Posted on 2 Comments

ปากดำ ริมฝีปากคล้ำ รักษาอย่างไรให้หาย ป้องกันยังไง ไม่ให้กลับมาเป็นใหม่

สาเหตุ ปากดำ ริมฝีปากคล้ำ

  • กรรมพันธุ์ หรือเชื้อชาติ เม็ดสีผิวของแต่ละคนแตกต่างกันไปตามเชื้อชาติหรือกรรมพันธุ์ ซึ่งมีผลต่อสีของริมฝีปากด้วย
  • บุหรี่ สารนิโคตินในบุหรี่ ทำให้เส้นเลือดฝอยหดตัว จนอาจทำให้เลือดไปเลี้ยงริมฝีปากไม่เพียงพอ นอกจากนี้ นิโคตินยังอาจก่อตัวเป็นคราบอยู่บริเวณริมฝีปากและทำให้ปากดำได้เช่นกัน
  • แสงแดด หากสัมผัสยูวี จากแสงแดดมากเกินไป ร่างกายจะป้องกันตนเองด้วยการผลิตเม็ดเมลานิน (Melanin) หากผลิตออกมามากเกินไป เม็ดสีเมลานินจะมีสีเข้มขึ้นจนทำให้ปากเป็นสีดำ
  • สารในลิปสติก ทำให้ผู้ใช้เกิดอาการแพ้ อักเสบ และระคายเคืองบริเวณริมฝีปาก จนทำให้ปากเป็นสีน้ำตาลเข้ม หรือสีดำได้
  • โรคพิวทซเจคเกอร์ซินโดรม (Peutz-Jeghers Syndrome) เป็นโรคทางพันธุกรรมที่เกิดขึ้นได้ยาก ซึ่งส่งผลต่อเม็ดสีในร่างกายของผู้ป่วย ทำให้เกิดจุดสีดำขึ้นในบริเวณต่าง ๆ เช่น นิ้ว ปาก หรือริมฝีปาก เป็นต้น
  • ยาบางชนิด เช่น ยาปฏิชีวนะ ยารักษาอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือยาต้านมาลาเรีย อาจเพิ่มปริมาณเม็ดสีเมลานินในร่างกายให้สูงขึ้น จนทำให้ปากดำคล้ำได้
  • ชาเขียวบางชนิด มีสารนิกเกิลปริมาณมาก อาจทำให้เกิดอาการแพ้บริเวณริมฝีปากจนปากดำได้

ป้องกันและรักษาอย่างไร

  • เลิกสูบบุหรี่ นอกจากทำให้สุขภาพดี ไม่มีริ้วรอยก่อนวัย และเสี่ยงเกิดโรคร้ายอื่น ๆ ยังป้องกันปากดำได้
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำให้เกิดอาการแพ้ เช่น น้ำยาบ้วนปาก หรือยาสีฟัน ชาเขียว เพนสะอาจมีส่วนประกอบของนิกเกิล ควรศึกษาส่วนประกอบและข้อมูลผลิตภัณฑ์บนฉลากอย่างละเอียดก่อนเสมอ
  • หลีกเลี่ยงการใช้ลิปสติกที่ทำให้แพ้ โดยบันทึกส่วนประกอบทีของลิปสติ ที่่เคยแพ้ไว้ เพื่อไว้เปรียบเทียบกรณีเปลี่ยนลิปสติก แล้วควรเลือกลิปติกที่ป้องกันรังสี UV ได้ โดยมี SPF > 30
  • เลเซอร์ลดเม็ดสี จัดเป็นการรักษาได้ผลดี รวดเร็ว และถาวร โดยมีการยิง 2 วิธี คือ
    1. การยิงให้ค่อยๆ เลือน วิธีนี้เหมาะกับรอยดำคล้ำที่มาแต่กำเนิด หรือกรรมพันธุ์ เพราะจะช่วยลดเม็ดสีอย่างค่อยเป็นค่อยไป และสามารถทำให้รอยดำจางลงถาวรได้ แต่ต้องทำหลายครั้ง ประมาณ 4-5 ครั้ง ทุกสองอาทิตย์
    2. การยิงให้ลอก โดยจะใช้ความยาวช่วงคลื่น 532 m วิธีนี้จะเหมาะกับรอยดำที่เกิดจากการแพ้ลิปสติก หรือการอักเสบจากการแกะเกา เพราะเป็นรอยดำตื้น วิธีนี้หลังทำรอยดำจะลอกออก ทำ 1-2 ครั้ง ห่างกันทุกสองอาทิตย์
  • สักริมฝีปาก เป็นการเสริมความงามแบบถาวร แต่อาจจะดูไม่ธรรมชาติ และเสี่ยงต่อการติดเชื้อ หรืออาการแพ้ต่อสีที่ใช้สัก เป็นต้น
Revlite Laser ลดปากดำ รีมฝีปากคล้ำ
Revlite Laser ลดปากดำ รีมฝีปากคล้ำ
Posted on 8 Comments

ขอบตาดำ (dark circles) ขอบตาคล้ำเป็นแพนด้า เบ้าตาลึก สาเหตุจากอะไร แก้ไขอย่างไรดี

สาเหตุเกิดจากอะไรได้บ้าง

1. อดนอน พักผ่อนไม่เพียงพอ : สาเหตุนี้เป็นสาเหตุที่พบบ่อย โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นที่ชอบเล่นเนต หรือดูหนังละคร ดึกๆ ดื่นๆ ทำให้เกิดการเสียสมดุล ทำให้การไหลเวียนโลหิตไม่ดี สารอาหารในเลือดลดลง เส้นเลือดตีบ ทำให้เกิดรอยคล้ำชัดขึ้น
2.การขยี้ตาบ่อยๆ : เช่นจากภาวะ ภูมิแพ้ ตาแห้ง ทำให้เกิดการระคายเคืองแถวๆ รอบดวงตา ทำให้ต้องขยี้ตาบ่อยๆ จึงเกิดการอักเสบ ทำให้ผิวหนังกระตุ้นเซลล์สร้างเม็ดสีเมลานินให้เพิ่มจำนวนขึ้นในบริเวณนั้น นอกจากนี้ คนที่เป็นภูมิแพ้ จะพบว่าเส้นเลือดดำที่อยู่รอบตาจะขยายใหญ่ เป็นเหตุให้ขอบตาคล้ำในที่สุด
3..กรรมพันธุ์หรือเชื้อชาติ : เช่น พวกแขก หรืออาหรับ กลุ่มนี้จะมีเม็ดสีเมลานินสะสมรอบดวงตา

4.หลอดเลือดดำใต้ตาขยายมากผิดปกติ (Vasculature inflammation) : ซึ่งสาเหตุก็เกิดได้หลายอย่าง เช่น จากโรคบางอย่าง เช่น ภาวะการขาดธาตุเหล็ก หรือขาดสารอาหารอื่น, โรคไต , การอดนอน , การสูบบุหรี่, ชา-กาแฟ, โรคภูมิแพ้ หรือในคนสูงอายุ ที่ผิวหนังใต้ตาเริ้มบางลง จึงเห็นเส้นเลือดำได้ชัดเจนขึ้น
5.ขอบตาคล้ำ จากเบ้าตาลึก : : ซึ่งจริงๆ แล้ว บางคน จะมีโครงสร้างของกระดูกใบหน้า ที่แปลกกว่าคนอื่นๆ คือ อาจจะมีโหนกแก้มสูง และมีเบ้าตาลึก หรือคนที่อายุมากขึ้น เกิดการสูญเสียคอลลาเจน ทำให้ผิวหนังบริเวณใต้ตายุบลงไป เกิดเป็นรอยพับ ทำให้เห็นเป็นรอยเขียวๆคล้ำใต้ตาเหมือนขอบตาคล้ำจากสาเหตุอื่นๆ

การป้องกัน-รักษา ขอบตาคล้ำ เบ้าตาลึก

1. รอยดำคล้ำที่เกิดจากเม็ดสีที่ผิดปกติ
1.1. พยายามนอนหลับ พักผ่อนให้เต็มที่
1.2. รักษาโรคประจำตัวที่ทำให้เกิดการขยี้ตาบ่อยๆ เช่น โรคภูมิแพ้ ตาแห้ง โรคไต ฯลฯ
1.3. การมาสค์รอบดวงตา อาจจะด้วยแตงกวา ถุงชา หรือมาสค์สำเร็จรูปต่างๆ ที่มีวางจำหน่าย หรือการเลือกครีมทารอบดวงตา ที่ผสมไวเทนนิ่ง ทาทุกวันก่อนนอน
1.4 ทาครีมรอบดวงตา ที่ผสมไวเทนนิ่งต่างๆ
1.5 การทำเลเซอร์ลดเม็ดสีที่ผิดปกติ : แก้ไขขอบตาคล้ำ ตาดำเป็นแพนด้า ได้จากทุกสาเหตุที่ทำให้เกิดเม็ดสีเข้มขึ้น ไม่ว่าจะจากปัญหาเชื้อชาติ กรรมพันธุ์ การอักเสบเรื้อรังจากการขยี้ตา หรือภูมิแพ้ เลเซอร์ที่ใช้ ก็เป็นกลุ่ม Q-Swithched Nd:YaG เช่น Revlite , Pico laser ได้ผลดี สะดวก หายเร็ว ไม่มีแผลหลังทำ

2. รอยดำ คล้ำ ที่เกิดจากเส้นเลือดดำขยายตัว : การรักษาปัญหารอยดำคล้ำ หรือรอยช้ำบวม จากเส้นเลือดดำขยายตัว มีได้วิธีเดียว คือการยิงเลเซอร์กลุ่ม Long-Pluse Nd:YaG laser เช่น Gentle YaG จะทำให้หลอดเลือดดำหดตัว รีดรอยคล้ำจากเส้นเลือดให้หายไป เห็นผลทันทีหลังทำ ส่วนใหญ่จะทำไม่กี่ครั้ง ก็แทบจะหายได้ถาวร
3. รอยดำ คล้ำ ที่เกิดจากเบ้าตาลึก : เบ้าตาที่ลึก อาจจะเกิดจากเชื้อชาติ กรรมพันธุ์ หรือการขยี้ตา จึงเกิดรอยพับ หรือทำให้เกิดถุงไขมันเล็กๆ ปูดออกมา แก้ไขได้ไม่ยาก การฉีดFiller ที่เป็นพวก Hyaluronic acid เพราะมีโมเลกุลเล็ก นวดง่าย ไม่เป็นก้อน การฉีดเติมก็อาจจะมีหลายเทคนิค เข็มที่ใช้ก็อาจจะเป็นเข็มคม หรือเข็มทู่ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ หลังทำ เห็นผลทันที ร่องตาลึก กลับมาเป็นปกติ รอยพับก็จะหายไป ถุงไขมันลดลง และทำให้รอยดำคล้ำรอบดวงตาก็หายไปด้วย

Posted on

Oxygen Jet Peel : ชะล้างผิวหน้า สะอาด สดใส ให้ผิวชุ่มชื้น สุขภาพผิวดี ไม่มีสิ่งอุดตัน

Oxygen Jet Peel คืออะไร

– เนื่องจากทุกๆ 28 วัน ผิวหนังของคนเราจะสร้างเซลล์ผิวใหม่ โดยผิวหนังกำพร้าจะผลักตัวเองขึ้นมาที่ชั้นบนสุดของผิวหนัง และทิ้งเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้ตกค้างที่ตามผิวหนัง
– ซึ่งเป็นต้นเหตุของการเกิดรูขุมขนอุดตัน หรือรูขุมขนกว้าง ผิวหนังไม่เรียบเนียน และหมองคล้ำ เราจึงจำเป็นต้องทำการผลัดผิวบ้างเป็นช่วงๆ
Oxygen Jet Peel คือ เครื่องมือที่ใช้ในการผลัดชะล้างเซลล์ผิว ทำความสะอาดผิวหน้าได้อย่างหมดจด กว่าการล้างหน้า หรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวตามปกติ เพราะด้วยแรงดันน้ำความแรงสูง ที่ความเร็ว 200 เมตรต่อวินาที (Jet Spray ) ซึ่งความแรงระดับนี้จะซึมเข้าสู่ผิวหนัง ชั้น Basal cell ของ Epidermis หรือ Dermis ซึมลึกเข้าไปในรูขุุมขน พร้อมกับการนำออกซิเจนบริสุทธิ์ 99% ที่ผสมกับน้ำเกลือสะอาดตามลงไปด้วย

แก้ปัญหาอะไรได้บ้าง

  1. ช่วยชะล้างสิ่งสกปรกในผิวหน้าได้ล้ำลึกยิ่งขึ้นไม่ระคายเคืองหรือทำอันตรายต่อผิว จึงเหมาะกับทุกสภาพผิว แม้แต่ผิวแพ้ง่าย
  2. เพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวมากขึ้น ลดความหยาบกร้านของผิวพรรณ แก้ปัญหาผิวหน้าร่วงโรย ได้เป็นอย่างดี
  3. เพิ่มการไหลเวียนของโลหิตให้ดีขึ้น มีประโยชน์ต่อระบบน้ำเหลือง เสริมสร้างการแบ่งตัวของเซลล์ผิวหนังใหม่
  4. ออกซิเจน มีสรรพคุณเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ(Anti-Oxidants) ที่ดี จึงช่วยลดริ้วรอย แก่ก่อนวัย
  5. ช่วยดันหรือนำพาตัวยาไวเทนนิ่ง หรือสารอาหารให้ซึมเข้าสู่ผิวได้มากขึ้น ลึกขึ้น จึงทำให้รอยด่างดำ ฝ้า กระ จางลง ทำให้ผิวหน้าขาวใส มีชีวิตชีวา อย่างรวดเร็ว เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน แม้จะทำเพียงครั้งเดียว
  6. Oxygen มีสรรพคุณในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียสิว ทำให้อาการอักเสบของสิวลดลงได้
  7. Oxygen Jet Peel ใช้เตรียมผิว ก่อนทำเลเซอร์ เพื่อป้องกันผิวหน้าไหม้จากความร้อนของเลเซอร์
Posted on

ยกกระชับ ปรับรูปหน้า กระชับสัดส่วน ลดอายุ ลดความหย่อนคล้อย ด้วยคลื่นวิทยุ (Radiofrequency-RF)

RADIOFREQUENCY TECHNIQUE (RF) คืออะไร

คือ เทคโนโลยีในการรักษาผิวหน้า ด้วย คลื่นความถี่วิทยุความถี่สูง โดยการส่งผ่านคลื่นวิทยุ ในช่วงความถี่ 0.3 – 0.5 MHz สามารถผ่านทะลุผิวชั้นบนเพื่อไปเพิ่มอุณหภูมิของผิวหนังในชั้นลึก และประสานไปกับการนวดพร้อม ๆ กัน ซึ่งเป็นวิธีการที่ปลอดภัย อุณหภูมิของร่างกายจะถูกกระตุ้นให้สูงขึ้น แต่ไม่เกิน 42° C
– ซึ่งกลไกการทำงานโดยการส่งผ่านคลื่นวิทยุ ลงไปในทุกชั้นของผิวหนัง จะเกิดการเปลี่ยนแปลงดังนี้

  1. ผิวชั้นบนสุด คือ มีผลให้สิวเสี้ยนบางส่วน ฝ้าและกระบางส่วน และเซลล์หนังกำพร้าที่หมดอายุแล้วหลุดลอกออกไป ทำให้ผิวเรียบเนียน ขาว ใสขึ้น รอยดำใต้ตา ฝ้าและกระจางลง ริ้วรอยตื้น ลดลงได้
  2. ผิวหนังแท้ คลื่นวิทยุมีผลให้ผิวหนังชั้นนี้สร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวหนังบริเวณที่เคยหย่อนคล้อยตึงกระชับขึ้น
  3. ชั้นไขมันใต้ผิวหนัง มีผลให้เกิดการละลายของไขมันเข้าไปสู่หลอดน้ำเหลือง ทำให้สามารถลดขนาดของไขมันในถุงใต้ตา ใต้หู ใต้คาง ส่งผลให้ค่อยๆ ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปหน้า

RF มีกี่ชนิด กี่แบบ

การเลือกชนิดของ RF แต่ละแบบ แพทย์จะพิจารณาตามเหมาะสมของปัญหาผิวพรรณ ความลึกตื้นของปัญหา เวลา และงบประมาณ ดังนี้
1. Bipolar RF: ส่วนใหญ่จะเรียกว่าเป็น RF เฉยๆ โดย ส่งพลังงานจากสองขั้ว และมักจะออกฤทธิ์ที่ชั้นผิวหนังส่วนบน ช่วยยกกระชับ และลดไขมัน มักจะใช้ที่ใบหน้า เป็นส่วนใหญ่ มักพบเป็นเครื่องเดี่ยวๆ หรือผสมผสานกับ IPL เหมาะกับการกระชับผิว ข้อดี คือไม่เจ็บขณะที่ทำ แต่ได้ผลชั่วคราวแค่เป็นอาทิตย์  และสำหรับผิวตื้นๆ ไม่หย่อนคล้อยมากนัก เป็นที่นิยมเพราะราคาถูก
2. Monopolar RF: เป็น RF จากขั้วเดียว และมี Plate รองไว้ที่ด้านล่าง จะออกฤทธิ์ในชั้นที่ลึกกว่า Bipolar RF อาจจะถึงชั้นไขมัน กล้ามเนื้อ มักจะเน้นในแง่รักษาความหย่อนคล้อยของผิวพรรณชั้นลึก การกำจัดไขมันส่วนเกินตามลำตัว ใช้ได้ทั้งใบหน้าและลำตัว เนื่องจาก มีความแรงและพลังงานลงลึก มักจะเรียกเป็นชื่อยี่ห้อมากกว่า เช่น Thermage , Exilis Elite , Min-Thermage อยู่ได้นานหลายเดือนถึงเป็นปี RF ชนิดนี้เป็นนิยม เพราะได้ผลดีกว่าแบบอื่นๆ แต่ราคาก็ค่อนข้างแพง
3.Tripolar RF : เป็นเครื่อง RF ที่ผสมผสานระหว่างการทำงานของ Bipolar RF + Monopolar RF ในเครื่องเดียวกัน พบว่าการได้ผลสู้แบบ Monopolar RF เดี่ยวๆ ไม่ได้ ปัจจุบัน ไม่ค่อยได้รับความนิยม
4.Mulipolar RF : เป็นเครื่อง RF ที่ส่งพลังงานจากหลายขั้ว ใช้หลักการทำงานแบบผสมผสาน คลื่น RF จะลงลึกกว่า Bipolar RF แต่ตื้นกว่า Monopolar เพียงแต่ควบคุมทิศทางได้ดีกว่า Monopolar RF และพบว่าขณะที่ทำไม่เจ็บมากเท่ากับการทำด้วย Monopolar RF เพราะใช้พลังงานน้อยกว่า แต่ผลที่ได้ ก็สู้ Monopolar RF เดี่ยวๆ ไม่ได้ จึงไม่ได้รับความนิยมเช่นกัน

RF ช่วยอะไรได้บ้าง

  1. ยกระชับผิวหน้า หย่อนคล้อยทำให้ยกกระชับขึ้นทุกจุดของหน้า                                        
  2. ปรับรูปหน้า กางน้อยลง คางเรียว ใบหน้าเล็กลง เป็นรูปไข่มากขึ้น
  3. คืนความเยาว์วัยให้ผิว คือ การลบเลือนริ้วรอยบริเวณหน้าผาก สันจมูก รอบดวงตา รอบปาก และคอ
  4. กระชับรูขุมขน คือ การทำให้ผิวเรียบเนียน กระจ่างใส รูขุมขนเล็กลง หลุมสิวตื้นขึ้น
  5. ผิวหน้าขาวใส คือ การปรับสีผิวให้ขาวสว่างมากขึ้น รอยดำใต้ตา ฝ้าและกระจางลง
  6. ยกกระชับปรัวสัดส่วน คือ ทำให้หลอดเลือดขยายตัว น้ำเหลืองไหลเวียนได้ดี ไม่เกิดการสะสมของของเสียและไขมันส่วนเกิน และยังทำให้เนื้อเยื่ยได้รับออกซิเจนมากขึ้น ส่งผลให้ผิวหนังดูกระชับ ตึง ไม่หย่อนคล้อย
Exillis ลดเหนียง ยกกระชับขอบคาง

Exillis ยกกระชับหน้าท้อง

Posted on

L-Glutamine : กรดอะมิโน ในรูปอาหารเสริม กับการเพิ่มกล้ามเนื้อ และ Growth Hormone

Glutamine เป็นกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย ซึ่งในร่างกายของคนเรา มีกรดอะมิโน อยู่ 2 ชนิด คือ
1. แบบจำเป็นต่อร่างกาย (Essential Amino Acid)
2. แบบไม่จำเป็นต่อร่างกาย (Non-Essential Amino Acid)
โดยพบว่า Glutamine เป็นกรดอะมิโนที่มีมากที่สุดในร่างกาย โดยมากกว่า 60% ของ Glutamine จะอยู่ในเซลล์กล้ามเนื้อ (Skelaton Muscle) ซึ่งมีโครงสร้างหลักๆ เป็นโปรตีน ดังนั้น Glutamine จึงเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของกล้ามเนื้อนั่นเอง
L-Glutamine คือ อาหารเสริม ที่นิยมใช้กันในกลุ่มนักกีฬา ที่ต้องการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ เช่น นักเพาะกาย นักยกน้ำหนัก นักยิมนาสติก นักมวย ที่ต้องการให้กล้ามเนื้อแข็งแรง มากขึ้น โตขึ้น
เพราะ เมื่อเรามีการออกกำลังกายอย่างหนัก ร่ายกายของเราจะมีความต้องการใช้ Glutamine จำนวนมาก แต่ร่างกายสร้างได้ไม่เพียงพอ จึงอาจมีการสลายเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อเพื่อเพิ่มปริมาณกลูตามีนให้มากขึ้นตามความต้องการ เป็นผลให้เกิดภาวะการสูญเสียกล้ามเนื้อ (Muscle breakdown) ขึ้นได้ ดังนั้นกลุ่มนักกีฬาเหล่านี้ จึงจำเป็นต้องทาน Glutamine ในปริมาณที่มากกว่าปกติ เพื่อเลี่ยงจากปัญหาการสูญเสียกล้ามเนื้อจากการสลาย Glutamine โดยจะรับประทานเป็นอาหารเสริม สำหรับสุขภาพ โดยพบว่าบางคนนำมารับประทานควบคู่กับกลุ่มเสริมสร้างโปรตีนโดยเฉพาะ เช่น Whey Protein

ประโยชน์ของ Glutamine

  1. หน้าที่คล้าย Branched Chain Amino Acids (BCAAs) BCAA คือจะไปกระตุ้นให้มีการหลั่ง Growth hormone ได้ถึง 4 เท่า
  2. ช่วยทำให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น ทำให้เป็นหวัดและติดเชื้อได้ยากขึ้น
  3. ช่วยฟื้นฟูสุขภาพหลังการเจ็บป่วย ให้กลับมาแข็งแรงได้เร็วขึ้น
  4. ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายมีการสังเคราะห์โปรตีนและการเติบโตของกล้ามเนื้อ ลดการเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อในขณะออกกำลังกาย โดยการช่วยทำลาย กรดแลคติค (Lactic Acid) ที่เกิดขึ้นในกล้ามเนื้อในขณะที่ออกกำลังกายได้ ทำให้ออกกำลังกายได้นานขึ้น ซึ่งการออกกำลังกายได้นานขึ้น จะมีผลทำให้ มีการหลั่งฮอร์โมน Growth hormone ให้มากขึ้น ทางอ้อมเช่นกัน
  5. ช่วยลดการเสื่อมสลายของกล้ามเนื้อ (Muscular Dystrophy) โดยเฉพาะในคนสูงอายุ ที่ระดับฮอร์โมนเพศเริ่มลดลง ทำให้มวลกล้ามเนื้อจะลดลง การรับประทาน Glutamine ทดแทน จะช่วยลดภาวะดังกล่าวให้รุนแรงน้อยลงได้
  6. สามารถใช้เป็นแหล่งพลังงานสำหรับสมองได้อีกทางหนึ่ง ช่วยทำให้ความจำดีขึ้น ป้องกันภาวะสมองเสื่อมจากสูงอายุ
  7. ช่วยรักษาปัญหาแพ้อาหาร(food allergy ) ในกลุ่มที่มีระบบกาย่อยอาหารผิดปกติ เช่น ในกลุ่ม Leaky Gut Sybdrome,Irritible bowel syndrome,Ulcerative Colitis.
  8. ช่วยเพิ่มระดับ Glutathione ในร่างกายให้สูงขึ้นได้ ซึ่งถ้าต้องการทราบประโยชน์ของ Glutathione ก็ได้เขียนบทความไว้ให้แล้ว

     ขนาดที่แนะนำสำหรับการรับประทาน L-Glutamine ในรูปอาหารเสริม คือ 1.5-6.0 กรัมต่อวัน หรือรับประทานในปริมาณที่แพทย์แนะนำ และควรแบ่งมื้อทานหลายๆ ครั้ง กรณีที่ต้องการรับประทานเพื่อหวังผลที่ดีที่สุด แนะนำให้ทานช่วงท้องว่าง จะช่วยดูดซึมได้ดีกว่า และเวลาที่เหมาะสมคือหลังจากการออกกำลังกายอย่างหนัก หรือช่วงก่อนนอน จัดเป็นกรดอะมิโนที่มีความปลอดภัยสูง ไม่มีผลข้างเคียงร้ายแรง ยกเว้นในรายทีแพ้กลุ่มสาร Monosodium glutamate (ที่พบในผงชูรส)

Posted on

Saw Palmetto : สมุนไพรรักษาผมร่วง ศีรษะล้าน ที่ไม่อยากกินยา กล้วผลข้างเคียง

Saw Palmetto คืออะไร

Saw Palmetto(ปาล์มเลื้อย) : เป็นพืชประเภท ปาล์มใบเลื่อย ชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Serenoa repens พบในแถบตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา ส่วนที่นำมาใช้คือ ผล (Berry)
– เมื่อหลายสิบปีก่อน มีนักวิจัย ชาวยุโรปได้วิจัยผลปาล์มใบเลื่อย และพบว่าไขมันที่สกัดได้จากผลปาล์มแห้งมีสารประกอบที่น่าสนใจหลายชนิด และเรียกสารเหล่านี้ว่า “ไซโทสเตอรอล(Cyto-sterol)” ซึ่งออกฤทธิ์เหมือนสารต้านแอนโดรเจน หรือสารต้านฮอร์โมนเพศชาย โดยพบว่ามีกลไกในการยับยั้งการทำงานของฮอร์โมน dihydrotestosterone (DHT) ดังนี้
1. ยับยั้ง การทำงานของ เอนไซม์ 5-alpha reductase ในการเปลี่ยน ฮอร์โมน Testosterone ไปเป็น dihydrotestosterone (DHT) จึงมีสรรพคุณคล้ายๆ กับยา Finasteride , Dutasteride   แต่มีข้อดีกว่าตรงที่ พบว่า ไม่มีการเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนในร่างกาย จึงไม่ทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับสมรรถภาพทางเพศ
2. ทำให้การทำงานของฮอร์โมน DHT ลดลง โดยไปแย่งจับกับ DHT ที่ Androgen receptors ซึ่งพบได้เด่นชัดในเซลล์ต่อมลูกหมาก ( Prostate cells ) โดยผ่าน ขบวนการ ขัดขวางที่เอนไซม์ 3-ketosteroid reductase

ประโยชน์ของ Saw Palmetto ในวงการแพทย์ 

1. รักษาอาการต่อมลูกหมากโต (Benign Prostatic Hypertrophy -BPH: โดยพบว่าสามารถ ลดการเกิดอาการปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืน (Nocturia) และเพิ่มการไหลของปัสสาวะให้ดีขึ้นได้ ในคนไข้ที่มีปัญหาต่อมลูกหมากโต แต่พบว่าไม่มีผลในการลดขนาดต่อมลูกหมากให้เล็กลง เป็นตัวเลือกที่สอง แทนกลุ่มยา Finasteride Dutasteride แล้ว เพื่อลดผลข้างเคียงด้านสมรรถภาพทางเพศ
2. รักษาอาการผมบาง ผมร่วง จากสาเหตุ ฮอร์โมน dihydrotestosterone (DHT) : โดยพบว่า จากสรรพคุณในการสามารถ ลดปริมาณ และยับยั้งการทำงานของ DHT จึงเป็นยาตัวเลือกที่สอง รองลงมาจาก Finasteride ,Dutasteride กรณีที่คนไข้รับประทานยา แล้วเกิดผลข้างเคียงด้านสมรรถภาพทางเพศ
3. การรักษาสิว : ได้มีข้อสงสัย ว่า ถ้า saw palmetto สามารถต้านฮอร์โมนเพสชายได้ จะช่วยเรื่องการรักษาสิวจากฮอร์โมนเพศชายสูงได้หรือไม่ ปัจจุบัน ยังไม่มีรายงานสรุปกันชัดเจน ว่า saw palmetto ช่วยทำให้ปัญหาสิวลดลงได้ชัดเจนอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากปัญหาสิว อาจจะมีสาเหตุและปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคสิวได้หลายอย่าง

Posted on

Melatonin : เมลาโทนิน ฮอร์โมนชะลอวัย ช่วยให้นอนหลับ ปรับสมดุลร่างกาย

Melatonin เป็นฮอร์โมนธรรมชาติ ชนิดหนึ่งในร่างกาย ซึ่งผลิตจากต่อมไพเนียล(Pineal gland) ซึ่งอยู่ในสมอง โดยพบว่ามีหน้าที่หลักๆ ในการควบคุมการนอนหลับของร่างกาย โดยทำให้เรารู้สึกง่วงนอน (fall asleep) เพื่อที่จะให้เราได้พักผ่อนร่างกายหลังจากที่เราได้ตื่นมาทุกวัน
และยังทำให้ร่างกายมีการผ่อนคลายทั้งกล้ามเนื้อและระบบประสาทเพื่อการพักผ่อนอย่างแท้จริง
กลไลการหลั่งฮอรโมน ปกติร่างกายจะหลั่งฮอร์โมน Melatonin ในช่วงเวลากลางคืน โดยจะหลั่งสูงสุดในช่วงประมาณ 22.00-23.00 น. จึงถือว่าเป็นช่วงที่ร่างกายควรจะเริ่มนอนหลับได้ ในขณะเดียวกัน จะมีผล ทำให้ เพิ่มการหลั่ง Growth hormone ให้มากขึ้นด้วยในช่วงนี้
ร่างกายจะหลั่ง ฮอร์โมน Melatonin ประมาณ 30-100 ไมโครกรัมต่อวัน โดยจะหลั่งสูงสุดในช่วงวัยเด็กและก่อนวัยรุ่น (Puberty) และจะเริ่มลดลงเมื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ โดยพบว่าเมื่ออายุ 80 ปี ระดับ ฮอร์โมน Melatonin จะลดลงถึง 80% จึงพบว่าในผู้สูงอายุจึงมักจะมีปัญหาการนอนไม่หลับ

ประโยชน์ของฮอร์โมนเมลาโทนิน

  1. ชะลอความชราก่อนวัย เพราะพบว่ามีสมบัติเป็น Anti-oxidants (สารต้านอนุมูลอิสระ)
  2. สร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคให้แข็งแรงมากขึ้น ทำให้อาการโรคภูมิแพ้เรื้อรังดีขึ้นได้
  3. บรรเทาอาการปวดศีรษะเรื้อรัง เช่น จากไมเกรน
  4. ช่วยลดระดับความดันโลหิต ในผู้ป่วยความดันโลหิตสูง
  5. ขับล้างสารพิษในร่างกาย
  6. เสริมสร้างสมรรถภาพทางเพศแก่ร่างกาย
  7. ช่วยปรับสมดุลในร่างกาย
  8. แก้ปัญหาการนอนไม่หลับ ในช่วงระหว่างเดินทางข้ามทวีบ (Time zone) ที่เรียกว่า Jet Lag(Circadain rhythm disorder)
  9. ช่วยควบคุมความผิดปกติของเนื้อร้ายในร่างกาย ต่อต้านมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งเต้านม และมะเร็งต่อมลูกหมาก
  10. ฮอร์โมนเมลาโทนิน ช่วยทำให้ระดับฮอร์โมนเพศชาย Testosterone,ฮอร์โมนเพศหญิง Estradiole และโกรทฮอร์โมนเพิ่มขึ้นได้
  11. ฮอร์โมนเมลาโทนิน ไม่ใช่ยานอนหลับ แต่ช่วยทำให้คนไข้ที่ต้องใช้ยานอนหลับเป็นประจำ ลดการใช้ยานอนหลับลง ทั้งในแง่ขนาดและความถี่ในการใช้ยานอนหลับ

อาการและอาการแสดงของภาวะพร่อง ฮอร์โมน Melatonin (Melatonin Deficiency)

  1. คุณภาพการนอนหลับลดลง หลับยาก ตื่นง่าย และจะหลับลงอีกครั้งได้ยาก หลับไม่สนิท
  2. อารมณ์ปรวนแปร หงุดหงิดง่าย วิตกกังวล อาจจะมีปัญหาซึมเศร้าได้
  3. รู้สึกอ่อนเพลีย ไม่สดชื่น กระปรี้กระเปร่า รู้สึกนอนไม่พอ อยากจะงีบ และง่วงในช่วงบ่ายๆ
  4. หน้าแก่ก่อนวัย บางคนอาจจะมีผมหงอกก่อนวัย
  5. ในเด็กที่ขาด ฮอร์โมน Melatonin จะพบว่ามีการก้าวเข้าสู่วัยรุ่นเร็วกว่าปกติ (Precocious puberty in children)
  6. ภาวะพร่อง ฮอร์โมน Melatonin ทำให้มีโอกาสเกิดโรคต่างๆ ได้ง่ายขึ้น เช่น โรคความดันโลหิตสูง , Jet Lag, โรคหัวใจขาดเลือด ,อ้วนได้ง่าย ,ข้อเข่าเสื่อม ,มะเร็งเต้านมหรือมะเร็งต่อมลูกหมาก,โรคอัลไซเมอร์

การวัดระดับ ฮอร์โมน Melatonin ว่าพร่องจริงหรือไม่ การตรวจจากเลือด ทำได้ยาก เพราะสลายไปเร็ว แต่ก็ยังพอจะมีการตรวจสารใกล้เคียงได้ โดยตรวจวัดจากระดับ 6-sulfatoxy-melatonin ในปัสสาวะ ( เก็บตรวจปัสสาวะ 24 ชั่วโมง –24 hours of urine) และตรวจวัดระดับ ฮอร์โมน Melatonin ในน้ำลาย ดังนั้นปัจจุบัน จึงอาศัยอาการ อาการแสดง และอายุ เป็นหลักพื้นฐานในการวินิจฉัยภาวะ พร่องเมลาโทนิน

แนวทางการรักษาภาวะ พร่อง ฮอร์โมน Melatonin (Melatonin Deficiency)

  1. อาหาร พบว่ามีผลไม้บางอย่าง สามารถเพิ่มระดับฮอร์โมนเมลาโทนิน ได้ เช่น กล้วย ข้าวโอ๊ต มะเขือเทศ ผลเชอรี่ เป็นต้น เลี่ยงอาหารที่มีผลรบกวนต่อการนอนหลับ เช่น อัลกอฮอล์ กาแฟ นม( ซึ่งอาจจะรบกวนระบบการย่อยอาหาร) ของหวาน
  2. สร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการนอนหลับ ควรนอนในห้องมีมืดสนิท ไม่มีเสียงหรืออะไรรบกวน เป็นไปได้ แนะนำให้ใช้ที่ปิดตา ก่อนนอน และอากาศในห้องนอน ควรจะเย็นสบาย ไม่หนาวหรือร้อนเกินไป และพบว่าในช่วงที่ตื่น หรือตอนกลางวัน ควรจะอยู่ที่ที่แสงจ้า เพื่อให้ร่างกายหลั่งเมลาโทนินให้น้อยลง เพื่อที่จะให้ร่างกายกระตุ้นให้เมลาโทนิน หลั่งมากในตอนกลางคืนแทน (Light therapy)
  3. การให้ ฮอร์โมน Melatonin ทดแทน ปัจจุบันในต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศทางยุโรป และอเมริกา ประชาชนจะมีปัญหาเรื่องการนอนหลับได้ยากมาก และพบว่าส่วนใหญ่จะมีภาวะพร่องเมลาโทนิน ทำให้บางประเทศจัดให้ ฮอร์โมน Melatonin เป็นกลุ่มอาหารเสริมที่ช่วยให้นอนหลับ เพราะ ฮอร์โมน Melatonin ไม่มีผลข้างเคียงใดๆ ทั้งสิ้น เพียงแต่ถ้ารับประทานมากเกินไป อาจจะทำให้ตื่นได้ยาก และมีอาการง่วงนอนในตอนกลางวัน ขนาดที่รับประทาน ปกติจะประมาณวันละ 1-3 มก.ต่อวัน
Posted on

ชายวัยทอง (Andropause ): ภาวะพร่องฮอร์โมน ที่ทำให้ความเป็นชายลดลง แก้ไขอย่างไร?

ชายวัยทอง (Andropauase) คืออะไร
 เดิมเรามีความเชื่อกันว่า ผู้ชายจะคงความเป็นชายหรือมีการสร้างฮอร์โมนเพศชายไปตลอดชีวิต ส่วนผู้หญิงนั้นเมื่อเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนแล้วรังไข่จะหยุดการสร้างฮอร์โมนเพศหญิง จึงเรียกว่าวัยหมดประจำเดือน
แต่ความรู้ใหม่ พบว่าไม่ว่าผู้ชายหรือผู้หญิง ต่างก็ต้องก้าวเข้าสู่วัยทองกันทั้งนั้น โดยมีการวิจัยทางการแพทย์จากหลายๆ ประเทศพบว่า ชายทุกคน เมื่ออายุย่างเข้าวัย 40 ปีขึ้นไป การสร้างฮอร์โมนเพศชายจะลดลงอย่างสม่ำเสมอทุกปี โดยจะมีระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนลดลงปีละประมาณร้อยละ 1 และเมื่ออายุ 65 ปีจะมีระดับฮอร์โมนนี้ลดลงกว่าช่วงวัยรุ่นถึงร้อยละ 25 เมื่อระดับของฮอร์โมนเพศชายลดลงถึงระดับหนึ่งจะเกิดภาวะพร่องฮอร์โมนเพศชายไปบางส่วน ทำให้เกิดอาการต่างๆคล้ายกับผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน

อาการ ! ที่บ่งบอกถึง ” ภาวะการพร่องฮอร์โมนเพศชาย “
– เครียด หงุดหงิดง่าย โกรธง่าย บางครั้งอาจจะรู้สึกซึมเศร้า อยากอยู่คนเดียว ไม่ชอบพบปะผู้คนหรือเข้าสังคม
– เหงื่อออกมาก เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาว สมาธิลดลง นอนไม่ค่อยหลับ หรือหลับก็หลับไม่สนิท
– โครงสร้างของร่างกาย เช่น กระดูกต่างๆ เริ่มเสื่อมถอย (แม้จะไม่ชัดเจนเหมือนผู้หญิง) กล้ามเนื้อเริ่มมีขนาดเล็กลง ไม่กระชับ มีการหย่อนคล้อยของกล้ามเนื้อ โดยจะสังเกตได้ชัดที่กล้ามเนื้อต้นแขน
– สมรรถภาพทางเพศลดลง ซึ่งเรื่องนี้แหละที่ผู้ชายส่วนใหญ่วิตกกังวลกันมากเป็นพิเศษ
– การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายของผู้ชายวัยทองที่เห็นได้ชัดอีกเรื่องหนึ่ง ก็คือ การเผาผลาญไขมันจะลดลง จึงทำให้มีไขมันส่วนเกินได้ง่าย ดังนั้นผู้ชายวัยทองจึงมักจะลงพุง
– กำลังวังชา เริ่มถดถอย มีอาการเหนื่อยง่าย เมื่อต้องออกแรงหรือทำงานหนัก
– ผิวหนัง เริ่มหย่อนคล้อย ริ้วรอยมากขึ้น ริมฝีปากบาง และผมบางมากขึ้น
– มีความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ เพิ่มขึ้น เช่น โรคหัวใจ กระดูกพรุน ต่อมลูกหมากโต ปัสสาวะออกลำบาก

Andropauase

ปัจจัยที่ทำให้ฮอร์โมนเพศชายลดลงเร็วกว่าปกติ
นอกจากอายุซึ่งเป็นปัจจัยทางธรรมชาติที่ทำให้ระดับฮอร์โมนเพศชายลดลงแล้ว ปัจจุบันยังมีปัจจัยเสริมอื่นๆ อีกมากมายที่ทำให้ผู้ชายเข้าสู่วัยทองเร็วกว่าปกติ นั่นคือ

– เรื่องของกรรมพันธุ์
– การทำงานหนัก และพักผ่อนน้อย
– มีความเครียดตลอดเวลา
– ความอ้วน
– การขาดสารอาหารบางชนิด (เช่น แร่ธาตุสังกะสี เบต้าแคโรทีน)
– การดื่มเหล้า สูบบุหรี่
– มีโรคเรื้อรัง (เช่น เบาหวาน ความดันเลือดสูง ไตวาย ฯลฯ)
– การกินยาบางชนิด (เช่น ยารักษาไทรอยด์)
– การออกกำลังกายที่มากเกินไป เป็นต้น
– สรุปได้ว่าอะไรก็ตามที่ทำให้ร่างกายเสื่อมถอยเร็ว จะทำให้มีการหมดฮอร์โมนเร็วขึ้นด้วยเช่นกัน

การวินิจฉัย
เนื่องจากมีความแตกต่างของการขาดฮอร์โมนเพศในชายและหญิงวัยทอง คือ ในผู้ชายวัยทองฮอร์โมนเพศจะค่อยๆ ลดลง และไม่ได้ขึ้นกับอายุ อีกทั้งยังมีความแตกต่างกันผู้ชายแต่ละคน บางคนอาจจะเริ่มมีปัญหาตั้งแต่อายุน้อยๆ (น้อยกว่า 40 ปี ) แต่ผู้ชายที่มีอายุ 80 ปีบางคนก็ยังมีฮอร์โมนเพศและสุขภาพยังดีอยู่ก็ได้ จึงจำเป็นต้องมีเกณฑ์การวินิจฉัยดังนี้
1. อาศัยอาการ ด้วยการประเมินอาการ 3 ด้าน คือ ด้านร่างกายและระบบไหลเวียน ด้านจิตใจ และด้านเพศ โดยอาศัยแบบสอบถาม ซึ่งช่วยในการคัดกรอง และใช้ในการติดตามผล
2. จากการตรวจเลือด เพื่อหา
2.1 ฮอร์โมนเทสทอสเตอโรน แบบรวม(Total testosterone )
2.2 Sex Hormone Binding Globulin(SHBG) ในช่วงเวลา 6.00-8.00 น. และควรงดอาหารก่อนตรวจอย่างน้อย 8 ชม. (อาจจะดื่มน้ำได้บ้างตอนเช้า) จึงจะได้ค่าที่ถูกต้องและใกล้เคียงความจริง
แล้วนำผลเลือดทั้งสองมาคำนวณให้ได้ค่าฮอร์โมนเทสทอสเตอโรนอิสระ (Free Testosterone) ซึ่งมีความแม่นยำกว่าการตรวจ เทสทอสเตอโรนรวม แล้วนำผลมาพิจารณาเปรียบเทียบกับค่ามาตรฐาน
แต่จริงๆ แล้วชายวัยทอง ไม่มีตัวเลขระดับฮอร์โมนเทสทอสเตอโรนที่แน่นอนว่าเท่าไหร่ จึงจะเรียกว่าภาวะพร่องฮอร์โมน ดังนั้นแนวความคิดใหม่ของแพทย์ ด้าน Anti-Aging จึงมักจะแนะนำให้ผู้ชายทุกคน ควรตรวจวัดระดับฮอร์โมนเพศชายในช่วงที่ยังไม่มีอาการผิดปกติ และตรวจติดตามทุก 10 ปี ว่ามีแนวโน้มการลดลงของฮอร์โมนเพศชายหรือไม่ หรือเมื่อเริ่มมีอาการทางกาย อารมณ์ และเรื่องทางเพศ ตามที่กล่าวไว้ข้างต้น นอกจากนี้ แพทย์ ด้าน Anti-Aging อาจจะมีการตรวจระดับฮอร์โมนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น FSH,LH,Estradiol,DHEA,Growth hormone(IGF-1) ว่ามีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องด้วยหรือไม่

consultation
blood test

จะดูแลตนเองอย่างไรเมื่อเข้าสู่อาการชายวัยทอง
ถึงแม้มนุษย์จะไม่สามารถเอาชนะความเสื่อมถอยได้ แต่ก็พอมีวิธีที่จะยืดเวลาแห่งความเป็นหนุ่ม ให้ยืนยาวที่สุดเท่าที่จะทำได้ภายใต้เงื่อนไขของธรรมชาติเอง นั่นคือ
1. อาหาร: นอกจากการรับประทานอาหารครบ 5 หมู่แล้ว ชายวัยทองควรจะเน้นการรับประทานอาหารที่มีโปรตีนชนิดดีในปริมาณที่สูง เช่น ปลา สัตว์ปีก พืชตระกูลถั่ว เต้าหู้ งาดำ ผักใบเขียว เป็นต้น และควรจะรับประทานแคลเซียม ซึ่งจะเป็นตัวเสริมสร้างกระดูก ชายวัยทองควรจะได้รับแคลเซียมวันละ 1,500 มิลลิกรัม เพื่อป้องกันภาวะกระดูกพรุน นอกจากนี้ ควรจะควบคุมระดับไขมันในเส้นเลือด โดยงดรับประทานอาหารที่มีโคลเลสเตอรอลสูง เช่น หอยนางรม ไข่แดง ควรงดของที่มีรสหวาน ชา กาแฟ อัลกอฮอล์ และการสูบบุหรี่ เพราะจะทำให้ระดับฮอร์โมนในเลือดลดลงได้
2. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ: เช่น การเดิน การวิ่งเหยาะๆ เต้นรำ เป็นต้น
3. การบริหารสุขภาพจิต: เพื่อลดความเครียดจากอาการทางกาย เช่น การไหว้พระ สวดมนต์ นั่งสมาธิ การเล่นโยคะ การมีสังคมกับคนรอบข้าง มองโลกในแง่ดี หลีกเลี่ยงการอยู่คนเดียว
4. ตรวจร่างกายอย่างสม่ำเสมอปีละ 1 ครั้ง: ตรวจเช็คความดันโลหิต ตรวจเลือดหาระดับไขมัน ตรวจภายในเช็คมะเร็งต่อมลูกหมาก ตรวจหามะเร็งลำไส้ มะเร็งตับอ่อน และตรวจหาความหนาแน่นของกระดูก (Bone mineral density

5 การให้ฮอร์โมนทดแทน (Testosterone Replacement Therapy) :
 การใช้ฮอร็โมนเพศชายทดแทนในผู้ชายวันทองนั้น เพื่อส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรคที่พอจะป้องกันได้ และประวิงเวลาของโรคที่ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้ เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ข้อดีของการให้ฮอร์โมนเพศชายทดแทน คือ การให้ฮอร์โมนเพศชายทดแทนในผู้ชายวัยทองให้เข้าสู่ระดับปกติ โดยไม่สูงเกินไป จะมีประโยชน์เพื่อลดปัญหาที่เกิดในชายวัยทองดังได้กล่าวมาข้างต้น โดยปัจจุบันมีการให้การให้ฮอร์โมนทดแทนชายวัยทอง ในหลายรูปแบบ เช่น
แบบรับประทาน : พบว่าเดิมมีการใช้การให้ฮอร์โมนทดแทนแบบรับประทาน แต่พบว่ามีโอกาสเกิดมะเร็งตับได้ ถ้าทานติดต่อกันนานๆ เพราะตัวยารับประทานอาจจะผ่านตับได้
กรณีที่ใช้ฮอร์โมนทดแทนเพศชายแบบทานติดต่อกันนานๆ  แนะนำให้ตรวจระดับฮอร์โมน ความเข้มข้นของเลือด (Hematocrit) และตรวจเช็คมะเร็งต่อมลูกหมาก และอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด ไม่ควรจะซื้อยามารับประทานเอง
แบบฉีด : เหมาะสำหรับคนไข้ที่มีระดับฮอร์โมนเพศชาย Testosterone ต่ำมากๆ หรือผู้สูงอายุ (มากกว่า 60 ปี) โดยจะช่วยเพิ่มระดับฮอร์โมนเพศชายได้เร็วกว่าแบบอื่นๆ และสะดวกในการใช้ เพราะฉีด 1-3 เดือนต่อครั้ง แต่บางครั้งก็พบว่า ทำให้ระดับฮอร์โมนเพศชายลดลงได้เร็วเช่นกัน และพบว่ามีรายงานว่า การเพิ่มระดับฮอร์โมนเพศชายอย่างรวดเร็ว จะทำให้ฮอร์โมนเพศชายบางส่วน เปลี่ยนแปลงเป็นฮอร์โมนเพศหญิง(Estrogen) โดยผ่านกระบวนการ Aromatase Activites จึงมักจะมีการเสริมการให้สังกะสี ควบคู่ไปด้วย เพื่อรบกวนการทำงานของเอนไซม์ Aromatase กรณีที่ใช้ฮอร์โมนทดแทนเพศชายแบบฉีด แนะนำให้ตรวจระดับฮอร์โมน ความเข้มข้นของเลือด (Hematocrit) และตรวจเช็คมะเร็งต่อมลูกหมาก(PSA) เป็นระยะๆ หรือตามแพทย์สั่งอย่างใกล้ชิดเช่นเดียวกับแบบรับประทาน
แบบทา (Transdermal Testosterone): จัดเป็นฮอร์โมนทดแทนเพศชาย ที่ปลอดภัยและไม่มีผลข้างเคียงมาก โดยระดับฮอร์โมนเพศชายจะค่อยๆ เพิ่มขึ้น และไม่เปลี่ยนแปลงเปลี่ยนแปลงเป็นฮอร์โมนเพศหญิง(Estrogen) โดยผ่านกระบวนการ Aromatase Activites ) และไม่ทำให้มีโอกาสเกิดมะเร็งตับหรือต่อมลูกหมากมากขึ้น
แบบเหน็บ หรือฝังใต้ผิวหนัง : จัดเป็นฮอร์โมนทดแทนเพศชาย ที่ปลอดภัยและไม่มีผลข้างเคียงดังสองแบบแรก เช่นกัน และได้ผลใกล้เคียงกับแบบทา สะดวกที่ไม่ต้องทาทุกวัน แต่ไม่สะดวกสำหรับบางคน เพราะมักจะฝังไว้ที่บั้นท้าย เป็นที่นิยมในแถบยุโรป แต่ในเอเซีย ยังนิยมแบบทาและรับประทานมากกว่า

testosterone injection
testosterone gel

ข้อห้ามในการใช้ฮอร์โมนเพศชายทดแทน

  1. เป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก หรือว่าสงสัยจะเป็น
  2. เป็นมะเร็งเต้านม หรือสงสัยว่าจะเป็น
  3. ต่อมลูกหมากโตทีมีอาการอุดตันการปัสสาวะที่รุนแรง
  4. มีความเข้มข้นของเลือดมากเกินไป
  5. มีการหยุดหายใจขณะหลับ
  6. หัวใจล้มเหลวอย่างรุนแรง
  7. ต่อมลูกหมากโตอย่างรุนแรง จนมีอาการของการอุดตันทางเดินปัสสาวะ
  8. แพ้ฮอร์โมนเพศชาย

การติดตามชายวัยทองที่ได้รับฮอร์โมนทดแทน

 ควรมีการตรวจระดับฮอร์โมนเริ่มต้นไว้ก่อน ที่จะให้ฮอร์โมนทดแทน และการตรวจซ้ำเมื่อครบทุก 3 เดือน หรือทุกปี แล้วแต่แพทย์จะนัดติดตามผล นอกจากการตรวจฮอร์โมนเพศเพื่อการวินิจฉัยภาวะพร่องฮอร์โมน แล้วควรตรวจ

  1. การตรวจเพื่อคัดกรองหาโรคในผู้สูงอายุทั่วไป เช่น ดัชนีมวลกาย สัดส่วนรอบเอวต่อรอบสะโพก ความดันโลหิตสูง ความเข้มข้นของเลือด เบาหวาน ไขมันในเลือด โรคหัวใจ โรคตับ โรคไต โรคต่อมลูกหมากโต มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งลำไส้ ถ้าหากไม่มีปัญหาค่าใช้จ่ายก็อาจจะตรวจความหนาแน่นของกระดูกเพิ่มเติม
  2. ประเมินพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อสุขภาพ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมของชุมชน
  3. ผู้ที่ใช้ฮอร์โมนทดแทน ควรได้รับการตรวจ ความเข้มข้นของเลือด และ PSA (เพื่อคัดกรองหามะเร็งของต่อมลูกหมาก) ทุก 3 เดือน
Posted on

ฉีดโบ ปรับรูปหน้าเหลี่ยม ( Square Jaw) หน้าบาน ให้ดูวีเชฟ (V-Shaped) ฉีดไป ทำไมไม่ได้ผล อยู่ไม่นาน ยิ้มไม่ได้

หน้าเหลี่ยม ( Square Jaw) เกิดจากอะไร

หน้าเหลี่ยม ( Square Jaw) คือ โครงหน้าดั้งเดิมของชนชาวตะวันออก โดยเฉพาะในแถบประเทศเกาหลี จีน หรือคนไทยทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยจะเป็นโครงหน้า ที่กว้างคางเหลี่ยม สาเหตุของคางเหลี่ยม (Square Jaw) เกิดจากการโตของขอบเหลี่ยมกระดูกขากรรไกร หรือเกิดจากการหนาตัวของกล้ามเนื้อกราม( masseter muscle )
– สาเหตุของ หน้าเหลี่ยม หรือ คางเหลี่ยม (Square Jaw) เกิดจากการโตของขอบเหลี่ยมกระดูกขากรรไกร หรือเกิดจากการหนาตัวของกล้ามเนื้อ Masseter ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการเคี้ยวอาหาร และการขบกัดอาหาร) ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการเคี้ยวอาหาร และการขบกัดอาหาร ทำงานหนักและเป็นเวลานาน
หน้าเหลี่ยมกับหน้าบาน แตกต่างกันอย่างไร: ต่างกันที่ หน้าเหลี่ยมสาเหตุ มักจะเกิดจากกล้ามเนื้อหรือกระดูกโครงหน้า แต่ถ้าหน้าบาน สาเหตุอาจจะมีสาเหตุเกิดจากไขมันที่แก้มร่วมด้วย

คำถามที่พบบ่อยๆ กับโบทอกซ์ปรับรูปหน้า

ฉีดอย่างไร ฉีดเข้าตรงตำแหน่งของกล้ามเนื้อ Masseter ประมาณข้างละ 3-6 จุดๆ เทคนิคของแพทย์แต่ละท่าน และปริมาณยุนิตที่ใช้ต่อข้าง หรือแต่ละจุด ขึ้นอยู่กับขนาดของกล้ามเนื้อ
ลดลงได้แค่ไหน ได้มีการทำ CT Scan ขนาดกล้ามเนื้อหลังฉีด พบว่าหลังติดตามผล 1 เดือน จะพบว่าขนาดของคางจะเรียวเล็กลงได้ถึงเฉลี่ยประมาณ 23%-35% แต่ทั้งนี้ก็แตกต่างกันได้ในแต่ละคน
นานแค่ไหนจึงจะเห็นผล ส่วนใหญ่จะพบว่ากราม เริ่มลดลงชัดเจน หลังฉีดอาทิตย์ที่ 2-4 และจะเห็นผลชัดเจนเมื่อย่างเข้าเดือนที่ 3 แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับยี่ห้อของโบทอกซ์ที่ใช้ ถ้าโบทอกซ์ของอเมริกา Allergan จะอยุ่ได้นานสุด 6-8 เดือน ถ้าของเกาหลี อาจจะอยู่ได้ 2-4 เดือน นอกจานี้ยังขึ้นอยู่กับปริมาณยูนิตที่ฉีด และพฤติกรรมการเคี้ยวอาหาร ถ้าระวังระวัง ไม่เคี้ยวของแข็ง ของเหนียว หรือหมากฝรั่ง ไม่นอนกัดฟัน บางคนอาจจะอยู่ได้นานกว่า 6 เดือน ถึงเป็นปี ก็มีพบได้

บทอกซ์แต่ละยี่ห้อแตกต่างกันหรือไม่ :แม้จะเป็นตัวยาตัวเดียวกัน แต่ผลที่ได้แตกต่างกันอย่างแน่นอน เพราะกระบวนการผลิตให้ตัวยา ออกฤทธิ์ได้คงตัว อยู่ได้นาน เป็นปัจจัยหลักหรือเทคนิคเฉพาะของแต่ละบริษัท ซึ่งก็คือต้นทุนหลักของแต่ละบริษัท ราคาจึงแตกต่างกันมาก ตั้งแต่หลักพันถึงหลักหมื่นบาท เปรีบบเสมือนรถยนต์แต่ละยี่ห้อ มีความต่างกันแม้จะเป็นรถยนต์เหมือนกัน
ฉีดแล้วไม่ค่อยได้ผล หรือไม่พอใจเกิดจากอะไร หลักๆ เกิดจากการดื้อโบทอกซ์ รองลงมายี่ห้อ และปริมาณยูนิตที่ใช้ และที่สำคัีญก็คือเทคนิคที่แพทย์แต่ละท่านฉีด ประสบการณ์และการดีไซน์ใบหน้า เพราะบางครั้งไม่เพียงแต่จะปรับรูปหน้าให้เล็กแล้ว แพทย์บางท่านยังปรับรูปหน้าที่ไม่เท่ากันให้ดูดีขึ้น ปรับความผิดปกติของโครงหน้าที่มีปัญหาได้ตรงจุด
ทำไมบางคนฉีดโบปรับรูปหน้า แล้วยิ้มไม่ได้ : เกิดจากตัวยาไปโดนกล้ามเนื้อ Risorius ที่อยู่ใกล้หรือพาดอยู่บนกล้ามเนื้อกราม Massetter กล้ามเนื้อมัดนี้ทำหน้านี้ทำให้ฉีดยิ้มได้กว้าง ถ้าเกิดปัญหานี้ อาจจะทำให้ยิ้มแล้วปากเบี้ยว หรือยิ้มแล้วไม่เป็นธรรมชาติ ถ้าเกิดแล้วแก้ไขยาก ต้องรอให้โบทอกซ์หมดฤทธิ์ไปเอง อาจจะใช้เวลา 1-3 เดือน กรณ๊ต้องการสลายให้เร็วขึ้น การทำ RF ช่วยให้โบทอกว์สลายไปเร็วขึ้นได้

Posted on

หญิงวัยทอง (Menopause ) : ภาวะพร่องฮอร์โมนเพศ ที่ผู้หญิงไม่อยากให้เกิด

Sad mature woman on bed with her husband in the background

หญิงวัยทอง (Menopauase) คืออะไร 
หญิงวัยทอง เป็นช่วงต่อระหว่างวัยผู้ใหญ่ตอนต้นและวัยสูงอายุ โดยในช่วงอายุ 40 หรือ 45 ปีขึ้นไป ร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะมีการผลิตฮอร์โมนเพศลดลง โดยปกติ ผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 30 ปี ร่างกายจะมีการผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนลดลง และมีช่วงเวลาที่ประจำเดือนเริ่มมาในเวลาที่ไม่แน่นอน ถี่บ้างห่างบ้างตามกระแสขึ้นลงของฮอร์โมนเพศ เราเรียกระยะนี้ว่า ระยะก่อนหมดประจำเดือน (Premenopause)
จะทราบได้อย่างไรว่าเริ่มเข้าสู่วัยนี้แล้ว
สตรีเมื่ออายุมากว่า 40 ปีขึ้นไป ที่มีอาการผิดปกติต่างๆ โดยเฉพาะ 3 M คือ
1. Memory: ความจำเริ่มลดลง
2. Mood: อารมณ์ที่แปรปรวน
3. Muscles: กล้ามเนื้อไม่กระชับ
ควรจะสงสัยว่า เริ่มเข้าสู่วัยใกล้หมดประจำเดือนแล้ว หรือสตรีที่แม้ไม่มีอาการอะไรเลย แต่ไม่มีประจำเดือนติดต่อกันนาน 1 ปี ก็ถือว่า หมดประจำเดือนแน่นอน ในกรณีที่ต้องการทราบผลแน่ชัด
ตรวจสอบให้ชัดเจนได้อย่างไร
สามารถทราบได้โดยการเจาะเลือดหาระดับฮอร์โมน เอสโตรเจน โปรเจสเทอโรน ที่ผลิตที่รังไข่ และระดับฮอร์โมน FSH (Follicle Stimulating Hormone) ซึ่งเป็นฮอร์โมนจากต่อมใต้สมอง ซึ่งถ้าต่ำกว่าค่าปกติ ก็บ่งบอกว่าเริ่มเข้าสู่วัยทองแล้ว (Peri-menopausal syndrome)

อาการเปลี่ยนแปลงเมื่อเข้าสู่วัยทอง
ท่านสามารถจะสังเกต ตนเองได้ว่ากำลังจะหมดประจำเดือนหรือยัง โดยเริ่มต้นจากอายุที่เข้าใกล้เลข 40 และจะมีการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ดังนี้

  1. ประจำเดือนมาไม่แน่นอน บางทีมาถี่ๆแล้วทิ้งช่วงหายไปหลายเดือนแล้วกลับมามีอีก มีเลือดประจำเดือนออกแบบมากกว่าปกติหรือมาทุก 2-3 สัปดาห์
  2. อาการร้อนวูบวาบ (Hot Flash) ประมาณ 3 ใน 4 ของผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนจะเคยมีอาการร้อนวูบวาบเกิดขึ้นบางครั้งมีอาการเหงื่อออกมากกว่าปกติทั้งที่อากาศเย็น หรือมีเหงื่อออกตอนกลางคืนหรือขณะหลับอยู่ อาการเหล่านี้มักเกิดบ่อยในช่วง 2-3 ปีแรกที่ประจำเดือนหมด โดยความรุนแรงจะไม่เท่ากันในผู้หญิงแต่ละคน
  3. มีอาการนอนไม่หลับหรือหลับยาก บางคนตื่นบ่อยๆ กลางดึกหรือตื่นเช้ากว่าปกติ
  4. มีอารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย บางคนมีอาการเศร้าซึม
  5. ปัญหาของช่องคลอด ระดับเอสโตรเจนที่ลดลงทำให้เนื้อเยื่อของช่องคลอดบางลง ความยืดหยุ่นและความหล่อลื่นลดลง ทำให้เกิดอาการเจ็บเวลาร่วมเพศ หรือมีอาการแสบ คัน
  6. ปัญหาของระบบทางเดินปัสสาวะ ระดับเอสโตรเจนที่ลดลงทำให้เนื้อเยื่อบริเวณเยื่อบุท่อปัสสาวะบางลง และมีความแข็งแรงของกระเพาะปัสสาวะลดลง ผู้หญิงวัยทองมักมีอาการปัสสาวะแล้วแสบ กลั้นปัสสาวะไม่ค่อยได้หรือไม่นาน ปัสสาวะเล็ดหรือราดเวลาไอจามหรือยกของหนัก
  7. ความเต่งตึงและชุ่มชื้นของผิวหนังลดลงเพราะร่างกายสร้างสารคอลลาเจนลดลง ผิวหนังแห้งง่าย มักมีอาการคัน ตามร่างกาย ริ้วรอยเริ่มลึกและเห็นเด่นชัดขึ้น ใบหน้าเริ่มหย่อนคล้อย มวลกล้ามเนื้อลดลง ไม่กระชับ
  8. การเจริญพันธุ์ลดลง เนื่องจากเวลาตกไข่ไม่แน่นอน แต่สามารถตั้งครรภ์ได้เสมอจนกว่าประจำเดือนจะหยุดมาเป็นเวลา 1 ปีเต็ม

จะดูแลตนเองอย่างไรในวัยหมดประจำเดือน
ปัจจุบันเป็นที่ยอมรับแล้วว่า วัยหมดประจำเดือนไม่ใช่วัยเริ่มต้นสู่วัยชรา สตรีวัยนี้ยังคงทำงานได้อย่างกระฉับ กระเฉง ปฏิบัติหน้าที่ทั้งในที่ทำงาน และที่บ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ สมดังที่เรียกขานวัยนี้ว่าวัยทอง ดังนั้น สตรีวัยทองควรจะศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น ทั้งจากสื่อต่างๆ สิ่งพิมพ์ พูดคุยกับเพื่อน หรือปรึกษาแพทย์ทางนรีเวช และควรจะมีการปฏิบัติตัวดังนี้

  1. อาหาร: นอกจากการรับประทานอาหารครบ 5 หมู่แล้ว สตรีวัยทองควรจะเน้นการรับประทานอาหารที่มีโปรตีนชนิดดีในปริมาณที่สูง เช่น ปลา สัตว์ปีก พืชตระกูลถั่ว เต้าหู้ งาดำ ผักใบเขียว เป็นต้น และควรจะรับประทานแคลเซียม ซึ่งจะเป็นตัวเสริมสร้างกระดูก สตรีวัยทองควรจะได้รับแคลเซียมวันละ 1,500 มิลลิกรัม เพื่อป้องกันภาวะกระดูกพรุน นอกจากนี้ ควรจะควบคุมระดับไขมันในเส้นเลือด โดยงดรับประทานอาหารที่มีโคลเลสเตอรอลสูง เช่น หอยนางรม ไข่แดง ควรงดของที่มีรสหวาน ชา กาแฟ อัลกอฮอล์ และการสูบบุหรี่ เพราะจะทำให้ระดับฮอร์โมนในเลือดลดลงได้ 
  2. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ: เช่น การเดิน การวิ่งเหยาะๆ เต้นรำ เป็นต้น
  3. การบริหารสุขภาพจิต: เพื่อลดความเครียดจากอาการทางกาย เช่น การไหว้พระ สวดมนต์ นั่งสมาธิ การเล่นโยคะ การมีสังคมกับคนรอบข้าง มองโลกในแง่ดี หลีกเลี่ยงการอยู่คนเดียว
  4. ตรวจร่างกายอย่างสม่ำเสมอปีละ 1 ครั้ง: ตรวจเช็คความดันโลหิต ตรวจเลือดหาระดับไขมัน ตรวจภายในเช็คมะเร็งปากมดลูก ตรวจหามะเร็งเต้านม (Mammography) และตรวจหาความหนาแน่นของกระดูก (Bone mineral density)
  5. ฮอร์โมนทดแทน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาว่าควรรับฮอร์โมนทดแทนหรือไม่

การให้ฮอร์โมนทดแทนในสตรีวัยทอง (Hormonal replacent therapy=HRT)
จะมีข้อบ่งชี้ในการให้ เมื่อได้ตรวจระดับฮอร์โมนเพศ แล้วพบว่ามีการพร่องของฮอร์โมน (Hormone Deficiency) เพื่อป้องกันและรักษาอาการดังต่อไปนี้
– ใช้เพื่อรักษาอาการร้อนวูบวาบ (hot flush) ตามร่างกาย ใบหน้า ลำคอ หน้าอก ร่วมกับการมีเหงื่อออกมาก
– ใช้เพื่อรักษาอาการทางระบบปัสสาวะ และระบบสืบพันธ์ เพราะสตรีวัยทอง มักจะมีปัญหาปัสสาวะแสบขัดบ่อยๆ มีการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ ช่องคลอดแห้ง ทำให้มีปัญหาเจ็บปวดเมื่อมีเพศสัมพันธ์กับคู่สมรส
– ใช้เพื่อรักษาภาวะกระดูกพรุน
– ใช้เพื่อป้องกันโรคเส้นเลือดอุดตันหัวใจ ความจำเสื่อม บำรุงผิวพรรณ

การให้ฮอร์โมนทดแทนมีผลเสียหรือไม่
สมัยก่อน คนเรากลัวเรื่องการให้ฮอร์โมนทดแทนแล้วมีผลต่อมะเร็งเต้านม มะเร็งมดลูก ซึ่งก็มีส่วนที่เกิดขึ้นได้ เพราะในสมัยก่อน การให้ฮอร์โมนเอสโตรเจนทดแทน จะเป็นแบบรับประทาน(Premarin) ซึ่งมีผลข้างเคียงในระยะยาวได้
– แต่ในปัจจุบัน ได้มีการพัฒนาการให้ฮอร์โมนทดแทนในรูปแบบของสารสกัดจากธรรมชาติ และได้เปลี่ยนเป็นรูปแบบของการครีมทาเฉพาะที่แทน (Transdermal forms) ซึ่งมีความปลอดภัยขึ้นมาก และแทบจะไม่มีผลข้างเคียงระยะยาว แต่ยังไงก็ต้องปรึกษาแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านนี้ (Anti-aging Medicine) เพื่อปรับระดับของการให้ฮอร์โมนทดแทนที่เหมาะสม
– ขณะเดียวกันได้มีผลการวิจัยทางการแพทย์จากหลายๆ สถาบัน พบว่าอัตราการเสียชีวิตของสตรีในอเมริกา พบว่า ประมาณ 48% เสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือด แต่เสียชีวิตจากมะเร็งเต้านมเพียง 1.5% เมื่อสตรีวัยทองได้รับฮอร์โมนเอสโตรเจนทดแทน พบว่าอัตราการตายจากโรคหัวใจ ลดลงถึง 40% แต่มีอัตราการเพิ่มของมะเร็งเต้านมเพียง 0.15% เท่านั้น จึงมีข้อสรุปว่า การให้ฮอร์โทนทดแทน (เอสโตรเจน) ในสตรีวัยหมดประจำเดือน จะได้ผลดีมากกว่าผลเสีย
– นอกจากนี้ยังมีวิตามินและสารสกัดจากธรรมชาติหลายตัวที่ช่วยกระตุ้นการสร้างฮอร์โมนเอสโตรเจนชนิดดี (good estrogen) เช่น กลุ่ม flax(ป่าน) seed extracts,Soy,กะหล่ำปลี ,วิตามินบี 6 วิตามินบี 12 ,folic acid,Omega-3 fatty acid (Fish oils ) กลุ่มสมุนไพร เช่น ใบแปะก๊วย ใบขี้เหล็ก เป็นต้น

Posted on

Growth Hormone : ฮอร์โมนที่เกี่ยวกับความสูง และช่วยชะลอวัย ให้คงความเป็นหนุ่มสาวไว้ได้

growth hormone (GH) ทำหน้าที่อะไร 
-โกรทฮอร์โมน growth hormone (GH) เป็นฮอร์โมนชนิดโปรตีน หรือที่เรียกว่า Peptide Hormone เป็นฮอร์โมนที่ถูกผลิตขึ้นจากต่อมใต้สมองส่วนหน้า (Anterior Lobe of Pituitary Gland ) เกี่ยวข้องกับกระบวนการการเจริญเติบโตของร่างกาย รวมทั้งการ Metabolism ของร่างกาย มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Somatotropin
growth hormone (GH) สำคัญอย่างไร
growth hormone (GH) ในเด็ก มีผลต่อการเจริญเติบโตของร่างกาย เด็กที่ขาดหรือพร่องฮอร์โมนนี้ มีผลต่อความสูงของร่างกาย ทำให้เกิดภาวะเตี้ยแคระ (dwarfs) และเด็กที่มีฮอร์โมนนี้สุงกว่าปกติ ก็จะเกิดภาวะตัวสูงใหญ่ผิดปกติ(Giants)
growth hormone (GH) ในผู้ใหญ่ จะเกี่ยวข้องกับขบวนการเมตาโบลิซึมของร่างกาย การเผาผลาญพลังงาน เกี่ยวข้องกับระบบกระดูก กล้ามเนื้อ ผิวหนัง ตลอดจนการทำงานของปอด หัวใจ ตับ สมอง และอวัยวะที่สำคัญหลายอย่าง
growth hormone เป็นฮอร์โมนสำหรับความเยาว์วัย
เพราะจะหลั่งสูงสุดเมื่ออายุ 20 ปี และหลังจากนั้น ระดับฮอรโมนนี้จะเริ่มทำงานลดลง โดยจะพบว่าทุกๆ 10 ปี growth hormone (GH) จะทำงานลดลงประมาณ 14% โดยพบว่าเมื่ออายุประมาณ 65 ปี growth hormone (GH) จะทำงานลดลงประมาณ 50% ดังนั้นถ้าพูดกันง่ายๆ ก็คือ ขบวนการชรา จะเริ่มต้นที่อายุ 20 ปี และค่อยๆ มากขึ้นเมื่ออายุมากกว่า 40 ปี ซึ่งก็คือเมื่อย่างเข้าวัยทองนั่นเอง

ภาวะพร่องโกรทฮอร์โมน(GH deficiency) มักจะเริ่มมีอาการให้เห็นทีละเล็กละน้อย ตั้งแต่อายุ 25-30 ปีขึ้นไป แล้วแต่คน แต่จะเริ่มสังเกตชัดขึ้นเมื่ออายุมากกว่า 40 ปี และอาการเหล่านี้จะเด่นชัดขึ้นถ้ามีการนอนหลับพักผ่อนไม่เต็มที่ อาการและอาการแสดงที่พบได้มีดังนี้
– รู้สึกอ่อนเพลียง่ายตลอดทั้งวัน คุณภาพชีวิตแย่ลง เรี่ยวแรง(Energy) ถดถอย
– ไม่สามารถทนนอนดึกได้ เช่น ถ้าต้องนอนหลังเที่ยงคืน จะทำให้เพลียและไม่มีแรง กว่าจะฟื้นตัวก็นานหลายวัน ต้องการจะนอนมากกว่า 8-9 ชม.ต่อวัน จึงจะมีเรี่ยวแรงทำงานได้
– เส้นผมเริ่มบางลง ทั่วหนังศีรษะ
– อาการทางผิวหนัง –เปลือกตาเริ่มตก มีถุงไขมันใต้ตา แก้มเริ่มหย่อนคล้อย จมูกและริมฝีปาก บางลง คอเริ่มหย่อนคล้อย มีร่องรอยเหี่ยวย่นตามใบหน้า ลำคอ
– ควบคุมน้ำหนักได้ยากขึ้น อ้วนได้ง่าย เริ่มมีพุง มีไขมันส่วนเกินสะสมตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย
– ความผิดปกติทางอารมณ์- หงุดหงิดง่าย ทนความเครียดไม่ค่อยได้ แม้จะเล็กน้อย อยากจะปลีกตัวจากสังคม ขาดความมั่นใจในตนเอง
– กล้ามเนื้อขาดความแข็งแรง ไม่กระชับ มวลกล้ามเนื้อ (Muscle mass) ลดลง ต้นแขนห้อยเหมือนหนังไก่(Chicken arms)
– สมรรถภาพทางเพศลดลง ผู้ชายอาจจะมีปัญหาการแข็งตัวของอวัยวะเพศไม่เต็มที่ มีปัญหาหลั่งไว ส่วนผู้หญิงก็อาจจะมีความต้องการทางเพศ(Sexual Desire) ลดล

การตรวจวัดระดับ growth hormone
– ในร่วงกายว่าเริ่มลดลงหรือพร่องไปมากน้อยเท่าไหร่ ทางการแพทย์ทำได้ยาก เพราะ growth hormone จะอยู่ในกระแสเลือดเพียงไม่กี่นาที แต่จะเปลี่ยนสภาพเป็น Growth factor ที่ตับแทน
– ดังนั้นการวัดระดับ growth hormone จึงจะใช้การวัดระดับของ Growth factor แทน ในรูปของ Insulin-like growth factor(IGF-1) ซึ่งจะตรวจการในเลือด และใช้เป็นตัวบ่งชี้แทน ระดับ growth hormone ได้ค่อนข้างแม่นยำ แต่การตรวจที่จะได้ผลดีและถูกต้อง ต้องตรวจช่วงเวลา 6.00-8.00 น. และควรจะงดอาหารก่อนการตรวจเลือดอย่างน้อย 8 ชม. อาจจะพอดื่มน้ำก่อนตรวจได้บ้าง ถ้ากระหายน้ำในตอนเช้า
– การตรวจระดับ growth hormone นอกจากจะตรวจจากระดับ Insulin-like growth factor(IGF-1) แล้วแพทย์มักจะตรวจหาระดับของ IGF-BP-3 (Binding protein) ร่วมด้วย เพราะจะมีระดับผกผันกัน เพื่อให้เปรียบเทียบ ระดับ Insulin-like growth factor(IGF-1) ที่ทำงานอย่างแท้จริง คือถ้าพบว่า ระดับ IGF-BP-3 สูง ก็บ่งบอกว่า ระดับ growth hormone บางส่วนได้จับกับโปรตีน ทำให้ GH จริงๆ ออกฤทธิ์ได้น้อยลง

แนวทางการรักษาภาวะ พร่องโกรทฮอร์โมน (GH deficiency)
ปัจจุบัน ในวงการแพทย์ Anti-Aging พบว่า การเพิ่มระดับ growth hormone สามารถทำให้เราชะลอวัย และฟื้นฟูความเป็นหนุ่มสาวขึ้นมาใหม่ได้ ดังนี้
1. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหรือนิสัยเดิมๆ (Life Style Change )
1.1 Diet: ควรหันกลับมาบริโภคอาหารที่มีประโยชน์ และมีคุณค่าอย่าง จริงๆ จังๆ โดยเฉพาะอาหารประเภทโปรตีนชนิดดี (good protein) เช่น ปลา ผลไม้ ผัก เนื้อแดง สัตว์ปีก และพยายามเลี่ยง เครื่องดื่มอัลกอฮอล์ กาแฟ ของหวานทั้งหลาย ผลิตภัณฑ์จากนม เนย งดสูบบุหรี่ ซึ่งทำให้ระดับ GH ลดลงได้ 
1.2 Exercise : ควรสร้างนิสัยการออกกำลังกายเป็นประจำ อย่างน้อยอาทิตย์ละ 3-4 ครั้ง นานครั้งละ 30-45 นาที การออกกำลังที่เหมาะสำหรับการเพิ่มระดับ GH คือการออกกำลังกายอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่หักโหม เช่นการวิ่งเหยาะๆ การเดินเร็ว การเต้นแอโรบิก หรือการออกกำลังกายหนักๆ ในช่วงเวลาสั้นๆ เช่นการยกน้ำหนัก เป็นต้น
1.3 การนอนหลับให้เพียงพอ : ควรจะนอนหลับให้สนิทอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน และควรนอนไม่เกิน 4-5 ทุ่ม เพราะจะเป็นช่วงที่ฮฮร์โมน Melatonin ซึ่งเกี่ยวกับการทำให้ง่วงและนอนหลับ(จะอธิบายออร์โมนนี้อย่างละเอียดภายหลัง) หลั่งสูงสุด ซึ่งผลของ ฮฮร์โมน Melatonin นี้จะช่วยเพิ่มระดับ GH ได้เช่นกัน
2. การปรับเปลี่ยนด้านจิตใจ : พยายามเป็นคนมองโลกในแง่ดี เลี่ยงสาเหตุที่ทำให้เกิดความเครียด สร้างพลังจิตให้เข้มแข็ง เช่น การสวดมนต์ นั่งสมาธิ การเล่นโยคะ การรำไท้เก้ก หรือการสูดหายใจลึกๆ ยาวๆ อย่างน้อยซัก 10 นาที วันละ 3 ครั้งก็ได้ เพราะความเครียด ทำให้ฮอร์โมนทุกตัวในร่างกายลดลงได้

3. อาหารเสริมกลุ่ม Amino acid : พบว่าอาหารเสริมบางตัว สามารถที่จะเพิ่มระดับ GH ได้ แต่ควรจะทานช่วงที่ท้องว่าง หรือช่วงเช้า และ ก่อนนอน เพราะจะเพิ่มการออกฤทธิ์ได้ดีกว่า

3.1 Arginine : ขนาด 7-12 กรัมต่อวัน
3.2 Ornithine: ขนาด .5-8 กรัมต่อวัน
3.3 Lysine ขนาด 1-3 กรัมต่อวัน

พบว่า อาหารเสริมในข้อ 3.1-3.3 มักจะเพิ่มระดับ GH ได้คนหนุ่มสาว อายุระหว่าง 20-35 ปี และพบว่าหลายยี่ห้อ ได้นำ กรดอะมิโนทั้ง 3 ตัว จะผสมกันเพื่อให้ทานง่าย บางคนเรียกว่า Tri-amino Acids

3.4 Glycine ขนาด 5-7 กรัมต่อวัน
3.5 L-tryptophan ขนาด 5-10 กรัมต่อวัน
3.6 L-glutamine ขนาด 2 กรัมต่อวัน จัดเป็นกรดอะมิโนที่สามารถเพิ่มระดับ GH ได้ทุกกลุ่มอายุ แม้แต่คนสูงอายุ ( 32-64 ปี) ปัจจุบันถือว่าเป็นอาหารเสริมกลุ่มอะมิโนที่ได้รับความนิยมสูงสุด

4. การให้ฮอร์โมนอื่นทดแทน (Hormonal Replacement Therapy-HRT) : พบว่าเพื่อคนสูงอายุขึ้น มีฮอร์โมนหลายตัวที่ลดระดับหนึ่ง ดังมีการรายงานทางการแพทย์ว่า เพื่อเราทำการรักษาด้วยการให้ฮอร์โมนทดแทนตัวอื่นๆ เช่น Testosterone,Melatonin,Estrogen,Thyroid hormone ในคนไข้ที่ขาดออร์โมนเหล่านี้ เมื่อเพิ่มระดับฮอร์โมนเหล่านี้ในระดับที่น่าพอใจแล้ว ก็มีผลส่งให้ระดับฮอร์โมน GH เพิ่มขึ้นได้ด้วยเช่นกัน
5. การให้โกรทฮอร์โมนทดแทน (Growth hormone replacement ): จัดเป็นการเพิ่มระดับ GH ที่ได้ผลที่สุด และเร็วสุด แต่แพทย์มักจะเลือกให้การรักษาเป็นทางเลือกสุดท้าย ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์มีส่วนประกอบของ GH หลากหลายยี่ห้อ การเลือกพิจารณารูปแบบของการให้ และบริษัทที่น่าเชื่อถือ ถือว่ามีผลต่อการรักษา ที่ใช้กันทั่วๆ ไป ก็คือ
5.1 แบบหยอดหรือสเปรย์ใต้ลิ้น ได้ผลในระดับหนึ่ง เป็นที่นิยม เพราะราคาไม่แพงมาก (ประมาณ 5,500 บาท)
5.2 แบบฉีด GH แต่ถ้าต้องการเพิ่มระดับ GH ที่ได้ผลจริงๆ ต้องใช้การฉีด GH เท่านั้น ซึงในเมืองไทย ยังไม่อนุญาตให้ทำได้ และปัจจุบันก็ยังมีราคาแพงมาก ( ราคาประมาณ 15,000-25,000 บาทต่อ เดือน
ผลข้างเคียงของการฉีด GH พบได้ แม้จะไม่รุนแรงนัก เช่น เกิดภาวะบวมที่ข้อมือ (Carpal tunnel syndrome) การปวดข้อต่างๆ หรือความดันในสมองเพิ่มขึ้น ซึ่งพบว่าเพื่อหยุดฉีดหรือลดขนาดการฉีดลง ก็สามารถทำให้ผลข้างเคียงเหล่านี้ลดลงได้
ข้อห้ามใช้ในการฉีด GH ได้แก่ คนไข้ท่มีปัญหามะเร็งระยะลุกลาม จอตาผิดปกติ(Proliferative retinopathy) หรือความดันในสมองสูง (Intracranial hypertension)

Posted on

โบท็อกซ์คืออะไร ค้นพบได้อย่างไร ออกฤทธิ์ยังไง เลือกฉีดยี่ห้อไหนดี การดูแลก่อนและหลังฉีด ผลข้างเคียงที่พบได้

ความเป็นมาของโบทอกซ์

– โบทอกซ์ คือชื่อทางการค้าของสาร Botulinum toxin type A สกัดจากแบคทีเรีย Clostridium Botulinum Botulinum toxin ถูกค้นพบครั้งแรก ในยุคสมัยของสงครามนโปเลียน ตั้งแต่ ค.ศ. 1795- 1813 เนื่องจากการค้นพบความสัมพันธ์ระหว่างไขมัน ไส้กรอก และอาการป่วยเป็นอัมพาต โดย Justinus Kerner นักสาธารณสุขอายุ 29 ปี ผลจากการสังเกตครั้งนั้นนับเป็นหลักฐานสำคัญทางด้านระบาดวิทยาของโรค Botulism ซึ่งมีรากศัพท์มาจากภาษาละตินคือ botulus แปลว่าไส้กรอก
– ปี 1960 ก็มีการใช้ botulinum toxin กับมนุษย์เป็นครั้งแรก ในการรักษาอาการตาเหล่ (strabismus)และตาปิดเกร็ง (การกะพริบตาที่ไม่สามารถควบคุมได้: blepharospasm) ในปี 1989 บริษัทผู้ผลิต botulinum toxin: Allergan, Inc. (ภายใต้ชื่อ Botox) ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ (U.S. FDA) เพื่อผลิต botulinum toxin สำหรับรักษาอาการตาเหล่ ตาปิดเกร็งและอาการเกร็งครึ่งใบหน้าสำหรับผู้ป่วยที่มีอายุเกิน 12 ปี
– ปี 1993 ได้มีการใช้ botulinum toxin ในการรักษาอาการหดเกร็งของหูรูดปลายล่างของหลอดอาหาร (achalasia: a spasm of the lower esophageal sphincter)
– ปี 1994 Bushara และ Park ก็พบว่า botulinum toxin มีความสามารถในการยับยั้งการหลั่งของเหงื่อได้

โบทอกซ์กับความงาม

– ปี ค.ศ. 1987 Dr. Jean Carruthers ได้พบว่าเมื่อใช้สาร Botulinum toxin type A ในการรักษาอาการตากระตุก ให้หายแล้ว ยังทำให้รอยย่นจากการขมวดคิ้วจางลง จึงได้ตีพิมพ์รายงานครั้งแรกในปี ค.ศ. 1992  จากผลการตีพิมพ์ดังกล่าว ทำให้แพทย์ได้เริ่มต้นฉีดโบทอกซ์กับวงการความงาม มากขึ้นเรื่อยๆ และได้เริ่มนำเข้ามาเผยแพร่ไปทั่วโลก
-ปีค.ศ  1999-2000 ประเทศไทยเริ่มมีการนำ Botulinum toxin type A มาฉีดลดริ้วรอยเหี่ยวย่น ตีนกา ก่อนเป็นอันดับแรก   ซึ่งผู้เขียนก็เป็น 1 ในทีมแพทย์ไม่กี่คน ที่ถือได้ว่าเป็นแพทย์ไทยกลุ่มแรก ที่ได้การฉีดสารโบทอกซ์ในเมืองไทย
ปัจจุบันนี้ โบทอกซ์ ได้พัฒนาให้ฉีดได้หลายบริเวณ หลายวัตถุประสงค์ มากขึ้น ลองอ่านบทความนี้
Advanced technique for Botox Injection

โบท็อกซ์ออกฤทธิ์อย่างไร ยี่ห้อไหนดีสุด

กลไกการออกฤทธิ์ของสารโบท็อกซ์
– ฉีดชั้นกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว โดยจะไปยับยั้ง สารคัดหลั่ง Acetylcholine (Ach) ซึ่งสื่อสารระหว่างเซลประสาทและกล้ามเนื้อ ให้ทำงาน เคลื่อนไหว หรือ หดตัว เมื่อฉีด Botox จะทำให้ยับยั้ง การรับรู้ของกล้ามเนื้อ จึงไม่เกิดการหดตัว เกร็ง
– ฉีดชั้นผิวหนัง ทำให้กล้ามเนื้อเรียบ หรือคอลลาเจนหดตัว กระชับขึ้น
ยี่ห้อโบท็อกซ์ที่นิยมใช้ในประเทศไทย : ได้แก่ Botox Allergen (อเมริกา),Dysport(อังกฤษ) ,Xeomin (เยอรมัน),Botulax (เกาหลี), Nabuta (เกาหลี),Hugel (เกาหลี)
ถ้าจะถามว่าโบท็อกซ์ (Botox) ยี่ห้อไหนดีสุด : คำตอบนี้ขึ้นอยู่กับวัตุถุประสงค์ในการใช้ โดยไม่เกี่ยวกับงบประมาณ ดังนี้

  • ออกฤทธิ์นานสุด : Allergen (อเมริกา )
  • ลดกราม กล้ามเนื้อมัดใหญ๋ ดีสุด : Allergen (อเมริกา )
  • ยกกระชับ ดีสุด : Dysport(อังกฤษ)
  • ฉีดแล้วดูเป็นธรรมชาติสุด : Dysport(อังกฤษ)
  • ดือยาน้อยสุด : Xeomin ( เยอรมัน)
  • ปลอมมากสุด : ทุกยี่ห้อ
    ทั้งนี้ทั้งนั้นผู้บริการต้องเลือกใช้คลินิกที่มีคุณภาพ ใช้ของแท้ ไม่ใช้ของปลอม เนื่องจากมีคนหิ้วขายอยู่เต็มไปหมด และที่สำคัญต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ หากไม่มีความชำนาญแล้วบังเอิญฉีดไม่ตรงจุด แล้วผลที่ได้ราคาที่จ่ายไปก็อาจจะไม่คุ้มกับผลลัพธ์ที่ได้

การดูแล ก่อน-หลังฉีด และผลข้างเคียง

การปฏิบัติตน ก่อนและหลังฉีดสารโบท็อกซ์
– งดดื่มเหล้า เข้าซาวน่า 4 ชั่วโมง หรือรับประทานยาแก้ปวดจำพวกแอสไพริน หรือยากลุ่มNsaid ยาลดเกร็ดเลือดก่อน อย่างน้อย 2 สัปดาห์ เพื่อป้องกันการเขียวช้ำจากรอยเข็ม
– การประคบด้วยความเย็น ตรงตำแหน่งที่ฉีด ก่อนและหลังการฉีด เพื่อลดอาการปวดหรือรอยช้ำจ้ำเลือด
– ไม่ใช้ร่วมกับการกินยาปฏิชีวนะ กลุ่ม Aminoglycoside เช่น Kanamycin Amikacin ฯลฯ
– ห้ามนวดคลึงบริเวณที่ฉีด 4 ชั่วโมง พราะจะมีผลต่อกล้ามเนื้อที่ฉีดทำให้โบทอกซ์กระจาย
– ควรเลี่ยงการทำทรีทเม้นต์หลังฉีด 2 อาทิตย์
– หลีกเลี่ยงการฉีดในสตรีมีครรภ์
ผลแทรกซ้อนที่อาจพบได้
– รอยช้ำจ้ำเลือด พบได้บ่อย โดยเฉพาะบริเวณหางตา
– บวมบริเวณที่ฉีด
– ปวดบริเวณที่ฉีด
– หนังตาตก และมักหายภายใน 2 สัปดาห์
– การแสดงสีหน้า อาจไม่เป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะเวลาโกรธ หัวเราะ ยิ้ม หรือร้องไห้ มักหายได้เองใน 4 สัปดาห์
– อาจเกิดการดื้อยาได้ กรณ๊ที่ใช้โบทอกซ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่ผ่าน อย.
– ยังไม่พบการแพ้ยาที่รุนแรง และเป็นผลเสียต่ออวัยวะภายในร่างกาย

อย่างไรก็ตาม ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นดังกล่าว สามารถเลี่ยงหรือทำให้เกิดได้น้อยที่สุดได้ ถ้าแพทย์ที่ทำมีความชำนาญในการฉีดและมีประสบการณ์ในการทำมามากพอสมควร ดังนั้นการเลือกแพทย์ที่ผ่านการฝึกฝนอบรมมาเป็นอย่างดี ย่อมทำให้การรักษาได้ผล และไม่มีผลข้างเคียง

Posted on

Anti-Aging Medicine : เวชศาสตร์ชะลอวัย การแพทย์ที่ใช้ป้องกันและฟื้นฟูร่างกายให้ดูดีจากภายในสู่ภายนอกแบบองค์รวม

Anti-aging medicine คืออะไร

Anti-aging medicine คือ องค์ความรู้ทางการแพทย์ที่เกี่ยวกับการป้องกัน การดูแลสุขภาพ ทุกๆ ด้านทั้งด้านสรีระร่างกาย ผิวพรรณ โภชนาการ ระดับฮอร์โมน การออกกำลังกาย ภาวะทางจิตใจและอารมณ์ หรือปัจจัยอีกหลายๆ อย่างที่เกี่ยวข้องกับการทำให้คนเรามีอายุยืนยาวขึ้น อย่างสุขสมบูรณ์ (Vital life)
เนื่องจาก อายุขัยเฉลี่ยของประชากรโลก นับวันจะพบว่าอายุขัย เฉลี่ยจะมากขึ้น คือคนเรามีอายุยืนยาวกว่าในอดีต โดยปี 2564 จะเป็นปีที่ไทยจะเข้าสู่สังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์ อายุขัยเฉลี่ยประมาณ 75 ปี
ทำให้เราต้องคิดว่า “ เมื่อตัวฉันต้องอยู่ในโลกใบนี้อีกนานมากขึ้น ฉันจะต้องทำอย่างไร ที่จะทำให้ชีวิตบั้นปลายของตนเอง อยู่อย่างมีความสุข ไม่มีโรคภัยมาเบียดเบียน สามารถดำรงชีวิตได้อย่างมีความสุข ทั้งร่างกายและจิตใจ แบบองค์รวม (Holistics) โดยไม่ให้เป็นไปตามกลไกการเสื่อมของร่างกาย (Aging Process) หรือถ้าจะเกิด ก็ให้เกิดผลน้อยที่สุด สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ไม่ต้องตกเป็นภาระแก่ลูกหลาน”


จากประโยคดังกล่าว จึงดูเหมือนว่า Anti-aging medicine ต้องยึดหลักการดูแลและป้องกันสุขภาพเมื่อมีอายุมากขึ้น โดยเป็นการแพทย์เชิงรุก ก่อนที่จะมีปัญหาเกิดขึ้น หรือถ้าเกิดขึ้น จะเยียวยารักษาอย่างไร ให้เกิดขึ้นช้าที่สุด และมีผลกระทบต่อการดำรงชีวิตประจำวันให้น้อยที่สุด ซึ่งก็ต้องอาศัยทีมแพทย์จากหลายๆ ฝ่าย หรืออาศัยความรู้เฉพาะจากหลายๆ ด้าน ในการประเมินผลการดูแลสุขภาพของคนไข้แต่ละคน

หลักการดูแลสุขภาพตามแนวทาง Anti-Aging

มุ่งเน้นการป้องกันเป็นหลัก เหมือนการมาตรวจสุขภาพตามปกติ แต่ต่างกันที่จะมีการตรวจที่ลงลึกกว่าการตรวจสุขภาพโดยทั่วไป เช่น การตรวจระดับฮอร์โมน วิตามิน การคัดกรองปัจจัยเสี่ยงที่อาจจะเกิดโรค สารพิษ ภาวะภูิมแพ้อาหารแฝง โดย เวชศาสตร์ชะลอวัยจะมุ่งเน้นเข้าไปว่าในร่างกายเรามีอะไรที่มันยังขาดที่จำเป็นต้องเสริม เพื่อที่จะมีผลดี หรือผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว เพราะหากเรารู้ก่อนตั้งแต่ยังไม่เป็นโรคและรีบป้องกันย่อมได้ผลที่ดีกว่า เน้นการดูแลจากภายในของเรา ถ้าภายในดีภายนอกก็จะดูดีขึ้นด้วย
เนื่องจากเป็นการดูแลรักษาสุขภาพแบบองค์รวม จึงต้องอาศัยทีมแพทย์หรือองค์ความรู้จากหลายๆ ด้านทางการแพทย์ เพราะการที่จะทำอย่างไร ให้เกิดชีวิตที่สมบูรณ์พูนสุข( Vital life) ต้องมีการดูแลในหลายๆ ด้านอาทิเช่น
-Life style improvement ( การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้ดีขึ้น สอดคล้องกับหลักการมีสุขภาพที่ดี)
-Vitamins,Minerals and Trace elements Supplements ( การเลือกรับประทานอาหารเสริม หรือวิตามิน เกลือแร่ ที่เหมาะสมกับภาวะของร่างกายที่พร่องไป)
-Lean Body (การมีร่างกายที่สมส่วน ไม่อ้วนหรือผอมเกินไป)
-Hormonal replacements/supplements( การเสริมฮอร์โมนบางตัวที่ร่างกายพร่องไป)
-Healthy Blood and Body ( การมีภาวะที่ปกติในระบบเลือด และร่างกายโดยรวม)
-Mental Status( การมีภาวะจิตใจที่สมบูรณ์)
-Sleep as well ( การนอนหลับพักผ่อนที่เปี่ยมสุข)
-Sex life( การมีความสุขทางเพศอย่างเหมาะสม) /Family Happiness( ความสุขในครอบครัว)
-Diets ( การดูแล การควบคุม และการรับประทานอาหารให้เหมาะสมกับวัย)
-Exercise (การออกกำลังกายที่พอเหมาะพอดี ต่อสุขภาพ)
-ฯลฯ

กลุ่มคนที่ควรไปพบแพทย์เวชศาสตร์ชะลอวัย

  1. บุคคลที่มีความเสี่ยงว่าจะเป็นโรคจากกรรมพันธุ์ ได้แก่ โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง และโรคความดันโลหิตสูง แต่หากคุณอยู่ในกลุ่มนี้อย่าเพิ่งกังวลไป เพราะกรรมพันธุ์เป็นเพียงส่วนหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคเท่านั้น ถ้าคิดเป็นสัดส่วนก็เพียงแค่ 20 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น อีก 80 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้ชีวิต ซึ่งบางคนอาจมีความใกล้เคียงกับคนในครอบครัวที่เป็นโรคดังกล่าว จึงทำให้มีโอกาสเป็นโรคตามกันไป
  2. บุคคลที่มีโรคประจำตัว ยกตัวอย่างเช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคระบบกล้ามเนื้อ เส้นเอ็นอักเสบ โรคไขมันในเลือดสูง โรคมะเร็ง เป็นต้น
  3. บุคคลที่อยากเริ่มรักษาสุขภาพร่างกายอย่างถูกวิธี  
Posted on 4 Comments

อยากสูงทำอย่างไร ฉีดโกรทฮอร์โมน จะช่วยมั้ย และมีปัจจัยอะไรอีก ที่ทำให้เราสูงขึ้นได้

Growth hormone (GH) ทำหน้าที่อะไร

โกรทฮอร์โมน growth hormone (GH) เป็นฮอร์โมนชนิดที่ถูกผลิตขึ้นจากต่อมใต้สมองส่วนหน้า (Anterior Lobe of Pituitary Gland ) เกี่ยวข้องกับกระบวนการการเจริญเติบโตของร่างกาย รวมทั้งการ Metabolism ของร่างกาย โดยพบว่า
1. กระบวนการการเจริญเติบโตของร่างกาย 
Growth Hormone ในการเจริญเติบโตของร่างกาย เป็นการกระตุ้นตับและเนื้อเยื่ออื่นๆ ให้สร้าง IGF-I(insulin-like growth factor-I)
IGF-I กระตุ้นการแบ่งตัวของเซลล์สร้างกระดูกอ่อน ทำให้เกิดการเจริญเติบโตของกระดูก นอกจากนี้ IGF-I จะกระตุ้นให้มีการเจริญเติบโตของกล้ามเนื้อและจะมีผลโดยตรงกระตุ้นให้เซลล์กระดูกอ่อนเกิดการพัฒนาจำแนกชนิดต่อไป ทำให้เกิดการเจริญเติบโตของกระดูก จึงช่วยให้สูงขึ้นได้ตามวัย
ระยะการเจริญเติบโตและพัฒนาของร่างกาย
1. การเจริญเติบโตในวัยเด็ก ในขวบปีแรก เด็กจะเจริญเติบโตมากที่สุด ในช่วง 4 เดือนแรก ความเพิ่มขึ้น 3 ซม./เดือน หลังอายุ 4 เดือน ถึง 12 เดือน ความยาวเพิ่มขึ้น1.5 ซม./เดือน อายุ 1 – 2 ปี เด็กจะมีความยาวเฉลี่ย 1 ซม./เดือน หลังอายุ 2 ปี จนถึงอายุ 10 ปี อัตราการเจริญเติบโตจะคงที่ ความสูงเพิ่มขึ้น 5 – 6 ซม./ปี
2. การเจริญเติบโตในวัยรุ่น เมื่อเข้าสู่วัยรุ่นการเจริญเติบโตในเพศชายและเพศหญิงจะแตกต่างกันชัดเจน เนื่องจากอิทธิพลของฮอร์โมนเพศ ดังนี้
– เด็กหญิงไทยมีการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่วัยสาว อายุ 10 – 10.5 ปี เริ่มมี growth spurt (โตอย่างรวดเร็ว) อายุ 11 ปี ความสูงเพิ่มขึ้น 7 ซม./ปี หลังจากนั้นความสูงจะค่อย ๆ ลดลงเมื่ออายุ 14 – 15 ปี ความสูงลดลงเหลือเพียง 0.5 – 1 ซม./ปี ความสูงเฉลี่ยของผู้หญิงไทยขณะมีประจำเดือนครั้งแรก คือ 148.8 ซม. และสูงเต็มที่วัยผู้ใหญ่เพิ่มขึ้นอีก 6.2 ซม.
– ในเพศชายเข้าสู่วัยรุ่นช้ากว่าเด็กผู้หญิง คือ อายุประมาณ 12 – 12.5 ปี เริ่มมีความสูงอย่างรวดเร็วเพิ่มขึ้น 6 ซม./ปี อายุ 14 ปี เริ่มมีการเพิ่มความสูงมากที่สุด 8 ซม./ปี หลังจากนั้นความสูงช้าลง อายุ 17 – 18 ปี ความสูงของคนไทย โดยเฉลี่ย 169.6 ซม
ดังนั้น หลายคนมาที่นึกอยากสูงขึ้น ถ้าอายุเลยวัยรุ่นไปแล้ว จึงไม่สามารถจะทำได้ เพราะกระดูกได้ปิดไปแล้ว ดังนั้นถ้าอยากจะเพิ่มความสูง ต้องเร่งทำก่อน ที่สายเกินไป ที่จะแก้ไข

ปัจจัยที่มีผลต่อความสูงของคนเรา 

1.กรรมพันธุ์  รูปร่างของพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย เป็นตัวกำหนดโครงสร้างพื้นฐานของลูกหลาน หากพ่อแม่สูงหรือเตี้ย ลูกก็มีแนวโน้มที่จะมีรูปร่างแบบนั้น ความสูงของลูกสามารถกะคร่าวๆ ได้ ด้วยการนำความสูงของพ่อรวมกับของแม่ แล้วหารสอง (บวก-ลบ ได้ 10 เซนติเมตร)
2. ภาวะโภชนาการ อาหารมีผลต่อความแข็งแรงของกระดูกอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงวัยรุ่น ควรได้รับอาหารครบ 5 หมู่อย่างพอเพียง สารอาหารที่สำคัญในการทำให้กระดูกแข็งแรง ก็คือแคลเซียม อาหารที่มีแคลเซียมสูง ได้แก่ นม แต่บางคนดื่มนมแล้วท้องเสีย ก็ให้เลี่ยงไปรับประทานปลาเล็กปลาน้อยที่กินได้ทั้งก้าง กุ้งแห้ง ผักที่มีสีเขียวเข้มๆ ถั่วเหลือง และงา เป็นต้น
3. การออกกำลังกาย การออกกำลังกายจะกระตุ้นให้ต่อมใต้สมองหลั่ง growth hormone ได้เหมือนกัน และยังกระตุ้นให้เซลล์ที่สร้างเนื้อกระดูกดึงแคลเซียมจากเลือดมาสร้างกระดูก และสร้างความแข็งแรงให้กับกระดูกด้วย นอกจากนี้การได้รับแสงแดดอย่างพอเพียงในตอนเช้าหรือเย็น จะช่วยให้มีการสร้างวิตามินดีในร่างกาย เพิ่มการดูดซึมแคลเซียมได้ คนที่เอาแต่นั่งๆ นอนๆ พัฒนาการของกระดูกจะช้ากว่าคนที่เคลื่อนไหวร่างกายอยู่เสมอ

4.การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ การนอนหลับให้สนิทและนานพอ จะทำให้ร่างกายหลั่ง growth hormone ออกมาได้อย่างเต็มที่ และพบว่าควรนอนก่อน 5 ทุ่ม เพราะจะเป็นช่วงที่ร่างกายจะหลั่ง growth hormone ออกมาได้สูงสุด การนอนดึกมีผลทำให้ hormone หลั่งออกมาน้อย และมีผลต่อความสูงได้ ในอนาคต
5. สุขภาพร่างกายและจิตใจ การดูแลสุขภาพไม่ให้เจ็บป่วย จะทำให้ร่างกายเจริญเติบโตอย่างเต็มที่ การเจ็บป่วยบ่อยๆ จะทำให้การเติบโตหยุดชะงัก การใช้ยาบางชนิดก็มีผลต่อการเจริญเติบโตของร่างกาย นอกจากนี้ ความเครียดก็เป็นตัวบั่นทอนการเจริญเติบโตได้เช่นกัน
6. ฮอร์โมน ฮอร์โมนที่มีผลต่อการเจริญเติบโต คือ
6.1 Growth hormone จากการที่ฮอร์โมนตัวนี้ จะมีผลต่อการเจริญเติบโตดังกล่าวข้างต้น คนที่ขาดฮอร์โมนตัวนี้จะมี รูปร่างเตี้ยเล็กกว่าปกติ
ซึ่งจะทราบได้ ก็ต่อเมื่อมีการเจาะระดับฮอร์โมนตัวนี้ว่าต่ำกว่าปกติจริงหรือไม่ คนที่ขาดฮอร์โมนตัวนี้ หากได้รับการฉีด growth hormone ตั้งแต่เด็ก จะทำให้สูงขึ้นได้ แต่ในคนที่มีระดับฮอร์โมนตัวนี้ ปกติ ถึงแม้จะฉีด growth hormone ก็ไม่ได้ทำให้สูงขึ้นอีกแต่อย่างใด
6.2 Thyroid hormone ไทรอยด์ฮอร์โมน ซึ่งสร้างจากต่อมไทรอยด์ ก็มีผลต่อสมองและความสูงอย่างมาก ถ้าขาดฮอร์โมนตัวนี้ มักจะมีพัฒนาการช้าและเตี้ย
6.3 Sex hormone ฮอร์โมนเพศก็สำคัญเช่นกัน หากเด็กเป็นสาวเป็นหนุ่มเร็ว จะส่งผลให้กระดูกปิดเร็วและค่อยๆ หยุดเจริญเติบโตในที่สุด พบว่าเด็กผู้หญิงที่มีประจำเดือนเร็ว มีแนวโน้มที่จะโตเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่สูง ส่วนมากเด็กหญิงที่มีประจำเดือนแล้ว 3 ปี และเด็กชายที่เสียงแตกมาแล้ว 3 ปี มักจะหยุดโตและหมดโอกาสที่จะสูงได้อีก นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของฮอร์โมนบางชนิดก็อาจทำให้เด็กเตี้ยได้ ได้แก่ การมีฮอร์โมนจากต่อมหมวกไตมากเกินไป เด็กจะมีรูปร่างอ้วนเตี้ย
7. อาหารเสริมกลุ่ม Amino acid : พบว่าอาหารเสริมบางตัว สามารถที่จะเพิ่มระดับ GH ได้ แต่ควรจะทานช่วงที่ท้องว่าง หรือช่วงเช้า และ ก่อนนอน เพราะจะเพิ่มการออกฤทธิ์ได้ดีกว่า
7.1 Arginine : ขนาด 7-12 กรัมต่อวัน
7.2 Ornithine: ขนาด .5-8 กรัมต่อวัน
7.3 Lysine ขนาด 1-3 กรัมต่อวัน พบว่า อาหารเสริมในข้อ 3.1-3.3 มักจะเพิ่มระดับ GH ได้คนหนุ่มสาว อายุระหว่าง 20-35 ปี และพบว่าหลายยี่ห้อ ได้นำ กรดอะมิโนทั้ง 3 ตัว จะผสมกันเพื่อให้ทานง่าย บางคนเรียกว่า Tri-amino Acids ดู
7.4 Glycine ขนาด 5-7 กรัมต่อวัน
7.5 L-tryptophan :ขนาด 5-10 กรัมต่อวัน
7.6 L-glutamine: ขนาด 2 กรัมต่อวัน จัดเป็นกรดอะมิโนที่สามารถเพิ่มระดับ GH ได้ทุกกลุ่มอายุ แม้แต่คนสูงอายุ ( 32-64 ปี)


นอนก่อน 5 ทุ่ม
ฉีด GH เพิ่มความสูงได้ ถ้าเจาะเลือดแล้วพบว่า GH ต่ำ