Posted on

สเตียรอยด์ (Steroids) : สารเร่งหน้าใส ให้เป็นหน้าเสีย สังเกตอย่างไร ว่าใช่สารอันตราย

สเตียรอยด์ เป็นสารเคมีชนิดหนึ่ง ที่มีกลไกการออกฤทธิ์ ในการลดการอักเสบ ลดอาการคัน และทำให้เส้นเลือดหดตัว ลดอาการบวมแดง จากการแพ้ ปกตินิยมใช้คลินิกผิวหนัง หรือคลินิกภูมิแพ้
ในปัจจุบันมีการใช้ยาสเตียรอยด์เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะในการนำมารักษาสิว ซึ่งพบอยู่ในรูปของยาฉีดสิว ยาทาแก้สิวผด ครีมขี้ผึ้ง ยาโลชั่น นอกจากนี้ยังนำมาผสมในครีมทาหน้าขาว โดยมักใช้เป็นสูตรผสมกับยาตัวอื่น เช่น ไฮโดรควิโนน หรือ เรตินอยด์ ซึ่งการใช้สเตียรอยด์ติดต่อกันนี้เองทำให้มีปัญหาผลข้างเคียงของยาตามมา
ผลข้างเคียงที่พบได้ จากการใช้สารสเตียรอยด์
1. เกิดรอยฝ่อยุบของรอยโรค( Atrophy)
2. ผิวหนังบางเห็นเส้นเลือดฝอยแดง ( Telangiectasia)
3. ผื่นแดงราบแบบ Purpura
4. ผิวเปราะบาง แตกง่าย
5. ผิวแห้งและแตก
6. ขนยาวขึ้น
7. ผื่นแพ้สัมผัส
8. สีผิวจางลง หรือเกิดด่างขาว
9. หากใช้ยาเป็นเวลานานจะเกิดการติดยาสเตียรอยด์ ( Steroid Addict ) เมื่อหยุดยาหน้าจะแดงมีสิวผดเกิดขึ้น

วิธีสังเกตและหลีกเลี่ยงครีมที่มี “สารสเตียรอยด์”
1. ครีมต้องไม่มีการแยกชั้นกันของเนื้อครีม เมื่อตั้งทิ้งไว้เป็นระยะเวลาหนึ่ง
2. เนื้อครีมต้องไม่เปลี่ยนสีในระยะเวลาอันสั้น อาจจะ 1-3 เดือนหลังจากที่ซื้อ เช่น เปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีเทา หรือเหลือง
3. ครีมที่ใช้ต้องไม่เห็นผลเร็วจนเกินไป โดยเฉพาะเห็นผิวขาวขึ้นอย่างชัดเจนภายใน 7 วัน เพราะครีมที่ดีควรค่อยๆ ผลัดผิวใหม่ของเราอย่างช้าๆ ใช้เวลา 1-2 เดือน
4. ครีมต้องไม่มีกลิ่นแปลกๆ

  1. อย่าเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ ที่ราคาไม่เหมาะสมกับสรรพคุณที่บอก เช่น ผิวขาวเห็นผลใน 3-7 วัน แต่ราคาถูกแสนถูก สงสัยไว้ได้เลย ว่าอาจมีสารต้องห้ามผสมอยู่
  2. เลือกซื้อผลิตภัณฑ์กับบริษัทที่เชื่อถือได้ มีเลขทะเบียนผ่าน อ.ย.
  3. หากอยากเช็คให้แน่ใจ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์มีชุดตรวจสอบสารต้องห้าม(Test Kit Cosmetic)จำหน่าย แต่ก่อนซื้อปรึกษาผู้ขายก่อนว่าสามารถตรวจสอบสเตียรอยด์ในครีมได้หรือไม่ เพราะสเตียรอยด์มีหลายประเภท อาจใช้หาสเตียรอยด์ประเภทที่อยู่ในครีมไม่ได้
Posted on

งานวิจัย : ผ่าตัดปลูกผมด้วยเส้นผมคนอื่น ได้ผลหรือไม่ อย่างไร หรือเฉพาะเส้นผมเราเอง

ในปัจจุบัน การรักษาปัญหาผมบาง ศีรษะล้านในปัจจุบัน แบ่งได้เป็น 2 แบบ คือ
1. การปลูกผมโดยไม่ผ่าตัด ใช้ยารับประทานและโลชั่นปลูกผม
2. การปลูกผมโดยการผ่าตัดย้ายรากผม ( Hair transplant) โดยการใช้เส้นผมของตนเอง แต่ถ้าเจ้าตัวจำนวนทั้งศีรษะก็บางมากๆอยู่แล้ว ยังจะแบ่งให้ไปปลูกที่อื่นๆ อีกหรือ นี่คือปัญหา

นักวิจัยที่มหาวิทยาลัย Durham ในอังกฤษ ได้ทดลองตัดเอาหนังศีรษะของอาสาสมัครที่มีผมดกดำ นำไปแยกเอา Sheath ที่หุ้มรากผมออก แล้วนำมาปลูกลงบนท้องแขนของอาสาสมัครอีกผู้หนึ่ง ภายใน 5 สัปดาห์ ปรากฏว่ามีผมขึ้นบริเวณท้องแขนดังกล่าว โดยไม่มีปฏิกริยาต่อต้านเหมือนการเปลี่ยนอวัยวะเลย ขณะนี้กำลังติดตามว่า ผมที่งอกขึ้นมานั้นจะงอกงามเป็นปกติและงอกใหม่ได้เรื่อยๆ ในบริเวณอื่น เช่นที่หนังศีรษะหรือไม่

ถ้าการทดลองประสบผลสำเร็จ ในอนาคตอาจมีอาชีพใหม่เกิดขึ้น นั่นคือการขายเส้นผม แต่คงต้องเลือกเส้นผมที่มีลักษณะคล้ายเส้นผมของเรานะครับ ไม่งั้นคงตลกพิลึก ถ้าบนศีรษะของเรา เดี๋ยวผมเส้นตรงตรงนั้น เส้นผมผมหยิกตรงนี้

Posted on

บุหรี่ มีผลต่อผิวพรรณอย่างไร เลิกไม่ได้ ทำให้แก่เกินวัย จริงหรือมั่วนิ่ม

ในปัจจุบัน เราทราบกันดีแล้ว ถึงอันตรายของบุหรี่ ต่อการเกิดโรคมะเร็งปอด โรคหัวใจ และความดันโลหิตสูง และทำให้เกิดการเสียชีวิตถึงร้อยละ 20 ของสาเหตุการตายทั้งหมด แต่ในบทความนี้ จะอ่านถึงผลของบุหรี่ต่อผิวพรรณ เผื่อว่าจะทำให้ท่านเลิกสูบบุหรี่ได้

ผลของบุหรี่ ทางตรง ก็คือการระคายเคืองต่อผิวหนังชั้นนอก และผลทางอ้อม คือ การไหลเวียนของโลหิตในชั้นหนังแท้ลดลง จากการที่นิโคติน มีผลต่อหลอดเลือดหดตัว ทำให้ออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ผิวลดลง

ลักษณะทางผิวหนังของคนที่ติดบุหรี่

  1. ริมฝีปากดำ
  2. หน้าแห้งกร้าน ไม่ชุ่มชื้น
  3. รอยเหี่ยวย่นรอบดวงตา มุมปาก รอบปาก เกิดเร็วและมากกว่าวัยอันควร
  4. หน้าหมองคล้ำได้ง่าย
  5. ในผู้หญิง นิโคตินจะทำลายฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งมีฤทธิ์ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวล ลดลง
  6. ควันบุหรี่ ทำให้เกิดการกระตุ้นอนุมูลอิสระ ซึ่งมีผลต่อเส้นใยต่างๆ ในชั้นหนังแท้ เช่น เส้นใยคอลลาเจน อีลาสติน ทำให้ขาดความยืดหยุ่น
  7. ผิวหน้าอาจมีหลายสี คล้ายฟกช้ำ คือ ผิวสีอมม่วง บริเวณแก้ม ตาแดง และขอบตาคล้ำได้
  8. หน้าซีดเหลือง
  9. มีโอกาสเกิดมะเร็งในช่องปาก และริมฝีปากสูง

ดังนั้น ท่านที่ไม่กลัวตาย จากบุหรี่ อาจเลิกบุหรี่ได้ ด้วยเหตุผลของกลัวไม่สวย ไม่หล่อ ก็เป็นได้

Posted on

หัวหอม(Onion) พืชผักสวนครัวธรรมดา ที่ีไม่ธรรมดา สรรพคุณดีมากมายต่อสุขภาพ !

หอม ถือว่าเป็นสารอาหารที่ได้รับการยอมรับมาตั้งแต่โบราณกาลแล้วว่า สามารถใช้เป็นยารักษาโรคได้สารพัด แม้ทุกวันนี้ในวงการแพทย์แผนปัจจุบันก็ได้ยอมรับแล้วว่า หัวหอมสามารถลดระดับไขมันในเลือดได้ โดยมีรายงานวิจัยหลายชิ้นได้สนับสนุน เรามาลองรู้จักหัวหอมกันดีกว่านะครับ

หอมเป็นพืชในตระกูล Allium แบ่งได้เป็น 1. หอมใหญ่ (Allium cepa Linn.) 2. หอมแดง ( Allium ascalonicum Linn.) (ดูภาพประกอบ)

สรรพคุณหรือประโยชน์ทางยาของหอม มีดังนี้ 

  1. ช่วยลดระดับไขมันในเลือดชนิดเลว (LDL= Low density lipoprotein) และเพิ่มระดับไขมันในเลือดชนิดดี (HDL= High density lipoprotein)
  2. ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
  3. มีสารไซโคลอัลลิอินในการช่วยละลายลิ่มเลือดทำให้ลดอัตราการเกิดการอุดตันของเส้นเลือดได้
  4. ลดอัตราการเสี่ยงต่อมะเร็ง โดยนักวิจัยได้ค้นพบว่ากำมะถันในหอม ช่วยยับยั้งการก่อตัวของเซลล์มะเร็งได้
  5. ใช้ลดอาการเป็นหวัดคัดจมูกในยาแผนโบราณ

ปริมาณและวิธีการรับประทาน รับประทานทุกวัน อาจจะเป็นหอมแดง 5-6 หัวหรือหอมหัวใหญ่ ครึ่งหัว ร่วมกับอาหารประเภทอื่น หรือใช้ ปรุงอาหาร หรือซอยใส่ในอาหารประเภทยำ ไข่เจียว ผัด หรือแกงจืด ก็เป็นอาหารง่ายๆ ที่มากด้วยคุณค่าต่อสุขภาพ

ดังนั้นหวังว่าในครั้งต่อไปที่รับประทานอาหาร ท่านคงไม่เขี่ยหอมออกจากจานนะครับ !

Posted on

Aldostadil (Vitaros) : ครีมทาเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ ได้ผลแค่ไหน แข่งกับไวอะก้าได้หรือไม่ อย่างไร !

Erectile dysfunction(ED) การหย่อนสมรรถภาพทางเพศเป็นสิ่งที่ผู้ชายหลายต่อหลายคนกังวลมาก โดยเฉพาะในชายที่เข้าสู่วัยทอง ซึ่งคือ ช่วงอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป เรื่องนี้มิใช่แค่ทำให้ความสุขที่ควรมีลดลงเท่านั้น ยังทำให้เพิ่มความทุกข์ในเรื่องความมั่นใจในตนเองลดลงอีกด้วย
ยากลุุ่ม Viagra พระเอกขี่ม้าขาวมาช่วย โดยการค้นพบโดยบังเอิญในการวิจัยหายาลดความดันโลหิต แต่พบว่ากลับทำให้นกเขาที่อ่อนเปลี้ยคอตก ชูคอขันได้อีกครั้ง แต่ก็มีข้อจำกัดสำหรับยากลุ่มนี้ เพราะมีผลข้างเคียงและข้อระวังมากมาย และต้องรับประทานเข้าไปก่อนทำกิจกรรมรักถึง 1 ชั่วโมง ซึ่งดูไม่เป็นธรรมชาติเอาเสียเลย และในหลายคนก็ไม่กล้ารับประทานต่อหน้าคู่ร่วมรักอีกด้วย
Aldostadil (Vitaros) : เป็นยาอีกกลุ่มที่ได้มีการคิดค้นหายาที่ไม่ต้องรับประทาน ที่รู้จักกันดี ก็คือ Vitaros โดยอยู่ในรูปของ ยาสอดเข้าท่อปัสสาวะ ยาฉีดเข้าองคชาต และสุดท้ายพัฒนามา เป็นยาทาที่ปลายอวัยวะเพศชาย ที่ได้ผลไม่แพ้กับยารับประทาน กลุ่ม Viagra และดูเป็นธรรมชาติที่เมื่อมีอารมณ์ก็ใช้ได้ในทันที
ออกฤทธิ์อย่างไร คุณสมบัติเด่นของยา ยา Aldostadil ก็คือ ออกฤทธิ์ภายในเวลาไม่กี่นาทีหลังทาถูนวด และได้ผลมากกว่า ร้อยละ 83 โดยมีกลไกการออกฤทธิ์เหมือนไวอากา ก็คือ ทำให้หลอดเลือดบริเวณองคชาติขยายตัว
ผลข้างเคียงมีอะไรบ้าง
ผลข้างเคียงอันตรายอื่นๆ ยังไม่มีรายงานออกมาชัดเจนมากนัก เพราะยาเพิ่งผลิตและวางจำหน่ายในบางประเทศ แต่ได้รับการอนุมัติจากประเทศแคนนาดาและในยุโรป แตก็ยังไม่ได้รับการอนุมัติจาก FDA แต่อย่างไรก็ตาม alprostadil ในรูปแบบอื่น ๆ ที่ใช้บำบัดอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศสามารถหาได้ในสหรัฐอเมริกา รวมไปถึงวิธีการฉีดยา และการเสริมอวัยวะเพศชาย

Posted on

สังเกตอย่างไร ว่าเรา หรือคนใกล้ตัวเรามีอาการซึมเศร้า แล้วเราจะช่วยเค้าอย่างไร!

โรคซึมเศร้าคือความผิดปกติของการหลั่งสารเคมีในสมองส่งผลให้เกิดความผิดปกติทางอารมณ์ ทำให้พฤติกรรมของผู้ป่วยเปลี่ยนไปจนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน กลายเป็นคนมองโลกในแง่ลบ เศร้า หม่นหมอง หดหู่ เก็บเนื้อเก็บตัว รู้สึกเบื่อหน่ายกับสิ่งที่เคยสนุกหรือสบายใจไม่มีความสุข ซึ่งคนไทยเป็นโรคซึมเศร้าถึง 1.5 ล้านคน แต่ได้รับการรักษาแค่ครึ่งหนึ่งเท่านั้น

ลักษณะอันแสดงออกของความโศกเศร้า

1. ความรู้สึก : ผู้ที่สูญเสีย อาจมีอารมณ์ต่างๆ ได้ดังนี้
1.1 ความเสียใจ- พบได้บ่อยที่สุด อาจจะร้องให้ออกมาหรือไม่ก็ได้
1.2 ความโกรธ – อาจเป็นผลเนื่องจากความรู้สึกคับข้องใจ ที่ตนเองไม่สามารถช่วยเหลือได้ หรือโกรธที่ถูกทิ้ง ให้อยู่เพียงลำพัง
1.3 ความรู้สึกผิดและโทษตนเอง
1.4 ความกังวล อาจจะกังวลธรรมดา จนถึงมีอาการหวาดกลัว
1.5 ความรู้สึกอ่อนเพลีย ไม่มีชีวิตชีวา
1.6 ความรู้สึกเหงา
1.7 ความรู้สึกคิดถึง
1.8 ความรู้สึกเย็นชาต่อสิ่งรอบกาย
2. อาการทางกาย อาจเกิดได้หลายอย่างดังนี้
2.1 แน่นหน้าอก
2.2 จุกแน่นที่คอ
2.3 ตกใจง่าย
2.4 หายใจไม่อิ่ม
2.5 กล้ามเนื้ออ่อนแรง
2.6 ไม่มีกำลัง
2.7 คอแห้งบ่อยๆ

3. พฤติกรรมเปลี่ยนแปลง อาทิเช่น
3.1 นอนไม่หลับ
3.2 เบื่ออาหาร
3.3 น้ำหนักลด
3.4 การติดสินใจเสียไปหรือลดลง
3.5 ไม่สนใจการเข้าสังคม

หลักการและวิธีการให้คำปรึกษา 

  1. ช่วยให้มีการเข้าใจและยอมรับความจริงของการสูญเสีย – วิธีที่ดีที่สุดคือ การให้ผู้สูญเสียได้พูดคุยถึงเรื่องที่เกิดขึ้น โดยการให้เขาบรรยาย หรือเล่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น โดยท่านต้องเป็นนักฟังที่อดทน และคอยช่วยให้เขาพูด และระบายออกมา อย่าห้ามที่จะให้เขาเล่าเรื่องให้ฟัง
  2. ช่วยให้ผู้สูญเสียสามารถยอมรับ และแสดงอารมณ์ที่ตนเองรู้สึกออกมา เช่น อารมณ์โกรธ ความรู้สึกผิด ความรู้สึกกังวลและช่วยตนเองไม่ได้ ความเศร้าโดยเปิดโอกาสให้เขาได้ร้องไห้อย่างเต็มที่
  3. พิจารณาและให้การช่วยเหลือแนะนำถึงการใช้ชีวิตต่อไปโดยปราศจากคนนั้น
  4. ช่วยให้ผู้สูญเสียสามารถลดความรู้สึกผูกพันลงไป โดยกระตุ้นให้เขาสร้างสัมพันธภาพกับผู้อื่นบ้าง แต่มิให้เพื่อการทดแทน
  5. ให้เวลาที่จะโศกเศร้า อย่าให้เกิดความคิดว่าไม่ควรเสียเวลาจมอยู่กับควาททุกข์
  6. อธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้น และอาการจากจิตและกายที่ตามมา เป็นเรื่องปกติ มิใช่เป็นอาการของผู้ป่วยทางจิด
  7. ต้องมีความเข้าใจว่า ผลของการสูญเสียและโศกเศร้าแต่ละคนแตกต่างกัน ไม่จำเป็นต้องคล้ายกัน
  8. ควรให้ความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่องและใกล้ชิด
  9. ถ้าทุกอย่างยังไม่ดีขึ้น อาจต้องปรึกษาจิตแพทย์ เพื่อป้องกันโรคซึมเศร้าตามมา

อ้างอิง จากบทความวิชาการทางจิตเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

Posted on

ใบแป๊ะก๊วย (Ginkgo Biloba) : ด้วยสรรพคุณเพียบล้น จนได้ฉายาว่า “สมุนไพรมหัศจรรย์ “

ใบแป๊ะก๊วย (Ginkgo Biloba) ของชาวจีน เป็นพืชสมุนไพรที่เก่าแก่ที่สุดชนิดหนึ่งในบรรดาพืชดึกดำบรรพ์ทั้งหลายในโลกนี้ กล่าวคือ มีกำเนิดประมาณ 300 ล้านปีมาแล้ว ในเวชศาสตร์พื้นบ้านของจีนและญี่ปุ่น ถือว่าเป็น สมุนไพรมหัศจรรย์

ส่วนประกอบโดยทั่วไปของ Ginkgo Biloba Flavonoids,Turpinoids,Proanthrocyanidine,Amino acids ต่างๆ ที่มีคุณสมบัติทั่วไป คือ ความสามารถในการทำให้การไหลเวียนโลหิตดีขึ้น ซึ่งทำให้การนำออกซิเจนและอาหารไปยังสมองและแขนขาดีขึ้นด้วย

คุณค่าและประโยชน์ต่อร่างกายที่สำคัญ 

  1. ป้องกันและรักษาโรคอัลไซเมอร์
  2. ช่วยอาการชาปลายมือ ปลายเท้า และอาการตะคริวที่ขา มือเท้าเย็ฯ
  3. ช่วยการไหลเวียนของเลือดไปยังกล้ามเนื้อหัวใจดีขึ้น
  4. ช่วยการได้ยิน รักษาอาการประสาทหูเสื่อม หรือมีเสียงหริ่ง เรไรในหู
  5. ป้องกันและรักษาแผลเรื้อรัง จากเบาหวาน ที่มีสาเหตุจากการไหลเวียนของเลือดที่ไม่ดี
  6. ป้องกันและรักษาโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต อันเนื่องจากเส้นเลือดในสมองตีบ หรือตัน
  7. ช่วยบำรุงสายตา และป้องกันการเกิดต้อกระจกให้ช้าลง
  8. ช่วยลดไขมันชนิดเลว(LDL) และเพิ่มไขมันชนิดดี(HDL)

ใบแป๊ะก๊วย (Ginkgo Biloba) เป็นสมุนไพร ที่นำมาทำอาหารเสริมที่ขายดี และแพร่หลายในหลายประเทศ เช่น เยอรมัน อเมริกา และประเทศในแถบยุโรป แม้แต่เวชสารสมาคมแพทย์อเมริกัน (JAMA) ได้กล่าวถึงงานวิจัย ของศูนต์วิจัย 6 แห่งในอเมริกา ยอมรับว่า
– ใบแป๊ะก๊วย (Ginkgo Biloba) มีคุณค่าสูงในการรักษาโรคอัลไซเมอร์
– เวชสาร Lancet ของอังกฤษ ได้กล่าวถึง ใบแป๊ะก๊วย (Ginkgo Biloba) ว่ามีคุณสมบัติที่เป็นไปได้ในการชะลอความชรา โดยเฉพาะทำให้การไหลเวียนของโลหิตที่สมองดีขึ้น
จึงน่าจะเป็นทางเลือกหนึ่งในการพิจารณาอาหารเสริมสำหรับสุขภาพของคนสูงอายุ

เอกสารอ้างอิง : Encyclopedia of Natural Medicine,Prima Publishing,Rocklin C.A ”

Posted on

โครเมียม (Chromium) : แร่ธาตุ ที่มีบทบาทในการควบคุมน้ำตาล ไม่ให้กลายเป็นไขมัน

โครเมียม(Chromium ) เป็นแร่ธาตุ ชนิดหนึ่งที่มีความจำเป็นสำหรับรางกาย โดยนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ พบว่า โครเมียมมีส่วนสำคัญอย่างยิ่ง ในขบวนการเผาผลาญน้ำตาลกลูโคส หรือคาร์โบไฮเดรตของเซลล์เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
โครเมียม(Chromium) ในร่างกาย พบว่าเป็นส่วนหนึ่งของ Glucose tolerance factor (GTF)

GTF สำคัญอย่างไร
ช่วยเพิ่มการทำงานของฮอรโมนอินซูลิน ที่มีหน้าที่ในการนำ น้ำตาลกลูโคสในเลือดเข้าเซลล์เพื่อนำไปเปลี่ยนเป็นพลังงานสำรอง โดยเชื่อว่า GTF จะไปเพิ่มตัวรับ(Receptor) ที่เยื่อหุ้มเซลล์ให้สามารถเปิดรับเอากลูโคสเข้าเซลล์ได้มากขึ้น และ GTF ยังเกี่ยวข้องในขบวนการเมตาโบลิซึม ของคาร์โบไฮเดรตด้วย จึงเชื่อว่าสามารถควบคุมระดับของปริมาณคลอเรสเตอรอลได้ด้วย โดยการไปเพิ่ม HDL ทำให้ LDL ซึ่งเป็นตัวปัญหาของการอุดตันของหลอดเลือดลดลง
โครเมียม พบได้ในอาหาร
Brewer’s yeats,ตับ,แครอท,เนย ไข่ กุ้ง ไก่ แอบเปิล กล้วย ผักขม ฯลฯ

ข้อบ่งชี้ในการรับประทาน โครเมียม(Chromium Picolinate) เพื่อเป็นอาหารเสริม

1.ผู้ป่วยเบาหวาน ชนิดที่เกิดจากการบกพร่องของฮอรโมนอินซูลิน (Insulin-dependent diabetes= DM type2)
2. นักกีฬาขณะแข่งขัน ที่จำเป็นต้องสร้างพลังงานจากสารอาหาร เพื่อทำให้กล้ามเนื้อมีประสิทธิภาพมากขึ้น
3. ในผู้ที่ควบคุมน้ำหนัก เพื่อลดปริมาณกลูโคสที่มากเกินความจำเป็น เพราะอาจจะเปลี่ยนเป็นไขมันสะสมได้
4. ผู้ที่มีปัญหาระดับไขมันคลอเรสเตอรอลในเลือดสูง และมีปัญหาของหลอดเลือดแข็งอุดตันจากไขมันดังกล่าว
โครเมียม(Chromium) ในรูปแบบอาหารเสริม
พบว่า โครเมียม(Chromium) ในรูปของ Chromium Picolinate ถือว่าสามารถดูดซึมผ่านทางเดินอาหารของมนุษย์ได้ดี โดยในปี 1989 สถาบันวิทยาศาสตร์ของอเมริกา ได้ประกาศว่า ปริมาณ โครเมียม(Chromium) ที่ปลอดภัยและจำเป็นสำหรับร่างกาย อยู่ที่ 50-200 Mcg./วัน และในท้องตลาดปัจจุบันได้มีการจำหน่าย โครเมียม(Chromium) ในรูปอาหารเสริม จะประกอบด้วย Chromium Picolinate 200 Mcg/capsule

เอกสารอ้างอิง; Andersan RA. Nutritional factors influencing the glucose/insulin system;Chromium,J Am Call Nutr 1997;16-4-10

Posted on

ธนาคารอสุจิ : ธนาคารสำรองสเปริ์ม เพื่อการแพทย์ และความหวังของผู้มีบุตรยาก

ธนาคารอสุจิ ได้แก่ การนำอสุจิมาเก็บแช่แข็งเอาไว้ เพื่อนำกลับมาใช้ในภายหลัง ซึ่งการแช่แข็งน้ำอสุจิมีมานานร่วม 50 ปีแล้ว แต่ในปัจจุบันได้มีการรับบริจาคน้ำอสุจิเพื่อนำมาเก็บไว้ใช้ประโยชน์ในการผสมเทียมในโอกาสต่อไป แต่ทั้งนี้ก็ต้องเช็คเลือดผู้บริจาคว่าปราศจากเชื้อเอดส์ หรือโรคที่ติดต่อได้ทางเพศสัมพันธุ์เสียก่อน

วัตถุประสงค์ของการแช่แข็งอสุจิไว้ในธนาคารอสุจิ

  1. สำหรับผู้ที่ต้องการเก็บน้ำอสุจิไว้ก่อนรับการผ่าตัด หรือรังสีรักษา หรือต้องได้รับยารักษามะเร็ง ซึ่งอาจจะทำให้เกิดเป็นหมันตามมาได้
  2. สำหรับการรักษาภาวะมีบุตรยาก โดยฝ่ายสามีต้องเดินทางบ่อยๆ ทำให้ไม่อาจอยู่ร่วมกับภรรยาในช่วงตกไข่ได้ หรือในรายที่ในอัณฑะมีตัวอสุจิแต่ไม่ออกมาในน้ำอสุจิ
  3. แช่แข็งอสุจิจากผู้บริจาค เพื่อใช้ในการผสมเทียมให้คู่สมรสที่สามีเป็นหมัน

วิธีการแช่แข็งน้ำอสุจิ

  1. ให้ผู้ที่จะแช่แข็งอสุจิ เก็บน้ำอสุจิด้วยการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง แล้วนำมาใส่ในขวดปากกว้างที่ปราศจากเชื้อ
  2. นำน้ำอสุจิไปวิเคราะห์ (semen analysis) โดยควรมีตัวอสุจิไม่ต่ำกว่า 40 ล้านตัว/ซีซี และมีอัตราการเคลื่อนไหวมากกว่าร้อยละ 60 และต้องมีรูปร่างของอสุจิปกติมากกว่าร้อยละ 30 เนื่องจากในเวลาใช้จริง จะมีบางส่วนตายไปประมาณร้อยละ 30-40
  3. หลังจากนั้น อสุจิจะต้องใส่สารละลาย ( เช่น glycerol,sodium citrate,glucosr,fructose,ไข่แดง) ผสมกับน้ำอสุจิ แล้วนำใส่หลอดพลาสติกเล็กๆ แล้วนำไปแขวนไว้ที่ระดับ 15 ซม.เหนือไนโตรเจนเหลวซึ่งมีอุณหภูมิ -196 องศาเซลเซียส ซึ่งสามารถเก็บไว้เป็นเวลานานหลายปี

การผสมเทียมด้วยอสุจิบริจาค: กรณีที่นำอสุจิแช่แข็งในธนาคารอสุจินำไปใช้กับภริยาของตนเอง ไม่มีปัญหาใดๆ หรือข้อบ่งชี้ที่ต้องคำนึงถึงมากนัก แต่กรณีที่ต้องการผสมเทียมกับอสุจิผู้บริจาคต้องมีข้อบ่งชี้ดังนี้

  1. สามีเป็นหมัน คือ ไม่มีอสุจิออกมาในน้ำเชื้ออสุจิ หรือน้ำเชื้ออสุจิผิดปกติมาก
  2. สามีเป็นโรคทางพันธุกรรมที่ถ่ายทอดถึงลูกได้ เช่น โรคเลือด Hemophilia
  3. สามีไม่สามารถหลั่งน้ำอสุจิได้
  4. หญิงโสดที่ต้องการมีบุตร (แต่ในเมืองไทยยังมีปัญหากันอยู่ในเรื่องผลกระทบต่อเด็กในอนาคต)

การประเมินคู่สมรสที่จะรับบริจาคอสุจิแช่แข็งของผู้บริจาค

  1. สามีภรรยา จะต้องพูดคุยกันและประเมินสภาพจิตใจในการยอมรับ
  2. ซักประวัติ ตรวจร่างกายของภรรยา พร้อมทั้งการตรวจภายใน ให้แน่ใจว่าไม่มีความผิดปกติใดๆ
  3. ตรวจเลือดเพื่อดูโรคติดเชื้อ เช่น ซิฟิลิส เอดส์ ไวรัสตับอักเสบบี
การแช่แข็งอสุจิ
คู่สมรสที่มีบุตรยาก
ผู้บริจาคอสุจิ
การผสมเทียมด้วยอสุจิบริจาค

การประเมินผู้บริจาคอสุจิ ( ในโรงเรียนแพทย์มักจะขอจากนักศึกษาแพทย์ ซึ่งมักมีสติปัญญาดี ) ดังนี้

  1. ต้องมีสุขภาพแข็งแรง น้ำเชื้อมีคุณภาพดี
  2. อายุไม่ควรเกิน 40 ปี
  3. ไม่มีโรคทางพันธุกรรม หรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น เอดส์ หนองใน ซิฟิลิส ไวรัสตับอักเสบบี
  4. มีลักษณะใกล้เคียงกับสามีผู้บริจาค เช่น รูปร่าง ส่วนสูง สีผิว สีผม เชื้อชาติ และกรุ๊บเลือด

วิธีการผสมเทียมด้วยอสุจิบริจาค

  1. คาดคะเนวันตกไข่ของฝ่ายภริยา โดยใกล้วันตกไข่ จะนัดมาตรวจวัดขนาดถุงไข่ด้วยอัตราซาวด์ หรือแนะนำให้ตรวจฮอรโมนเกี่ยวกับการตกไข่(LH) หรือวัดปรอทอุณหภูมิพื้นฐาน
  2. เมื่อถึงวันตกไข่ นำน้ำอสุจิที่บริจาค ออกมาทำให้เหลวในอุณหภูมิห้อง แล้วฉีดเข้าไปในบริเวณที่ปากมดลูกและช่องคลอดส่วนบน หรือฉีดเข้าโพรงมดลูกโดยตรง

ผลของการตั้งครรภ์ เกิดได้ในอัตรา ร้อยละ 10 ต่อการผสมเทียม 1 ครั้งและอัตราการตั้งครรภ์สะสมจะเพิ่มขึ้นตามจำนวนครั้งที่ฉีด ซึ่งพบว่าความสำเร็จจะเกิดประมาณร้อยละ 60-80 ในการฉีดไป 12 รอบเดือน หรือ 1 ปี ซึ่งต่อมาได้มีการประเมินบุตรที่คลอดออกมา พบว่าการพัฒนาการทั้งร่างกายและจิตใจไม่แตกต่างจากการตั้งครรภ์โดยธรรมชาติ และมีอัตราหย่าร้างน้อยกว่าการหย่าร้างโดยทั่วไป

ข้อควรคำนึงในการใช้อสุจิบริจาคในประเทศไทย 

  1. ไม่สมควรให้มีการซื้อขายในเชิงพาณิชย์ ( ตามกฏเกณฑ์แพทยสภา)
  2. ไม่ควรให้รู้กันระหว่างผู้บริจาคและผู้รับบริจาค เพื่อป้องกันการทวงสิทธิภายหลัง
  3. ไม่สมควรให้เด็กที่เกิดมาทราบหรือรู้จักกับเจ้าของอสุจิบริจาค
  4. คู่สมรสไม่ควรบอกใครว่าตั้งครรภ์จากอสุจิบริจาค
  5. ผู้บริจาคอสุจิ ไม่ควรใช้การบริจาคซ้ำเกิน 25 ครั้ง เพื่อป้องกันการสมรสกันในสายเลือดใกล้ชิดกันในอนาคต

ดังนั้น ธนาคารอสุจิส่วนใหญ่ในประเทศไทย มักจะเป็นการแช่แข็งอสุจิจากผู้บริจาค เพื่อนำไปใช้บริการคู่สมรสที่มีบุตรยาก ซึ่งฝ่ายสามีเป็นหมัน และเมื่อเป็นการบริจาคเซลล์สืบพันธ์ จึงต้องคำนึงถึงจริยธรรมหลายประการดังกล่าวข้างต้น

Posted on

อัลฟัลฟา (Alfalfa) : บทบาทในการกระตุ้นให้มีความอยากอาหาร แก้ไขความผิดปกติของลำไส้

อัลฟัลฟา (Alfalfa) เป็นพืชล้มลุก ตระกูลถั่ว มีรากหยั่งลึกลงในดินยาวถึง 130 ฟุต ทำให้ อัลฟัลฟา (Alfalfa) สามารถดูดซัมเอาแร่ธาตุที่สำญต่างๆ จากพื้นดินในระดับความลึกต่างๆ ไว้ได้อย่างมากมาย แร่ธาตุเหล่านี้จะถูกเปลี่ยนเป็นสารประกอบซึ่งจะสามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น และร่างกายก็สามารถนำเอาแร่ธาตุจากธรรมชาตนี้ไปใช้ประโยชน์ได้ทันที ซึ่งส่วนที่นิยมนำมาใช้ประโยชน์ ก็คือ ส่วนของใบ

สรรพคุณที่ค้นพบจากพืช อัลฟัลฟา (Alfalfa) 

  1. Saponin ซึ่งมีรสขม จะมีฤทธิ์การกระตุ้นให้เกิดความอยากอาหาร ทำให้รับประทานอาหารได้มากขึ้น นอกจากนี้ยังพบว่าสารนี้ยังช่วยลดการอุดตันของเกร็ดเลือดในเส้นเลือดฝอยเล็กๆ ด้วย จึงทำให้ลดอัตราการเกิดความจำเสื่อม และภาวะไขมันในเลือดสูงได้ จึงทำให้มีโอกาสเสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูง โรคเส้นเลือดหัวใจตีบ ได้ลดลงด้วย
  2. Isoflavone and Flavone ซึ่งเป็นสารสเตอรอล ซึ่งเป็นสารตั้งต้นในการสร้างฮอรโมนเอสโตรเจนในเพศหญิง จึงมีประโยชน์สำหรับสตรีที่มีความบกพร่องในเรื่องฮอร์โมน เช่น สตรีวัยหมดประจำเดือน
  3. Chlorophyll พบได้ในปริมาณสูง ซึ่งคลอโรฟิลล์นี้จะมีผลในการกำจัดสารพิษและสารแปลกปลอมต่างๆ ในเลือด ทำให้ลดการสะสมของยาหรือสารอันตรายต่างๆ ได้ และยังกระตุ้นให้ร่างการสร้างเม็ดเลือดแดงมากขึ้น ทำให้ร่างการแข็งแรง กระปรี้กระเปร่า
  4. Beta-carotene ซึ่งเป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ ซึ่งมีบทบาทในการเป็น Antioxidants ที่ดี ลดการเสื่อมของเซลล์และอัตราเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งที่อวัยวะต่างๆ ได้
  5. Nataural Fluiridw ซึ่งเป็นสารที่ทำให้ฟันแข็งแรง ลดการทำลายฟันโดยแบคทีเรียต่างๆในช่องปากได้
  6. แร่ธาตุต่างๆ เช่น แคลเซียม โปแตสเซียม เหล็ก สังกะสี ซึ่งรายละเอียดประโยชน์ของแร่ธาตุเหล่านี้ได้อธิบายได้ทราบแล้วในบทความก่อนๆ
  7. วิตามินต่างๆ เช่น วิตามินเอ บี1 บี6 ซี อี และเค ในปริมาณสูง ซึ่งรายละเอียดประโยชน์ของวิตามินเหล่านี้ได้อธิบายได้ทราบแล้วในบทความก่อนๆ
Posted on

นอนไม่หลับ : ทำอย่างไร ไม่ต้องพึ่งยานอนหลับ กับ 7 อาหารที่ช่วยได้ กินก่อนนอน ไม่อ้วน

ในภาวะเศรษฐกิจที่ปวดร้าวในปัจจุบัน การนอนหลับ นับว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการผ่อนคลายความเครียด แต่ในบางคนอาจมีปัญหานอนไม่หลับ ซึ่งเป็นอาการหนึ่งที่แสดงถึงภาวะจิตใจที่วิตกกังวล ความเครียด และซึมเศร้า ซึ่งถ้าใครได้ประสบปัญหานี้ บ่อยๆ และเป็นเวลานานนับว่าเป็นเรื่องที่ทุกข์ทรมานอย่างยิ่ง
ข้อควรปฏิบัติและไม่ควรปฏิบัติเมื่อมีปัญหานอนไม่หลับ
1. ควรทิ้งปัญหาที่วิตกกังวลไว้นอกห้องนอน ไม่นำมาคบคิดอีกก่อนนอน
2. จดบันทึกปัญหา หรืองานที่ยังกังวลไว้ในสมุดบันทึก เพื่อรอไว้แก้ไขเมื่อตื่นนอน
3.ทำจิตใจให้ปลอดโปร่ง จินตนาการภาพหรือเหตุการ์ณที่ทำให้รู้สึกสงบสุข เช่น การเดินเล่นชายทะเล
3. ควรตื่นนอนเป็นเวลา และไม่นอนกลางวัน
4. ไม่ควรสูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มที่มีอัลกอฮอล์ ชา กาแฟ เมื่อใกล้เวลาเข้านอน
5. ไม่กินอาหารมันมาก หรืออาหารหนักก่อนนอน อย่างน้อย 3 ชั่วโมง
6. ไม่ควรทำสิ่งที่กระตุ้นสมองให้ขบคิด เช่น การเล่นเกมส์ประลองเชาวน์ หรือการถกเถียงกันรุนแรง
7. ไม่ควรออกกำลังกายกลางดึก เพราะทำให้ร่างกายตื่นตัว
8. ไม่ควรชำเลืองมองนาฬิกาข้างเตียงบ่อยๆ
9. รับประทานอาหารที่ช่วยให้นอนหลับง่ายๆ
10. จัดบรรยากาศให้เหมาะกับการนอน เช่น มืดสนิท ไม่มีเสียงรบกวน

อาหารที่ช่วยให้นอนหลับ 
1.เครื่องดื่มอุ่นๆ ก่อนนอน ประเภทมอลต์สกัด เช่น โอวัลติน หรือ ไมโล
2.เครื่องดื่มชาสมุนไพร เช่น แคโมไมล์ ไลม์บลอสซัม วาเลอเรียน
3.ถั่ว บ่อยครั้งที่อาการนอนไม่หลับของเราอาจเกิดจากความเครียด การกินถั่วสักครึ่งกำมือจะช่วยลดอาการเครียด รวมถึงยังช่วยรองท้องได้อีกเล็กน้อย ทำให้เราสามารถนอนหลับลงได้
4. น้ำผึ้ง ซึ่งเคยใช้เป็นยาระงับประสาทอ่อนๆ มานานแล้ว โดยชงผสมน้ำผึ้งเล็กน้อยในนมอุ่นๆ หรือ ชาสมุนไพร
5. กล้วย ไม่ว่าจะเป็นกล้วยหอมหรือกล้วยน้ำว้าก็ได้ หากได้รองท้องก่อนนอนซักลูก เพราะพบว่ากล้วย มีสารเมลาโทนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนช่วยให้นอนหลับด้วย
6. ผลไม้สด หั่นชิ้นเล็กๆ สัก 1 ถ้วยก่อนนอน ก็จะช่วยให้เรานอนหลับได้ ยิ่งได้กีวี่หรือฝรั่ง ยิ่งจะทำให้เรานอนหลับได้ง่ายขึ้น รวมถึงยังไม่ต้องกังวลเรื่องน้ำหนักอีก
7. โยเกิร์ต แคลเซียมและโปรตีนในโยเกิร์ต มีส่วนสำคัญในด้านการช่วยให้เรานอนหลับได้ ไม่เพียงเฉพาะแค่ในโยเกิร์ตเท่านั้น แต่ในผลิตภัณฑ์นมอื่นๆ ก็ยังสามารถช่วยให้เรานอนหลับได้ง่ยขึ้นเช่นกัน

จัดบรรยากาศให้เหมาะกับการนอน
อาหารที่ช่วยให้นอนหลับ
Posted on

โสม (Ginseng) สมุนไพรยอดนิยม สำหรับปรับสมดุล หยิน-หยาง เพื่อสุขภาพของร่างกาย

โสม (Ginseng) ถือเป็นพืชสมุนไพร ที่นำมาใช้ประโยชน์ต่อสุขภาพมาเป็นเวลานานตั้งแต่ครั้งโบราณกาล โดยเฉพาะชาวจีนมีความนิยมชมชอบสรรพคุณของโสมกันเป็นพิเศษ และถือเป็นวัฒนธรรมของชาวจีนในการรับประทานผลิตภัณฑ์จากโสมกันจนมาถึงปัจจุบัน

คำว่า’โสม’ จริงๆ แล้วใช้เป็นชื่อเรียกพืชหลายสกุล(Families) โดยส่วนใหญ่มักใช้เรียกพืชที่มีลักษณะของรากคล้าย ‘คน’ ว่าโสมเสมอ( ดังภาพประกอบ) แต่โสมที่มีประโยชน์และนิยมนำมาใช้ เป็นโสมในตระกูล Panax ซึ่งอยู่ในวงศ์ Araliaceae

จากการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ สารสำคัญที่พบในโสม และมีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา คือ Ginsengnoside ซึ่ง Ginsengnoside ที่สำคัญมี 2 ชนิดดังนี้

  1. Protopanaxadiol พบว่ามีฤทธิ์ในการระงับระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งทำให้เกิดสมาธิ( concentration) ถ้าเปรียบเทียบผลทางการแพทย์กับ ทางจีนโบราณ ก็เทียบได้กับ พลังหยาง (Yang) หรือผลทางพลังเย็น
  2. Protopanaxatriol พบว่ามีฤทธิ์ในการกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง และมีฤทธิ์ในการขยายหลอดเลือดด้วย ถ้าเปรียบเทียบผลทางการแพทย์กับ ทางจีนโบราณ ก็เทียบได้กับ พลังหยิน (Yin) หรือผลทางพลังร้อน

– โดยพบว่า Ginsengnoside ทั้งสองชนิด จะทำงานพร้อมๆ กันอย่างสมดุล ทำให้เกิดสมดุลทางธรรมชาติของร่างกาย หรือ หยิน-หยาง ตามหลักเต๋าของจีนโบราณนั่นเอง

โสมพันธุ์ที่นิยมและโด่งดัง มี 2 พันธุ์ ดังนี้

1. โสมเกาหลี หรือ โสมคน ได้จากพืชในตระกูล Panax ginseng C.A. Meyer รากโสมที่มีอายุมากกว่า 6 ปี จะมีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาสูงสุด โสมเกาหลี แบ่งได้เป็น โสมแดง และโสมขาว โดยพบว่า โสมแดง จะผ่านการอบไอน้ำและความร้อนสูง เพื่อทำลายเชื้อโรคและเชื้อรา จึงมีราคาสูงกว่าโสมขาว แต่เนื่องจาก ต้องผ่านขบวนการให้ความร้อนสูง อาจทำให้คุณค่าทางอาหารบางอย่างทางธรรมชาติสูญเสียได้ แต่ก็จะปลอดเชื้อมากกว่าโสมขาว

– ส่วนผลการวิจัยของโสมเกาหลี พบว่าจะมีผลทำให้เพิ่มฮอร์โมน ACTH ( Adenocorticotrophic hormone) ซึ่งมีฤทธิ์การกระตุ้นการสร้างฮอร์โมนจากต่อมหมวกไต ( Adrenal gland) ซึ่งทำให้มีผลดีในผู้ป่วยที่ต้องรับประทานยาสเตียรอยด์เป็นประจำ ( เช่น ผู้ป่วยโรคไต ภูมิแพ้ ) ซึ่งมักจะเกิดภาวะ บกพร่องของต่อมหมวกไต และช่วยลดระดับน้ำตาลในคนไข้เบาหวานได้อย่างมีนัยสำคัญ

– มีผลงานวิจัยในประเทศญี่ปุ่น พบว่าโสมเกาหลี ยังสามารถลดอนุมูลอิสระกลุ่ม Hydroxyl ได้ส่งผลให้ลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็ง หรือความเสื่อมของอวัยวะต่างๆ ได้

2. โสมอเมริกัน (Panax quinquefolism) ได้จากพืชในตระกูล Panax quinquefolism ซึ่งมีสรรพคุณใกล้เคียงกับโสมเกาหลี โดยจะมี Ginsengnoside ชนิด Protopanaxatriol ที่มีฤทธิ์ทางพลังหยิน ใช้กระตุ้นในอัตราส่วนที่สูง จึงนิยมใช้ในกลุ่มนักกีฬา และยังทำให้สุขภาพดีโดยรวมคล้ายกับโสมเกาหลีเช่นกัน

สรรพคุณโดยรวมของโสมพันธุ์ Panax 

  1. ลดภาวะความเครียด และภาวะวิตกกังวล และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมองต่อภาวะตึงเครียดได้
  2. เพื่อประสิทธิภาพการเรียนรู้ จดจำ และลดความเสื่อมของเซลล์สมอง ในโรคอัลไซเมอร์ได้
  3. ทำให้การทำงานของระบบหลอดเลือดสมดุล ลดภาวะความดันโลหิตสูงหรือต่ำกว่าปกติ
  4. เพิ่มประสิทธิภาพของภาวะภูมิคุ้มกันของร่างกาย ช่วยฟื้นฟูสมรรถภาพหลังเจ็บป่วย หรือพักฟื้น
  5. รักษาสมดุลย์ของฮอร์โมนเพศ ลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง

คำแนะนำในการรับประทาน 

  1. โสมสกัดที่มีมาตรฐาน จะต้องมีปริมาณของGinsengnoside เข้มข้นที่ 4 % Ginsengnoside เพราะจะมีผลทางเภสัชวิทยาที่ดีที่สุด
  2. แนะนำให้รับประทานก่อนอาหาร 3 ชั่วโมง และห้ามรับประทานวิตามินซี หรือผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง เช่น น้ำส้มคั้น น้ำมะนาว เพราะจะไปต้านฤทธิ์ของโสมให้ลดลง
  3. ถ้ารับประทานโสม ในปริมาณที่มากเกินไป อาจก่อให้เกิดภาวะ แพ้แดด หรือความผิดปกติของผิวพรรณได้ จึงแนะนำให้พบแพทย์เมื่อพบปัญหา
โสมเกาหลี หรือ โสมคน
โสมอเมริกัน
Posted on

สังกะสี (Zinc) แร่ธาตุที่ร่างกายต้องการน้อย แต่จำเป็น เพราะถ้าขาดไป โรคอะไรก็เกิดขึ้น

ร่างกายคนเราจะทำหน้าที่ได้ตาม จำเป็นต้องอาศัยแร่ธาตุสำคัญๆประมาณ 16 ชนิด เพื่อทำหน้าที่ให้ร่างการเจรีญเติบโต หรือการสืบพันธุ์
 แร่ธาตุสังกะสี ถือว่าเป็นแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการอย่างหนึ่ง แม้จะต้องการเพียงปริมาณที่น้อย (trace elements) แต่ถ้าขาดไป ก็เกิดผลเสียต่อการทำงานของเอนไซม์ในร่างกายหลายๆ ตัวทีเดียว

บทบาทการทำงานของแร่ธาตุสังกะสี 

  1. สังกะสีเกำจัดอัลกอฮอล์ ซึ่งถือเป็นสารพิษต่อตับ
  2. สังกะสีเป็นส่วนหนึ่งของเอนไซม์ ที่ร่างกายใช้ในขบวนการสร้างกำลังงาน
  3. สังกะสีเป็นส่วนหนึ่งขในการสร้างกระดูกและฟัน และทำให้เส้นผมและเล็บแข็งแรงไม่หลุดร่วงง่าย
  4. สังกะสีเป็นส่วนหนึ่งของเอนไซม์ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย
  5. สังกะสีเเกี่ยวข้องกับการทำงานอย่างสมดุลของระบบประสาทสมอง
  6. สังกะสีช่วยให้เซลล์สามารถจับกับวิตามินเอ ทำให้ผิวพรรณดีขึ้นได้
  7. สังกะสี มีส่วนสำคัญในการรักษาแผลหรือสมานแผล
  8. สังกะสี ช่วยในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
  9. สังกะสี ช่วยในการควบคุมการทำงานของฮอร์โมนอินซูลิน ที่ควบคุมระดับน้ำตาล และควบคุมการทำงานของอวัยวะสัมผัส ให้ทำงานให้ดีขึ้นและมีประสิทธิภาพ
อาการที่เกิดจากการขาดสังกะสี
อาหารที่มีแร่ธาตุสังกะสีสูง

ปริมาณสังกะสีที่ร่างกายต้องการเท่าไหร่
ปริมาณแตกต่างกันในแต่ละเพศ วัย และภาวะของร่างกาย ในประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ทำการวิจัยและกำหนดความต้องการของสังกะสี ในร่างกายไว้ดังนี้
-อายุน้อยกว่า 1 ปี ต้องการสังกะสีประมาณ วันละ 3-5 มิลลิกรัม
-อายุระหว่าง 1-10 ปี ต้องการสังกะสีประมาณ วันละ 10 มิลลิกรัม
-อายุ 11 ปีขึ้นไป ต้องการสังกะสีประมาณ วันละ 15 มิลลิกรัม
-สตรีในระยะตั้งครรภ์ ต้องการสังกะสีประมาณ วันละ 20-25 มิลลิกรัม
-สตรีในระยะให้นมบุตร ต้องการสังกะสีประมาณ วันละ 25-30 มิลลิกรัม
อาหารที่มีแร่ธาตุสังกะสีสูง
– อาหารทะเล โดยเฉพาะหอยนางรม
– เนื้อสัตว์ เป็ด ไก่ ไข่และนม
– ธัญพืช
โดยร่างกายจะดูดซึมสังกะสีจาก โปรตีนของสัตว์ได้ดีกว่าธัญพืช เพราะสังกะสีในธัญพืชมักอยู่ที่เยื่อหุ้มเมล็ด ซึ่งมักถูกขัดให้หลุดไป และในเส้นใยอาหารจากธัญพืช จะมีสารไฟเทตที่สามารถยับยั้งการดูดซึมแร่ธาตุใด้หลายชนิด ดังนั้นในชาวมังสวิรัติที่ไม่กินนมและไข่ มักจะต้องรับประทานแร่ธาตุสังกะสีเสริม
ไม่พบว่าการรับประทานอาหารที่มีสังกะสีมากๆ จะเกิดการสะสมหรือเป็นพิษต่อร่างกายได้ นอกจากคนที่ได้รับอาหารเสริมที่มีสังกะสีปริมาณมากๆ และต่อเนื่องเป็นเวลานาน
ถ้าร่างกายได้รับสังกะสีไม่เพียงพอ
– จะทำให้แผลหายช้า
– ร่างกายเจริญเติบโตช้าลง
– ตับโต เกิดภาวะโลหิตจาง
– หัวล้าน (alopecia)
– เบื่ออาหาร
– ต่อมสร้างเชื้ออสุจิน้อยกว่าปกติ (hypogonadism) ทำให้มี sexual maturation ช้า
– ทำให้การรับความรู้สึกของรสและกลิ่นช้าลง
คำแนะนำในการรับประทานอาหารเสริมสังกะสี
ควรเป็นสังกะสีในรูปของ Chelated Zinc ซึ่งจะอยู่ในรูปของเกลือกลูโคเนต หรือ Zinc Gluconate ซึ่งจะดูดซึมแร่ธาตุสังกะสีได้ดีที่สุด และควรรับประทานตอนท้องว่าง(อาจมีอาการคลื่นใส้ อาเจียนได้บ้างในระยะแรก) และควรเสริมด้วยแร่ธาตุทองแดง ( copper) เสริมในอัตราส่วน สังกะสี:ทองแดง=15:1

Posted on

อาร์จินีน (Arginine ) กรดอะมิโนที่เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของฮอร์โมนที่สำคัญ โดยเฉพาะผู้ชาย

Arginine คือ กรดอะมิโน ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของโปรตีนที่จำเป็นต่อสิ่งมีชีวิต เป็น non-essential amino acid ที่ร่างการสามารถสร้างขึ้นมาเองได้ จากโปรตีนที่รับประทานเข้าไป

Arginine พบมากในอาหาร

  • เนื้อสัตว์ ส่วนที่เป็นเนื้อแดง เนื้อจากสัตว์ปีก รวมทั้ง อาหารทะเล เช่น ปลาทูน่า (1.7 g ต่อ 100 g)ปลาแซลมอน (1.2 g ต่อ 100 g) รวมทั้งกุ้ง ปู เป็นแหล่งที่ดีของโปรตีน และกรดแอมิโนทุกชนิด รวมทั้งอาร์จินินด้วย
  • เมล็ดถั่วแห้ง เป็นแหล่งของอาร์จินีนในพืช ถั่วลิสงเป็นแหล่งที่ดีของอาร์จินีน โดย ถั่วเหลือง 100 กรัม มีปริมาณอาร์จินีนถึง 3.1 กรัม almonds (2.5 g ต่อ 100 g), walnuts (2.3 g ต่อ100 g), hazelnuts (2.2 g ต่อ 100 g) และ เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ (2.1 g ต่อ 100 g) นอกจากนั้นยังพบมากใน  Brazil nuts, pistachios และ งา
  •  ผักโขม แม้ว่าผักทั่วไปจะไม่ใช่แหล่งที่ดีของอาร์จินีน แต่ผักโขมเป็นแหล่งที่ดีของอาร์จินีน โดยผักโขมแช่แข็งมีอาร์จินีน 3.3 g ต่อ 100 g
  • เมล็ดพืชที่ไม่ขัดสี (Whole Grains) รวมทั้งผลิตภัณฑ์จากเมล็ดพืชที่ไม่ได้ขัดสี เช่น ขนมปัง พาสต้า ข้าวสาลีที่ไม่ได้ขัดสี ปริมาณอาร์จินีน 650 mg ต่อ 100 g.ถ่
  •  ถั่วเหลือง และโปรตีนจากถั่วเหลือง รวมทั้งผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง เป็นแหล่งอุดมของอาร์จินีนน
  • ไข่ โดยเฉพาะไข่แดง เป็นแหล่งที่ดีของอาร์จินีน (1.10 g ต่อ100 g) ขณะที่ ไข่ขาว มี  0.65 g ต่อ100 g
    ประโยชน์ต่อสุขภาพ
  • คุณสมบัติเป็น Nitric Oxide ที่มีประโยชน์ในการขยายหลอดเลือด เพื่อการส่งออกซิเจนและสารอาหารแก่เซลล์
  • ช่วยลดปริมาณ ไขมัน Cholesterol ในเลือด
  • ช่วยการขับถ่ายของเสีย แอมโมเนีย ที่เกิดจากการออกกำลังกาย
  • การรักษาบาดแผล
  • เสริมสร้างภูมิต้านทานโรค
  • Arginine เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของฮอร์โมนหลายตัว เช่น Glucagon,Insulin ซึ่งเกี่ยวกับควบคุมระดับน้ำตาลในร่างกาย , Growth hormone เกี่ยวกับการเจริญเติบโตของร่างกาย
  • สามารถเพิ่มจำนวนอสุจิในผู้ชายด้วย

แต่ขณะเดียวกัน ถ้ารับประทานอาหารเสริมที่มี Arginine สูงเกินไป อาจเกิดผลข้างเคียงได้ เช่น เพิ่มการเกิดโรคเริมที่ปาก และทำให้การดูดซึมกรดอะมิโน Lysine ลดลง ดังนั้น การเลือกรับประทานอาหารเสริมที่มี arginine ให้เหมาะสม ควรอยู่ที่ ประมาณ 500 มก.ต่อวัน

Posted on

อยากเลิกเหล้า ยาเลิกสุรา ได้ผลมากน้อยอย่างไร ตัวไหนที่ได้ผล ไม่มีอันตราย ไม่มีผลข้างเคียง

การติดสุรา (Alcoholism) เป็นภาวะที่เลิกได้ยาก ส่วนใหญ่เลิกได้ไม่กี่เดือนก็จะหวนกลับมาดื่มต่อ ทำให้โรคทางกายที่เกิดจากสุราไม่สามารถรักษาให้ดีขึ้นได้
ยาเลิกสุรา
ยาที่ได้รับการยอมรับจากองค์การอาหารและยา คงมีประสิทธิภาพที่ยังไม่เป็นที่พอใจมากนัก เพราะยาแต่ละอย่างมีปัญหาหรือจุดด้อยในตัวเองที่ทำให้การรักษาไม่ได้ผลอย่างที่อยากให้เป็น ยาเหล่านีได้แก่
1. Disulfiram
ยาเลิกเหล้าขนานแรกสุดที่คิดค้นกันขึ้นมาได้ ยาขนานนี้มีอายุอานามหลายสิบปี ยาขนานนี้มีกลไกเปลี่ยนเส้นทางของการเผาผลาญแอลกอฮอล์ที่ปกติจะลงเอยกลายเป็นสารที่ไม่เป็นพิษและน้ำในร่างกายขับถ่ายออกไป แต่เมื่อใช้ยานี้ เมื่อใดก็ตามที่ผู้ป่วยดื่มเหล้า แอลกอฮอล์จะถูกแปรเปลี่ยนเป็นสารพิษต่อร่างกาย ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน วิงเวียน เป็นลม ปวดศีรษะ ไม่สบายตัวอย่างมาก บางรายถึงกับช็อกจนเสียชีวิตก็มี ลงท้ายผู้ป่วยรู้แกวก็เลิกกินยาแทนที่จะเลิกกินเหล้า
2. Naltrexone (Revia ,Depade)
ยาอีกขนานหนึ่งที่ถือว่าเป็นการเปิดมุมมองใหม่ของยาเลิกเหล้าคือ ยาที่อาศัยหลักการว่า ทำให้การดื่มไม่เกิดความสุขอีกต่อไป โดยยาขนานนี้ขัดขวางระบบสารความสุขตามธรรมชาติในสมอง (natural brain opioids) ดังนั้น ดื่มทีไรก็ไม่สุขเหมือนเคย ช่วยลดการดื่มลงได้

3. Acamprosate (Campral)
ยาขนานที่สามที่เพิ่งได้รับการอนุมัติให้ใช้ในการเลิกเหล้าเมื่อไม่นานมา เป็นยาที่ปรับระบบความเครียดภายในสมอง ยานี้ช่วยลดอาการ withdrawal เมื่อหยุดเหล้าได้ แต่น่าเสียดายที่ผลในทางคลินิกไม่ได้ดีดังที่อยากให้เป็น และยานี้ก็ไม่ช่วยลดอาการนอนไม่หลับหรืออาการซึมเศร้าในผู้ป่วยที่เลิกเหล้า4.
4. Gabepentin ( Neurotin)
ยาขนานใหม่ล่าสุดในการช่วยเลิกเหล้า สามารถสงบอาการขาดเหล้าได้ ทั้งนี้ก็ด้วยกลไกการทำงานที่เกี่ยวข้องกับระบบสารสื่อประสาท GABA ซึ่งเป็นระบบสารสื่อประสาทที่สัมพันธ์กับแอลกอฮอล์มากที่สุด ยานี้จึงช่วยได้ทั้งลดอาการขาดเหล้า (withdrawal syndrome) อาการวิตกกังวล และอาการจิตตกซึมเศร้าในผู้ป่วย เป็นยาที่ค่อนข้างปลอดภัย ผู้ป่วยทนยาได้ดี ผลข้างเคียงน้อย

ก่อนจะเลือกใช้ยาตัวไหน แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนดีที่สุด สำคัญที่กำลังใจ และความตั้งใจที่จะเลิกเหล้าจริงๆ

Posted on

หอยนางรม (Oyster): คุณประโยชน์ต่อร่างกายครบ จบใน 1 ตัว แต่รับประทานแค่ไหน จึงจะปลอดภัย

หอยนางรม เป็นหอยประเภท 2 ฝา เป็นสัตว์ในตระกูล Crassosteagis thunberg อาศัยอยู่ในทะเล พบมากในมหาสมุทรแปซิฟิต โดยคุณภาพหอยนางรม จะขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของแหล่งที่มันอาศัยอยู่ และเชื่อว่าญี่ปุ่นจะเป็นแหล่งที่หอยนางรมมีคุณภาพมากแหล่งหนึ่ง
หอยนางรม เป็นอาหารที่เลิศรสอย่างหนึ่งในร้านอาหารซีฟู๊ดทั้งหลาย และสนนราคาก็แพงเอาการทีเดียว เพราะเชื่อกันว่า สารอาหารที่อยู่ในหอยนางรมมีประโยชน์มากมาย โดยเฉพาะเกี่ยวกับสมรรถภาพทางเพศ บางคนเชื่อว่าเป็นยาโด๊บจากธรรมชาติเลยทีเดียว ลองมาดูรายละเอียดของหอยนางรม

ส่วนประกอบและคุณสมบัติที่พบจากหอยนางรม

1. Taurin เป็นกรดอะมิโนตัวหนึ่งที่หลายคนไม่ค่อยรู้จัก โดยมีความสำคัญต่อร่างกาย ดังนี้
1.1 ช่วยควบคุมระดับความดันโลหิตในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง โดยเชื่อว่าเกี่ยวข้องกับระบบ Renin-Angiotensin ในระบบไต
1.2 ช่วยควบคุมการแลกเปลี่ยน เข้าออก ของอิออนต่างๆ จากเซลล์ที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหว ปฏิกริยารีเฟล็กซ์ จึงพบได้มากในเซลล์ที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาท ในเรื่องกระแสประสาทที่สมองส่วนกลาง ในเนื้อเยื่อของกล้ามเนื้อลาย และหัวใจ
1.3 ช่วยในการสร้าง taurocholate ซึ่งจะไปทำให้ไขมันที่รับประทานเข้าไป แตกตัวเป็นโมเลกุลเล็กๆ ทำให้สามารถย่อยและเผาผลาญได้ง่ายขึ้น ทำให้ร่างกายนำพลังงานไปใช้ในการทำกิจกรรมต่างๆ ได้เร็วขึ้น
1.4 ช่วยให้สเปริ์ม เคลื่อนที่และมีกำลังเคลื่อนที่ดีขึ้น ทำให้มีโอกาสตั้งครรภ์ได้ง่ายขึ้นในผู้ป่วยที่มีบุตรยาก
2. Glycogen เป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญอย่างหนึ่งของร่างกาย ที่สามารถนำไป ใช้งานได้โดยตรงทันที เมื่อร่างกายอ่อนเพลีย หรือต้องการกำลังงานเพิ่ม
3. Essential Minerals เช่น สังกะสี (ซึ่งเป็นส่วนประกอบของฮอร์โมนเพศชาย Testosterone) ธาตุเหล็ก ทองแดง ไอโอดีน ซีลีเนียม ( ซึ่งเป็นสาร Antioxidants ป้องกันการเสื่อมของเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย พร้อมทั้งเชื่อว่า สามารถกระตุ้นความต้องการทางเพศได้ 
4. Essential Fatty acids หลายตัวที่เป็นส่วนประกอบของฮอร์โมนที่สำคัญ ในร่างกาย และพบว่าสามารถเพิ่มจำนวน sperms ได้
5. Vitamins หลายตัวที่ช่วยเสริมสร้างให้สุขภาพทั่วไปของร่างกายแข็งแรงขึ้น

รับประทานได้แค่ไหน ไขมันไม่สูง ไม่ท้องเสีย
หลายคนอาจกังวลว่าหอยนางรมจะมีคอเลสเตอรอลเยอะเกินไปหรือไม่ และหากกินสดจะเสี่ยงอันตรายอะไรหรือเปล่า โดยพบว่า หอยนางรมมีระดับไขมันคอเลสเตอรอลต่ำเมื่อเทียบกับอาหารทะเลชนิดอื่น ๆ โดยหอยนางรมดิบปริมาณ 85 กรัมมีคอเลสเตอรอลเพียง 21 มิลลิกรัมเท่านั้น
แม้สารอาหารทั้งหมดในหอยนางรม 1 ตัว จะมากมาย แต่ เราไม่ควรกินหอยนางรมเกิน 5 ตัวใน 1 มื้อ เพราะหอยนางรมเกือบทุกตัวมีเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อว่า Vibrio parahaemolyticus และเชื้อ Salmonella ซึ่งถ้ามีปริมาณมากไป จะทำให้มีอาการท้องเสีย ท้องร่วง
ส่วนใครที่เป็นโรคตับ ติดสุราเรื้อรัง เอชไอวี หรือกำลังทานยากดภูมิคุ้มกันอยู่ อาจมีอาการหนักกว่าคนปกติ มีความเสี่ยงติดเชื้อในกระแสเลือด และรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ ดังนั้นใครที่มีความเสี่ยงดังกล่าว ไม่ควรทานหอยนางรม

การเลือกซื้อหอยนางรม อย่างไรให้ปลอดภัย

  1. เลือกซื้อหอยนางรมจากแหล่งผลิตที่ไว้ใจในคุณภาพได้
  2. สังเกตความสะอาดของเปลือก และภายในของหอย ต้องสดใหม่ สะอาด ไม่มีกลิ่นไม่เหม็นคาว
  3. สีของหอยไม่เปลี่ยน หรือผิดปกติไปจากเดิม เช่น เนื้อของหอยไม่ยุ่ยเละ สีไม่คล้ำ
  4. เลี่ยงการทานน้ำทะเลที่มากับหอย
  5. ถ้าจะให้ปลอดภัยที่สุด คือ ควรกินหอยนางรมปรุงสุก แม้ว่าจะกินกับมะนาว หรือการปรุงสุกด้วยกรด ก็ยังไม่สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่มากับหอยได้ และที่สำคัญอย่ากินหอยนางรมมากเกินไปในคราวเดียว เพราะอาจเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อแบคทีเรียได้มากกว่าเดิม
Posted on

ว่านหางจระเข้ (Aloe vera) สมุนไพรพื้นบ้าน กับ 15 ประโยชน์ในทางการแพทย์และความงาม

ว่านหางจระเข้ หรือ หางตะเข้ หรือ ว่านไฟใหม้ เป็นสมุนไพรพื้นบ้านที่เรารู้จักกันดี โดยมีชื่อทางพฤษศาสตร์ว่า Aloe barbadensis Mill หรือ Aloe vera Inn. ในตระกูล Liliaceae มีลักษณะเป็นพืชล้มลุก ลำต้นสั้น ใบยาวแหลม อวบ และติดแน่นกับลำต้น ขอบใบมีหนามแหลม ภายในมีวุ้นใส และที่เปลือกใบมีท่อ ซึ่งทำให้น้ำยางเป็นสีดำ 

สรรพคุณว่านหางจระเข้

  1. รักษาแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก รักษารอยไหม้บนผิวได้ดี โดยสารสำคัญในส่วนของวุ้น คือ Glycoprotein 2 ชนิด ขื่อ Aloctin-A และ Aloctin-B จะช่วยลดการอักเสบ และมีฤทธิ์สมานแผล
  2. ลดการอักเสบของผิว รักษาสิวได้โดยการเอาว่านหางจระเข้มาทาบาง ๆ ที่สิวก่อนนอน 
  3. ลดการแสบผิวจากแสงแดดได้ ใครที่ผิวแสบไหม้ วุ้นจากใบว่านหางจระเข้จะช่วยบรรเทาได้เป็นอย่างดี 
  4. บำรุงดูแลเส้นผมให้เงางาม เพียงแค่นำวุ้นจากใบว่านหางมาชโลมบนเส้นผม 
  5. บำรุงผิวให้มีความชุ่มชื่น ไม่แห้งแตก เนื่องจากมีฤทธ์เย็น กระตุ้นเซลล์ผิวหนังได้ดี 
  6. บรรเทาอาหารท้องผูก เนื่องจากมีเปลือกสรรพคุณเป็นยาระบายอ่อน ๆ และเป็นส่วนประกอบของ ยาดำที่ใช้เป็นยาระบายในตำรับแผนไทย
  7. ควบคุมระดับน้ำตาลของผู้ป่วยเบาหวาน โดยการดื่มน้ำว่านหางจระเข้เข้มข้น 80% วันละ 2 ครั้ง ปริมาณ 1 ช้อนโต๊ะ 
  8. ช่วยสมานแผลในกระเพาะอาหารและรักษาอาการกรดไหลย้อน โดยการทานวุ้นว่านหางจระเข้เป็นประจำ 
  9. ใช้วุ้นจากใบในการรักษาฝ้า แบบไม่พึ่งครีมรักษาฝ้า
  10. ลดรอยแผลเป็น ให้แผลดูจางลงได้โดยการใช้วุ้นจากใบว่านหางมาทาเบา ๆ บนรอบแผล 
  11. ลดการอักเสบ แสบคันและการตกสะเก็ดจากโรคสะเก็ดเงิน โรคภูมิแพ้ผิวหนังได้ 
  12. ช่วยลดสิว สิ้วเสี้ยนบนใบหน้าได้  ใช้เนื้อวุ้นว่านหาง ผสมไข่ขาวและน้ำผึ้ง ผสมกัน มาสก์ทิ้งไว้บนหน้าประมาณ 15 นาที จะ
  13. ใบว่านหางจระเข้สามารถช่วยรักษาริดสีดวงทวาร โดยใช้เนื้อวุ้นจากใบเหลาให้เป็นปลายแหลมเล็กน้อย และนำไปแช่ตู้เย็นจนเนื้อแข็ง แล้วนำไปใช้เหน็บในช่องทวารหนัก 
  14. นำมาทำเป็นของหวานเพื่อสุขภาพคลายร้อนได้ เช่น วุ้นว่านหางจระเข้ลอยแก้ว น้ำว่านหางจระเข้สมูทตี้ ฯลฯ 
  15. ช่วยลดหน้าท้องลายหลังการคลอดลูก โดยให้นำวุ้นว่านหางมาทาบริเวณท้องเป็นประจำ 

    วิธีใช้ว่านหางจระเข้
  1. ควรเลือกต้นว่านหางจระเข้ที่มีอายุมากกว่า 1 ปีขึ้นไป ให้เลือกส่วนล่างสุดเนื่องจากจะมีวุ้นมากกว่าส่วนอื่น ๆ 
  2. นำว่านหางจระเข้มาแช่เย็นก่อนการใช้จะสดชื่นมากขึ้น 
  3. ควรล้างเนื้อวุ้นว่านหางจระเข้ให้สะอาดก่อนการใช้ทุกครั้ง เนื่องจากเมือกยางจากใบมีสาร Anthraquinone ที่อาจก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ 
  4. ไม่ควรใช้เป็นยาระบายหรือยาถ่ายในหญิงตั้งครรภ์ หญิงที่มีประจำเดือน และผู้ที่เป็นริดสีดวงทวาร 
  5. วุ้นของว่านหางจระเข้ถ้าปอกแล้วจะเก็บไว้ได้เพียง 6 ชั่วโมง ดังนั้นควรใช้ทันทีจะได้ประสิทธิภาพดีที่สุด 

Posted on

สมุนไพรพญายอ (เสลดพังพอน) สมุนไพรไม้พุ่ม รักษาโรคเริม งูสวัด ได้ผลไม่แพ้ยาแผนปัจจุบัน

  สมุนไพรพญายอ ( Clinacanthus nutans,Lindau) 
พญายอ
สมุนไพรไม้พุ่ม มีลักษณะเป็นใบเดี่ยวเรียวยาวรูปหอก กว้างประมาณ 1 ซม. และยาว 3-10 ซม. ขอบใบจักเป็นซี่ฟัน พบได้ทั่วไป และปลูกขยายพันธุ์ได้ง่าย
กลไกการออกฤทธิ์
พบว่าสารสกัดจากส่วนใบ คือ ฟลาโวนอยด์ มีความสามารถในการลดการอักเสบในหนูขาวทดลอง และมีฤทธิ์ทำลายเชื้อไวรัส HSV-2 และ VZA ได้ดีมาก
คณะวิจัยจากกรมการแพทย์ รพ.บางรัก และรพ.ตากสิน ได้นำมาทำการทดลองใช้รักษาคนไข้ที่เป็นโรคเริมที่อวัยวะเพศ จำนวน 77 ราย จนได้ข้อสรุปว่า ครีมที่ผสมด้วยสมุนไพรพญาลอ มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคเริม และงูสวัด ไม่แตกต่างจากยา Acyclovir และดีกว่าตรงที่ เมื่อทาตรงแผลแล้วจะรู้สึกเย็น ในขณะที่ acyclovir cream ทาแล้วจะรู้สึกแสบ
ดังนั้น องค์การเภสัชกรรม กระทรวงสาธารณสุข จึงได้ผลิตครีมพญายอ ออกจำหน่ายทั่วไป ปัจจุบัน พญายอ ถูกบรรจุในบัญชียาหลักแห่งชาติ กลุ่มยาพัฒนาจากสมุนไพร เป็นยาสำหรับรักษากลุ่มอาการทางระบบผิวหนัง บรรเทาอาการของเริมและงูสวัด รักษาแผลในปาก บรรเทาอาการผด ผื่น คัน ลมพิษ บรรเทาอาการปวดบวมจากแมลงกัดต่อ โดยมีการพัฒนายาหลายรูปแบบ เช่น ครีม กลีเซอรีน โล่ชั่น ยาหม่อง

อ้างอิง จาก วารสารกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และนิตยสารเภสัชอายุรเวช เรื่อง การใช้เสลดพังพอน

Posted on

ไม่อยากใช้ครีมผสมสเตียรอยด์ รักษาผื่นแพ้ในเด็ก เลือกครีมสมุนไพรจีน ปลอดภัย แน่หรือ!

การรักษาโรคผื่นแพ้ในเด็ก เช่น Eczema, Atopic dermatitis การใช้สารสเตียรอยด์ ถือว่าเป็นยาหลักที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย ทำให้ผู้ปกครองและผู้ป่วยมักมีความวิตกกังวลในผลแทรกซ้อนของสารสเตียรอยด์ จึงได้หันมาใช้สมุนไพรจีนและครีมของจีน ที่มีการอ้างว่าเป็นสารธรรมชาติและปราศจากสารสเตียรอยด์ และทำให้ไม่มีการควบคุมกันอย่างจริงจัง
งานวิจัยสมุนไพรจีน
มีผลงานการวิจัยของโรงพยาบาล King’s college ประเทศอังกฤษ ได้ทำการศึกษาครีมสมุนไพรจีน 10 ชนิด แล้วนำ มาตรวจสอบสารสเตียรอยด์ เนื่องจากทีมนักวิจัยพบว่ามีผู้ป่วยที่ประเทศอังกฤษ ได้นำมาทำการรักษาผู้ป่วยทางผิวหนัง และมีผลการรักษาที่ดีเยี่ยม และทำให้อาการกำเริบมากขึ้น
กลุ่มตัวอย่าง
ผู้ป่วยที่มีอายุระหว่าง 6 เดือน ถึง 36 ปี เป็นคนไข้เด็ก 7 คน และผู้ใหญ่ 3 คน โดยได้รับการสั่งยาจากหมอจีนแผนโบราณ ครีมมีเนื้อครีมสีขาว กลิ่นหอมน่าใช้
รายละเอียดผลงานวิจัย
การทดสอบทำโดย การละลายครีมสมุนไพรจีนตัวอย่าง ใน ethyl acetate และกรองเอาส่วนสารอินทรีย์ไว้ โดยปล่อยให้ตัวทำละลายระเหยออกไป แล้วนำน้ำมันที่เหลือผ่านกระบวนการ Liquid-gel chromatography แล้วนำมาละลายใหม่และผ่านกระบวนการ gas chromatography พบว่า ครีมสมุนไพรจีน 70 % มีสารสเตียรอยด์ ประเภท Dexamethasone เป็นส่วนประกอบตั้งแต่ 64-740 microgram/1 gram ของครีมซึ่งเป็นปริมาณที่แพทย์ผิวหนังใช้รักษาคนไข้ปกติหลายเท่า
ผลสรุป
ดังนั้นท่านที่นิยมสมุนไพรทั้งหลาย และคิดว่าปลอดภัยกว่ายารักษาโรคในปัจจุบัน ควรพิจารณาให้ถ่องแท้ และมีวิจารณญาณในการเลือกใช้ เพราะการวิเคราะห์ที่มีหลักเกณฑ์ตามหลักวิชาการ ย่อมปลอดภัยกว่าการแอบอ้างชวนเชื่อ จึงพึงระวัง นะจะบอกให้!

Posted on

ยาคุมกำเนิด : มีหลายยี่ห้อ เลือกอย่างไร ให้ตรงกับปัญหาที่ต้องการแก้ไข ใช้แล้วเหมาะกับเรา

ยาเม็ดคุมกำเนิดในปัจจุบัน มีมากมาย หลากหลายยี่ห้อ ทำให้การเลือกใช้ให้เหมาะสม ในแต่ละช่วงอายุ และภาวะที่เป็นอาจแตกต่างกันได้ เพื่อให้ลดความสับสนของการเลือกใช้ จะแยกยาเม็ดคุมกำเนิดเป็นหมวดหมู่ตามหลักการแพทย์ ให้ทราบพอสังเขปนะครับ
หมวดหมู่ประเภทของยาเม็ดคุมกำเนิด
1. Sequential pill  เป็นยาเม็ดคุมกำเนิดรุ่นเก่าๆ ที่ยังมีวางจำหน่ายอยู่ โดยเลียนแบบลักษณะของรอบเดือน โดยในช่วงแรกจะมีเฉพาะฮอรโมนเอสโตนเจน ช่วงกลางมีฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน และช่วงสุดท้ายมีโปรเจนเตอโรนอย่างเดียว อาทิเช่น ยี่ห้อ Trinordiol,Triquilar แม้จะมีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดได้ดี แต่ไม่ค่อยนิยม เนื่องจากมีปริมาณฮอร์โมนมากเกินไป ทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น น้ำหนักตัวเพิ่ม คลื่นไส้ ฝ้า ปวดศีรษะ ได้ง่าย
2.Combined contraceptive pill เป็นยาคุมกำเนิด ทีแพร่หลายที่สุดในปัจจุบัน โดยมีปริมาณฮอร์โมนเอสโตรเจน และฮอร์โมนโปรเจนเตอโรน เท่ากันทุกเม็ด โดยแบ่งย่อยตามปริมาณของเอสโตรเจนในเม็ดยา ตามขนาดดังนี้
2.1.Standard จะมีขนาดของ ปริมาณของเอสโตรเจนในเม็ดยา 50 ไมโครกรัม เหมาะสำหรับผู้หญิงที่มีประจำเดือนไม่สม่ำเสมอ หรือมากระปริบกระปรอย แต่ไม่เหมาะกับผู้หญิงที่มีประวัติเลือดแข็งตัวได้ง่าย หรือมีประวัติเส้นเลือดอุดตัน ที่มีวางขายตามท้องตลาดได้แก่ ยี่ห้อ Microgynon 50 ED,Eugynon,Nordiol เป็นต้น
2.2. Low dose จะมีขนาดของ ปริมาณของเอสโตรเจนในเม็ดยา 30 ไมโครกรัม ( ยกเว้น Dian-35 จะมี 35 ไมโครกรัม) เป็นชนิดที่นียมกันมาก เนื่องจากปริมาณเอสโตรเจนมีน้อย ทำให้ลดผลข้างเคียงได้ แต่มีฤทธิ์คุมกำเนิดดีดังประเภทแรก ได้แก่ยี่ห้อ Dian-35,Marvelon,Nordette,Minulet,Microgynon 30 ED,Gynera

2.3.Ultralow dose  จะมีขนาดของ ปริมาณของเอสโตรเจนในเม็ดยา 20 ไมโครกรัม เพื่อลดผลข้างเคียงให้น้อยที่สุด แต่มีข้อเสียคือต้องรับประทานทุกวัน ไม่ควรขาดหรือลืมกิน เพราะอาจทำให้ฤทธิ์การคุมกำเนิดลดลง ตั้งครรภ์ได้ง่าย
เหมาะกับคนที่มีความจำได้ดี ไม่ลืม ได้แก่ ยายี่ห้อ Mercion Minipill ยาเม็ดคุมกำเนิด ที่มีเฉพาะฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนอย่างเดียว ในทุกเม็ดยาคุม มักใช้ในการคุมกำเนิด มารดาหลังคลอดบุตร และให้น้ำนมบุตร เพราะไม่ทำให้การสร้างน้ำนมลดลง แต่ต้องรับประทานทุกวัน จนกว่าจะเลิกให้นมบุตร มีวางขายในชื่อยี่ห้อ Exluton
2.4.Postcoital pill  เป็นยาคุมกำเนิดหลังการร่วมเพศ และต้องรับประทานภายใน 1 ชั่วโมง หลังจากมีเพศสัมพันธุ์ จึงจะป้องกันได้ดีที่สุด แต่ละเม็ดยาจะมีฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนในปริมาณสูง คือ 750 ไมโครกรัม โดยออกฤทธิ์ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูก ไม่เหมาะสมต่อการผังตัวของตัวอ่อนทารก แต่ไม่ได้ไปยับยั้งการตกไข่ เหมือนยาเม็ดคุมกำเนิดประเภทอื่นๆ แต่ก็ไม่ควรรับประทานเกินเดือนละ 4 เม็ด เพราะจะทำให้รับปริมาณฮอร์โมนมากเกินไป ที่มีวางจำหน่าย ได้แก่ ยี่ห้อ Postionr, Madonna

จากคุณสมบัติดังกล่าวข้างต้น อาจเป็นหลักในการพิจารณาเลือกใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดสำหรับสตรีได้ในระดับหนึ่ง การเลือกใช้แต่ละยี่ห้อ ในแต่ละประเภท ต้องคำนึงถึงราคา และผลข้างเคียงที่อาจมีได้ แม้จะอยู่ประเภทเดียวกัน แต่คนละยี่ห้อ ซึ่งแต่ละคนก็อาจแตกต่างกันไป คงต้องทดลองใช้ดู ไม่ลองก็ไม่รู้

Posted on

ขมิ้นชัน(Turmeric) : สมุนไพรมหัศจรรย์ ที่รักษาได้หลายโรค จนเราไม่คาดคิด ไม่มีพิษต่อร่างกาย

ขมิ้นชัน รู้จักกันโดยทั่วไปในด้านการใช้ประกอบอาหารต่างๆ โดยเฉพาะในภาคใต้ และสารสีเหลืองในขมิ้นชันนี่เองที่ชาวอินเดียและชาวตะวันออกกลางใชัทำเครื่องแกงที่เรียกว่า curry โดยมีชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า Curcuma longa Linn. ในวงศ์ Zingiberaceae

ประโยชน์ในการรักษาทางการแพทย์ 

  1. เคลือบแผลในกระเพาะอาหาร เหมือนยาลดกรด เมื่อรับประทานเหง้าของชมิ้นชัน จะมีสาร Curcumin สามารถกระตุ้นการหลั่งสาร mucin ออกมาในกระเพาะอาหาร จึงสามารถใช้รักษาแผลในกระเพาะอาหารได้
    ลดอาการจุกเสียดแน่นท้อง แต่ยังสู้ยาลดกรดทั่วไปไม่ได้ เนื่องจากในขมิ้นชัน จะมีสาร curcumin ในปริมาณที่แตกต่างกัน ทำให้ปรับขนาดยาได้ไม่แน่นอน
  2. ลดการอักเสบได้ เมื่อนำมาทาที่ผิวหนัง จึงใข้รักษาโรคผิวหนังพุพอง กลาก เกลื้อน ทาแก้ยุงกัด ลดสิวอักเสบ
  3. มีฤทธิ์ในการขับน้ำดี และฆ่าเชื้อแบดทีเรียในลำไส้ จึงช่วยในการย่อยอาหาร ป้องกันอาการอุจจาระร่วงได้
  4. ลดการหดเกร็ง ปวดท้อ เพราะ มีฤทธิ์ในการคลายกล้ามเนื้อเรียบ
  5. ป้องกันตับอักเสบ เนื่องจากตับเป็นแหล่งกำเนิดของน้ำย่อยหลายชนิด การที่ curcumin สามารถป้องกันการอักเสบเนื่องจากสารพิษ จึงอาจเป็นการลดอาการแน่นจุดเสียดทางอ้อม

ความเป็นพิษ
ขมิ้นชันจัดเป็นสมุนไพรที่มีความปลอดภัยสูง ถึงแม้จะมีรายงานว่า curcumin เองก็อาจทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารได้ และผงขมิ้นชันทำให้เกิดพิษต่อตับในสัตว์ทดลอง แต่ก็เป็นการให้ในปริมาณที่สูงมาก ดังนั้นหากจะใข้ประโยชน์จากขมิ้นชันในการรักษาโรค แนะนำว่าไม่ควรใช้ในปริมาณที่มากกว่า 500 มก.ต่อครั้งที่รับประทาน

อ้างอิงจากหน่วยข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลับมหิดล

Posted on

กลิ่นตัว ( Body Odor) : กลัวคนรอบข้างรังเกียจสาเหตุจากอะไร การแก้ไขได้อย่างไร ได้ผล

การมีกลิ่นตัว เป็นภาวะที่เจ้าของกลิ่นเอง มักไม่ค่อยรู้สึก เพราะคนที่ได้กลิ่น คือคนรอบข้าง แต่ถ้าไม่สนิทกันจริงๆ ก็คงไม่ค่อยมีใครกล้าบอกความจริงให้เราทราบ ( นิสัยคนไทย) แต่ท่านจะโดนรังเกียจจากสังคมอย่างค่อยเป็นค่อยไป ดังนั้นการทราบถึงปัญหาดังกล่าว ควรขอบคุณแก่คนที่บอกความจริงให้ทราบ ไม่ควรโกรธนะครับ แล้วรีบหาสาเหตุ และแนวทางแก้ไข ด้วยตนเอง

สาเหตุของกลิ่นตัว: เกิดจากสารคัดหลั่งที่มาจาก ต่อมเหงื่อ(Apocrine gland) ที่บริเวณรักแร้ เป็นส่วนใหญ่ ขาหนีบ ซอกนิ้ว แต่ปกติจะไม่มีกลิ่นรุนแรง ยกเว้นจะมีพวกแบคทีเรีย พวก Aerobic bacteroid เจริญเติบโต ทำให้เกิดกลิ่นได้ นอกจากนี้ ไขมันที่เป็นส่วนประกอบของต่อมไขมัน ก็ทำให้เกิดกลิ่นได้เช่นกัน เพราะไขมันในSebum นี้ อาจเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียกรัมบวก บริเวณรักแร้ เกิด Ph เป็นด่าง แล้วทำให้กลิ่นรุนแรงขึ้น

แนวทางการแก้ไข 

  1. อาบน้ำ ด้วยสบู่ที่มีส่วนประกอบของ Triclosan trichocarbon จะช่วยให้กลิ่นตัวลดลงได้
  2. ทาสารที่มีส่วนประกอบของ 20% Aluminium chlorhydrate ซึ่งมีฤทธิ์ในการลดการสร้างเหงื่อ หรือ หยุดยั้งสารคัดหลั่งจากเหงื่อ จะช่วยลดกลิ่นตัวบริเวณรักแร้ได้มาก จากประสบการณ์พบว่า การใช้สารจำพวกนี้ทาบริเวณรักแร้วันละครั้งในสัปดาห์แรก หลังจากนั้นทาสัปดาห์ละครั้ง จะลดกลิ่นตัวได้เกือบ 100 เปอร์เซ็นต์
  3. ใช้ยาแอนตี้เซพติด หรือ Antibiotic อาทิ Gentamycin,Clindamycin เพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
  1. การฉีดสาร botox : สาร Btlulinum toxin นอกจากจะ สามารถยับยั้งการหลั่งสารสื่อประสาท Acethylcholine ทำให้กล้ามเนื้อคล้ายเป็นอัมพาตชั่วคราวแล้ว ยังทำให้ต่อมเหงื่อบริเวณดังกล่าวทำงานได้ช้าลงด้วย เหงื่อจึงลดลง มักได้ผล ในการฉีดสารนี้ที่บริเวณ รักแร้ ฝ่ามือ และฝ่าเท้า ซึ่งสามารถลดปัญหาดังกล่าวได้นาน 6-12 เดือน และต้องมาฉีดซ้ำ แต่ก็เป็นที่นิยมในต่างประเทศ มากกว่าการทำการผ่าตัด เพราะเจ็บน้อยกว่า ไม่ต้องนอนรพ.
  2. การผ่าตัดต่อมเหงื่อทิ้ง มักใช้กรณีที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยการฉีดโบทอกซ์ โดยการผ่าตัดเส้นประสาทบริเวณทรวงอกโดยการส่องกล้อง ที่เรียกว่า endoscpoic thoracic sympathectomy ซึ่งพบว่าเป็นวิธีที่ได้ผล และหายขาด เกือบ 90-97 % แต่ได้ผลดีเฉพาะเหงื่อออกบริเวณรักแร้ มีความปลอดภัยสูง แต่ต้องทำโดยแพทย์ที่เชี่ยวชาญเฉพาะทาง
โบทอกซ์ฉีดลดกลิ่นเตา
Posted on

กลิ่นปาก ( Bad mouth ) อยากแก้ไขให้ดีขึ้น สาเหตุจากอะไร ทำยังไง จึงจะได้ผล

การมีกลิ่นปาก เป็นภาวะกระอักกระอ่วนใจ และสร้างคนไม่มั่นใจ ของทั้งเจ้าของกลิ่นเอง และคนรอบข้าง ดังนั้นการเกิดปัญหาดังกล่าว จึงควรหาสาเหตุ และแนวทางแก้ไข เพื่อตนเอง และคนรอบข้าง นอกจากนี้การแก้ไขที่ถูกต้อง ตรงกับสาเหตุที่เกิด จะทำให้เรา ไม่ตกเป็นเหยื่อของสินค้าประเภทนี้ อาทิ ยาสีฟัน ยาอมบ้วนปาก ยาฉีดสเปรย์ หรือยาอมดับกลิ่น ที่มีการโฆษณากันเป็นจำนวนมาก และยังเสริมบุคลิกภาพที่มั่นใจ หอมสดชื่นทั้งภายนอกและภายใน

สาเหตุของกลิ่นปาก 

  1. พบว่า 85% ของคนไข้ที่มีกลิ่นปาก มาจากช่องปาก (โดยพิสูจน์ง่ายๆ ด้วยการบ้วนปากบ่อยๆ) แล้วทำให้กลิ่นปากลดลงได้ การเกิดการอักเสบ ของช่องปาก ฟันและเหงือก โดยมักมีการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย
  2. ทอนซิล หรือระบบทางเดินหายใจ พบได้ ประมาณ 12 %
  3. ระบบทางเดินอาหาร พบได้น้อย นอกจากจะมีการเรอ หรือ อาเจียน
  4. โรคระบบภายในอื่นๆ พบได้น้อย อาทิ การอักเสบของระบบหายใจ ไต ตับ มะเร็งในช่องปาก หรือเหงือก

คนที่มีกลิ่นปาก บางคนไม่ทราบว่าตนเองมีกลิ่นปาก( อาจเกิดจากความเคยชินอยู่กับกลิ่น) เช่นเดียวกับคนที่ใช้น้ำหอม ใช้ใหม่ๆ จะมีความรู้สึกดีมาก แต่พอชินแล้วก็จะรู้สึกลดลง การพิสูจน์ว่ามีกลิ่นปากรุนแรงหรือไม่ ทำได้โดยการเลียที่ต้นแขน แล้วดมดู หลังจากแห้งแล้ว ถ้ามีกลิ่นแรง ถือว่ามีกลิ่นปากจริง! หรือ การใช้กระดาษลิตมัสที่ทดสอบความเป็นกรดด่าง หากกระดาษเปลี่ยนสีเป็นสีน้ำเงิน แสดงว่าลมปากสะอาดดี แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นสีแดงบ่งบอกว่าปากมีสภาพเป็นกรดมากเกินไป ซึ่งเป็นต้นเหตุจาก แบดทีเรีย

สารที่ทำให้เกิดกลิ่นปาก เกิดจากสารระเหยที่มีส่วนประกอบของกำมะถัน(Velatile sulfur components) เช่น ไฮโดรเจนซัลไฟล์ เมตทิลเมอร์แคบแทน เป็นสารหลักที่ทำให้เกิดกลิ่นปาก ซึ่งสร้างขึ้นจากแบคทีเรีย กลุ่ม Fusobacterium,Treponema,Pophyromonas species ซึ่งสามารถเพาะเชื้อในช่องปากได้

แนวทางการรักษา 

  1. แปรงฟันทุกครั้งที่มีโอกาส เพื่อลดแบคทีเรียในช่องปาก เหงือก ฟันและลิ้น
  2. ทำความสะอาดซอกฟันด้วย ด้ายขัดฟัน อาทิ Dental floss
  3. หมั่นพบทันตแพทย์ ทุก 3-6 เดือน เพื่อขูดหินปูน เช็คสุขภาพฟัน
  4. ตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ เมื่อสงสัยว่ามีกลิ่นปากที่ไม่ได้เกิดจากภายในช่องปาก
  5. บ้วนปากบ่อยๆ และดื่มน้ำมากๆ
  6. เคี้ยวหมากฝรั่งปลอดน้ำตาล เพื่อเพิ่มการไหลเวียนของน้ำลาย ลดการสะสมของแบคทีเรีย
Posted on

พริก (Chilli) : อาหารสมุนไพร ใช้ปรุงอาหาร กับสรรพคุณทางยามากมาย ที่นำมาใช้ในการรักษาโรค

พริก เป็นอาหารสมุนไพรที่ใช้กับทุกครัวเรือน ที่เรานิยมนำมาปรุงอาหาร และพบได้บ่อย เช่น พริกขี้หนู พริกชี้ฟ้า และพริกหยวก ท่านทราบหรือไม่ว่าพริกนั้นมีคุณค่าทางอาหารและคุณค่าทางยาที่วิเศษชนิดหนึ่ง เพราะในไส้พริกจะมีสาร Capsaicin ซึ่งเป็นสารที่มีรสเผ็ด และสาร Carotenoid วิตามินเอ วิตามินซี ไขมัน และโปรตีน

สรรพคุณทางยาของพริก มีดังนี้ 

  1. พริกช่วยขับเสมหะ ทำให้ทางเดินหายใจโล่ง โดยสาร Capsaicin จะช่วยลดความไวของปอดต่อการเกิดอาการต่างๆ เช่น การบวมของเซลล์หลอดลม ลดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อบริเวณหลอดลม ดังนั้นในผู้ป่วยหอบหืดจึงมีประโยชน์ เพราะจะ สังเกตว่า เมื่อเรารับประทานพริกเผ็ดๆ น้ำตา น้ำมูกจะไหล จึงทำให้เสมหะเหนียวข้น เจือจางลง และทำให้ขับเสมหะออกมาได้ง่าย
  2. พริกช่วยสลายลิ่มเลือด ลดการเกิดการอุดตันของเส้นเลือด อันเป็นสาเหตุของเส้นเลือดหัวใจตีบได้ โดยได้มีรายงานวิจัย จากคณะแพทย์ ศีริราช ( นพ.สุคนธ์ วิสุทธิพันธ์และคณะ) ยืนยันว่า คนที่ได้รับพริกจะมีการทำงานของร่างกายเพื่อสลายลิ่มเลือดได้ดีและไวกว่าคนที่ไม่ได้รับพริก นอกจากนี้ยังมีรายงานของนักวิทยาศาสตร์ชาวอินเดีย พบว่าคนเอเซียที่รับประทานพริกเป็นประจำ มีโอกาสเกิดปัญหาการอุดตันของเส้นเลือด และ มีปริมาณ Fibrinogen ในเลือดต่ำกว่าคนทางยุโรปที่ไม่ค่อยได้ทานพริก
  3. พริกช่วยลดอาการปวด โดยพบว่าสาร Capsaicinจะออกฤทธิ์ที่เซลล์ประสาท โดยไปชะลอการหลั่งของสารสื่อประสาท ( Neurotransmitter) ที่ปลายประสาท Substance P ที่เกี่ยวข้องกับสมองที่รับรู้การเจ็บปวด
  4. พริกช่วยกระตุ้นสมองส่วนกลางให้หลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน ซึ่งเป็นสารสร้างความสุข ทำให้เกิดการผ่อนคลาย ทำให้อยากหลับ และช่วยให้ความดันโลหิตลดลง
  5. พริกช่วยกระตุ้นให้อยากอาหาร เนื่องจากเมื่อรับประทานพริก ต่อมน้ำลายจะทำงานมากขึ้น และไปกระตุ้นปลายประสาทให้สมองส่วนกลางรับรู้การอยากอาหาร
  6. พริกช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งได้ เนื่องจากในพริกประกอบด้วยวิตามินเอ วิตามินซี ซึ่งเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ

ดังนั้นจึงเห็นได้ว่า ในคนที่ชอบรับประทานอาหารรสจัด จึงไม่ค่อยจะมีปัญหาทางระบบทางเดินหายใจมากนัก แต่แม้ว่าพริกจะมีสรรพคุณดังกล่าว ก็แนะนำให้รับประทานอย่างระมัดระวัง เพราะรสเผ็ดในพริก อาจจะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อกระเพาะอาหารได้ ทำให้เกิดบาดแผลในระบบทางเดิน อาหารได้ภายหลัง ดังนั้นไม่ควรรับประทานพริกสดๆ หรือรับประทานตอนท้องว่าง

Posted on

ถ้าลูกแพ้นม ไม่อยากดื่มนม มีอะไรทดแทนได้มั้ย ที่จะทำให้กระดูกเจริญเติบโตและแข็งแรงดี

ก่อนหน้านี้ เราเคยทราบว่าการส่งเสริมให้เด็กๆ ดื่มนมหรือรับประทานผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ทำจากนมทุกวัน จะทำให้กระดูกแข็งแรง ไม่เปราะหักง่าย และยังป้องกันโรคกระดูกพรุนในวัยผู้ใหญ่
แต่ทว่าผลการวิจัยล่าสุดในสหรัฐฯกลับบ่งชี้ว่า การออกกำลังกายและการรับประทานอาหารที่อุดมด้วยแคลเซียมชนิดอื่นๆ ก็ได้ผลเท่าเทียมหรือดีกว่าด้วยซ้ำ

ได้มีผลการศึกษาของคณะนักวิจัยแห่งองค์การคณะกรรมการแพทย์ในกรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา และลงตีพิมพ์ในวารสารกุมารแพทย์ของสหรัฐฯฉบับล่าสุด ระบุว่า การรับประทานอาหารซึ่งมีสารแคลเซียมชนิดร่างกายดูดซึมได้อย่างต่ำวันละ 400 มิลลิกรัม หรือเท่ากับนมวัว 1 แก้วนั้น ไม่จำเป็นต้องดื่มนมหรือกินผลิตภัณฑ์จากนมก็ได้ แต่สามารถดื่มหรือกินอย่างอื่นแทน อาทิ น้ำส้มที่ไม่ทิ้งกาก 1 แก้ว, กระหล่ำปลีหรือหัวผักกาดเขียวปรุงสุก 1 ถ้วย, ข้าวโอ๊ตชงดื่มได้ทันที 2 ซอง, เต้าหู้ เศษ2ส่วน3 ถ้วย, ผักบร็อกโคลี 1เศษ2ส่วน3 ถ้วย

นอกจากนั้น การศึกษานี้ซึ่งเป็นการตรวจสอบทบทวนงานวิจัยที่มีผู้ทำไว้ก่อนจำนวน 37 ชิ้น ยังพบว่าการออกกำลังกายน่าจะสำคัญยิ่งกว่าการรับสารแคลเซียมเข้าร่างกายด้วยซ้ำ ในการทำให้กระดูกมีการเจริญเติบโตอย่างแข็งแรง

Posted on

ผักตำลึง : พืชสวนครัวที่ไม่ใช่แค่อร่อย แต่ช่วยลดความเสี่ยงในหลายๆ โรคได้ อย่างคาดไม่ถึง

ตำลึง ซึ่งมีลักษณะเป็นเถาไม้เลื้อย มีมือจับเกาะยึดต้นไม้อื่นๆ มีดอกสีขาว มีผลเป็นรูปยาวรีคล้ายแตงกวา มีใบเป็นรูปทรงคล้ายหัวใจ เวลาเอาใบและยอดอ่อนๆ มาแกงจืดกับหมูสับแล้วละก็… อร่อยอย่าบอกใคร

ไม่ใช่แค่อร่อยอย่างเดียว แต่ตำลึงยังมีประโยชน์อีกมาก มีทั้งสารเบต้าแคโรทีนที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง ลดน้ำตาลในเลือด และหัวใจขาดเลือด มีแคลเซียมช่วยบำรุงกระดูกและฟัน มีฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก ไนอาซิน และวิตามินซี ลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียด

สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดลพบว่า หากใครกินตำลึงบ่อยๆ เส้นใยอาหารในตำลึงก็สามารถช่วยลดอัตราเสี่ยง ในการเกิดโรคมะเร็งในกระเพาะอาหารได้อีกด้วย
นอกจากนั้นตามตำราแพทย์แผนโบราณ ตำลึงถือเป็นยาเย็น ใบช่วยขับพิษ และถอนพิษไข้ แก้อาการแพ้ อักเสบ แมลงมีพิษกัดต่อย แก้แสบคัน โดยใช้ใบตำลึงสดๆ ประมาณ 1 กำมือมาล้างให้สะอาด แล้วตำให้ละเอียด ผสมน้ำเล็กน้อย นำมาทาบริเวณที่มีอาการคันก็จะหายได้
ตำลึงเป็นผักที่พบได้ง่าย แถมปลูกก็ยังง่าย เพียงแค่เอาเมล็ดจากผลที่สุกจัดๆ มาเพาะ หรือเอาเถาแก่ยาวประมาณ 6-8 นิ้ว มาปักลงในดินผสมปุ๋ย หมั่นรดน้ำบ่อยๆ และหาไม้มาทำหลักให้ตำลึงเลื้อยเมื่อเถาเริ่มงอก ปลูกเอาเองไม่ต้องซื้อของใคร แค่นี้ก็ได้ต้นตำลึงเอาไว้กินแกงจืดกันได้ทุกมื้อ และถ้ายิ่งเด็ด ยอดตำลึงก็จะยิ่งขึ้นงาม เพราะฉะนั้นจะลองเปลี่ยนเมนูเป็นแกงเลียง ต้มเลือดหมู หรือจะนึ่งจิ้มน้ำพริกก็กินกันได้ไม่มีเบื่อ

Posted on

หวัด น้ำมูกไหล รำคาญยังไง ก็ไม่ควรสั่งน้ำมูกแรงๆ ! เพราะอาจจะทำให้เกิดไซนัสอักเสบ

เมื่อเวลาเป็นหวัด น้ำมูกไหล ย่อมก่อให้เกิดความรำคาญเป็นอย่างมาก และเสียบุคลิกภาพ ดังนั้นหลายคนจึงต้องสั่งน้ำมูกทิ้งเสีย แต่ในบางคนเกิดอาการคัดจมูก หายใจไม่สะดวก จึงคิดว่าน้ำมูกมีมาก จึงต้องสั่งแรงๆ ทราบหรือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

Jack Gwaltney and Birgit Winther แห่งมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียในสหรัฐอเมริกา ได้นำอาสาสมัครที่เป็นหวัด มาตรวจวัดความดันอากาศปากโพรงไซนัส โดยใช้ CT scan ร่วมกับเครื่องวัดความดันบรรยากาศที่สอดเข้าไปใจโพรงจมูก แล้วสั่งให้อาสาสมัครสั่งน้ำมูกแรงๆ พบว่าแต่ละครั้งที่สั่งน้ำมูก ความดันอากาศที่วัดได้จะสูงขึ้นมาก จนสามารถทำให้น้ำมูกกระเด็นเข้าไปในโพรงไซนัสได้หลายมิลลิเมตร ซึ่งเมื่อเกิดปัญหาไซนัสอักเสบ การรักษาจะยิ่งยุ่งยาก และอาจจะใช้เวลานานกว่าจะหายขาดได้

ดังนั้น ไม่ควรสั่งน้ำมูก เวลาเป็นหวัด เพราะยิ่งสั่งน้ำมูก จะทำให้เชื้อไวรัสหวัด กระจายเข้าไปในโพรงไซนัสได้ง่าย และอาจเกิดไซนัสอักเสบภายหลัง และยังทำให้เชื้อแพร่กระจายไปยังคนข้างเคียงด้วย

นอกจากนี้ ในกรณีที่เป็นหวัด น้ำมูกไหลไม่มาก ไม่แนะนำให้รับประทานยาลดน้ำมูก เพราะนอกจากทำให้ง่วงนอนได้แล้ว ยังทำให้เสมหะเหนียว และกระตุ้นการไอด้วย

Posted on

กระเจี๊ยบแดง (Roselle) : สมุนไพรไทย ในรูปแบบเครื่องดื่ม อาหาร พร้อมสรรพคุณทางยารักษาโรค

กระเจี๊ยบแดง เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่คนไทย โดยได้นำมาทำน้ำดื่มเนื่องจากมีรสเปรี้ยว สีสวย และมีวิตามินซีสูง และประกอบด้วย สารแอนโทไซยานิน (Anthocyanin)
สารแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) เป็นสารสีแดงในกลุ่มเดียวกับที่พบในผลไม้อย่างบลูเบอร์รี แต่กระเจี๊ยบแดงจะมีสารชนิดนี้มากกว่าบลูเบอร์รีถึง 50% โดยมีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง ช่วยชะลอความแก่ ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ช่วยป้องกันหวัด และช่วยให้เส้นเลือดอ่อนนิ่มได้

สำหรับยาไทย ได้นำผลกระเจี๊ยบ( หรือที่เรียกว่าดอกกระเจี๊ยบ) มาชงเป็นชาดื่มเพื่อขับปัสสาวะ หรือรักษานิ่ว

นายแพทย์วีระสิงห์ เมืองมั่น แห่งโรงพยาบาลรามาธิบดี ได้เคยนำมาทดลองใช้ในผู้ป่วย โดยได้นำผลกระเจี๊ยบแห้ง 3 กลีบ ชงในน้ำเดือด 1 ถ้วย หรือ น้ำร้อน 300 มล. แล้วให้ดื่มวันละ 3 แก้ว พบว่าขับปัสสาวะได้ดี

นอกจากนี้ได้มีการทดลองพบว่า ผู้ป่วยหลังผ่าตัดนิ่ว ดื่มน้ำกระเจี๊ยบ พบว่าผู้ป่วย 20 ราย ปัสสาวะใสขึ้น และเป็นกรด ซึ่งได้ผลดีในการรักษานิ่วหลังผ่าตัด และอีกการทดลอง พบว่าได้ผลในการรักษาผู้ป่วย ที่ติดเชื่อในระบบปัสสาวะ ถึงร้อยละ 80 ( จากคนป่วยที่ร่วมการทดลอง 50 ราย)

จากประโยชน์ดังกล่าว การที่มีโอกาสได้ดื่มน้ำกระเจี๊ยบเป็นประจำ จึงช่วยในการขับถ่ายปัสสาวะ และป้องกันการติดเชื้อ และโรคนิ่วได้อีกทางหนึ่งทีเดียว

Posted on

เครื่องวัดสายตาด้วยคอมพิวเตอร์ เชื่อถือได้หรือไม่ อย่างไร ปัจจัยไหนที่ทำให้อ่านผลผิดพลาดได้

มื่อ 20-30 ปีก่อน ถ้าพูดถึงเครื่องวัดสายตาอัตโนมัติ (Autorefractometer) ทุกคนจะมีความรู้สึกว่า ค่าที่ได้จากการวัดมักจะไม่ เที่ยงตรงสู้การวัดด้วยคนและสวมแว่นลองดูไม่ได้ อีกครั้งเครื่องมีราคาแพง จึงไม่ค่อยจะเป็นที่นิยม

แต่ในปัจจุบัน เครื่องวัดชนิดนี้มีการปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ความแม่นยำมากขึ้น สะดวกและรวดเร็วขึ้น แพทย์สามารถ นำเอาค่าที่วัดได้ไปปรับใช้กับผู้ป่วยทางสายได้ค่อนข้างแม่นยำ

หลักการทำงานของเครื่องวัดสายตาอัตโนมัติ คือ การที่เครื่องวัดจะกรองเอาแต่แสงอินฟราเรดผ่านเข้าเครื่องแล้วประมวลผลออกมา เป็นค่าสายตาที่ผิดปกติของผู้รับการตรวจ แต่ก็มีข้อจำกัดของการวัดด้วยเครื่องนี้ คือ การเพ่งมองของผู้รับการตรวจมากเกินไป อาจจะ ทำให้ค่าสายตาที่วัดได้ เป็นภาวะสั้นกว่าความเป็นจริง ซึ่งพบเห็นได้บ่อยๆ ในเด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี ดังนั้นในบางครั้ง เด็กที่มาทำการวัด สายตาด้วยจักษุแพทย์ จึงมักจำเป็นต้องหยอดยาคลายการเพ่งของตาก่อน รับการตรวจด้วยเครื่อง

ปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้การวัดด้วยเครื่องวัดสายตาด้วยคอมพิวเตอร์ ผิดพลาด อาจจะได้ในกรณีอื่นๆ อีก ดังนี้

  1. มีสายตาสั้นหรือยาวมากกว่าปกติ คือ อาจจะมากกว่า -25 D หรือ +25 D
  2. มีสายตาเอียงเกิน +/- 6 D
  3. ผู้รับการตรวจไม่มองภาพที่จอภาพนิ่งๆ มีการกลอกลูกตาไปมา
  4. ผู้รับการตรวจมีโรคทางตาอื่นๆ เช่น ภาวะต้อกระจก แผลเป็นที่กระจกตา หรือโรคจอประสาทตาลอก เป็นต้น

จากปัจจัยต่างๆ ข้างต้น จึงพบว่าการตรวจวัดสายตาที่ถูกต้องและแก้ไขภาวะสายตาผิดปกติ ควรจะรับการตรวจจากจักษุแพทย์ หรือ ผู้ที่เชี่ยวชาญผ่านการอบรมมาโดยเฉพาะ เพราะจะทำให้แยกโรคหรือภาวะบางอย่างที่อาจจะเกี่ยวข้องได้ดีกว่า การตรวจวัดตามร้าน จำหน่ายแว่นตาทั่วๆ ไป


อ้างอิงจากบทความของ นพ. ศักดิ์ชัย วงศ์กิตติรักษ์ จักษุแพทย์ประจำศูนย์ตาธรรมศาสตร์ ตีพิมพ์ในวารสารคลินิก ประจำเดือนธันวาคม 2547

Posted on

การตั้งครรภ์: การเปลี่ยนแปลงภายนอก ที่สังเกตได้มีอะไรบ้าง ต้องป้องกันและแก้ไขอย่างไร

การตั้งครรภ์ของสตรีเพศ มีการเปลี่ยนแปลงภายนอกและภายในร่างกายหลายต่อหลายอย่าง ไม่ว่าการที่มีชีวิตใหม่เกิดขึ้นในร่างกาย น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น รูปร่างที่เปลี่ยนแปลง ฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง สิ่งหนึ่งจากภายนอกที่มีการเปลี่ยนแปลงคือ ความผิดปกติของผิวหนัง เล็บ และเส้นผม
การเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาของผิวหนังในระหว่างตั้งครรภ์ 
1. การเปลี่ยนแปลงของเม็ดสี
1.1 มีผิวสีเข้มขึ้น – พบได้ถึงร้อยละ 90 ของสตรีมีครรภ์ เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเอสโตรเจน และโปรเจสเตอโรน และฮอร์โมนจากรังไข่ รก และต่อมใต้สมองสูงขึ้น
บริเวณที่พบบ่อยได้แก่ บริเวณรอบหัวนม เส้นกลางท้อง( linea nigra) รักแร้ อวัยวะเพศ รอบทวารหนัก อาจพบกระ ไฝ และแผลเป็นสีดำคล้ำได้ เริ่มพบได้ตั้งแต่ 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ แล้วคล้ำไปเรื่อยๆ จนหลังคลอดค่อยจางลง แต่บริเวณหัวนมและเส้นกลางท้องอาจคงอยู่ตลอดไป โดยเฉพาะในคนผิวสีคล้ำ
1.2 ฝ้า- พบได้ถึงร้อยละ 50-75 ของสตรีมีครรภ์ และพบได้ถึง 1 ใน 3 ของสตรีที่รับประทานยาคุมกำเนิดก่อนการตั้งครรภ์
ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงแสงแดด การใช้ครีมกันแดด SPF>30 หรือหลีกเลี่ยงการใช้ยาคุมกำเนิดก่อนการตั้งครรภ์ โอกาสเกิดฝ้าได้มักพบ ใน3 เดือนสุดท้ายก่อนคลอด หลังคลอดฝ้าอาจจางหายได้ หรือถ้าไม่หายอาจต้องทำการรักษา
2. การเปลี่ยนแปลงของหลอดเลือด – เชื่อว่าเกิดจากระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน การหมุนเวียนของเลือดและปริมาณเลือดที่มีเพิ่มขึ้นขณะตั้งครรภ์
2.1 จุดแดงและมีแขนงแยกออกของเส้นเลือดฝอยคล้ายใยแมงมุม( Spider nevi) พบได้บ่อยในคนผิวขาวถึงร้อยละ 60 แต่ในคนผิวดำ พบได้ร้อยละ 10 มักพบบริเวณ ลำคอ รอบตาและแขน มักเกิดในระยะการตั้งครรภ์ในเดือนที่ 2-5 และจางหายได้เองภายในสัปดาห์แรกหลังคลอด ไม่จำเป็นต้องรักษา
2.2 ฝ่ามือแดง อาจพบได้ เป็น 2 ลักษณะ คือ แดงที่ขอบเขตชัดเจน หรือ แดงเป็นหย่อมๆ ทั่วฝ่ามือซึ่งพบได้บ่อยกว่า ถึงร้อยละ 60 ในคนผิวฃาว และร้อยละ 35 ในคนผิวดำ มักหายได้เองหลังคลอด
2.3 เส้นเลือดโป่งพอง อาจพบโอกาสเกิดริดสีดวรทวาร หรือเส้นเลือดขอดที่ขาได้ พบได้ตั้งแต่ตั้งครรภ์ใน 3 เดือนแรก เนื่องจากช่องท้องน้อยมีความดันเพิ่มขึ้นจากมดลูกขยายตัว ทำให้การไหลเวียนโลหิตของเลือดดำเข้าสู่หัวใจช้าลง ดังนั้นควรแนะนำให้นอนยกขาสูง หรือนอนหัวต่ำ พันขาด้วยผ้ายืด ใส่เสื้อผ้ารัดรูป เพื่อป้องกันการเป็นมากขึ้น
2.4 เหงือกบวมและแดงได้ง่าย
2.5 ช่องคลอดมีเลือดคั่งและหลอดเลือดขยายตัวได้
2.6 อาจมีอาการตาบวม หน้า ขาบวม แบบกดไม่บุ๋ม
2.7 หน้าซีด หน้าแดง รู้สึกร้อนสลับหนาวได้ เมื่ออากาศเปลี่ยนแปลง

3. การเปลี่ยนแปลงของเส้นผมและขน
3.1 ผมร่วงหลังคลอด เกิดได้ประมาณ อาทิตย์ที่4-20 หลังคลอด อาจเกิดจากระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง หรือเครียดขณะตั้งครรภ์ แต่จะหยุดร่วงและผมงอกมาใหม่ภายใน 6-15 เดือน
3.2 ภาวะขนดก ระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง อาจทำให้มารดา มีขนดกคล้ายผู้ชายได้ พบขนดกได้ที่ใบหน้า แขน ขา หลัง หรืออวัยวะเพศ หลังคลอดแล้วภาวะขนดำมักหายได้เอง ภายใน6 เดือน
4. การเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน
4.1 ภาวะท้องลาย( Striae gravidarum ) เกิดจากการขยายตัวของผิวหนังอย่างรวดเร็ว จนเกิดจากฉีกขาดของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ในคนผิวขาว และมีประวัติครอบครัวเคยที่ภาวะท้องลาย จะทำให้เป็นได้ง่าย อาจพบอาการคันร่วมด้วย ปัจจุบันมีครีมทาป้องกันและรักษา แต่ได้ผลไม่ดีเท่าที่ควร
4.2 ติ่งเนื้อ (seborheic keratosis)เกิดได้บริเวณ ใบหน้า ลำคอ อกช่วงบน และใต้ราวนม มักหายได้เองหลังคลอด ไม่มีอันตราย อาจผ่าตัด หรือจี้ออกได้ ถ้ารำคาญ
5. เล็บมีอาการเปราะหักง่าย อาจพบร่องตามแนวขวางของเล็บ เล็บเผยอได้ง่าย ควรแนะนำให้ตัดเล็บให้สั้น
6. การเปลี่ยนแปลงของต่อมเหงื่อ อาจทำให้เหงื่อออกได้ง่าย ขี้ร้อน มีผดผื่นได้บ่อยๆ
7.รอยหัวนมอาจขยายขึ้น และมีสีน้ำตาลคล้ำ จากการเปลี่ยนแปลงของต่อมไขมัน Sebaceous ในระหว่างตั้งครรภ์ และจะยุบจางลงหลังคลอด

จากที่กล่าวมานี้ เป็นภาวะการเปลี่ยนแปลงที่เป็นปกติของสตรีมีครรภ์ ดังนั้นการได้รับรู้เบื้องต้น ถึงการเปลี่ยนแปลงทางผิวหนังที่อาจเกิดได้ และจะหายได้เอง คงทำให้ว่าที่คุณแม่หลายท่าน สบายใจขึ้นบ้างนะครับ