Posted on

ธนาคารอสุจิ : ธนาคารสำรองสเปริ์ม เพื่อการแพทย์ และความหวังของผู้มีบุตรยาก

ธนาคารอสุจิ ได้แก่ การนำอสุจิมาเก็บแช่แข็งเอาไว้ เพื่อนำกลับมาใช้ในภายหลัง ซึ่งการแช่แข็งน้ำอสุจิมีมานานร่วม 50 ปีแล้ว แต่ในปัจจุบันได้มีการรับบริจาคน้ำอสุจิเพื่อนำมาเก็บไว้ใช้ประโยชน์ในการผสมเทียมในโอกาสต่อไป แต่ทั้งนี้ก็ต้องเช็คเลือดผู้บริจาคว่าปราศจากเชื้อเอดส์ หรือโรคที่ติดต่อได้ทางเพศสัมพันธุ์เสียก่อน

วัตถุประสงค์ของการแช่แข็งอสุจิไว้ในธนาคารอสุจิ

  1. สำหรับผู้ที่ต้องการเก็บน้ำอสุจิไว้ก่อนรับการผ่าตัด หรือรังสีรักษา หรือต้องได้รับยารักษามะเร็ง ซึ่งอาจจะทำให้เกิดเป็นหมันตามมาได้
  2. สำหรับการรักษาภาวะมีบุตรยาก โดยฝ่ายสามีต้องเดินทางบ่อยๆ ทำให้ไม่อาจอยู่ร่วมกับภรรยาในช่วงตกไข่ได้ หรือในรายที่ในอัณฑะมีตัวอสุจิแต่ไม่ออกมาในน้ำอสุจิ
  3. แช่แข็งอสุจิจากผู้บริจาค เพื่อใช้ในการผสมเทียมให้คู่สมรสที่สามีเป็นหมัน

วิธีการแช่แข็งน้ำอสุจิ

  1. ให้ผู้ที่จะแช่แข็งอสุจิ เก็บน้ำอสุจิด้วยการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง แล้วนำมาใส่ในขวดปากกว้างที่ปราศจากเชื้อ
  2. นำน้ำอสุจิไปวิเคราะห์ (semen analysis) โดยควรมีตัวอสุจิไม่ต่ำกว่า 40 ล้านตัว/ซีซี และมีอัตราการเคลื่อนไหวมากกว่าร้อยละ 60 และต้องมีรูปร่างของอสุจิปกติมากกว่าร้อยละ 30 เนื่องจากในเวลาใช้จริง จะมีบางส่วนตายไปประมาณร้อยละ 30-40
  3. หลังจากนั้น อสุจิจะต้องใส่สารละลาย ( เช่น glycerol,sodium citrate,glucosr,fructose,ไข่แดง) ผสมกับน้ำอสุจิ แล้วนำใส่หลอดพลาสติกเล็กๆ แล้วนำไปแขวนไว้ที่ระดับ 15 ซม.เหนือไนโตรเจนเหลวซึ่งมีอุณหภูมิ -196 องศาเซลเซียส ซึ่งสามารถเก็บไว้เป็นเวลานานหลายปี

การผสมเทียมด้วยอสุจิบริจาค: กรณีที่นำอสุจิแช่แข็งในธนาคารอสุจินำไปใช้กับภริยาของตนเอง ไม่มีปัญหาใดๆ หรือข้อบ่งชี้ที่ต้องคำนึงถึงมากนัก แต่กรณีที่ต้องการผสมเทียมกับอสุจิผู้บริจาคต้องมีข้อบ่งชี้ดังนี้

  1. สามีเป็นหมัน คือ ไม่มีอสุจิออกมาในน้ำเชื้ออสุจิ หรือน้ำเชื้ออสุจิผิดปกติมาก
  2. สามีเป็นโรคทางพันธุกรรมที่ถ่ายทอดถึงลูกได้ เช่น โรคเลือด Hemophilia
  3. สามีไม่สามารถหลั่งน้ำอสุจิได้
  4. หญิงโสดที่ต้องการมีบุตร (แต่ในเมืองไทยยังมีปัญหากันอยู่ในเรื่องผลกระทบต่อเด็กในอนาคต)

การประเมินคู่สมรสที่จะรับบริจาคอสุจิแช่แข็งของผู้บริจาค

  1. สามีภรรยา จะต้องพูดคุยกันและประเมินสภาพจิตใจในการยอมรับ
  2. ซักประวัติ ตรวจร่างกายของภรรยา พร้อมทั้งการตรวจภายใน ให้แน่ใจว่าไม่มีความผิดปกติใดๆ
  3. ตรวจเลือดเพื่อดูโรคติดเชื้อ เช่น ซิฟิลิส เอดส์ ไวรัสตับอักเสบบี
การแช่แข็งอสุจิ
คู่สมรสที่มีบุตรยาก
ผู้บริจาคอสุจิ
การผสมเทียมด้วยอสุจิบริจาค

การประเมินผู้บริจาคอสุจิ ( ในโรงเรียนแพทย์มักจะขอจากนักศึกษาแพทย์ ซึ่งมักมีสติปัญญาดี ) ดังนี้

  1. ต้องมีสุขภาพแข็งแรง น้ำเชื้อมีคุณภาพดี
  2. อายุไม่ควรเกิน 40 ปี
  3. ไม่มีโรคทางพันธุกรรม หรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น เอดส์ หนองใน ซิฟิลิส ไวรัสตับอักเสบบี
  4. มีลักษณะใกล้เคียงกับสามีผู้บริจาค เช่น รูปร่าง ส่วนสูง สีผิว สีผม เชื้อชาติ และกรุ๊บเลือด

วิธีการผสมเทียมด้วยอสุจิบริจาค

  1. คาดคะเนวันตกไข่ของฝ่ายภริยา โดยใกล้วันตกไข่ จะนัดมาตรวจวัดขนาดถุงไข่ด้วยอัตราซาวด์ หรือแนะนำให้ตรวจฮอรโมนเกี่ยวกับการตกไข่(LH) หรือวัดปรอทอุณหภูมิพื้นฐาน
  2. เมื่อถึงวันตกไข่ นำน้ำอสุจิที่บริจาค ออกมาทำให้เหลวในอุณหภูมิห้อง แล้วฉีดเข้าไปในบริเวณที่ปากมดลูกและช่องคลอดส่วนบน หรือฉีดเข้าโพรงมดลูกโดยตรง

ผลของการตั้งครรภ์ เกิดได้ในอัตรา ร้อยละ 10 ต่อการผสมเทียม 1 ครั้งและอัตราการตั้งครรภ์สะสมจะเพิ่มขึ้นตามจำนวนครั้งที่ฉีด ซึ่งพบว่าความสำเร็จจะเกิดประมาณร้อยละ 60-80 ในการฉีดไป 12 รอบเดือน หรือ 1 ปี ซึ่งต่อมาได้มีการประเมินบุตรที่คลอดออกมา พบว่าการพัฒนาการทั้งร่างกายและจิตใจไม่แตกต่างจากการตั้งครรภ์โดยธรรมชาติ และมีอัตราหย่าร้างน้อยกว่าการหย่าร้างโดยทั่วไป

ข้อควรคำนึงในการใช้อสุจิบริจาคในประเทศไทย 

  1. ไม่สมควรให้มีการซื้อขายในเชิงพาณิชย์ ( ตามกฏเกณฑ์แพทยสภา)
  2. ไม่ควรให้รู้กันระหว่างผู้บริจาคและผู้รับบริจาค เพื่อป้องกันการทวงสิทธิภายหลัง
  3. ไม่สมควรให้เด็กที่เกิดมาทราบหรือรู้จักกับเจ้าของอสุจิบริจาค
  4. คู่สมรสไม่ควรบอกใครว่าตั้งครรภ์จากอสุจิบริจาค
  5. ผู้บริจาคอสุจิ ไม่ควรใช้การบริจาคซ้ำเกิน 25 ครั้ง เพื่อป้องกันการสมรสกันในสายเลือดใกล้ชิดกันในอนาคต

ดังนั้น ธนาคารอสุจิส่วนใหญ่ในประเทศไทย มักจะเป็นการแช่แข็งอสุจิจากผู้บริจาค เพื่อนำไปใช้บริการคู่สมรสที่มีบุตรยาก ซึ่งฝ่ายสามีเป็นหมัน และเมื่อเป็นการบริจาคเซลล์สืบพันธ์ จึงต้องคำนึงถึงจริยธรรมหลายประการดังกล่าวข้างต้น

Posted on

Brow Lifting : 4 เทคนิค ยกคิ้ว ยกหางตา ปรับลุคใหม่ให้ดู สดใส เยาว์วัย

เทคนิคการยกคิ้วมีกี่แบบ

 แนวรูปคิ้ว บ่งบอกถึงอารมณ์ โครงหน้า และก่อให้ความสวยงามแก่ใบหน้า รูปคิ้วที่แตกต่างกัน ย่อมทำให้เกิดรูปลักษณ์ที่แตกต่างกันได้ การปรับเปลี่ยนแนวรูปคิ้ว ก็เพื่อปรับเปลี่ยนลุคให้ดูต่างจากเดิม หรืออาจจะช่วยทำให้เยาววัยขึ้น
ในคนที่อายุมากขึึ้น อาจจะมีหางคิ้วตก หางตาตก ทำให้ตาสองชั้น เริ่มดูไม่ชัดเจน ดังนั้นการปรับแนวรูปคิ้ว การยกคิ้ว จึงเป็นความต้องการของคนไข้อีกอย่างหนึ่งที่มาพบได้บ่อยๆ จึงจะจำแนกการปรับเปลี่ยนแนวรูปคิ้ว วิธีต่างๆ ดังนี้ 

1. Botox : เปลี่ยนแนวรูปคิ้ว โดยหลักการที่ว่าโบทอกซ์ทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว อ่อนแรงลง เลยทำให้กล้ามเนื้อในส่วนที่ใกล้เคียงทำงานได้เด่นกว่า จึงเกิดการดึงรั้งให้รูปคิ้วเปลี่ยนแปลงได้ ส่วนใหญ่คนที่นิยมฉีดโบทอกซ์ปรับแนวคิ้ว ก็เพื่อยกคิ้วให้สูงโก่ง จากหางคิ้วตก เพื่อฉีดแล้ว จะทำให้รูปคิ้ว ได้รูปสวยตามต้องการ และยังทำให้ดวงตากลม และยังช่วยยกหนังตาบนตกได้ด้วย
แพทยที่ทำจะต้องมีความรู้เรื่องกล้ามเนื้อที่ทำงานรอบดวงตา และแนวคิ้วเป็นอย่างดี จึงจะทำให้มีการปรับเปลี่ยนแนวรูปคิ้ว แต่อาจจะได้ผลในระดับหนึ่ง และ อยู่ได้ประมาณ 4-6 เดือน
2. Fillers: ฟิลเลอร์เริ่มมีบทบาทในการปรับแนวรูปคิ้ว โดยเป็นทางเลือกอีกแนวทางหนึ่ง เพราะได้ผลแน่นอนกว่า และอาจจะปรับแต่งเสริมให้ได้รูปแบบแนวคิ้วที่ต้องการได้แม่นยำกว่าการฉีดโบทอกซ์ โดยเฉพาะคนที่มีปัญหาหางคิ้วตก หางตาตก จากการหย่อนคล้อย การฉีดฟิลเลอร์เข้าไปใต้ผิวหนังชั้นลึก จะช่วยค้ำยันให้แนวคิ้วยกขึ้นได้ตามต้องการ
ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ปรับแนวรูปคิ้ว คือจะยังสามารถเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อได้ จึงดูธรรมชาติกว่าการฉีดโบทอกซ์ และเห็นผลทันทีหลังทำ  อยู่ในนานกว่าประมาณ 8-12 เดือน

3. Ulthera : เป็นทางเลือก ที่สามารถมาปรับเปลี่ยนแนวรูปคิ้ว เพราะสามารถลงลึกสุดกว่าการยกคิ้วแบบอื่นๆ สามารถลงลึกถึงชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นที่สำคัญสำหรับปกป้องการหย่อนคล้อยของใบหน้า จะใช้ในคนที่มีปัญหาหางคิ้วตก หางตาตก จากการหย่อนคล้อย เมื่ออายุมากขึ้น  
ข้อดีของการปรับแนวรูปคิ้วด้วย Ulthera  คือจะยังสามารถเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อได้ จึงดูธรรมชาติกว่าการฉีดโบทอกซ์ และถือเป็นการยกคิ้วกึ่งถาวร เพราะอยู่ได้นานสุด ถึง 18 เดือน แต่ก็มีข้อเสียคือ คาดหวังผลได้ยาก แม้จะเห็นได้ชัดเจนทันทีหลังทำ แต่ก็ต้องรอดูผลที่ชัดเจนอีกประมาณ 3-4 อาทิตย์   และก็มีค่าใช้จ่ายมากกว่า และเจ็บมากกว่าการฉีดโบทอกซ์ หรือฟิลเลอร์
4. ร้อยไหม : การร้อยไหมยกคิ้ว จัดเป็นอีกทางเลือกเช่นกัน โดยใช้ไหมละลาย ชนิด PDO แบบไม่มีเงี่ยง หรือแบบมีเงี่ยง ในการยกปรับแนวคิ้ว
วิธีนี้ถือว่าเป็นทีนิยม เพราะราคาไม่แพง ไม่ต้องพักฟื้น และปรับแต่งแนวคิ้วในการต้องการตามทิศทางไหมที่ดึงรั้ง ตามต้องการ แต่การหวังผลก็ได้ระดับหนึ่ง และอยู่ได้ 6-12 เดือน

Posted on

อัลฟัลฟา (Alfalfa) : บทบาทในการกระตุ้นให้มีความอยากอาหาร แก้ไขความผิดปกติของลำไส้

อัลฟัลฟา (Alfalfa) เป็นพืชล้มลุก ตระกูลถั่ว มีรากหยั่งลึกลงในดินยาวถึง 130 ฟุต ทำให้ อัลฟัลฟา (Alfalfa) สามารถดูดซัมเอาแร่ธาตุที่สำญต่างๆ จากพื้นดินในระดับความลึกต่างๆ ไว้ได้อย่างมากมาย แร่ธาตุเหล่านี้จะถูกเปลี่ยนเป็นสารประกอบซึ่งจะสามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น และร่างกายก็สามารถนำเอาแร่ธาตุจากธรรมชาตนี้ไปใช้ประโยชน์ได้ทันที ซึ่งส่วนที่นิยมนำมาใช้ประโยชน์ ก็คือ ส่วนของใบ

สรรพคุณที่ค้นพบจากพืช อัลฟัลฟา (Alfalfa) 

  1. Saponin ซึ่งมีรสขม จะมีฤทธิ์การกระตุ้นให้เกิดความอยากอาหาร ทำให้รับประทานอาหารได้มากขึ้น นอกจากนี้ยังพบว่าสารนี้ยังช่วยลดการอุดตันของเกร็ดเลือดในเส้นเลือดฝอยเล็กๆ ด้วย จึงทำให้ลดอัตราการเกิดความจำเสื่อม และภาวะไขมันในเลือดสูงได้ จึงทำให้มีโอกาสเสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูง โรคเส้นเลือดหัวใจตีบ ได้ลดลงด้วย
  2. Isoflavone and Flavone ซึ่งเป็นสารสเตอรอล ซึ่งเป็นสารตั้งต้นในการสร้างฮอรโมนเอสโตรเจนในเพศหญิง จึงมีประโยชน์สำหรับสตรีที่มีความบกพร่องในเรื่องฮอร์โมน เช่น สตรีวัยหมดประจำเดือน
  3. Chlorophyll พบได้ในปริมาณสูง ซึ่งคลอโรฟิลล์นี้จะมีผลในการกำจัดสารพิษและสารแปลกปลอมต่างๆ ในเลือด ทำให้ลดการสะสมของยาหรือสารอันตรายต่างๆ ได้ และยังกระตุ้นให้ร่างการสร้างเม็ดเลือดแดงมากขึ้น ทำให้ร่างการแข็งแรง กระปรี้กระเปร่า
  4. Beta-carotene ซึ่งเป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ ซึ่งมีบทบาทในการเป็น Antioxidants ที่ดี ลดการเสื่อมของเซลล์และอัตราเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งที่อวัยวะต่างๆ ได้
  5. Nataural Fluiridw ซึ่งเป็นสารที่ทำให้ฟันแข็งแรง ลดการทำลายฟันโดยแบคทีเรียต่างๆในช่องปากได้
  6. แร่ธาตุต่างๆ เช่น แคลเซียม โปแตสเซียม เหล็ก สังกะสี ซึ่งรายละเอียดประโยชน์ของแร่ธาตุเหล่านี้ได้อธิบายได้ทราบแล้วในบทความก่อนๆ
  7. วิตามินต่างๆ เช่น วิตามินเอ บี1 บี6 ซี อี และเค ในปริมาณสูง ซึ่งรายละเอียดประโยชน์ของวิตามินเหล่านี้ได้อธิบายได้ทราบแล้วในบทความก่อนๆ
Posted on

Microdermabrasion : กรอหน้า ผลัดเซลล์ผิวให้อ่อนวัย หน้าใส ไร้รอยด่างดำ

Microdermabrasion คืออะไร

คือ การกรอผิวหนังที่มีปัญหาในชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) ให้หลุดลอกออกด้วยเกร็ดอัญมณีขนาดเล็กมาก ประมาณ 100 Micron ซึ่งผลึกครีสตัลที่นิยมใช้ ก็คือ Aluminium Oxide โดยให้วิ่งตามการพ่นของเครื่องปั๊มในกระบอกสูญญากาศที่ปลอดเชื้อ ( Air flow in Sterile Closed system)
– มีการปรับความแรง ความเร็วในการพ่นผลึกดังกล่าวได้ตามต้องการของผู้ใช้ และขนาดของผลึกครีสตัลก็แตกต่างกัน แล้วแต่จุดประสงค์ในการใช้งาน และปัจจุบันได้มีการพัฒนาเครื่องมือให้ทันสมัยและสะดวกขึ้น โดยการใช้ผลึกครีสตัลของเพชร ( Diamond crystal) มากรอผิวแทนซึ่งจะมีการระคายเคืองน้อยกว่า และสะดวกกว่า

กรอผิวช่วยเรื่องอะไรบ้าง

1. หน้าหมองคล้ำจากแสงแดด
2. สิวอุดตัน ทั้งประเภทหัวดำ และหัวขาวให้หลุดลอกออก สิวเสี้ยน
3. ริ้วรอยเหี่ยวย่นเล็กน้อยบริเวณหางตา
4. ผิวหนังที่หยาบกร้าน แตกลาย เช่น บริเวณท้อง ขา
5. รอยดำตามผิวหนัง เช่น รอยดำจากสิว รอยดำตามลำตัว ขาหนีบ
6. รูขุมขนกว้าง ผิวหน้ามัน
7. รอยแผลเป็นจากอุบัติเหตุ รอยเย็บแผล
8. ฝ้าจางๆ ที่ไม่ลึกมาก
9. กระแดด กระในคนสูงอายุ
10.ผิวหน้ามัน เพราะการกรอผิว ทำให้ไขมันที่เคลือบผิวหน้าชั้นนอก หลุดลอกออก และทำให้ต่อมไขมันที่ผลิตไขมันในท่อไขมัน ลดลง

ผลข้างเคียง

  1. ความรู้สึกระคายเคือง แสบ ที่ผิวหน้าในระหว่างที่ทำ และหลังทำ ซึ่งอาจจะต้องทาครีมบำรุง หรือสารให้ความนุ่มเนียนหลังทำ
  2. หลีกเลี่ยงแสงแดด ในระยะ 1-7 วันหลังทำขึ้นอยู่กับความลึกตื้นในการกรอผิว
  3. อาจจะมีรอยแดง หรือรอยซีดจาง หลังทำและจะดีขึ้นภายใน 3-4 วัน
  4. รอยดำจากจากการระคายเคืองผิว
  5. กรณีที่กรอลึก เช่นในคนที่มีปัญหาท้องลาย ขาลาย หรือรอยแยกแตกของผิวหนัง อาจจะมีอาการบวม เลือดซึม หรืออักเสบหลังทำได้ และจะดีขึ้นภายใน 1-3 อาทิตย์
Posted on

พิษแมงกระพรุน แก้ไขอย่างไร ให้ทันท่วงที หายไว ไม่มีแผลเป็น ลดเจ็บ ลดบวม

1154353815

แมงกะพรุน เป็นสัตว์ทะแลชนิดหนึ่ง ที่ส่วนใหญ่อันตรายถ้าว่ายน้ำไปโดน แมงกะพรุนมีหนวดพิษ (Tentacle) หลายอัน แต่ละอันประกอบด้วย เหล็กใน แฝงอยู่เป็นอันมาก ซึ่งเรียกว่า Nematocyst หากสัมผัสโดน พิษจะเข้าสู่ร่างกายอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้มีอาการปวด บวม และเกิดรอยแดงเป็นแนวยาวตามผิวหนัง ในกรณีร้ายแรงอาจทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้

อาการที่พบ
-ปวดแสบปวดร้อนอย่างรุนแรง โดยเฉพาะช่วง 1 ชั่วโมงแรก
-คันตามผิวหนังหรือมีร่องรอยของหนวดแมงกะพรุนอยู่บนผิวหนังบริเวณที่ถูกต่อย
– ในรายที่มีอาการรุนแรงอาจรู้สึกอ่อนแรง คลื่นไส้ ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อกระตุก น้ำมูกและน้ำตาไหล เหงื่อออกมาก หรือเจ็บหน้าอกได้

แมงกระพรุนที่พบกันมาก เมื่อไปเที่ยวทะเล

1.สาหร่าย, สาโหร่ง (Sea wasp, Chironex species)ชาวทะเลนิยมเรียกว่า’ส่าหร่าย’ แต่จริงๆแล้วคือ แมงกระพรุนสีขาว หรือ เหลืองแกมแดง  มีสายยาวต่อจากลำตัวหลายเส้น แต่ละเส้นยาวประมาณ 1.50 เมตร มีการเคลื่อนไหวได้น้อย อาศัยกระแสน้ำพัดพาไปยังที่ต่างๆ เมื่อมีพายุ คลื่น ลมแรง สายของมันจะขาดจากลำตัว ลอยไปตามน้ำ แต่ยังสามารถทำอันตรายผู้ที่สัมผัสถูกได้
อาการเป็นพิษ ทำให้ไหม้เกรียม และมีอาการปวดแสบปวดร้อนตามกล้ามเนื้อ จุกแน่นหน้าอกในรายที่แพ้รุนแรง และเป็นไข้ อาการเป็นอยู่ 2-3 วัน จึงทุเลาหายไป แมงกระพรุนชนิดนี้ แถบทะเลชุมพร หัวหิน เป็นต้น
2. แมงกระพรุนไฟ (Sea nettles, Chrysaora species) มีสีแดง หรือ สีเขียว ด้านบนมีจุดสีขาวอยู่ทั่วไป พวกนี้เมื่อถูกเข้าทำให้เกิดปวดแสบปวดร้อน พุพองแตกเป็นน้ำเหลือง และเกิดแผลเป็นรอยดำเรื้อรังได้นานหลายๆปี
– อาการพิษ โดยทั่วไปไม่รุนแรง ไม่นานก็หาย แต่ถ้าโดนชนิดพิษรุนแรง กว่าจะหายอาจใช้ระยะเวลา 2-3 วัน ถ้ามีอาการแพ้มากอาจมีอาการเขียวคล้ำ เลือดไปเลี้ยงสมองน้อย เพ้อ เหงื่อออก ตัวเย็น ช็อค และถึงแก่ความตายได้

ตำผักบุ้งทะเลให้ละเอียด แล้วพอกแผล

การปฐมพยาบาลเมื่อโดนพิษแมงกระพรุน : 

  1. ให้รีบขึ้นจากน้ำทันที เพราะหากพิษรุนแรงอาจจมน้ำเสียชีวิตได้
  2. จากนั้นให้ใช้ทรายแห้งๆ หรือผ้าหนาขัดบริเวณแผล เพื่อให้น้ำเมือกที่ติดอยู่ที่ผิวหนังหลุดออกไป แต่อย่าถูแรงเพราะจะทำให้พิษยิ่งเพิ่มขึ้น และอย่าใช้มือเปล่าถูเพราะอาจโดนพิษได้ แล้วล้างออกด้วยน้ำทะเล แอลกอฮอล หรือแอมโมเนีย
  3. สำหรับนักดำน้ำ มักนิยมใช้น้ำส้มสายชู ถอนพิษแมงกะพรุน อาการเจ็บปวดจะทุเลาลง
  4. สำหรับชาวบ้านจะใช้ผักบุ้งทะเลตำให้ละเอียดแล้วพอกบริเวณบาดแผล หลังจากถูเอาเมือกออกแล้ว โดยมี หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ที่มหาลัยมหิดลได้ทำการทดลองแล้ว พบว่าผักบุ้งทะเล มีคุณสมบัติดังนี้
    4.1 .ฤทธิ์ต้านฮีสตามีน โดยสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้ทดลองฤทธิ์ต้านการแพ้ของสารสกัดจากผักบุ้งทะเล พบว่าได้ผลดี
    4.2 .ฤทธิ์ลดการอักเสบ โดยมีสารสกัด ether ของส่วนที่ระเหยได้ของใบ มีฤทธิ์ลดการอักเสบ โดยสารสำคัญในการออกฤทธิ์ลดการอักเสบ คือBeta-Damascenone และ E-Phytol ซึ่งสกัดได้จากผักบุ้งทะเล มีฤทธิ์ลดการบีบตัวของกล้ามเนื้อเรียบของหลอดเลือด ทำให้การอักเสบลดลง
  5. ยาระงับปวด ถ้ารุนแรงอาจต้องใช้ Morphine รวมกับยานอนหลับจำพวก Barbiturate และให้ยาแก้อาการกล้ามเนื้อเกร็ง เป็นตะคริว หรือ ยารักษาอาการอื่นๆ

    นอกจากนี้ในประเทศไทย ยังได้มีการผลิต ครีมที่มีสารสกัดจากใบผักบุ้งทะเลผสม 1% มีฤทธิ์รักษาอาการแพ้พิษแมงกะพรุน พบว่าได้ผลดีขึ้นใน 2 วัน เมื่อใช้ครีมทาทันที และยังพบว่าใช้รักษาพิษแมงกะพรุนได้ดี โดยยับยั้งการทำลายโปรตีน (Proteolytic) และ hemolytic ของพิษแมงกะพรุน ในรายโดนพิษเป็นแผลเรื้อรังจะใช้เวลา 2 สัปดาห์ ในการทำให้แผลแห้ง และจะหายสนิทใน 1 เดือน นอกจากนี้การใช้สารสกัดใบผักบุ้งทะเลด้วยอีเธอร์ก็ให้ผลการรักษาดีเช่นกัน
Posted on

นอนไม่หลับ : ทำอย่างไร ไม่ต้องพึ่งยานอนหลับ กับ 7 อาหารที่ช่วยได้ กินก่อนนอน ไม่อ้วน

ในภาวะเศรษฐกิจที่ปวดร้าวในปัจจุบัน การนอนหลับ นับว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการผ่อนคลายความเครียด แต่ในบางคนอาจมีปัญหานอนไม่หลับ ซึ่งเป็นอาการหนึ่งที่แสดงถึงภาวะจิตใจที่วิตกกังวล ความเครียด และซึมเศร้า ซึ่งถ้าใครได้ประสบปัญหานี้ บ่อยๆ และเป็นเวลานานนับว่าเป็นเรื่องที่ทุกข์ทรมานอย่างยิ่ง
ข้อควรปฏิบัติและไม่ควรปฏิบัติเมื่อมีปัญหานอนไม่หลับ
1. ควรทิ้งปัญหาที่วิตกกังวลไว้นอกห้องนอน ไม่นำมาคบคิดอีกก่อนนอน
2. จดบันทึกปัญหา หรืองานที่ยังกังวลไว้ในสมุดบันทึก เพื่อรอไว้แก้ไขเมื่อตื่นนอน
3.ทำจิตใจให้ปลอดโปร่ง จินตนาการภาพหรือเหตุการ์ณที่ทำให้รู้สึกสงบสุข เช่น การเดินเล่นชายทะเล
3. ควรตื่นนอนเป็นเวลา และไม่นอนกลางวัน
4. ไม่ควรสูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มที่มีอัลกอฮอล์ ชา กาแฟ เมื่อใกล้เวลาเข้านอน
5. ไม่กินอาหารมันมาก หรืออาหารหนักก่อนนอน อย่างน้อย 3 ชั่วโมง
6. ไม่ควรทำสิ่งที่กระตุ้นสมองให้ขบคิด เช่น การเล่นเกมส์ประลองเชาวน์ หรือการถกเถียงกันรุนแรง
7. ไม่ควรออกกำลังกายกลางดึก เพราะทำให้ร่างกายตื่นตัว
8. ไม่ควรชำเลืองมองนาฬิกาข้างเตียงบ่อยๆ
9. รับประทานอาหารที่ช่วยให้นอนหลับง่ายๆ
10. จัดบรรยากาศให้เหมาะกับการนอน เช่น มืดสนิท ไม่มีเสียงรบกวน

อาหารที่ช่วยให้นอนหลับ 
1.เครื่องดื่มอุ่นๆ ก่อนนอน ประเภทมอลต์สกัด เช่น โอวัลติน หรือ ไมโล
2.เครื่องดื่มชาสมุนไพร เช่น แคโมไมล์ ไลม์บลอสซัม วาเลอเรียน
3.ถั่ว บ่อยครั้งที่อาการนอนไม่หลับของเราอาจเกิดจากความเครียด การกินถั่วสักครึ่งกำมือจะช่วยลดอาการเครียด รวมถึงยังช่วยรองท้องได้อีกเล็กน้อย ทำให้เราสามารถนอนหลับลงได้
4. น้ำผึ้ง ซึ่งเคยใช้เป็นยาระงับประสาทอ่อนๆ มานานแล้ว โดยชงผสมน้ำผึ้งเล็กน้อยในนมอุ่นๆ หรือ ชาสมุนไพร
5. กล้วย ไม่ว่าจะเป็นกล้วยหอมหรือกล้วยน้ำว้าก็ได้ หากได้รองท้องก่อนนอนซักลูก เพราะพบว่ากล้วย มีสารเมลาโทนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนช่วยให้นอนหลับด้วย
6. ผลไม้สด หั่นชิ้นเล็กๆ สัก 1 ถ้วยก่อนนอน ก็จะช่วยให้เรานอนหลับได้ ยิ่งได้กีวี่หรือฝรั่ง ยิ่งจะทำให้เรานอนหลับได้ง่ายขึ้น รวมถึงยังไม่ต้องกังวลเรื่องน้ำหนักอีก
7. โยเกิร์ต แคลเซียมและโปรตีนในโยเกิร์ต มีส่วนสำคัญในด้านการช่วยให้เรานอนหลับได้ ไม่เพียงเฉพาะแค่ในโยเกิร์ตเท่านั้น แต่ในผลิตภัณฑ์นมอื่นๆ ก็ยังสามารถช่วยให้เรานอนหลับได้ง่ยขึ้นเช่นกัน

จัดบรรยากาศให้เหมาะกับการนอน
อาหารที่ช่วยให้นอนหลับ
Posted on

บรูเออร์ยีสต์ (Brewer’s Yeast) : อาหารเสริม เพิ่มโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุที่สำคัญ

มนุษย์ได้รู้จัก บรูเออร์ยีสต์ และนำมาใช้ประโยชน์มานานแล้ว โดยเอา บรูเออร์ยีสต์ ที่ยังมีชีวิตอยู่มาใช้ประโยชน์ในการหมักเบียร์ เพราะ บรูเออร์ยีสต์ มีคุณสมบัติในการเปลี่ยนน้ำตาลกลูโคสให้เป็นแอลกอฮอร์ได้โดยไม่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค ซึ่งเป็นยีสต์คนละสายพันธุ์ที่ใช้หมักขนมปัง หรือทำให้เกิดโรค
บรูเออร์ยีสต์ ที่นำมาผลิตเป็นอาหารเสริมกันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน ส่วนใหญ่ผลิตได้จาก ยีสต์สายพันธุ์ Saccharomyces cerevisiae โดยการทำให้ยีสต์เหล่านี้ตายแล้วสกัดเอาเฉพาะสารสำคัญที่มีอยู่มากมายออกมาใช้ประโยชน์
โดยยีสต์สายพันธุ์นี้จะมีวิตามินบีในปริมาณสูงกว่ายีสต์ สายพันธุ์อื่นๆ ให้มีกรดอะมิโนเอซิด ชนิดที่จำเป็นต่อร่างกายครบทั้ง 8 ชนิด ที่ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ และสามารถนำไปใช้ได้ทันที เพราะดูดซึมได้เร็ว เร็วหลังรับประทาน

สารอาหารที่พบใน บรูเออร์ยีสต์
1. โปรตีน ได้แก่กลุ่ม Essential Amino Acids 8 ชนิดแก่ร่างกาย เพื่อช่วยในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ และใช้ในขบวนการเผาผลาญพลังงาน
2. วิตามินบี บรูเออร์ยีสต์ มีวิตามินบีครบทุกชนิด ได้แก่
2.1 วิตามินบี 1 ซึ่งมีประโยชน์ในการเป็นสารเร่งให้ร่างกายสามารถนำ คาร์โบไฮเดรต ไขมันและโปรตีน ไปใช้ เป็นพลังงาน
2.2 วิตามินบี 2 เป็นวิตามินที่มีความจำเป็นในกระบวนการสร้างพลังงาน(ATP)ของเซลล์
2.3 วิตามินบี 3 เป็นวิตามินที่มีความจำเป็นในในการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง
2.4 วิตามินบี 5 เป็นวิตามินที่มีความจำเป็นในกระบวนการสร้างเม็ดเลือดแดง สารส่งประสาท และสร้างฮอร์โมนเพศ นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นการสร้าง antibody ในระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
2.5 วิตามินบี 6 เป็นวิตามินที่มีความจำเป็นในกระบวนการทำงานของสารสื่อประสาทหรือเซลล์ประสาท
2.7 วิตามินบี 12 เป็นวิตามินที่มีความจำเป็นในการสร้างเยื่อหุ้มเซลล์ประสาท และช่วยให้ Folic Acid ทำงานได้ดีขึ้นในการสร้างเม็ดเลือดแดง
3. Folate – ซึ่งจำเป็นในกระบวนการสร้างเม็ดเลือดแดง
4. Biotin(Vitamin H) – ซึ่งจำเป็นในกระบวนการสร้าง DNA,RNA
5. เกลือแร่ต่างๆ เช่น ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม สังกะสี ทองแดง โครเมียม และซิลิเนียม

บรูเออร์ยีสต์เหมาะใคร

  1. ผู้ที่ทำงานหนัก เคร่งเครียด เพื่อช่วยการทำงานของระบบประสาทและสมอง
  2. ผู้ที่มีปัญหาในระบบทางเดินอาหาร ท้องเสียบ่อยๆ หรือคนไข้หลังผ่าตัดลำไส้ เพราะร่างกายมักจะขาดวิตามินบี เพราะแบคทีเรียในลำไส้ ซึ่งสามารถสร้างวิตามินบีให้แก่ร่างกาย ลดลง หรือสูญเสีย
Posted on

โสม (Ginseng) สมุนไพรยอดนิยม สำหรับปรับสมดุล หยิน-หยาง เพื่อสุขภาพของร่างกาย

โสม (Ginseng) ถือเป็นพืชสมุนไพร ที่นำมาใช้ประโยชน์ต่อสุขภาพมาเป็นเวลานานตั้งแต่ครั้งโบราณกาล โดยเฉพาะชาวจีนมีความนิยมชมชอบสรรพคุณของโสมกันเป็นพิเศษ และถือเป็นวัฒนธรรมของชาวจีนในการรับประทานผลิตภัณฑ์จากโสมกันจนมาถึงปัจจุบัน

คำว่า’โสม’ จริงๆ แล้วใช้เป็นชื่อเรียกพืชหลายสกุล(Families) โดยส่วนใหญ่มักใช้เรียกพืชที่มีลักษณะของรากคล้าย ‘คน’ ว่าโสมเสมอ( ดังภาพประกอบ) แต่โสมที่มีประโยชน์และนิยมนำมาใช้ เป็นโสมในตระกูล Panax ซึ่งอยู่ในวงศ์ Araliaceae

จากการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ สารสำคัญที่พบในโสม และมีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา คือ Ginsengnoside ซึ่ง Ginsengnoside ที่สำคัญมี 2 ชนิดดังนี้

  1. Protopanaxadiol พบว่ามีฤทธิ์ในการระงับระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งทำให้เกิดสมาธิ( concentration) ถ้าเปรียบเทียบผลทางการแพทย์กับ ทางจีนโบราณ ก็เทียบได้กับ พลังหยาง (Yang) หรือผลทางพลังเย็น
  2. Protopanaxatriol พบว่ามีฤทธิ์ในการกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง และมีฤทธิ์ในการขยายหลอดเลือดด้วย ถ้าเปรียบเทียบผลทางการแพทย์กับ ทางจีนโบราณ ก็เทียบได้กับ พลังหยิน (Yin) หรือผลทางพลังร้อน

– โดยพบว่า Ginsengnoside ทั้งสองชนิด จะทำงานพร้อมๆ กันอย่างสมดุล ทำให้เกิดสมดุลทางธรรมชาติของร่างกาย หรือ หยิน-หยาง ตามหลักเต๋าของจีนโบราณนั่นเอง

โสมพันธุ์ที่นิยมและโด่งดัง มี 2 พันธุ์ ดังนี้

1. โสมเกาหลี หรือ โสมคน ได้จากพืชในตระกูล Panax ginseng C.A. Meyer รากโสมที่มีอายุมากกว่า 6 ปี จะมีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาสูงสุด โสมเกาหลี แบ่งได้เป็น โสมแดง และโสมขาว โดยพบว่า โสมแดง จะผ่านการอบไอน้ำและความร้อนสูง เพื่อทำลายเชื้อโรคและเชื้อรา จึงมีราคาสูงกว่าโสมขาว แต่เนื่องจาก ต้องผ่านขบวนการให้ความร้อนสูง อาจทำให้คุณค่าทางอาหารบางอย่างทางธรรมชาติสูญเสียได้ แต่ก็จะปลอดเชื้อมากกว่าโสมขาว

– ส่วนผลการวิจัยของโสมเกาหลี พบว่าจะมีผลทำให้เพิ่มฮอร์โมน ACTH ( Adenocorticotrophic hormone) ซึ่งมีฤทธิ์การกระตุ้นการสร้างฮอร์โมนจากต่อมหมวกไต ( Adrenal gland) ซึ่งทำให้มีผลดีในผู้ป่วยที่ต้องรับประทานยาสเตียรอยด์เป็นประจำ ( เช่น ผู้ป่วยโรคไต ภูมิแพ้ ) ซึ่งมักจะเกิดภาวะ บกพร่องของต่อมหมวกไต และช่วยลดระดับน้ำตาลในคนไข้เบาหวานได้อย่างมีนัยสำคัญ

– มีผลงานวิจัยในประเทศญี่ปุ่น พบว่าโสมเกาหลี ยังสามารถลดอนุมูลอิสระกลุ่ม Hydroxyl ได้ส่งผลให้ลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็ง หรือความเสื่อมของอวัยวะต่างๆ ได้

2. โสมอเมริกัน (Panax quinquefolism) ได้จากพืชในตระกูล Panax quinquefolism ซึ่งมีสรรพคุณใกล้เคียงกับโสมเกาหลี โดยจะมี Ginsengnoside ชนิด Protopanaxatriol ที่มีฤทธิ์ทางพลังหยิน ใช้กระตุ้นในอัตราส่วนที่สูง จึงนิยมใช้ในกลุ่มนักกีฬา และยังทำให้สุขภาพดีโดยรวมคล้ายกับโสมเกาหลีเช่นกัน

สรรพคุณโดยรวมของโสมพันธุ์ Panax 

  1. ลดภาวะความเครียด และภาวะวิตกกังวล และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมองต่อภาวะตึงเครียดได้
  2. เพื่อประสิทธิภาพการเรียนรู้ จดจำ และลดความเสื่อมของเซลล์สมอง ในโรคอัลไซเมอร์ได้
  3. ทำให้การทำงานของระบบหลอดเลือดสมดุล ลดภาวะความดันโลหิตสูงหรือต่ำกว่าปกติ
  4. เพิ่มประสิทธิภาพของภาวะภูมิคุ้มกันของร่างกาย ช่วยฟื้นฟูสมรรถภาพหลังเจ็บป่วย หรือพักฟื้น
  5. รักษาสมดุลย์ของฮอร์โมนเพศ ลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง

คำแนะนำในการรับประทาน 

  1. โสมสกัดที่มีมาตรฐาน จะต้องมีปริมาณของGinsengnoside เข้มข้นที่ 4 % Ginsengnoside เพราะจะมีผลทางเภสัชวิทยาที่ดีที่สุด
  2. แนะนำให้รับประทานก่อนอาหาร 3 ชั่วโมง และห้ามรับประทานวิตามินซี หรือผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง เช่น น้ำส้มคั้น น้ำมะนาว เพราะจะไปต้านฤทธิ์ของโสมให้ลดลง
  3. ถ้ารับประทานโสม ในปริมาณที่มากเกินไป อาจก่อให้เกิดภาวะ แพ้แดด หรือความผิดปกติของผิวพรรณได้ จึงแนะนำให้พบแพทย์เมื่อพบปัญหา
โสมเกาหลี หรือ โสมคน
โสมอเมริกัน
Posted on

สังกะสี (Zinc) แร่ธาตุที่ร่างกายต้องการน้อย แต่จำเป็น เพราะถ้าขาดไป โรคอะไรก็เกิดขึ้น

ร่างกายคนเราจะทำหน้าที่ได้ตาม จำเป็นต้องอาศัยแร่ธาตุสำคัญๆประมาณ 16 ชนิด เพื่อทำหน้าที่ให้ร่างการเจรีญเติบโต หรือการสืบพันธุ์
 แร่ธาตุสังกะสี ถือว่าเป็นแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการอย่างหนึ่ง แม้จะต้องการเพียงปริมาณที่น้อย (trace elements) แต่ถ้าขาดไป ก็เกิดผลเสียต่อการทำงานของเอนไซม์ในร่างกายหลายๆ ตัวทีเดียว

บทบาทการทำงานของแร่ธาตุสังกะสี 

  1. สังกะสีเกำจัดอัลกอฮอล์ ซึ่งถือเป็นสารพิษต่อตับ
  2. สังกะสีเป็นส่วนหนึ่งของเอนไซม์ ที่ร่างกายใช้ในขบวนการสร้างกำลังงาน
  3. สังกะสีเป็นส่วนหนึ่งขในการสร้างกระดูกและฟัน และทำให้เส้นผมและเล็บแข็งแรงไม่หลุดร่วงง่าย
  4. สังกะสีเป็นส่วนหนึ่งของเอนไซม์ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย
  5. สังกะสีเเกี่ยวข้องกับการทำงานอย่างสมดุลของระบบประสาทสมอง
  6. สังกะสีช่วยให้เซลล์สามารถจับกับวิตามินเอ ทำให้ผิวพรรณดีขึ้นได้
  7. สังกะสี มีส่วนสำคัญในการรักษาแผลหรือสมานแผล
  8. สังกะสี ช่วยในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
  9. สังกะสี ช่วยในการควบคุมการทำงานของฮอร์โมนอินซูลิน ที่ควบคุมระดับน้ำตาล และควบคุมการทำงานของอวัยวะสัมผัส ให้ทำงานให้ดีขึ้นและมีประสิทธิภาพ
อาการที่เกิดจากการขาดสังกะสี
อาหารที่มีแร่ธาตุสังกะสีสูง

ปริมาณสังกะสีที่ร่างกายต้องการเท่าไหร่
ปริมาณแตกต่างกันในแต่ละเพศ วัย และภาวะของร่างกาย ในประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ทำการวิจัยและกำหนดความต้องการของสังกะสี ในร่างกายไว้ดังนี้
-อายุน้อยกว่า 1 ปี ต้องการสังกะสีประมาณ วันละ 3-5 มิลลิกรัม
-อายุระหว่าง 1-10 ปี ต้องการสังกะสีประมาณ วันละ 10 มิลลิกรัม
-อายุ 11 ปีขึ้นไป ต้องการสังกะสีประมาณ วันละ 15 มิลลิกรัม
-สตรีในระยะตั้งครรภ์ ต้องการสังกะสีประมาณ วันละ 20-25 มิลลิกรัม
-สตรีในระยะให้นมบุตร ต้องการสังกะสีประมาณ วันละ 25-30 มิลลิกรัม
อาหารที่มีแร่ธาตุสังกะสีสูง
– อาหารทะเล โดยเฉพาะหอยนางรม
– เนื้อสัตว์ เป็ด ไก่ ไข่และนม
– ธัญพืช
โดยร่างกายจะดูดซึมสังกะสีจาก โปรตีนของสัตว์ได้ดีกว่าธัญพืช เพราะสังกะสีในธัญพืชมักอยู่ที่เยื่อหุ้มเมล็ด ซึ่งมักถูกขัดให้หลุดไป และในเส้นใยอาหารจากธัญพืช จะมีสารไฟเทตที่สามารถยับยั้งการดูดซึมแร่ธาตุใด้หลายชนิด ดังนั้นในชาวมังสวิรัติที่ไม่กินนมและไข่ มักจะต้องรับประทานแร่ธาตุสังกะสีเสริม
ไม่พบว่าการรับประทานอาหารที่มีสังกะสีมากๆ จะเกิดการสะสมหรือเป็นพิษต่อร่างกายได้ นอกจากคนที่ได้รับอาหารเสริมที่มีสังกะสีปริมาณมากๆ และต่อเนื่องเป็นเวลานาน
ถ้าร่างกายได้รับสังกะสีไม่เพียงพอ
– จะทำให้แผลหายช้า
– ร่างกายเจริญเติบโตช้าลง
– ตับโต เกิดภาวะโลหิตจาง
– หัวล้าน (alopecia)
– เบื่ออาหาร
– ต่อมสร้างเชื้ออสุจิน้อยกว่าปกติ (hypogonadism) ทำให้มี sexual maturation ช้า
– ทำให้การรับความรู้สึกของรสและกลิ่นช้าลง
คำแนะนำในการรับประทานอาหารเสริมสังกะสี
ควรเป็นสังกะสีในรูปของ Chelated Zinc ซึ่งจะอยู่ในรูปของเกลือกลูโคเนต หรือ Zinc Gluconate ซึ่งจะดูดซึมแร่ธาตุสังกะสีได้ดีที่สุด และควรรับประทานตอนท้องว่าง(อาจมีอาการคลื่นใส้ อาเจียนได้บ้างในระยะแรก) และควรเสริมด้วยแร่ธาตุทองแดง ( copper) เสริมในอัตราส่วน สังกะสี:ทองแดง=15:1

Posted on

Creeping Eruption : เส้นแดง คดเคี้ยว บนผิวหนัง คล้ายรอยเดิน คืออะไร คนที่ชอบเดินเท้าเปล่าต้องระวัง

Creeping eruptions คือ รอยคดเคี้ยวที่เกิดจากการที่ตัวอ่อนของพยาธิปากขอ( Hook worm) ของสุนัขและแมว ซึ่งอยู่ตามพื้นดิน ไชเข้าสู่ผิวหนัง แต่คนไม่ใช่แหล่งที่อยู่ของพยาธิปากขอชนิดนี้ จึงทำให้ตัวอ่อนไม่สามารถเข้าสู่ระบบทางเดินอาหารให้ครบวงจรชีวิต จึงได้แต่เคลื่อนที่อยู่ในชั้นผิวหนัง ทำให้เกิดการอักเสบเป็นเส้นคดเคี้ยวไปตามแนวทางเคลื่อนที่ของพยาธิ
ลักษณะ จะสังเกตได้ง่าย อาจมีอาการบวมแดงนูน ขนาด 1-2 มม. เป็นเส้นคดเคี้ยวที่ผิวหนัง มีอาการคันมาก มักเกิดที่มือหรือเท้า เพราะเป็นส่วนที่สัมผัสได้ง่ายกับพื้นดิน หรือพื้นทรายที่มีพยาธิปนเปื้อนอยู่
ตัวอ่อนของพยาธิเหล่านี้ จะเคลื่อนที่ได้ประมาณ 1-3 มม.ต่อวัน ในชั้นผิวหนัง แล้วคืบคลานไปช้าๆ แล้วจะเกิดการอักเสบและคันเป็นแนวที่พยาธิเคลื่อนที่ ขณะที่ส่วนปลายของรอยโรคจะค่อยๆ ลดการอักเสบเหลือเป็นเส้นสีน้ำตาลคล้ำๆ
พยาธิปากขอ มีอายุประมาณ 1-3 เดือน ถ้ารักษาไม่ถูกต้องก็อาจมีอาการคัน อักเสบที่ผิวหนัง จนกว่าพยาธิจะตาย
แนวทางการรักษาและป้องกัน 
– ไม่ควรเดินเท้าเปล่า ในพื้นดิน หรือพื้นทราย ที่มีสุนัขอยู่จำนวนมาก เช่น ชายทะเล
– ในอดีตเคยมีการรักษาโดยการผ่าตัด หรือจี้บริเวณส่วนหัวของรอยคดเคี้ยว เพื่อทำลายหรือเอาตัวพยาธิออกจากผิวหนัง แต่ไม่ค่อยได้ผล
– การรักษาในปัจจุบัน แนะนำให้รับประทานยาฆ่าพยาธิแทน เช่น Albendazole 400 มก.ต่อวัน ติดต่อกัน 3 วัน

Posted on

Evening Primrose Oil (EPO) : อาหารเสริมเพิ่มฮอร์โมน ที่โดนใจสตรีทุกวัย

Evening Primrose มีชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า Oenathera biennis เป็นพันธุ์ไม้พุ่มเล็กๆ มีดอกสีเหลือง ซึ่งพบได้ในแถบอบอุ่นและหนาวของทวีปอเมริกาเหนือตอนบน ดอกสีเหลืองจะบานในช่วงบ่ายถึงเย็นเพียงวันเดียวและจะร่วงโรยไป

ชาวอินเดียนแดง แถบอเมริกาเหนือ และแคนาดา รู้จักพืชชนิดนี้มานานแล้ว และนำมาใช้ประโยชน์ในการรักษาโรคหลายๆ ชนิด บางคนจึงขนานนาม Evening Primrose ว่าคือ ‘ ราชาแห่งการรักษาโรคทุกชนิด’

จากการศึกษาทางเภสัชวิทยา พบว่าคุณสมบัติในการรักษาโรคของ Evening Primrose อยู่ที่เมล็ดเล็กๆ ในผัก เมื่อนำมาสกัดเป็นน้ำมัน น้ำมันEvening Primrose Oil ( EPO) ดังกล่าว จะให้กรดไขมันหลายๆ ชนิด ซึ่งเป็นกลุ่มไขมันที่จำเป็น ( Essential fatty acid) ต่อร่างกาย ที่สำคัญ ก็คือ Linoleic acid ( LA) และ Gamma Linoleic acid ( GLA) ซึ่งร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์ได้เอง กรดไขมันจำเป็นนี้เป็นส่วนประกอบของเซลเมมเบรน เป็นสารตั้งต้นในการสร้างฮอร์โมนเพศ และ สาร Prostagalndin E 1 ( PGE1)

ประโยชน์ของสาร Prostagalndin E 1 ( PGE1) ต่อร่างกายได้ผลสรุปจากผลการวิจัยทั่วโลก ดังนี้

  1. บรรเทาอาการปวดท้องก่อนมีประจำเดือน
  2. ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล จึงช่วยป้องกันและรักษาปัญหาผิวแห้ง แตก คันได้
  3. ทำให้เส้นผมสุขภาพดี เงางามและไม่แตกปลาย
  4. ลดระดับไขมันคลอเรสเตอรอลในเลือด
  5. ลดความดันโลหิต
  6. ลดการเกิดสิวได้
  7. ลดอาการปวดศีรษะไมเกรน
  8. ลดอาการปวดอักเสบของข้อ
  9. ฟื้นฟูสภาพตับในผู้ป่วยโรคพิษสุราเรื้อรัง

ขนาดที่รับประทาน ถ้ารับประทานเป็นอาหารเสริม วันละ 1,000 มก.ต่อวันในช่วงแรก และต่อมาลดลงเหลือ 500 มก. ต่อวัน และขนาดที่รับประทานเพื่อรักษาโรค วันละ 3,000 มก. หรือมากกว่านี้ แต่ต้องอยู่ในคำแนะนำของแพทย์ เพื่อช่วยการสร้าง PGE1

Posted on

Drug allergy: แพ้ยา หรือไม่ ดูยังไง วิธีแก้ไขเบื้องต้นก่อนแพทย์ ทำอย่างไร

ภาวะแพ้ยา เกิดได้บ่อย พบได้ ประมาณร้อยละ 1-5 ส่วนใหญ่เกิดจากปฏิกริยาไวเกิน( Hypersensitivity ) ของร่างกายต่อยาที่ใช้ อาจเกิดทันที ในเวลาไม่กี่นาที หรืออาจจะภายหลังได้
หรืออาจจะเคยรับประทานยาชนิดนี้มาก่อน แล้วไม่แพ้ แต่ในระยะเวลาต่อมา เกิดอาการแพ้ได้ ดังนั้นอย่าได้ชะล่าใจ นะครับว่า ตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยแพ้ยา แต่มาระยะหลัง ( แก่ขึ้น ) จะมาแพ้ยาตัวนี้ได้
กลุ่มยาที่มักทำให้เกิดการแพ้ได้บ่อย
1. กลุ่ม Penicillin เช่น Amoxycillin,Cloxacillin,Dicloxacillin ซึ่งมักเป็นยาแก้อักเสบ ที่ใช้ฆ่าเชื้อโรค แกรมบวก
แพทย์มักจะใช้รักษาการติดเชื้อของระบบหายใจ ผิวหนัง เช่น ไข้หวัด ปอดบวม แผลอักเสบผิวหนัง แผลฝีหนอง ฯลฯ
2. กลุ่ม Sulpha เช่น Bactrim ใช้รักษาฆ่าเชื้อโรคแกรมลบ ในระบบทางเดินอาหาร ระบบปัสสาวะ เช่น ท้องเสีย อาหารเป็นพิษ ท่อปัสสาวะ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ
3. กลุ่ม NSAID ( non-steroidal antiinflammatory drug) เช่น Brufen , Aspirin , Indomethacin ใช้รักษาโรคทางกระดูกและข้อ เช่น กล้ามเนื้ออักเสบ เก๊าซ์ เส้นเอ็นอักเสบ ปวดหลัง
4. กลุ่ม Barbiturate ใช้ในโรตลมชัก

ลักษณะอาการที่พบ

– ถ้าเป็นการแพ้ครั้งแรก มักเกิดผื่นแดงแบบจุดแดง คัน ( maculopapular rash) เกิดหลังกินยาประมาณ 1-2 สัปดาห์ แต่ถ้าได้รับซ้ำอีก อาจเกิดผื่นได้เร็วขึ้น แต่อาจรุนแรงมากขึ้น จนเป็นปื้นแดงทั่วตัว แบบ erythema rash ถ้ารุนแรงมาก อาจมีอาการทางร่างกาย เช่น ไข้ต่ำๆ ปวดตามตัว คลื่นใส้ อาเจียนได้
– อาจพบลักษณะอาการแพ้ยา โดยมีผื่นแบบอื่นๆ ได้ เช่น ลมพิษ(urticaria) รอยจ้ำช้ำเฉพาะที่( fixed drug eruptions) ภาวะไวต่อแสงแดด (Phtosensitivity) ผนังเส้นเลือดอักเสบ(vasculitis) ฯลฯ

แนวทางการรักษา ก่อนไปพบแพทย์ 

  1. ถ้าสงสัย หยุดใช้ยาทันที และพบแพทย์ที่รักษาและให้ยา จะเป็นวิธีที่ดีที่สุด เพราะแพทย์จะทราบว่าให้ยาอะไรแก่ท่าน และถ้าไม่สะดวก ควรพบแพทย์ที่ใกล้ที่สุดก่อน และนำยาที่รักษาไปด้วย ถ้าทราบชื่อยายิ่งเป็นประโยชน์ต่อการรักษา
  2. ถ้ามี่ยาแก้แพ้ หรือแก้คัน เช่น Chorpheniramine, Actifed, Atarax อาจรับประทานก่อน 1 เม็ดทันที ก่อนพบแพทย์เพื่อป้องกันมิให้อาการแพ้ลุกลาม
  3. ทายาแก้แพ้ เช่น Stroid cream ,Calamine lotions กรณีที่คันมากๆ ก่อนพบแพทย์ เพื่อป้องกันการเกาให้เกิดเป็นแผล
  4. เมื่อพบแพทย์ แพทย์มักให้ยาในกลุ่ม Antihistamine,Steroid ทั้งในรูปของยารับประทานหรือยาฉีด หรือให้นอน รพ. เพื่อสังเกตอาการ กรณีที่อาการแพ้รุนแรงมาก
Posted on

Bikini Bottom : ผืื่นบั้นท้าย สิวที่ก้น ของคนที่ชอบใส่ชุดว่ายน้ำเปียกแฉะตลอดเวลา

หน้าร้อนนี้ หลายๆท่านคงใช้เวลาว่างในการคลายร้อน ด้วยการว่ายน้ำ หรือ ไปพักผ่อนชายทะเล มีโรคผิวหนังชนิดหนึ่งที่มักเกิดกับนักกีฬาว่ายน้ำหรือผู้ที่หลังว่ายน้ำแล้วยังนุ่งกางเกงว่ายน้ำที่เปียกแฉะอยู่ตลอดเวลา
Bikini bottom หรือ Deep bacterial folliculitis of the inferior buttocks คือ ภาวะการติดเชื้อแบคทีเรียที่รูขุมขน บริเวณบั้นท้าย ของผู้ที่ชอบใส่กางเกงว่ายน้ำที่เปียกแฉะตลอดเวลา ทำให้เกิดอาการอักเสบเป็นตุ่มนูนแดง เหนือบริเวณบั้นท้าย(ดังในภาพ) หากไม่ได้ทำการรักษาที่ถูกต้อง อาจลุกลามให้อักเสบบวมแดงเป็นตุ่มฝีหนองได้
แนวทางการรักษา
ควรทำแผลด้วยน้ำเกลือสะอาด(normal saline) และน้ำยาล้างแผล เช่น Betadine solutions ทุกวัน และรับประทานยาปฏิชีวนะที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เช่น Cloxcillin,Eythromycin และถ้าแผลแห้งไม่เปียกแฉะ ควรทายาที่มีส่วนผสมของ Clinndamycin lotions ,Erytromycin lotions ร่วมด้วยจะทำให้หายเร็วขึ้น นอกจากนี้งดการใส่เสื้อผ้ารัดรูป กางเกงว่ายน้ำนานประมาณ 10 วัน
แนวทางการป้องกัน
หลังว่ายน้ำ ควรรีบอาบน้ำให้สะอาด ทำความสะอาดร่างกาย เช็ดตัวให้แห้ง หรือถ้าจะว่ายน้ำต่อเนื่องเป็นเวลานาน ช่วงที่ขึ้นมาพัก ควรใช้แป้งที่ดูดซับความขื้น( absorbent powder)ทาเป็นระยะๆ
เมื่อทราบหลักการดังกล่าวแล้ว หวังว่าท่านที่ขอบใส่บิกินี่ทั้งหลาย คงต้องป้องกันไว้หน่อยนะครับ แล้วก้นสวยๆ จะมีแผนที่เต็มไปหมด

Bikini Bottom
Posted on

เลือกครีมบำรุงผิวหน้าอย่างไร ให้คุ้มค่า ได้ผล ตรงกับปัญหา ไม่เสียเวลา ไม่เสียเงินเปล่า

ในปัจจุบันนี้ มีครีมบำรุงผิวออกสู่ท้องตลาดมากมาย หลากหลายยี่ห้อ การเลือกซื้อครีมบำรุงผิว ควรมีหลักเกณฑ์ในการตัดสินใจว่าตรงตามความต้องการของเราหรือไม่ โดยพิจารณาจาก องค์ประกอบของสารต่างๆ ที่ช่วยในการต่อต้านริ้วรอย มีดังนี้
     วิตามินซี  ทำหน้าที่ในการกำจัดอนุมูลอิสระ และเป็นองค์ประกอบร่วมของเอนไซม์ต่างๆที่ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน เช่น Ferric/Cupric Metalions Enzymes ร่างกายต้องการวิตามินซีประมาณวันละ 60 มก. พบได้บ่อยในผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวและผักใบเขียว แต่ในการใช้ผสมในครีมบำรุงผิว ยังไม่มีการศึกษาที่ยืนยันได้ชัดเจนว่าจะป้องกันผิวหนังหย่อนยานได้ นอกจากจะช่วยทำให้ผิวหน้าขาวขึ้น
     วิตามินอี ประกอบด้วย Tocopherols,Tocotrienols ซึ่งพบได้บ่อยในผัก น้ำมันพืช เมล็ดพืช ข้าวโพด ถั่ว แป้งสาลี เนื้อสัตว์และนม วิตามินอีเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนตืที่สำคัญในพลาสมาและเม็ดเลือดแดง ที่ช่วยปกป้องสารประกอบไขมันจากอนุมูลอิสระ ผลจากการทดลองพบว่า วิตามินอี ช่วยลดอาการไหม้จากแสงแดด ช่วยลดริ้วรอย และทำให้ผิวหน้านุ่มขึ้น ร่างกายสามารถรับวิตามินอีได้ถึง 3,000 มก.โดยไม่มีอันตราย แต่อย่างใด
     วิตามินเอ(Retinol) พบมากในพืชที่มีสีเขียวและสีเหลือง ไข่แดง เนย ตับและน้ำมันตับปลา อนุพันธุ์สังเคราะห์ของวิตามินเอ เราเรียกว่าเรตินอยด์ ซึ่งพบว่าสามารถช่วยลดริ้วรอยได้ เมื่อทาสารนี้ และทำให้ผิวหน้าเรียบเนียนขึ้น กระและฝ้าจางลง

 Beta-carotene เป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ ทำหน้าที่ต่อต้านอนุมูลอิสระ และปกป้องเนื้อเยื่อเซลล์จาก Lipid Peroxidations พบมากในผักใบเขียว แครอท มันฝรั่งหวาน แคนตาลูป เนื้อสัตว์ เนย และเนยแข็ง ร่างกายไม่ควรรับประทานมากกว่า 30 มก.ต่อวันติดต่อกันเป็นเวลานาน เพราะจะทำให้ผิวเป็นสีเหลืองได้
วิตามินบี 5 ( Panthenol) เป็นส่วนสำคัญในผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม ให้ความชุ่มชื้นแก่เส้นผม ทำให้เส้นผมยืดหยุ่นนุ่มสลวย แต่ไม่มีคุณสมบัติเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนซ์ เท่าวิตามินเอและอี
วิตามินบี 3( Niacinamide) พบว่าช่วยในการสร้างคอลลาเจน เพิ่มอัตราการผลัดตัวของเซลล์ผิวเก่า ทำให้ลดริ้วรอยได้
CoenzymeQ10ใ นการทดลองพบว่า สารดังกล่าวเป็นโมเลกุลเล็กๆ ที่มีอยู่ในเซลล์ของร่างกายตามธรรมชาติ ทำหน้าที่ในการเปลี่ยนสารอาหารให้เป็นพลังงาน นอกจากนี้ยังพบว่า สามารถป้องกันการสันดาปของแสงยูวีเอ ชะลอความเสื่อมของเซลล์ได้ จึงทำให้ลดริ้วรอยรอบดวงตา และชะลอความแก่ได้
Flavanoids Compound พบว่าเป็นสารตัวใหม่ที่พบว่าช่วยยับยั้งเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างอนุมูลอิสระ เช่น Xanthine oxidase,Lipperoxidase และปกป้องการแตกตัวของดีเอ็นเอได้ด้วย สารในกลุ่มนี้ ประกอบด้วย Rutin,Pycnogenol,Quercetin,Catechin โดย Rutin,Catechin สามารถต่อต้านอนุมูลอิสระมากกว่าวิตามินซีถึง 10 เท่า และพบมากในใบยาสูบ ส่วน Pycnogenol หรือวิตามินพี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ทนความร้อนได้ดี สกัดได้จากเปลือกสนมาริไทม์ และเมล็ดองุ่น

Posted on

อาร์จินีน (Arginine ) กรดอะมิโนที่เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของฮอร์โมนที่สำคัญ โดยเฉพาะผู้ชาย

Arginine คือ กรดอะมิโน ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของโปรตีนที่จำเป็นต่อสิ่งมีชีวิต เป็น non-essential amino acid ที่ร่างการสามารถสร้างขึ้นมาเองได้ จากโปรตีนที่รับประทานเข้าไป

Arginine พบมากในอาหาร

  • เนื้อสัตว์ ส่วนที่เป็นเนื้อแดง เนื้อจากสัตว์ปีก รวมทั้ง อาหารทะเล เช่น ปลาทูน่า (1.7 g ต่อ 100 g)ปลาแซลมอน (1.2 g ต่อ 100 g) รวมทั้งกุ้ง ปู เป็นแหล่งที่ดีของโปรตีน และกรดแอมิโนทุกชนิด รวมทั้งอาร์จินินด้วย
  • เมล็ดถั่วแห้ง เป็นแหล่งของอาร์จินีนในพืช ถั่วลิสงเป็นแหล่งที่ดีของอาร์จินีน โดย ถั่วเหลือง 100 กรัม มีปริมาณอาร์จินีนถึง 3.1 กรัม almonds (2.5 g ต่อ 100 g), walnuts (2.3 g ต่อ100 g), hazelnuts (2.2 g ต่อ 100 g) และ เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ (2.1 g ต่อ 100 g) นอกจากนั้นยังพบมากใน  Brazil nuts, pistachios และ งา
  •  ผักโขม แม้ว่าผักทั่วไปจะไม่ใช่แหล่งที่ดีของอาร์จินีน แต่ผักโขมเป็นแหล่งที่ดีของอาร์จินีน โดยผักโขมแช่แข็งมีอาร์จินีน 3.3 g ต่อ 100 g
  • เมล็ดพืชที่ไม่ขัดสี (Whole Grains) รวมทั้งผลิตภัณฑ์จากเมล็ดพืชที่ไม่ได้ขัดสี เช่น ขนมปัง พาสต้า ข้าวสาลีที่ไม่ได้ขัดสี ปริมาณอาร์จินีน 650 mg ต่อ 100 g.ถ่
  •  ถั่วเหลือง และโปรตีนจากถั่วเหลือง รวมทั้งผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง เป็นแหล่งอุดมของอาร์จินีนน
  • ไข่ โดยเฉพาะไข่แดง เป็นแหล่งที่ดีของอาร์จินีน (1.10 g ต่อ100 g) ขณะที่ ไข่ขาว มี  0.65 g ต่อ100 g
    ประโยชน์ต่อสุขภาพ
  • คุณสมบัติเป็น Nitric Oxide ที่มีประโยชน์ในการขยายหลอดเลือด เพื่อการส่งออกซิเจนและสารอาหารแก่เซลล์
  • ช่วยลดปริมาณ ไขมัน Cholesterol ในเลือด
  • ช่วยการขับถ่ายของเสีย แอมโมเนีย ที่เกิดจากการออกกำลังกาย
  • การรักษาบาดแผล
  • เสริมสร้างภูมิต้านทานโรค
  • Arginine เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของฮอร์โมนหลายตัว เช่น Glucagon,Insulin ซึ่งเกี่ยวกับควบคุมระดับน้ำตาลในร่างกาย , Growth hormone เกี่ยวกับการเจริญเติบโตของร่างกาย
  • สามารถเพิ่มจำนวนอสุจิในผู้ชายด้วย

แต่ขณะเดียวกัน ถ้ารับประทานอาหารเสริมที่มี Arginine สูงเกินไป อาจเกิดผลข้างเคียงได้ เช่น เพิ่มการเกิดโรคเริมที่ปาก และทำให้การดูดซึมกรดอะมิโน Lysine ลดลง ดังนั้น การเลือกรับประทานอาหารเสริมที่มี arginine ให้เหมาะสม ควรอยู่ที่ ประมาณ 500 มก.ต่อวัน

Posted on

SLE ( Sysemic Lupus Erythematosus) : โรคแพ้ภูมิตัวเอง กับอาการที่พบทางผิวหนัง

โรคแพ้ภูมิตัวเอง หรือ SLE คืออะไร
         
ภาวะแพ้ภูมิตัวเอง หรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง หรือ SLE (Systemic Lupus Erythematosus ) คือ ภาวะที่เม็ดเลือดขาวทำงานผิดปกติ  โดยปกติเม็ดเลือดขาวจะทำหน้าที่ทำลายเชื้อโรค แต่ในคนไข้ที่เป็นโรคแพ้ภูมิในเม็ดเลือดขาวกลับไปทำลายเซลล์ร่างกายตัวเอง ทำให้เกิดการอักเสบในอวัยวะต่าง ๆ ที่มันไปทำลาย ดังนั้น อาการที่เกิดขึ้นก็เกิดจากเม็ดเลือดขาวไปโจมตีอวัยวะต่าง ๆ เหล่านั้น

เป็นโรคอักเสบเรื้อรังชนิดหนึ่ง ที่ไม่หายขาด และก่อให้เกิดโรคได้ในหลายๆ ระบบ ( เช่น ไต ไขข้อ ระบบเลือด ระบบผิวหนัง )

โรคที่พบได้ไม่บ่อย และบางคนอาจยังไม่รู้จักโรคนี้กันเท่าใดนัก เคยมีอดีตราชินีลูกทุ่งหญิงของไทยท่านหนึ่ง ได้เสียชีวิตจากโรคนี้ เมื่อไม่กี่ปีมานี้ ทำให้โรคนี้ได้มีกล่าวถึงกันมากขึ้น

แต่ในวงการแพทย์โรคนี้รู้จักกันมานาน แต่ก็ยังไม่ทราบสาเหตุที่เกิดขึ้นอย่างแท้จริง เชื่อว่าเกิดจากความผิดปกติของกลุ่มเนื้อเยื่อเกี่ยวกัน( connective tissue diseases) โดยมีการทำลายเนื้อเยื่อในระบบภูมิคุ้มกัน อาการทางผิวหนังเป็นปรากฏการณ์อย่างหนึ่งของโรคที่สังเกตให้เห็นได้

อุบัติการณ์ของโรคนี้ พบประมาณ 2-3 คนใน 100,000 คน มักพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ในอัตราส่วน 9:1 ในช่วงอายุ 20-50 ปี อาการของโรคที่ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิต คือภาวะแทรกซ้อนทางไต ทำให้ไตวาย และระบบประสาทส่วนกลาง

อาการของโรค ที่พบได้บ่อย คือ การปวดข้อ ข้ออักเสบ ไตอักเสบ ไข้ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ โรคโลหิตจาง เกร็ดเลือดต่ำ ผื่นทางผิวหนัง พบว่า ผู้ป่วยประมาณ 77 % หลังจากป่วยด้วยโรคนี้ และไม่ได้พบแพทย์รักษาตัวต่อเนื่อง หรือมีอาการแทรกซ้อนหลายระบบ จะเสียชีวิตภายใน 5 ปี

ผื่นทางผิวหนัง ในผู้ที่ป่วยด้วยโรค SLE
แบ่งได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้
1. ระยะเฉียบพลัน (acute phase) มักพบกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการทางระบบอื่น ร่วมด้วย ผื่นมีได้หลายแบบ เช่น ผื่นราบแดงหรือม่วงคล้ำ หรือ ตุ่มน้ำ แต่มักในบริเวณที่สัมผัสกับแสงแดด เช่น ใบหน้า และที่พบได้บ่อย คือ ลักษณะผื่นบวมนูนแดงที่แก้มทั้งสองข้าง คล้ายปีกผีเสื้อ( malar rash) ดังในภาพที่แสดง มักเกิดขึ้นทันทีที่โดนแดด บางครั้งอาจจะคัน ผื่นมักหายได้เอง ในเวลาหลายวันหรือเป็นสัปดาห์ สีผิวอาจไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อหาย หรือคล้ำลงเล็กน้อย
2.ระยะกึ่งเฉียบพลัน( subacute phase) มักพบในผู้ป่วยอายุน้อยถึงวัยกลางคน พบได้ประมาณ 25-85 % ของผู้ป่วยทั้งหมด
3.ระยะเรื้อรัง( chronic phase) ผื่นชนิดนี้ มักมีอาการแสดงทางระบบอื่นร่วมด้วยน้อย ประมาณร้อยละ 5-10 มักพบได้บ่อยสุดในผื่นระยะต่างๆ มีลักษณะผื่นแดง ขอบเขตชัด ตรงกลางบาง พบได้บ่อยบริเวณที่ถูกแสงแดดเป็นประจำ เช่น หน้า หนังศีรษะ หู ริมฝีปากล่าง ถ้าเป็นที่หนังศีรษะมักเกิดแผลเป็น และทำให้ผมร่วง และแก้ไขให้หาย ผมก็จะไม่ขึ้นมาทดแทน
อาการที่ควรพบแพทย์
         
อาการที่พบบ่อย  มีอาการทางผิวหนัง เช่น  มีผมร่วง มีแผลในปาก จะอยู่ที่เพดานซึ่งส่วนใหญ่จะไม่มีอาการเจ็บ  แพ้แสง เวลาถูกแสงแดดจะมีปฏิกิริยามากกว่าปกติ  มีผื่นรูปผีเสื้อสีแดงขึ้นที่บริเวณโหนกแก้มและจมูก มีอาการปวดข้อ บวมแดง ร้อน นอกจากนี้ยังมีอาการที่อวัยวะภายในอื่น ๆ  เช่น หัวใจ ปอด ไจ และระบบประสาท
การวินิจฉัยและรักษา
         
การวินิจฉัยโรคแพ้ภูมิตัวเอง ส่วนใหญ่แพทย์จะใช้จากประวัติของผู้ป่วย   การตรวจร่างกายพบรอยโรคร่วมกับการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น การตรวจเลือด  ปัสสาวะ การตรวจเอ็กซเรย์หัวใจและปอด
          สำหรับการรักษามีวิธีรักษาด้วยยา จะมียาลดการอักเสบของข้อ ลดการเจ็บปวด นอกจากนี้อาจจะมียาช่วยในการปรับการทำงานของเม็ดเลือดขาวให้ทำงานเหมือนปกติมากยิ่งขึ้น  ยากลุ่มนี้ ได้แก่ ยากลุ่มสเตียรอยด์ ยากดภูมิ
          ส่วนการรักษาอื่นในผู้ทีมีอาการข้อปวดบวม ข้อติดขัด อาจจะมีการแช่ในน้ำอุ่น   ขยับมือและขยับข้อในน้ำอุ่น ซึ่งทำให้ข้อนั้นลดความฝืด ลดความปวดได้ดีขึ้น

Posted on

แมกนีเซียม (Magnesium): แร่ธาตุและอาหารเสริมที่มีประโยชน์ มากกว่าการทำให้กระดูกแข็งแรง

แมกนีเซียม เป็นแร่ธาตุที่สำคัญชนิดหนึ่งของร่างกาย มีผลต่อการทำงานของเอนไซม์หลายร้อยตัว โดยเกี่ยวข้องกับการสร้างพลังงาน และการทำงาน ของหลอดเลือดและหัวใจ
 แต่ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ แมกนีเซียมมีความสัมพันธ์กับแคลเซียม โดยจะเป็นตัวพาแคลเซียมเข้าไปในกระดูกส่วนในเพราะถ้าไม่มีแมกนีเซียมแล้ว แคลเซียมจะพอกอยู่รอบๆ กระดูกเท่านั้น จึงทำให้ขนาดกระดูกใหญ่แต่ความหนาแน่นน้อย
ปริมาณความต้องการของร่างกาย
โดยเฉลี่ยร่างกายต้องการแคลเซียมในปริมาณ วันละ 1,000 มก. จะมีสัดส่วนในการต้องการแมกนีเซียมในสัดส่วน Calcium:Magnesium= 2:1 คือประมาณ 500 มก.ต่อวันโดยประมาณ โดย FDA ของอเมริกา ได้ทำสรุปความต้องการแคลเซียมของร่างกาย ดังนี้ ในผู้ชายประมาณ ไม่น้อยกว่า 350 มก.ต่อวัน และในผู้หญิงปกติ ประมาณ 300 มก.ต่อวัน แต่ในสตรีมีครรภ์ ประมาณ 450-500 มก.ต่อวัน
ตำแหน่งที่แมกนีเซียมสะสม
แมกนีเซียมในร่างกาย 65 % จะสะสมอยู่ที่กระดูกและฟัน ส่วนอีก 35 % จะพบในเลือดและเนื้อเยื่อต่างๆ 
แหล่งอาหารที่พบแมกนีเซียมสูง
ผักสีเขียวต่างๆ ข้าวซ้อมมือ ถั่วชนิดต่างๆ ยีสต์ และอาหารทะเล

บทบาทสำคัญของแมกนีเซียม 

  1. ช่วยในนำแคลเซียมเข้าสู่ภายในกระดูกได้มากขึ้น
  2. ช่วยในการผ่อนคลายกล้ามเนื้อลาย และกล้ามเนื้อเรียบ ( โดยมีแคลเซียมมีบทบาทในการหดตัวของกล้ามเนื้อลายและกล้ามเนื้อเรียบ )
  3. ทำให้หลอดเลือดขยายตัว ถ้าขาดอาจทำให้เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ( Coronary arteries) เกิดจากหดเกร็งทำให้เกิดภาวะเส้นเลือดหัวใจตีบเฉียบพลันได้ และในหลอดเลือดทั่วไป ถ้าขาดแมกนีเซียมอาจทำให้การนำออกซิเจนไปยังอวัยวะต่างๆ ไม่เพียงพอ เกิดอาการปวด บาดเจ็บหรือกล้ามเนื้อตายได้
  4. ทำให้การทำงานของเอนไซม์ที่ใช้ในขบวนการเมตาบอริซึมของโปรตีนและคารโบไฮเดรต และการสร้างและทำงานของ DNA ทำงานได้ปกติ
  5. มีบทบามในขบวนการสร้าง ATP ซึ่งเป็นสารให้พลังงานแก่ร่างกาย
  6. ช่วยลดอาการปวดศีรษะไมเกรนได้ โดยจากการทดลองในคน 81 คน พบว่ากลุ่มที่ได้รับแมกนีเซียมวันละ 600 มก.ต่อวัน เป็นเวลา 9 สัปดาห์ จะมี ความถี่ในการปวดศีรษะไมเกรน ลดลงได้ถึง 42 %
  7. ช่วยลดอาการปวดท้อง ในระหว่างมีประจำเดือนในสตรี
  8. ช่วยต่อสู้กับอาการซึมเศร้า ช่วยให้นอนหลับได้ดี

    ปัจจัยที่ทำให้ร่างกายได้รับแมกนีเซียมลดลง และควรหลีกเลี่ยงมีดังนี้
  1. การรับประทานอาหารจำพวกแป้งที่ผ่านการขัดสีแล้ว
  2. อาหารที่มีไขมันสูง
  3. การดื่มน้ำอัดลม แอลกอฮอล์ น้ำหวาน
  4. การได้รับแคลเซียมและฟอสฟอรัสในปริมาณที่สูงๆ
  5. การได้รับประทานยาขับปัสสาวะในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง

    ดังนั้นในปัจจุบันได้มีการให้ความรู้ทางสื่อมากมาย เกี่ยวกับความสำคัญของแคลเซียม โดยอาจอยู่ในรูปของเครื่องดื่ม นม และอาหารเสริมมากมาย แต่ท่านต้องอย่าลืมแมกนีเซียมด้วย ดังนั้นก่อนเลือกบริโภค ควรดูส่วนประกอบให้ดีว่าได้รับทั้งแคลเซียมและแมกนีเซียมควบคู่ไปด้วยกัน เป็นคู่รัก คู่รส คู่ใหม่
Posted on

แคลเซียม (Calcium) : แร่ธาตุที่ทุกคนต้องการ อยากเพิ่มแคลเซี่ยม แต่ไม่ได้ผล เพราะอะไร

ทำไมต้องรับประทานแคลเซี่ยม
แคลเซียมมีประโยชน์มากมาย มีความจำเป็นมากกับความแข็งแรงและความหนาแน่นของกระดูก ในภาวะปกติ ร่างกายต้องการแคลเซียมประมาณ 800-1000 มก.ต่อวัน
แต่เนื่องจาก ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์แคลเซียมเองได้ เราต้องเพิ่มแคลเซี่ยม จากภายนอก ซึ่งมี 2 ทางได้แก่
1. การรับประทานที่มีแคลเซี่ยมสูง
ได้แก่ นม, กุ้งแห้ง, กะปิ, ปลาเล็กปลาน้อย, ปลาสลิด, หอยนางรม, ผักใบเขียวที่มีลักษณะแข็ง (คะน้า, ใบยอ, ใบชะพลู), งาดำ ฯลฯ
2. อาหารเสริม
ได้แก่ แคลเซียม ซิเตรต แคลเซียมฟอสเฟต แคลเซียมแลกเตต แคลเซียมคีเลต ไบโอแคลเซียม แคลเซียมแอล-ทรีโอเนต ซึ่งปริมาณแคลเซียมและการดูดซึมของแคลเซียมต่างรูปแบบก็จะต่างกัน โดยพบว่า แคลเซียมแอล-ทรีโอเนต จะดูดซึมได้ 90% และรับประทานได้แม้ตอนท้องว่าง
ปริมาณแคลเซียมที่ร่างกายควรได้รับในแต่ละช่วงอายุ
อายุ < 40 ปี 800 mg / วัน = นม 3 – 4 แก้ว
วัยทอง (~50 ปี) 1000 mg / วัน = นม 4 – 5 แก้ว
ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์, อายุ > 60ปี 1200 mg / วัน = นม 6 – 7 แก้ว
ผู้หญิงมีโอกาสกระดูกหักจากโรคกระดูกพรุนมากถึง 30  – 40% ส่วนผู้ชาย 10%
10 ปีแรกหลังหมดประจำเดือน กระดูกจะบางลงเร็วมาก เกิดจากการขาดฮอร์โมนเพศหญิง หรือ Estrogen การเสริม Calcium จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมาก เพื่อช่วยเพิ่มความหนาแน่นของกระดูกและป้องกันโรคกระดูกพรุน 

ปัจจัยที่มีผลต่อการดูดซึมแคลเซี่ยม

  1. การขาดวิตามินดี เพราะวิตามินดี มีส่วนช่วยให้การดูดซึมแคลเซียมดีขึ้น
  2. ความผิดปกติในระบบทางเดินอาหาร เช่น โรคกระเพาะอาหาร หรือลำไส้อักเสบ มะเร็งลำไส้ การติดเชื้อในทางเดินอาหาร ท้องเสีย
  3. ภาวะความเป็นกรดของกระเพาะสูงเกินไป ทำให้แคลเซียมแตกตัวเป็นอิออนมาก และดูดซึมน้อยลง
  4. ความเครียด ทำให้กรดในกระเพาะหลั่งมากขึ้น
  5. การรับประทานอาหารพวกไขมัน หรือโปรตีนในปริมาณสูงๆ ทำให้ไปบดบังการดูดซึมแคลเซียมในทางเดินอาหาร
  6. อาหารบางอย่างที่ให้กรด Oxalic acid ในปริมาณสูง ทำให้กรดนี้ไปจับกับแคลเซียมในทางเดินอาหารทำให้การดูดซึมเกิดขึ้นไม่ได้ ซึ่งกรด Oxalic acid นี้พบได้มากใน ผักขม โกโก้ ถั่วเขียว เป็นต้น
  7. การได้รับฟอสฟอรัสมากเกินไป จึงเกิดการแย่งกันดูดซึมกับแคลเซียม
  8. คาเฟอีนและแอลกอฮอร์ จะทำให้ร่างกายเร่งการขับถ่ายแคลเซียมออกจากร่างกายได้
  9. การสูบบุหรี่ ทำให้สตรีเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนเร็วขึ้น และทำให้ความแข็งแรงของกระดูกลดลง
Posted on

กวาวเครือ (kwao-krua) : สมุนไพรสำหรับสตรี ที่อยากมีหน้าอกกระชับ ปรับผิวให้เต่งตึง มีข้อควรระวังอะไรบ้าง

กวาวเครือ เป็นพืชไม้เลื้อย ผลัดใบ ลำต้นเกลี้ยง ยาวประมาณ 5 เมตร หัวใต้ดินมีขนาดใหญ่ ค่อนข้างกลมและคอดยาวเป็นตอนๆ ต่อเนื่องกัน เป็นพรรณไม้ถิ่นเดียวของไทย พบตามป่าเบญจพรรณซึ่งเป็นป่าผลัดใบ และป่าเต็งรัง ในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันตกของประเทศไทย
กราวเครือกระจายพันธุ์ด้วยเมล็ด มีความหลากหลายทางพันธุกรรมค่อนข้างสูง ทำให้ลักษณะใบแตกต่างกันหลายๆแบบ ในแต่ละพื้นที่ แบ่งได้เป็น 4 ชนิด คือ กวาวเครือขาว กวาวเครือแดง กวาวเครือดำ และกราวเครือมอ โดยเรียงลำดับ จากความแรงอ่อนสุดไปมากสุด
กวาวเครือ เป็นสมุนไพรที่เป็นที่รู้จักและมีการใช้กันมานานแล้วในฐานะของสมุนไพรอายุวัฒนะ ในตำรับยาโบราณที่มีสรรพคุณบำรุงร่างกาย ทำให้ ผิวพรรณมีน้ำมีนวลและผิวหนังเต่งตึง ซึ่งความสวยงามที่ได้เป็นผลพลอยได้เท่านั้น และต่อมาได้รับความนิยมและเป็นที่รู้จักมากขึ้น ทั้งในประเทศและต่างประเทศ

คุณสมบัติทางยา
มีการค้นพบว่ามีสารเคมีที่สามารถออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเพศหญิง (Estrogen) หลายชนิด คือ Miroestrol,puerarin,mirificin,diadzin,Beta-sitosterol,coumestrol,genistein และสารเคมีอื่นๆ ที่ไม่มีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจนดังนั้นในทัศนะของแพทย์พื้นบ้านทางเหนือ จึงเชื่อว่าถ้ารับประทานเข้าไปในขนาดและวิธีที่เหมาะสม จะมีประโยชน์โดยสรุปดังนี้
1. เป็นยาอายุวัฒนะใช้ได้ทั้งเพศชายและหญิงในผู้สูงอายุ ทำให้เจริญอาหาร นอนหลับได้ดี
2. ทำให้ผิวหนังที่เหี่ยวย่นกลับเต่งตึงมีน้ำมีนวล ลดรอยย่น ตีนกา
3. ช่วยเสริมให้หน้าอกโตได้ ทำให้คัดหน้าอก
4. ช่วยให้ประจำเดือนกลับมามีได้ใหม่ ในผู้หญิงวัยใกล้หมดประจำเดือน หรือวัยหมดประจำเดือน
5. ช่วยให้ช่องคลอดไม่แห้ง มีน้ำหล่อลื่น
6. เสริมพละกำลัง ไม่อ่อนเพลียง่าย
7. หูตาที่ฝ้าฟางกลับดีขึ้น ทำให้อ่านหนังสือได้ชัดขึ้น
8. ความจำดีขึ้น
9. ลดกำหนัดได้
10. ช่วยให้เส้นผมที่หงอกกลับดำ และทำให้เพิ่มเส้นผมได้
แต่จากการรวบรวมข้อมูลการรับประทานกวาวเครือ ของยุทธนา สมิตะสิริ(2541) พบว่าเมื่อหยุดใช้กวาวเครือ อาการต่างๆ จะกลับมาเหมือนเดิม

กราวเครือขาว
กราวเครือแดง
ก้อนที่หน้าอก หรือมะเร็งเต้านม
เยื่อหุ้มอัณฑะหนา มะเร็งในผู้ชาย

ข้อควรระวังในการใช้

ตามรายงานของวารสารสยามสมาคม(Kerr,1932) และตำรายาหัวกวาวเครือ (ของหลวงอนุสารสุนทร,2474) ได้กล่าวเน้นให้ความสำคัญในการบริโภคคือ ต้องรู้จักต้นกวาวเครืออย่างดี เพราะถ้าไม่รู้จักดีพอ การเอาเถา ต้น หัว ใบ ของต้นไม้ชนิดอื่นที่คล้ายแล้วไปทำเป็นยาอายุวัฒนะแล้ว นอกจากจะไม่ได้ ประโยชน์แล้ว อาจทำให้เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้
หรือการรับประทานหัวกวาวเครือเกินขนาดก็เกิดโทษได้ โดยพบว่าในกวาวเครือ สารพิษที่พบก็คือ Butanin แล้วยังพบว่าในกราวเครือ อาจมีส่วนผสมของโลหะปรอท 4.0 มก.ต่อกรัม ,Litium 94.0 มก.ต่อกรัม,Sodium 10.0 มก.ต่อกรัม,Calcium 29.0 มก.ต่อกรัม ดังนั้นในทัศนะของแพทย์พื้นบ้านภาคเหนือ จึงต้องนำสมุนไพรอื่นร่วมในการทำยา เรียก ‘ ตัวคุม’

พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ นายกสมาคมแพทย์แผนไทย ได้กล่าวสรุปว่า ไม่ควรรับประทานมากหรือต่อเนื่องนานเกินไป เพราะอาจมีอาการเต้านมโต เป็นก้อน ถึงก่อให้เกิดมะเร็งในผู้หญิงได้ หรือทำให้เยื่อหุ้มอัณฑะหนา ถึงก่อมะเร็งในผู้ชาย นอกจากนี้ยังได้สรุปปัญหาการบริโภคในระดับปัจเจกชนมีดังนี้

  1. บริโภคกวาวเครือผิดประเภท เช่น ใช้พืชหัวอื่นที่คล้ายกราวเครือ ทำให้มีพิษต่อร่างกายถึงชีวิต
  2. บริโภคกวาวเครือผิดขนาด หลายระยะเวลา มากเกินไป หรือ นานเกินไป
  3. บริโภคกวาวเครือผิดวิธี ซึ่งตำรายาระบุไว้หลายวิธี ซึ่งมีผลต่อความเข้มข้นของสารออกฤทธิ์
  4. บริโภคกวาวเครือผิดวัตถุประสงค์ เดิมมิได้รับประทานเพื่อเป็นยาอายุวัฒนะ แต่ต้องการผลข้างเคียงอย่างอื่น

ปัจจุบัน ได้มีนักวิจัยหลายๆ กลุ่ม พยายามที่จะพัฒนานำสารบางอย่างที่ออกฤทธิ์เหมือนฮอร์โมนเพศหญิงจากหัวกวาวเครือมาใช้ในแวดวง ความสวยงาม แต่ก็ยังไม่เป็นที่สรุปและยอมรับในมาตรการความปลอดภัยสำหรับผู้บริโภคอย่างเพียงพอ ได้มีการประชุมเชิงสัมนาเรื่องกวาวเครือ กับผลงานการวิจัย ได้ข้อสรุปเบื้องต้นเพียงว่า ผลิตภัณฑ์จากกวาวเครือมีความเป็นฮอร์โมนสูง จึงเหมาะเพียงสำหรับผู้หญิงวัยทอง เพราะจะไปช่วยเพิ่มความสมดุลย์ของฮอร์โมนเพศในร่างกาย แต่อย่างไร ก่อนหรือหลังใช้ ต้องพิจารณาผลการทดสอบความเป็นพิษก่อนเสมอ

อกสารอ้างอิง; คู่มือการตรวจสอบ กวาวเครือ และทองเครือ ของฝ่ายพันธุ์พืช กองควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร กรมวิชาการการเกษตร
เอกสารอ้างอิง; เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ 2541 ปัญหาการใช้กวาวเครือในประเทศไทย,เอกสารประกอบการสัมมนา ของสถาบันแพทย์แผนไทย กรมการแพทย์

Posted on

อยากเลิกเหล้า ยาเลิกสุรา ได้ผลมากน้อยอย่างไร ตัวไหนที่ได้ผล ไม่มีอันตราย ไม่มีผลข้างเคียง

การติดสุรา (Alcoholism) เป็นภาวะที่เลิกได้ยาก ส่วนใหญ่เลิกได้ไม่กี่เดือนก็จะหวนกลับมาดื่มต่อ ทำให้โรคทางกายที่เกิดจากสุราไม่สามารถรักษาให้ดีขึ้นได้
ยาเลิกสุรา
ยาที่ได้รับการยอมรับจากองค์การอาหารและยา คงมีประสิทธิภาพที่ยังไม่เป็นที่พอใจมากนัก เพราะยาแต่ละอย่างมีปัญหาหรือจุดด้อยในตัวเองที่ทำให้การรักษาไม่ได้ผลอย่างที่อยากให้เป็น ยาเหล่านีได้แก่
1. Disulfiram
ยาเลิกเหล้าขนานแรกสุดที่คิดค้นกันขึ้นมาได้ ยาขนานนี้มีอายุอานามหลายสิบปี ยาขนานนี้มีกลไกเปลี่ยนเส้นทางของการเผาผลาญแอลกอฮอล์ที่ปกติจะลงเอยกลายเป็นสารที่ไม่เป็นพิษและน้ำในร่างกายขับถ่ายออกไป แต่เมื่อใช้ยานี้ เมื่อใดก็ตามที่ผู้ป่วยดื่มเหล้า แอลกอฮอล์จะถูกแปรเปลี่ยนเป็นสารพิษต่อร่างกาย ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน วิงเวียน เป็นลม ปวดศีรษะ ไม่สบายตัวอย่างมาก บางรายถึงกับช็อกจนเสียชีวิตก็มี ลงท้ายผู้ป่วยรู้แกวก็เลิกกินยาแทนที่จะเลิกกินเหล้า
2. Naltrexone (Revia ,Depade)
ยาอีกขนานหนึ่งที่ถือว่าเป็นการเปิดมุมมองใหม่ของยาเลิกเหล้าคือ ยาที่อาศัยหลักการว่า ทำให้การดื่มไม่เกิดความสุขอีกต่อไป โดยยาขนานนี้ขัดขวางระบบสารความสุขตามธรรมชาติในสมอง (natural brain opioids) ดังนั้น ดื่มทีไรก็ไม่สุขเหมือนเคย ช่วยลดการดื่มลงได้

3. Acamprosate (Campral)
ยาขนานที่สามที่เพิ่งได้รับการอนุมัติให้ใช้ในการเลิกเหล้าเมื่อไม่นานมา เป็นยาที่ปรับระบบความเครียดภายในสมอง ยานี้ช่วยลดอาการ withdrawal เมื่อหยุดเหล้าได้ แต่น่าเสียดายที่ผลในทางคลินิกไม่ได้ดีดังที่อยากให้เป็น และยานี้ก็ไม่ช่วยลดอาการนอนไม่หลับหรืออาการซึมเศร้าในผู้ป่วยที่เลิกเหล้า4.
4. Gabepentin ( Neurotin)
ยาขนานใหม่ล่าสุดในการช่วยเลิกเหล้า สามารถสงบอาการขาดเหล้าได้ ทั้งนี้ก็ด้วยกลไกการทำงานที่เกี่ยวข้องกับระบบสารสื่อประสาท GABA ซึ่งเป็นระบบสารสื่อประสาทที่สัมพันธ์กับแอลกอฮอล์มากที่สุด ยานี้จึงช่วยได้ทั้งลดอาการขาดเหล้า (withdrawal syndrome) อาการวิตกกังวล และอาการจิตตกซึมเศร้าในผู้ป่วย เป็นยาที่ค่อนข้างปลอดภัย ผู้ป่วยทนยาได้ดี ผลข้างเคียงน้อย

ก่อนจะเลือกใช้ยาตัวไหน แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนดีที่สุด สำคัญที่กำลังใจ และความตั้งใจที่จะเลิกเหล้าจริงๆ

Posted on

หอยนางรม (Oyster): คุณประโยชน์ต่อร่างกายครบ จบใน 1 ตัว แต่รับประทานแค่ไหน จึงจะปลอดภัย

หอยนางรม เป็นหอยประเภท 2 ฝา เป็นสัตว์ในตระกูล Crassosteagis thunberg อาศัยอยู่ในทะเล พบมากในมหาสมุทรแปซิฟิต โดยคุณภาพหอยนางรม จะขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของแหล่งที่มันอาศัยอยู่ และเชื่อว่าญี่ปุ่นจะเป็นแหล่งที่หอยนางรมมีคุณภาพมากแหล่งหนึ่ง
หอยนางรม เป็นอาหารที่เลิศรสอย่างหนึ่งในร้านอาหารซีฟู๊ดทั้งหลาย และสนนราคาก็แพงเอาการทีเดียว เพราะเชื่อกันว่า สารอาหารที่อยู่ในหอยนางรมมีประโยชน์มากมาย โดยเฉพาะเกี่ยวกับสมรรถภาพทางเพศ บางคนเชื่อว่าเป็นยาโด๊บจากธรรมชาติเลยทีเดียว ลองมาดูรายละเอียดของหอยนางรม

ส่วนประกอบและคุณสมบัติที่พบจากหอยนางรม

1. Taurin เป็นกรดอะมิโนตัวหนึ่งที่หลายคนไม่ค่อยรู้จัก โดยมีความสำคัญต่อร่างกาย ดังนี้
1.1 ช่วยควบคุมระดับความดันโลหิตในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง โดยเชื่อว่าเกี่ยวข้องกับระบบ Renin-Angiotensin ในระบบไต
1.2 ช่วยควบคุมการแลกเปลี่ยน เข้าออก ของอิออนต่างๆ จากเซลล์ที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหว ปฏิกริยารีเฟล็กซ์ จึงพบได้มากในเซลล์ที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาท ในเรื่องกระแสประสาทที่สมองส่วนกลาง ในเนื้อเยื่อของกล้ามเนื้อลาย และหัวใจ
1.3 ช่วยในการสร้าง taurocholate ซึ่งจะไปทำให้ไขมันที่รับประทานเข้าไป แตกตัวเป็นโมเลกุลเล็กๆ ทำให้สามารถย่อยและเผาผลาญได้ง่ายขึ้น ทำให้ร่างกายนำพลังงานไปใช้ในการทำกิจกรรมต่างๆ ได้เร็วขึ้น
1.4 ช่วยให้สเปริ์ม เคลื่อนที่และมีกำลังเคลื่อนที่ดีขึ้น ทำให้มีโอกาสตั้งครรภ์ได้ง่ายขึ้นในผู้ป่วยที่มีบุตรยาก
2. Glycogen เป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญอย่างหนึ่งของร่างกาย ที่สามารถนำไป ใช้งานได้โดยตรงทันที เมื่อร่างกายอ่อนเพลีย หรือต้องการกำลังงานเพิ่ม
3. Essential Minerals เช่น สังกะสี (ซึ่งเป็นส่วนประกอบของฮอร์โมนเพศชาย Testosterone) ธาตุเหล็ก ทองแดง ไอโอดีน ซีลีเนียม ( ซึ่งเป็นสาร Antioxidants ป้องกันการเสื่อมของเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย พร้อมทั้งเชื่อว่า สามารถกระตุ้นความต้องการทางเพศได้ 
4. Essential Fatty acids หลายตัวที่เป็นส่วนประกอบของฮอร์โมนที่สำคัญ ในร่างกาย และพบว่าสามารถเพิ่มจำนวน sperms ได้
5. Vitamins หลายตัวที่ช่วยเสริมสร้างให้สุขภาพทั่วไปของร่างกายแข็งแรงขึ้น

รับประทานได้แค่ไหน ไขมันไม่สูง ไม่ท้องเสีย
หลายคนอาจกังวลว่าหอยนางรมจะมีคอเลสเตอรอลเยอะเกินไปหรือไม่ และหากกินสดจะเสี่ยงอันตรายอะไรหรือเปล่า โดยพบว่า หอยนางรมมีระดับไขมันคอเลสเตอรอลต่ำเมื่อเทียบกับอาหารทะเลชนิดอื่น ๆ โดยหอยนางรมดิบปริมาณ 85 กรัมมีคอเลสเตอรอลเพียง 21 มิลลิกรัมเท่านั้น
แม้สารอาหารทั้งหมดในหอยนางรม 1 ตัว จะมากมาย แต่ เราไม่ควรกินหอยนางรมเกิน 5 ตัวใน 1 มื้อ เพราะหอยนางรมเกือบทุกตัวมีเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อว่า Vibrio parahaemolyticus และเชื้อ Salmonella ซึ่งถ้ามีปริมาณมากไป จะทำให้มีอาการท้องเสีย ท้องร่วง
ส่วนใครที่เป็นโรคตับ ติดสุราเรื้อรัง เอชไอวี หรือกำลังทานยากดภูมิคุ้มกันอยู่ อาจมีอาการหนักกว่าคนปกติ มีความเสี่ยงติดเชื้อในกระแสเลือด และรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ ดังนั้นใครที่มีความเสี่ยงดังกล่าว ไม่ควรทานหอยนางรม

การเลือกซื้อหอยนางรม อย่างไรให้ปลอดภัย

  1. เลือกซื้อหอยนางรมจากแหล่งผลิตที่ไว้ใจในคุณภาพได้
  2. สังเกตความสะอาดของเปลือก และภายในของหอย ต้องสดใหม่ สะอาด ไม่มีกลิ่นไม่เหม็นคาว
  3. สีของหอยไม่เปลี่ยน หรือผิดปกติไปจากเดิม เช่น เนื้อของหอยไม่ยุ่ยเละ สีไม่คล้ำ
  4. เลี่ยงการทานน้ำทะเลที่มากับหอย
  5. ถ้าจะให้ปลอดภัยที่สุด คือ ควรกินหอยนางรมปรุงสุก แม้ว่าจะกินกับมะนาว หรือการปรุงสุกด้วยกรด ก็ยังไม่สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่มากับหอยได้ และที่สำคัญอย่ากินหอยนางรมมากเกินไปในคราวเดียว เพราะอาจเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อแบคทีเรียได้มากกว่าเดิม
Posted on

โรคไฟลามทุ่ง ( Erysipelas) : ภาวะติดเชื้อแบคทีเรียทางผิวหนังรุนแรง ที่ต้องรีบรักษาด่วน !

โรคไฟลามทุ่ง (Erysipelas) คือ โรคทางผิวหนังที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียเ อย่างรุนแรงในชั้นหนังแท้ (Dermis) ส่วนที่อยู่ตื้น ๆ และท่อน้ำเหลืองใกล้เคียง อาการมักลุกลามอย่างรวดเร็วคล้ายไฟลามทุ่งจึงเป็นที่มาของชื่อโรค และยังจัดเป็นประเภทหนึ่งของโรคเซลล์เนื้อเยื่ออักเสบ (Cellulitis) แต่มีความรุนแรงน้อยกว่า  
อาการของโรคไฟลามทุ่ง
มีอาการบวม แดง ร้อน มีขอบเขตชัด ผิวหนังจะขรุขระคล้ายผลส้ม อาจพบตุ่มน้ำพองใส คล้ายโรคอีสุกอีใส ได้ ซึ่งถ้ารุนแรง อาจพบผิวหนังจะลอกเป็น แผลถลอกเป็นแผ่นๆ จนถึงเซาะลึกลงไปใต้ผิวหนัง
– พบได้บ่อยในเด็กทารก เด็กเล็ก และผู้สูงอายุ ซึ่งมีปัจจัยเสี่ยง เช่น เบาหวาน โรคไต โรคระบบหมุนเวียนของเลือดและน้ำเหลืองไม่ดี ภาวะขาดอาหาร โดยเชื้อโรคจะเข้าทางรอยแตกแยกของผิวหนัง เชื้อโรคที่พบได้บ่อย คือ จาก Streptococcus group A แต่ในเด็กเล็กอาจพบอาจเชื้อโรค Haemophilus influenzae type B

แนวทางการรักษา
เป็นภาวะฉุกเฉินทางผิวหนัง ที่ต้องรีบพบแพทย์ เนื่องจากในรายที่เป็นรุนแรง อาจมีอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ ดังนั้นถ้ามีอาการสงสัย ดังในภาพ ควรรีบพบแพทย์โดยด่วน เพราะแพทย์จะทำการตรวจหาเชื้อแบคทีเรีย ที่เป็นสาเหตุ เพื่อจะให้ยาปฏิชีวนะได้ถูกต้องตามชนิดการติดเชื้อแบคทีเรีย โดยมีขั้นตอนดังนี้

  1. ส่วนใหญ่แพทย์จะให้นอนพักที่ รพ. เพื่อสังเกตอาการ
  2. มักให้พักบนเตียง นอนยกขาสูง ไม่ให้เคลื่อนไหวมาก
  3. ทำความสะอาดผิวหนัง ด้วยยาฆ่าเชื้อโรค ทุกวัน
  4. แนะนำไม่ให้แกะเกาแผล
  5. ให้ยาปฏิชีวนะฆ่าเชื้อโรค อาจในรูปยารับประทาน หรือยาฉีด ตามผลการตรวจเพาะเชื้อ หรือตามที่พบในกล้องจุลทรรศน์จากการย้อมสีแกรม

Posted on

น้ำยาปลูกผม ( Hair lotion) ที่วางขายทั่วไป ช่วยรักษาผมร่วง ผมบาง ผมดกดำขึ้น ได้จริงมั้ย

น้ำยาปลูกผมในท้องตลาด ดูอย่างไร ว่าได้ผลจริง

ปัจจุบันนี้ ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเส้นผม ไม่ว่าจะเป็นหยุดผมร่วง สร้างผมใหม่ ให้ดกดำ ออกมามาวางจำหน่ายในท้องตลาด หรือในออนไลน์ มากมายหลายยี่ห้อ ได้ทำการโปรโมทเป็นอย่างหนัก ทำให้มีคำถามมากมายว่าได้ผลจริงหรือไม่ ก่อนจะดัดสินใจซื้อมาใช้ ควรดูส่วนประกอบว่า มีตัวยาอะไรบ้าง และมีหลักพิจารณาดังนี้
1. ไมนอกซิดิล : อันนี้สำคัญมาก เพราะ น้ำยาปลูกผม ไม่ว่าจะเป็นแบบเซรั่ม หรือสเปรย์ ถ้ามีส่วนผสมของไมนอกซิดิล ใน % ที่เหมาะสม คือ มากกว่า 3% Minoxidil ก็ทำให้เส้นผมดกดำได้ แต่ส่วนใหญ่มักจะวางจำหน่ายไม่ได้ เพราะเข้าช่ายเป็นยา อย. ไม่อนุญาติให้จำหน่ายทั่วไป ต้องจ่ายจากในคลินิกเท่านั้น
2. สารสกัดธรรมชาติ : ที่วางจำหน่ายได้ทั่วไป และผ่าน อย . น่าจะเป็นกลุ่มนี้ อาทิเช่น ที่สกัดได้จากพืชที่ชื่อ Stephania cephtaranta และ Notoginseng โดยพืช ทั้งสองตัว ให้สารสำคัญหลักได้แก่ Cepharantine และ Isotretrandrine ซึ่งเชื่อว่า มีประโยชน์ดังนี้

  1. จะช่วยเพิ่มการไหลเวียนของหลอดเลือดฝอยบริเวณหนังศรีษะ ทำให้เลือดนำออกซิเจน และสารอาหารไปเลี้ยง เซลล์รากผมได้อย่างพอเพียง
  2. ช่วยเพิ่มคุณภาพของเลือดที่ไปหล่อเลี้ยงรากผม ช่วยป้องกันผมร่วง
  3. ช่วยเพิ่มขบวนการเมตาบอลิซึม ทำให้เซลล์เส้นผม ทำให้เส้นผมแข็งแรง
    จากประสิทธิภาพของสารดังกล่าว สันนิษฐานว่า ใกล้เคียงกับการทาด้วย Minoxidil solutions แต่ผลการวิจัยและสนับสนุนมีไม่เพียงพอ เหมือนการวิจัยยาทาที่มี Minoxidil solutions ที่ FDA ของหลายๆประเทศได้พิสูจน์แล้วว่า ทำให้เส้นผมและขนขึ้นได้
    ดังนั้นก่อนจะดัดสินใจซื้อ ควรสอบถามส่วนประกอบที่สำคัญ แล้วไปค้นคว้าเพิ่มเติม สารดังกล่าวมีงานวิจัยและ อย.ทั่วโลกรับรองหรือไม่ มิใช่แค่เห็นรูปรีวิว ก็จัดเลย เดี๋ยวจะเสียทั้งเงิน เสียเวลา เสียความรู้สึก

Posted on

เจลาติน ( Gelatin) : โปรตีนสกัด กับบทบาทอาหารเสริม บำรุงเล็บ เส้นผม ผิวพรรณ

เจลาติน เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่ไม่มีสี ที่ได้จากปฏิกริยาการย่อยสลายโดยการใช้น้ำ(hydrolysis) จากโปรตีนคอลลาเจนของสัตว์อีกทีหนึ่ง จึงอุดมไปด้วยโปรตีนและกรดอะมิโนหลายชนิดจึงอาจเป็นประโยชน์ต่อร่างกายและสุขภาพ นอกจากจะใช้ในรูปแบบของขนมน้ำตาลสูง อย่างเยลลี่ หมากฝรั่ง หรือวุ้น

ส่วนประกอบของเจลาติน 

1. Proline and Hydroxyprolene 25 %
2. Glycine 27 %
3. Alanine 9 %
4. Aspartic acid 6 %
5. Glutamic acid 10 %
6. กรดอะมิโนเอซิคอื่นๆ 15 %

ประโยชน์ของเจลาติน : – เป็นแหล่งโปรตีนที่ร่างกายนำไปสร้างคอลลาเจนได้ทันที หรือเป็นส่วนประกอบหลักของอวัยวะที่มีโปรตีนคอลลาเจนเป็นองค์ประกอบหลัก อันได้แก่อวัยวะต่างๆ ดังนี้

  1. เล็บ ทำให้เล็บแข็งแรงเป็นเงามัน ไม่แตก หรือเปราะหักง่าย
  2. เส้นผม ทำให้ผมดกดำเป็นเงางาม โทนสีสม่ำเสมอ เส้นผมยาวเหยียดตรง และมีน้ำหนัก
  3. ผิวพรรณ ทำให้ผิวหนังไม่เหี่ยวย่นเกินวัย ผิวพรรณชุ่มชื่น นุ่มนวลผ่องใส ทำให้สุขภาพผิวแข็งแรงทนทานต่อสภาพแวดล้อมและเชื้อโรคได้
  4. กระดูกอ่อน เอ็น และเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ( connective tissues)

การรับประทานอาหารเสริมที่มีเจลาติน เหมาะกับบุคคลดังต่อไปนี้ 

  1. ผู้ที่ต้องการบำรุงผิวพรรณ เส้นผม และเล็บ โดยเฉพาะสตรีที่ให้นมบุตร สตรีในระยะที่มีประจำเดือน หรือวัยหมดประจำเดือน เพราะในสตรีกลุ่มนี้มักจะบกพร่องในเรื่องสารอาหารหลายชนิด ทำให้อาจบกพร่องในการสร้างคอลลาเจนด้วย
  2. ผู้สูงอายุ ที่มักเกิดจากความเสื่อมของกระดูก โดยการรับประทานเพื่อเสริมเจลาตินที่เสื่อมสภาพไป ให้ฟื้นฟูสภาพได้ ดังเดิม หรือป้องกันไม่ให้กระดูกเสื่อมถอยมากขึ้น
  3. นักกีฬา หรือผู้ที่ออกกำลังกายอย่างหนัก เพราะในกลุ่มนี้จะต้องการให้กระดูก ข้อต่อ เส้นเอ็นแข็งแรง เพื่อรองรับ การทำงานที่หนักหน่วง
  4. ใช้ลดน้ำหนักในโปรแกรมอาหารเสริมลดน้ำหนักได้ เนื่องจากมีคุณสมบัติในการพองตัวและเกิดความหนืดเมื่อละลายน้ำ

ขนาดในการรับประทานอาหารเสริมเจลาติน ประมาณ 1,550 มิลลิกรัม หรือ ครั้งละ 24 เกรน วันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหารประมาณ 30 นาที และดื่มน้ำตามมากๆ
นอกจากนี้ถ้าจะให้อาหารเสริมเจลาตินทำงานหรือดูดซึมเข้าสู่ผิวพรรณได้ดีขึ้น แนะนำให้รับประทานร่วมกับอาการเสริมที่ช่วยทำให้การหมุนเวียนของโลหิต เช่น น้ำมันจากดอกอีฟนิ่งพริมโรส น้ำมันจากผล Black current oils,Borage oils หรือกระเทียมสกัด( Garlic extract)

Posted on

เป็นเหา ( Lice) คันหนังศีรษะ อยากหาย ทำไงดี

เหา แมลงไร้ปีกที่มีขนาด 1-2 มม. พบได้บ่อยในเด็กวัยเรียน โดยเฉพาะเด็กผู้หญิง เหาจะคอยดูดเลือดกินเป็นอาหาร ในน้ำลายของเหามีสารที่ระคายผิวหนังได้ ทำให้เกิดตุ่มคันตรงรอยกัด
เหา มีลำตัวเรียวยาวดังภาพ มีความคล่องตัวในการเคลื่อนไหว จึงติดต่อกันได้ง่ายมาก พบว่าเด็กผู้หญิงที่มีเหาที่หนังศีรษะ สามารถแพร่การติดเชื้อให้แก่เพื่อนๆ ภายในชั้นเรียนเดียวกัน ภายใน 24 ชม. ไข่มีขนาดเล็ก ประมาณ 0.5 มม.ฟักเป็นตัวอ่อน ของเหา ภายใน 1 สัปดาห์ มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

แนวทางการรักษา 

  1. เดิมใช้วิธีโกนผมออกให้หมด ซึ่งที่จริงใช้รักษาได้ผลดี เพราะเหาไม่มีที่ยึดเกาะ แต่ก็ในแนวทางปฏิบัติ คงทำได้ยาก เพราะคงไม่อยากมีใคร เป็นโล้นซ่าส์ได้ง่ายๆนัก โดยเฉพาะในเด็กผู้หญิง การใช้หวีที่มีซี่ถี่ๆ สางตัวเหาออก้เป็นอีกวิธีทีนิยม แต่เหามักจะไม่หมด
  2. ปัจจุบัน มีตัวยาที่ใช้ฆ่าเหา และไข่เหาได้ผลดี คือ Gamma benzene hexachoride ใช้ทาทั่วศีรษะ หลังสระผมให้สะอาดแล้ว แล้วทิ้งไว้ 12 ชั่วโมง และสระผมซ้ำล้างออก โดยจะฆ่าตัวเหาได้หมด แต่ไข่เหายังไม่หมด จึงแนะนำให้ทายาซ้ำอีก 1 สับดาห์ แล้วใช้หวีซี่ถี่ๆ สางผมให้ไข่เหาหลุดออก
  3. นำเครื่องใช้ของผู้ติดเหาไปล้างทำความสะอาด ส่วนเครื่องนุ่งห่ม ให้นำไป ตากแดดหรือเข้าเครื่องอบผ้า

Posted on

งานวิจัย Dementia : ผู้หญิงอ้วน เสี่ยงต่อโรคสมองเสื่อม! มากกว่าผู้ชายอ้วน

โรคอ้วนนั้นนอกจากจะทำให้เราสูญเสียภาพลักษณ์ที่น่ามองแล้ว ยังพบว่ายังก่อให้เกิดอาการผิดปกติแก่ร่างกาย เช่น การปวดข้อต่างๆ ได้ง่าย การเคลื่อนไหวไม่กระฉับกระเฉง แถมยังทำให้เกิดโรคต่างๆ ได้ง่าย เช่น ภาวะเบาหวาน โรคหัวใจ หรือโรคความดันโลหิตสูง ฯลฯ
งานวิจัย
นักวิทยาศาสตร์ยังได้มีการค้นพบโรคอีกโรคที่มีผลมาจากความอ้วน นั่นคือ โรคสมองเสื่อม โดยนักวิจัยของอเมริกา ได้รายงานว่าผู้หญิงอ้วนจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคสมองเสื่อมมากถึง 74% ในขณะที่ผู้ชายที่อ้วนจะมีโอกาสเสี่ยงเพียงแค่ 39 % ( น้อยกว่าถึง 2 เท่า) ส่วนสาเหตุหรือกลไกที่ทำให้เกิด โรคสมองเสื่อมนั้น ยังต้องศึกษากันต่อไป

ส่วนการวิจัยในสวีเดนพบว่า การวัดขนาดรอบเอว ก็พบว่ามีส่วนสัมพันธ์กับความเสี่ยงของการเกิดโรคเบาหวาน หรือโรคหัวใจ โดยได้ทำการวิจัยจากอาสาสมัคร 2,700 คน อายุระหว่าง 18-70 ปี ผลการศึกษาพบว่า ขนาดรอบเอวที่มากกว่า 36 นิ้ว จะเสี่ยงต่อการดื้อต่ออินซูลิน ( ที่ควบคุมภาวะน้ำตาลในเลือด) มากกว่าขนาดรอบเอวที่น้อยกว่านี้