเต็มดั้งเดิมที่เคยฉีดมา หรือทดแทนคอลลาเจนที่หายไป ( Volumn loss) เช่นการฉีดเติมร่องแก้ม ร่องตาลึก เติมขมับ โดยจะเลือกชนิดของฟิลเลอร์ที่มีความเข้มข้นของสาร HA มากขึ้นกว่าแบบ A และ B และมีความหนืดมากขึ้น จับตัวมากขึ้น เช่น restylane,juvederm ultra plus
D. ฉีดฟิลเลอร์วางบนกระดูก (Supra-periosteum Augmentation) หลักๆ เพื่อต้องการยกกระชับ ( Filler Lifting ) ในกรณีที่การหย่อนคล้อยของคอลลาเจน และในบางคน มีการสูญเสียความหนาแน่นของกระดูกด้วย หรือทำให้เกิดสูงเด่นขึ้น (Projections ) แล้วเพื่อหวังผลไม่ให้มีลักษณะจับตัวเป็นก้อน ทำให้ดูเป็นธรรมชาติ และเป็นการหลีกเลี่ยงการฉีดไปโดนเส้นเลือด นิยมนำมาฉีดในคนที่มีปัญหาเบ้าตาลึก เสริมดั้งจมูก ฉีดเสริมคาง ตกแต่งขอบคาง หรือฉีดเติมหน้าผากให้โหนกนูนอย่างเป็นธรรมชาติ โดยจะเลือกชนิดของฟิลเลอร์ที่มีความเข้มข้นของสาร HA มากขึ้นกว่า แบบ A,B,C และมีความหนืดมากขึ้น จับตัวมากขึ้น เช่น perlane,juvederm voluma,perfectha subcutaneous จริงๆ วิธีนี้ไม่ใช่เทคนิคใหม่ที่บางท่านนำมาอ้างว่าได้คิดค้นขึ้นมาเอง มีเขียนไว้ในตำราและแพทย์หลายๆ ท่านก็ได้ใช้อยู่แล้ว เพียงแต่มานิยมมากขึ้นในปัจจุบัน เพราะสามารถลดผลข้างเคียงจากการฉีดฟิลเลอร์ได้

ชนิดของเข็มที่ฉีด

2.1 เข็มปลายแหลม ( Needles) ซึ่งมีหลายขนาด เช่นเข็มเบอร์ 23-30 G needles ขึ้นอยุ่กับการเลือกใช้ แต่ตำแหน่งและความลึกตื้นในการฉีด เข็มปลายแหลมมักจะใช้ในกรณีฉีดแบบตื้นใต้ผิวหนัง( Intradermal or subdermal เพื่อหวังผลในการให้ความชุ่มชื้น หรือใช้ในเป็นการฉีดยกกระชับโหนกแก้ม หรือการฉีดวางบนกระดูก (Supra-periosteum)
2.2 เข็มปลายทู่ ( Canula) ซึ่งมีหลายขนาด เช่น 22-27 G Canula มักจะนิยมนำมาฉีดในชั้นไขมัน (Sub-cutaneous Augmentation) เพราะชั้นนี้จะมีเส้นเลือดมาก เป็นการฉีดแบบสารเติมเต็มดั้งเดิมที่เคยฉีดมา หรือทดแทนคอลลาเจนที่หายไป ( Volumn loss) และเพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงที่อาจจะทำให้เกิดเส้นเลือดอุดตันได้ เช่นการฉีดเติมร่องแก้ม ร่องตาลึก เติมขมับ

ทิศการหรือองศาในการฉีดฟิลเลอร์ (Classified  fillers Technique with Needle or Canula )

3.1 ฉีดหยอดเป็นจุดๆ ( Serial puncture technique) เหมาะกับการฉีดกระจายทั่วใบหน้าให้เกิดความชุ่มชื้น และฉีดชั้นตื้น Intra-dermal
3.2 ฉีดเป็นเส้นตรง (Linear-threading technique) อาจจะฉีดเดินหน้าหรือถอยหลัง เหมาะกับการฉีดร่องแก้ม ฉีดเสริมจมูก และฉีดในชั้นไขมัน อาจจะใช้เข็มปลายแหลมหรือเข็มทู่(Canula)
3.3 ฉีดกระจายเป็นรูปพัด (Fanning technique) มักจะฉีดเพื่อเพิ่ม volumn เช่นการเติมโหนกแก้ม ขมับ หน้าผาก และฉีดในชั้นไขมันด้วยเข็ม Canula เพื่อป้องกันการเข้าเส้นเลือด
3.4 ฉีดทะแยงมุม ไขว้กัน (Cross-hatching technique) มักจะฉีดเพื่อเพิ่ม volumn โดยฉีดในชั้นไขมัน อาจจะใช้เข็มปลายแหลม หรือปลายทู่ก็ได้ ในบริเวณที่มีการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ เช่นร่องแก้มลึก ฉีดเสริมคาง
3.5 ฉีดแบบหอคอย (Tower technique) มักจะเป็นการฉีดเพื่อเพิ่ม Projections ให้สูงขึ้นเช่นฉีดโหนกแก้ม ฉีดหัวคิ้ว ฉีดขมับ โดยมักจะใช้เข็มปลายแหลม วางบนชั้นกระดูก และค่อยๆ ดึงเข็มขึ้นให้ฟิลเลอร์มีลักษณะคล้ายหอคอย
จากที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นว่าการฉีดฟิลเลอร์ให้ได้ผลดี ปลอดภัย สวยงาม เป็นธรรมชาติ และเกิดผลข้างเคียงน้อย มีเทคนิคต่างๆ มากมาย ที่แพทย์ที่มีประสบการณ์และความชำนาญต้องใช้เวลาในการหมั่นฝึกฝน อบรม และพัฒนาตนเองตลอดเวลา สามารถดีไซน์สัดส่วนและโครงหน้า จุดเด่น จุดด้อยในแต่ละคน แต่ละเพศ แต่ละวัย ได้อย่างมีศิลปะ และขณะเดียวกันต้องสามารถตอบสนองความต้องการของคนไข้ได้อย่างน่าพอใจ ทั้งประสิทธิผลและราคายุติธรรม จึงจะสามารถสร้างความต่างอย่างมีสไตล์ได้จริง